วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 08:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อทำให้ชีวิตในแต่ละวันไม่น่าเบื่อ คนส่วนใหญ่จึงแสวงหากิจกรรมที่ตัวเองชอบทำ เช่น ไปดูหนัง ไปเที่ยวทะเล หาของอร่อยๆกิน ฟังเพลงเพราะๆ ช็อปปิ้ง ฯลฯ แต่เมื่อกิจกรรมเหล่านั้นได้จบลงแล้ว ความสนุกสนานหรือความบันเทิงก็จบตามลงไปด้วย ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา

ตามกฎของโลกใบนี้ เมื่อมีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นของคู่กัน ทั้งสุขและทุกข์เป็นผลมาจากการกระทำของเรา เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบกับความรู้สึกของเรา ยกตัวอย่างเช่น คนอื่นมาทำให้โกรธ,สิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง,โดนยุงกัด,เพื่อนไม่คบ,สูญสียคนหรือสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น ปัจจัยภายนอกเหล่านี้เราไม่สามารถจะไปบังคับให้เป็นไปตามใจของเราได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเราเกิดความทุกข์ขึ้น และเรายกทุกข์ตัวนั้นขึ้นมาดูแล้ว ก็จะพบว่า ทุกข์นั้นคือจินตนาการของเราเอง ยกตัวอย่างเช่น ทุกข์เพราะกลัวผี เมื่อเราอยู่คนเดียว ในที่มืดๆหน่อย ความจำเกี่ยวกับเรื่องผีๆก็เกิดขึ้นมาในสมอง แล้วเราก็นึกคิดปรุงแต่งจินตนาการต่อไป เอจะมีใครอยู่ข้างหลังรึเปล่าหนอ หรือจะมีใครมาโผล่อยู่ตรงหน้าไหมอะไรทำนองนี้ จินตนาการไปเรื่อยๆตามแต่ความนึกคิดของแต่ละคน ซึ่งถ้ามองดูจริงๆแล้วก็ไม่เห็นจะมีผี ดังนั้นสิ่งที่เรากลัวคือจินตนาการของเราเอง หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ทุกข์เพราะพรัดพรากจากสิ่งหรือคนที่เรารัก คนทุกคนที่เป็นปุถุชนก็ย่อมมีของรักของหวง มีคนที่เรารัก เมื่อสิ่งของหรือเขาเหล่านั้นจากเราไป ตามธรรมดาก็รู้สึกเสียใจ เศร้า รู้สึกไม่อยากจะทำอะไร ไม่มีกำลังใจ อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่บางคนเป็นทุกข์นาน นานมาก เป็นเดือน เป็นปี จริงๆเรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว แก้ไขอะไรก็ไม่ได้แล้ว ไม่น่าจะต้องไปทุกข์อีกแต่ก็ยังทุกข์อยู่ นั่นก็เพราะเขาคิดถึงเรื่องนั้นอยู่อย่างนั้น ปรุงแต่งไปเองเรื่อยๆ วันหนึ่งก็คิดหลายรอบ เป็นร้อยเป็นพันรอบ ย้ำอยู่อย่างนั้น ถ้าดูจริงๆก็ไม่มีใครมาทำให้ทุกข์ แต่ที่ทุกข์ก็เพราะจินตนาการ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ใจเป็นหัวหน้าของชีวิต” ถ้าใจดี มีความสุขแล้วอะไรๆก็ดีไปหมด รู้สึกว่าโลกนี้สดใสแต่ถ้าใจไม่ดีเสียแล้ว อะไรๆก็ไม่ดีไปหมด เห็นคนอื่นในขณะนั้นก็คิดว่าเขาไม่ดี แม้แต่เห็นสิ่งของที่ตัวเองเคยชอบ ก็ไม่มีความสุข ดังนั้นถ้าใจเสียแล้ว ก็หาความสุขไม่ได้เลย เราก็ต้องหยุดคิดหยุดจินตนาการไปในทางลบ ดูใจของเรา คือดูอารมณ์ของเราให้เป็นปกติ หยุดคิด ค่อยๆหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆหายใจออกยาวๆ หายใจเข้าแบบสบายๆ หายใจออกแบบสบายๆ ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ การค่อยๆหายใจเข้าลึกๆนี้จะทำให้ร่างกายได้รับโอโซนอย่างเต็มที่ ทำให้สมองและสุขภาพดี และใจของเราก็จะเริ่มดีขึ้นอีกด้วย เริ่มจะหาความสุขได้

หลายๆคนคงจะเคยรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องของการถูกแม่บ่น ก็ให้เราพิจารณาดูว่า นิสัยขี้บ่นของแม่นั้น เราจะช่วยทำให้ลดลงได้ไหม มีอุบายดีดีอันไหนบ้างที่น่าจะใช้ช่วยให้แม่หายขี้บ่นได้ แต่ปกติก็จะเปลี่ยนได้ยากหรือเปลี่ยนไม่ได้ เราคงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น มองให้เห็นว่าอารมณ์ของแม่ก็เหมือน ลมฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ มีทั้งหนาวเย็น ร้อน ฝนตก พายุเข้า หรืออากาศปลอดโปร่ง

เมื่อแม่ของเราบ่น ให้เข้าใจว่าท่านกำลังทุกข์ไม่สบายใจ เราควรเสียสละ ใจดีพอที่จะรับเป็นสุขภัณฑ์ที่ดีให้แก่แม่ เป็นสุขภัณฑ์สะอาด ใช้ได้สะดวก เมื่อแม่บ่นเมื่อไรก็ใจดีรับฟัง แม่จะได้สบายใจ ไม่ต้องขัดใจ ยิ่งของเสียออกมากยิ่งดีต่อสุขภาพ อายุยืน แต่เราก็ต้องระวัง เราต้องเป็นสุขภัณฑ์ที่มีน้ำไหลแรงๆ เพื่อที่จะล้างของเสียทิ้งไปจากตัวเราให้หมด มิเช่นนั้น เราจะสกปกน่าดู

การเปรียบเราเป็นสุขภัณฑ์ ก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นเวลาแม่บ่น ในการปฏิบัติธรรมเพื่อสู้กับกิเลสทุกๆอย่างนั้น ก็ต้องใช้อุบาย หาอุบายมาช่วยให้เรามีกำลังใจ อุบายนั้นเป็นปัจจัตตัง คือเป็นเรื่องเฉพาะตน บางครั้งอุบายของคนอื่นอาจใช้ไม่ได้ผลกับเรา เราก็ต้องหาอุบายที่เหมาะกับตัวเรามาใช้ เพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคนั้นไปได้

เมื่อเราเชื่อเพราะเห็นตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและผล เมื่อเราสร้างเหตุที่ดี ก็ได้รับผลดี เมื่อเราสร้างเหตุที่ไม่ดีก็ได้รับผลไม่ดี คือเป็นไปตามกฎแห่งกรรมแล้ว ในชีวิตประจำวันของเราเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเราทั้งที่น่าพอใจ มีความสุข และไม่น่าพอใจ เป็นทุกข์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นผลมาจากการกระทำของเราในอดีต เราจึงต้องยอมรับ เพราะเราเป็นผู้สร้างเหตุเอาไว้เอง อดีตเป็นเหตุ แล้วมาให้ผลในปัจจุบันนี้ และปัจจุบันก็จะเป็นเหตุ ไปส่งผลในอนาคต ปัจจุบันจึงเป็นที่รวมของเหตุและผล ปัจจุบันเป็นอย่างไรก็สามารถสาวหารู้เหตุในอดีตได้ ว่าทำดีหรือไม่ดีเอาไว้ แต่ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ดังนั้นท่านจึงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี ถ้าจะคิดก็คิดบวกในทุกสถานการณ์ เน้นว่าทุกสถานการณ์นะ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจก็คิดบวกได้เพราะเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม การคิดบวกนี้สำคัญ เพราะเป็นการสร้างกำลังใจให้แก่เราทำให้เราสามารถผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดีและก็เป็นการสร้างมโนกรรมที่ดี คือเป็นการคิดดี เป็นการสร้างเหตุที่ดี อนาคตก็จะประสบกับสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกใจ


รวบรวมจากหนังสือธรรมเล่มต่างๆของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก


.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


แก้ไขล่าสุดโดย หัวหอม เมื่อ 10 เม.ย. 2011, 15:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ทุกข์ใจ ผมว่า ยังไม่น่ากลัว เท่ากับทุกข์เพราะสังสารวัฏฏ์

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ที่ หลวงพ่อชา ท่านกล่าว ว่าหัวงู นั้นมันมีปาก มีพิษ ไปจับมันเข้ามันก็ฉกกัดเอาถึงตายได้ ไปจับโดนเอาหัวงูมันจึงไปจับโดนความทุกข์เข้า เราจึงจึงเลี่ยงไปจับเอาหางงูนึกว่ามันปลอดภัย มันเป็นความสุข ก็ใช่ตราบที่งูมันยังไม่แว้งมากัดเรา จับหางงูอยู่มันก็ยังสบาย แต่เราลืมไปว่า หัวงูกับหางงูมันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน(สมัยก่อนยังไม่เข้าใจ) ถ้าเราจับหางงู ลูบคลำมันอยู่ไม่วาง ในที่สุดงูมันก็หันมาฉกเราอีกจนได้นั่นแหละ
......ที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น เหมือนเราจะรู้จักทุกข์ ว่าทุกข์-สุขนั้นมันเกิดจากการปรุงแต่งจิต ไม่ต้องไปยกตัวอย่างคนจนคนลำบากหรอก ยกตัวอย่างลูกเศรษฐี ที่เกิดมาบนกองเงินกองทองนี่แหละ สองคนพี่น้อง คนพี่สอบเข้าวิศวะได้ ตอนน้องอยู่ม.ปลาย พ่อซื้อ บีเอ็มให้ คนพี่ก็มีความสุข ดีใจลูบคลำอยู่กับ บีเอ็มคันนั้น(เหมือนจับหางงูอยู่) ทุกวันลูบคลำดูแลมันไม่ห่าง มีความสุขอยู่กับมัน ส่วนคนน้องก็เร่งอ่านหนังสือเป็นการใหญ่หวังจะได้ บีเอ็มเหมือนพี่บ้าง แล้วถึงเวลากลับสอบได้ถึงแพทย์ พ่อดีใจยกใหญ่ ซื้อปอร์เช่ คันงามให้เลย คนน้องดีใจสุดขีด ที่ได้จับหางงู ส่วนพี่จิตตกทันทีบีเอ็มที่เคยลูบคลำวันนี้มันไม่มีราคาเสียเลย ทั้งๆที่เมื่อวานมันยังมีค่าอยู่ หัวงูมันแว้งมากัดเข้าแล้ว จิตสังขารมันก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครมาทำอะไรเลย มีความสุขอยู่ดีๆ แค่จิตมันคิดปรุงแต่งไปมันก็ทุกข์สาหัสได้เหมือนกัน บีเอ็มมันก็ขับสบาย ก็เท่ห์เท่าเดิมนั่นแหละ แต่พอคิดว่าปอร์เช่ มันดีกว่า แพงกว่าเท่านั้นหัวงูมันแว้งมากัดเอาเลย กินไม่ได้ นอนไม่หลับเลยทีนี้ แค่ชั่วข้ามคืน ทำอย่างไรดี หยุดการปรุงแต่งไม่เป็น ก็ต้องหาทางกลบทุกข์ อะไรเล่าที่มันกลบทุกข์ได้ ต้องเป็นรถคันใหม่ที่ดีกว่า ปอร์เช่นั่นแหละ ...มันจึงไม่เห็นทุกข์เสียที ถ้าพ่อยังมีปัญญา ซื้อรถคันใหม่ให้ ...ก็รอกันไป เมื่อไรไม่มีปัญญากลบทุกข์นั่นแหละ จะได้เห็นทุกข์เสียที ซึงทางโลกเขาว่าโชคร้ายที่มีทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ทางธรรมแล้วมันสวนกระแสโลก คือคนเห็นทุกข์นั่นแหละโชคดีแล้ว เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่เคยเห็นทุกข์ ชีวิตของเขาถือเป็นโมฆะเสียแล้ว เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีโอกาสเห็นธรรมเลย.....เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: ที่ หลวงพ่อชา ท่านกล่าว ว่าหัวงู นั้นมันมีปาก มีพิษ ไปจับมันเข้ามันก็ฉกกัดเอาถึงตายได้ ไปจับโดนเอาหัวงูมันจึงไปจับโดนความทุกข์เข้า เราจึงจึงเลี่ยงไปจับเอาหางงูนึกว่ามันปลอดภัย มันเป็นความสุข ก็ใช่ตราบที่งูมันยังไม่แว้งมากัดเรา จับหางงูอยู่มันก็ยังสบาย แต่เราลืมไปว่า หัวงูกับหางงูมันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน(สมัยก่อนยังไม่เข้าใจ) ถ้าเราจับหางงู ลูบคลำมันอยู่ไม่วาง ในที่สุดงูมันก็หันมาฉกเราอีกจนได้นั่นแหละ
......ที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น เหมือนเราจะรู้จักทุกข์ ว่าทุกข์-สุขนั้นมันเกิดจากการปรุงแต่งจิต ไม่ต้องไปยกตัวอย่างคนจนคนลำบากหรอก ยกตัวอย่างลูกเศรษฐี ที่เกิดมาบนกองเงินกองทองนี่แหละ สองคนพี่น้อง คนพี่สอบเข้าวิศวะได้ ตอนน้องอยู่ม.ปลาย พ่อซื้อ บีเอ็มให้ คนพี่ก็มีความสุข ดีใจลูบคลำอยู่กับ บีเอ็มคันนั้น(เหมือนจับหางงูอยู่) ทุกวันลูบคลำดูแลมันไม่ห่าง มีความสุขอยู่กับมัน ส่วนคนน้องก็เร่งอ่านหนังสือเป็นการใหญ่หวังจะได้ บีเอ็มเหมือนพี่บ้าง แล้วถึงเวลากลับสอบได้ถึงแพทย์ พ่อดีใจยกใหญ่ ซื้อปอร์เช่ คันงามให้เลย คนน้องดีใจสุดขีด ที่ได้จับหางงู ส่วนพี่จิตตกทันทีบีเอ็มที่เคยลูบคลำวันนี้มันไม่มีราคาเสียเลย ทั้งๆที่เมื่อวานมันยังมีค่าอยู่ หัวงูมันแว้งมากัดเข้าแล้ว จิตสังขารมันก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครมาทำอะไรเลย มีความสุขอยู่ดีๆ แค่จิตมันคิดปรุงแต่งไปมันก็ทุกข์สาหัสได้เหมือนกัน บีเอ็มมันก็ขับสบาย ก็เท่ห์เท่าเดิมนั่นแหละ แต่พอคิดว่าปอร์เช่ มันดีกว่า แพงกว่าเท่านั้นหัวงูมันแว้งมากัดเอาเลย กินไม่ได้ นอนไม่หลับเลยทีนี้ แค่ชั่วข้ามคืน ทำอย่างไรดี หยุดการปรุงแต่งไม่เป็น ก็ต้องหาทางกลบทุกข์ อะไรเล่าที่มันกลบทุกข์ได้ ต้องเป็นรถคันใหม่ที่ดีกว่า ปอร์เช่นั่นแหละ ...มันจึงไม่เห็นทุกข์เสียที ถ้าพ่อยังมีปัญญา ซื้อรถคันใหม่ให้ ...ก็รอกันไป เมื่อไรไม่มีปัญญากลบทุกข์นั่นแหละ จะได้เห็นทุกข์เสียที ซึงทางโลกเขาว่าโชคร้ายที่มีทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ทางธรรมแล้วมันสวนกระแสโลก คือคนเห็นทุกข์นั่นแหละโชคดีแล้ว เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่เคยเห็นทุกข์ ชีวิตของเขาถือเป็นโมฆะเสียแล้ว เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีโอกาสเห็นธรรมเลย.....เจโตวิมุติ/

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว




ขอบคุณ 2.gif
ขอบคุณ 2.gif [ 47.3 KiB | เปิดดู 3658 ครั้ง ]
tongue :b8: :b8: :b8: ขอบคุณคุณหัวหอมมากเลยค่ะ ที่นำบทความนี้มาลงได้ประโยชน์และข้อคิดมากมาย ดีจังเลยค่ะ :b8: :b8: :b8: tongue

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


"คนที่เกิดมาแล้วไม่เคยเห็นทุกข์ ชีวิตของเขาถือเป็นโมฆะเสียแล้ว เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีโอกาสเห็นธรรมเลย.....เจโตวิมุติ/"

อนุโมทนากับคุณเจโตวิมุติครับ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชีวิตนี้เป็นทุกข์ ดังนั้น คนที่เกิดมาแล้วไม่เคยเห็นทุกข์นั้นไม่มีครับ :b24:

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร