วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

มองชีวิตและสังคมผ่านวัฒนธรรมความตาย

พระไพศาล วิสาโล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จุดหมายเป็นตัวกำหนดวิธีการฉันใด
ท่าทีต่อความตายก็เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของผู้คนฉันนั้น
ด้วยเหตุนี้ในแต่ละสังคมหรือแต่ละยุคสมัย
เราสามารถทำความเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนและความเป็นไปในสังคมนั้นได้
จากการศึกษาว่าผู้คนมีทัศนคติหรือปฏิบัติต่อความตายอย่างไร
ทัศนคติหรือการปฏิบัติที่กลายเป็นแบบแผนของสังคม
เราอาจเรียกได้ว่า “วัฒนธรรมความตาย”


วัฒนธรรมความตายที่เป็นกระแสหลักในปัจจุบัน
เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีนี้เอง
จะเข้าใจได้ชัดก็ต่อเมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมความตายของสังคมไทยในอดีต
ซึ่งยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างในปัจจุบันโดยเฉพาะในชนบท


คนไทยแต่ก่อนมองว่าความตายมิได้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น
หากยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฏสงสารอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
ในวัฏสงสารนี้มีการเวียนเกิดเวียนตายนับครั้งไม่ถ้วน
ด้วยเหตุนี้จึงยอมรับความตายว่าเป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
เพราะความตายสามารถเป็นทางผ่านไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าได้
หากทำบุญมามากพอในชีวิตนี้อีกทั้งรู้จักน้อมจิตให้เป็นกุศลก่อนตาย
การตระหนักว่ามีชีวิตหลังความตาย ทำให้ภาวะหลังความตายมิใช่สิ่งลี้ลับ
อย่างน้อยก็แน่ใจว่า ถ้าทำดีก็ได้ไปสู่สุคติ
ในภาคอีสานผู้ป่วยที่เพียบหนักจะประนมมือพร้อมดอกไม้ธูปเทียน
เพราะเชื่อว่าตายแล้วก็จะได้ไปไหว้พระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์


ความเชื่อว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏสงสารอันไม่มีประมาณ
ยังทำให้ผู้คนเห็นว่า ชีวิตความเป็นอยู่ในชาตินี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญสูงสุด
เพราะเป็นของชั่วคราว และเป็นแค่ส่วนเสี้ยวของวัฏสงสารอันยาวไกล
ขณะเดียวกัน ความเชื่อว่านอกจากชาตินี้แล้ว ยังมีชาติก่อนและชาติหน้า
ในด้านหนึ่งทำให้ผู้คนยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ในชาตินี้
แม้ว่าจะยากลำบากเพียงใด ก็ไม่ดิ้นรนเปลี่ยนแปลง
เพราะถือว่าเป็นผลกรรมจากชาติก่อน
ขณะเดียวกันก็มีความหวังกับชาติหน้า
จึงให้ความสำคัญกับชาติหน้ามากกว่าด้วยการมุ่งทำความดี สั่งสมบุญกุศล



การไม่ให้ความสำคัญมากนักกับชีวิตความเป็นอยู่ในชาตินี้
เห็นได้จากการไม่ขวนขวายที่จะสร้างความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ทางวัตถุ
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าความร่ำรวยเป็นจุดหมายของชีวิต
จึงทำมาหากินแต่พอเลี้ยงตัวได้ ทรัพย์สมบัติจึงมีไม่มาก
ไม่ใช่แต่ทรัพย์สินเท่านั้น แม้แต่ชื่อเสียงก็ไม่ถือว่าสำคัญมาก
ศิลปินที่สร้างนฤมิตกรรมชั้นนำในทางศิลปะ ไม่ว่าพระพุทธรูป หรือจิตรกรรมฝาผนัง
ไม่เคยมีใครที่จารึกชื่อไว้ในผลงานของตนเลย
ความสุขทางโลกหรือสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “ประโยชน์ปัจจุบัน”
มิได้มีความสำคัญยิ่งยวดอย่างที่เป็นกับคนปัจจุบัน



ในวัฒนธรรมดังกล่าว มิติด้านจิตใจสำคัญกว่าร่างกาย วัตถุ หรือชื่อเสียง
เพราะสามอย่างหลังนั้นเป็นของชั่วคราว
ตายไปแล้วก็ไร้ความหมายเพราะเอาไปไม่ได้
แต่จิตใจนั้นสามารถส่งผลไปถึงภพภูมิในชาติหน้า
จิตที่เปี่ยมด้วยบุญกุศลย่อมนำพาไปสู่สุคติ
ด้วยเหตุนี้การดำเนินชีวิตของคนในอดีต จึงให้ความสำคัญกับเรื่องบุญกุศลมาก
แม้แต่อาชีพการงานก็มุ่งถึงบุญกุศลควบคู่กับการเลี้ยงชีพ
ท่านอาจารย์พุทธทาสเมื่อครั้งยังเป็นพระเงื่อม
เคยถามชาวนาระหว่างออกบิณฑบาตว่า ทำนาทำไม
คำตอบที่ได้รับก็คือ เพื่อมีข้าวไว้ใส่บาตร ไว้เลี้ยงตนเองและครอบครัว
และแจกจ่ายญาติมิตร สำหรับชาวบ้านในเวลานั้น
การมีข้าวเพื่อทำบุญนั้น เป็นเรื่องที่มาก่อนการเลี้ยงตนเองและครอบครัว เสียอีก


ในวัฒนธรรมดังกล่าว มิติด้านจิตใจสำคัญกว่าร่างกายหรือวัตถุ
ไม่จำเพาะกับวิถีชีวิตในยามปกติเท่านั้น ในยามใกล้ตายก็เช่นกัน
การช่วยให้ผู้ป่วยมีจิตใจที่สงบหรือเปี่ยมด้วยบุญกุศล
เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการยืดลมหายใจให้นานที่สุด
หากจะมีการเยียวยาร่างกายก็ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำจิตให้สงบ


ในระดับสังคม วัฒนธรรมดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญ
ในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจแบบยังชีพ ซึ่งเน้นการพึ่งตนและพออยู่พอกิน
มากกว่าที่จะมุ่งความเจริญเติบโตทางวัตถุ
ประสิทธิภาพในทางเศรษฐกิจ
มีความสำคัญน้อยกว่าดุลยภาพทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
การทำนาของชาวบ้านไม่ได้มุ่งให้เกิดผลิตผลมากที่สุด
แต่มุ่งเจือจานทั้งคนและสัตว์
คาถากันขโมยที่เด็กชายเงื่อมได้รับจากแม่เมื่อถูกสั่งให้ไปเฝ้านา
ก็คือ “นกกินก็เป็นบุญ คนกินก็เป็นทาน”
เศรษฐกิจแบบเจือจาน (gift economy)เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดังกล่าว
โดยถือว่าอาหารและน้ำเป็นของให้เปล่า มิใช่สินค้าที่จะซื้อขายกันได้



อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา
ศาสนา และเทคโนโลยี ที่เกิดกับสังคมไทยในรอบร้อยปีที่ผ่านมา
ได้ทำให้วัฒนธรรมความตายแปรเปลี่ยนไป
จนกระทั่งทัศนคติกระแสหลักคือ
เห็นความตายเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับชีวิต (มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดังแต่ก่อน)
มีจำนวนไม่น้อยที่เห็นเลยไปอีกว่าความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตอย่างสิ้นเชิง
ไม่มีอะไรหลังจากนั้น


ความตายจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ที่พึงหลีกเลี่ยงหรือปกปิดให้มากที่สุด
การพูดถึงความตายกลายเป็นเรื่องอัปมงคล
แม้กระทั่งคำว่า “ความตาย” ก็กลายเป็นคำอุจาดไป
ต้องเลี่ยงไปใช้คำอื่น เช่น “หมดลม” “จากไป” “สิ้นชีวิต”
หากจะมีใครตาย ก็ต้องไปตายในที่รโหฐาน คือที่มิดชิดหรือลับตา
มีคนรู้เห็นเพียงไม่กี่คน การตายที่โรงพยาบาล
โดยเฉพาะในห้องไอซียู จึงถือว่าดูดีกว่าตายที่บ้าน
และหากตายแล้ว ก็ไม่ควรตั้งศพที่บ้าน แต่ต้องไปตั้งในวัด
ซึ่งมักเป็นที่ที่แยกออกไปจากชุมชน
(ลองนึกภาพว่าหากมีการตั้งศพและทำพิธีที่บ้านซึ่งอยู่กลางหมู่บ้านจัดสรร
ผู้คนในหมู่บ้านนั้นจะรู้สึกอย่างไร)


วัฒนธรรมดังกล่าวนับว่าตรงกันข้ามกับสมัยก่อน
ที่ถือว่าความตายเป็นปรากฏการณ์ของชุมชน เป็นเรื่องสาธารณะ
ที่ทุกคนในหมู่บ้านรับรู้และเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งขณะใกล้ตายและหลังตายแล้ว
เช่น พากันไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยที่บ้าน และอยู่กับเขาจนหมดลม
เมื่อตายแล้วก็ตั้งศพที่บ้านโดยชาวบ้านช่วยกันจัดงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
เมื่อจะเผาก็ไปร่วมพิธีทั้งหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีการเปิดโลงเพื่อล้างหน้าศพก่อนเผาด้วย


นอกจากนั้นในปัจจุบันความตายยังเป็นสิ่งต้องห้าม
มิใช่แต่คนทั่วไปเท่านั้นที่ถูกกีดกันไม่ให้รู้เห็น
โดยเฉพาะเด็ก แม้กระทั่งผู้ป่วยเอง
ส่วนใหญ่ก็ยังถูกกีดกันไม่ให้รับรู้ว่าวาระสุดท้ายกำลังจะมาถึง
ในเวลาเดียวกันความตายยังถือว่าเป็นความพ่ายแพ้
มิใช่ของของแพทย์และพยาบาลเท่านั้น
หากยังเป็นความพ่ายแพ้ของเจ้าตัวด้วย
วิทยาการสมัยใหม่ทำให้เกิดความเชื่ออย่างแพร่หลายว่า
ความตายเป็นสิ่งที่ควบคุมหรือจัดการได้
เช่นเดียวกับที่สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายและสิ่งแวดล้อมได้
ดังนั้นหากต้องตายท่ามกลางการดูแลของแพทย์และเทคโนโลยีนานาชนิด
จึงถือว่าเป็นความล้มเหลวของแพทย์
ขณะเดียวกันการตายก่อนอายุขัยก็ถือว่าเป็นความล้มเหลวของเจ้าตัวด้วยเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้ความตายจึงเป็นสิ่งที่ต้องประวิงเวลาให้มาถึงช้าที่สุด
อะไรที่สามารถทำได้ต้องทำเพื่อให้มีลมหายใจยืนยาวนานที่สุด
แม้จะยังความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก็ตาม
การปล่อยให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบโดยแพทย์ไม่เข้าไปแทรกแซงเลยนั้น
เป็นเรื่องที่แพทย์และญาติยอมรับได้ยาก
การเยียวยารักษาจึงเน้นแต่ด้านร่างกาย
ขณะที่การเยียวยาหรือดูแลรักษาจิตใจถูกมองข้ามไป
ในกระบวนการดังกล่าวความตายถูกลดทอนให้เหลือแค่มิติทางกาย
กล่าวคือดูที่ลมหายใจ การเต้นของหัวใจ หรือการทำงานของสมอง
ความตายมีความหมายเพียงแค่ความแตกดับทางกาย
ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นกับจิตใจ หรือสามารถเกิดขึ้นได้กับจิต ไม่ต้องคำนึง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความตายจึงเป็นได้แค่ “วิกฤต” สถานเดียว
ทั้ง ๆ ที่ยังสามารถเป็น “โอกาส”ได้ด้วย กล่าวคือเป็นวิกฤตทางกายก็จริง
แต่เป็นโอกาสทางจิตวิญญาณ ถึงแม้กายจะเต็มไปด้วยทุกขเวทนา
แต่ใจไม่จำเป็นต้องทุกขทรมานก็ได้ ซ้ำยังอาจเข้าถึงความสงบอย่างลึกซึ้งได้ด้วย


ทัศนคติและการปฏิบัติต่อความตายดังกล่าว
ส่งผลถึงการดำเนินชีวิตของผู้คน กล่าวคือทำให้ผู้คนอยู่อย่างลืมตาย
ไม่พยายามนึกถึงหรือพูดถึงความตาย
คิดแต่จะทำใจให้เพลิดเพลินกับความสนุกสนาน
จนลืมไปว่าสักวันตัวเองก็จะต้องตาย
หากนึกถึงเมื่อใดก็คิดว่าไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน
คือถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที
ไม่คิดที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ขณะที่ยังมีเวลาและมีสุขภาพดี


ในวัฒนธรรมความตายดังกล่าว
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องชาติหน้าหรือชีวิตหลังความตาย
จึงให้ความสำคัญสูงสุดกับชีวิตนี้
ความสุขทางโลกหรือ “ประโยชน์ปัจจุบัน” จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก
ชีวิตทั้งชีวิตทุ่มเทให้กับการแสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ
และสถานะ ยิ่งกว่าการทำความดีหรือสร้างบุญกุศล


ในบรรดาความสุขทางโลก
สิ่งที่มาก่อนอื่นใดคือความสุขทางวัตถุหรือทางร่างกาย
ดังนั้นควบคู่กับการแสวงหาวัตถุก็คือการหลงใหลในร่างกาย
เพราะร่างกายไม่เพียงเป็นอุปกรณ์แสวงหาความสุข
(ด้วยการกิน เที่ยว และมีเซ็กส์) เท่านั้น
หากยังเป็นเครื่องมือแสวงหาปัจจัยแห่งความสุข (คืองานและเงิน)
รวมทั้งเป็นที่มาแห่งความสุขโดยตัวมันเอง
กล่าวคือเป็นสุขเพราะมีรูปร่างที่สวยงาม ได้มาตรฐาน
จึงหมกมุ่นกับการตกแต่งและเปิดเผยทรวดทรงให้มากที่สุดแม้จะใส่ชุดนักศึกษาก็ตาม


เมื่อมีทัศนคติเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จึงกลัวแก่
เพราะจะทำให้ไม่ได้เสพสุขจากร่างกายอย่างเต็มที่
ยิ่งความตายแล้ว ไม่ต้องพูดถึง เพราะนั่นหมายถึงการไม่ได้เสพสุข
จึงทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะความแก่และความตาย
การเป็นอมตะจึงเป็นสุดยอดปรารถนาของคนปัจจุบัน
แต่ในเมื่อหลีกความตายไม่พ้น
ก็ขอให้มีชื่อเสียงดำรงคงอยู่ต่อไปหรือมีอนุสาวรีย์เป็นเครื่องสืบทอดตัวตน



ด้วยเหตุนี้จึงเป็นธรรมดาที่สังคมปัจจุบัน
จะเน้นการสร้างความพรั่งพร้อมทางวัตถุ
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ในเมื่อไม่เชื่อสวรรค์ในชาติหน้า ก็สร้างสวรรค์ในชาตินี้เสียเลย
แต่สิ่งที่ตามมาคือการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
พร้อมกันนั้นก็มีการเอาเปรียบและกดขี่ขูดรีดเพื่อนมนุษย์
จนต้องมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นหิวโหย บังเกิดเป็นนรกขึ้นมาทั่วทุกมุมโลก


มองในแง่นี้วัฒนธรรมความตายในปัจจุบันจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อชีวิต
นอกจากสร้างความทุกข์แก่สรรพชีวิตแล้ว
ยังปิดโอกาสที่บุคคลจะเข้าถึงคุณค่าและสิ่งสุดสุดที่ชีวิตพึงเข้าถึง
สิ่งที่ควรทำก็คือ ช่วยกันฟื้นฟูวัฒนธรรมความตายที่เกื้อกูลต่อชีวิต
กล่าวคือส่งเสริมให้ผู้คนมีความเอื้ออาทรต่อสรรพชีวิต
และช่วยให้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ปล่อยวางแทนที่จะติดยึดหรือมุ่งตักตวง
เพื่อเข้าถึงสภาวะอันประเสริฐสุดที่ชีวิตเข้าถึงได้



วัฒนธรรมความตายดังกล่าวก็คือ การมองความตายเป็นธรรมดาของชีวิต
เห็นคุณค่าของการตายอย่างสงบ
และรู้จักใช้ความตายให้เป็นโอกาสในการยกระดับทางจิตวิญญาณ
โดยอยู่อย่างพร้อมจะตายทุกขณะ
หรือดียิ่งกว่านั้นก็คือ เรียนรู้ที่จะ “ตายก่อนตาย”
ดังคำของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ



คัดลอกจาก... http://www.visalo.org/article/D_MongShevit.htm
ภาพประกอบจาก.... http://www.bloggang.com/data/maamui/pic ... 710637.jpg

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b46: :b46: :b8: :b8: :b8: :b46: :b46:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร