ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
หลวงปู่สอนว่า (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=38095 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 15 พ.ค. 2011, 10:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | หลวงปู่สอนว่า (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) |
หลวงปู่สอนว่า พระธรรมเทศนาของพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) เกิดมาภพใดชาติใดก็ทุกข์แย่เต็มประดา ทุกข์ตั้งแต่วันเกิดถึงวันแก่ ทุกข์จากวันแก่ถึงวันแตกดับวันตาย ทุกถ้วนหน้าไม่มีใครข้ามมันไปได้ จึงให้เรามาสนใจในการรวมจิตใจของเรา มาให้สงบระงับ ตั้งมั่น เที่ยงตรง อยู่ภายในดวงใจให้ได้ทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก จนกระทั่งจิตใจสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนาให้ได้ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) ๐ อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งมั่นอย่างได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น ๐ กิเลสกองไหนที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว ให้รีบตัด รีบละออกไปเลิกไม่ได้ ละไม่ได้ก็ให้นึกถึงความตาย ใครจะดุร้าย ป้ายสี ก็ให้นึกว่าเขาจะต้องตาย เราคือกายกับจิตก็ต้องตายจากกันไป จะมาโกรธ มาโลภ มาหลง มายึดหน้าถือตา ยึดอะไรต่อมิอะไรไปทำไม จงปล่อยวางให้มันหมดสิ้นไป ๐ โลกธรรม 8 ประการ มีความสบายกายสบายใจ ก็มีความไม่สบายกายไม่สบายใจ คือมีสุข มีทุกข์อยู่อย่างนี้ มีสรรเสริญ ก็ต้องมีติเตียนนินทาเป็นธรรมดาของโลกอย่างนี้ มีลาภเสื่อมลาภได้ เป็นธรรมดาอย่างนี้ มียศเสื่อมยศมันมีเป็นธรรมดาอย่างนี้ จิตผู้รู้ผู้ภาวนาไปอยู่ที่ไหน ทำไม่ไม่เร่งภาวนาให้มันหลุดพ้นไปเสียที ๐ เกิดแล้วต้องตายไม่ตายวันนี้วันหน้าก็ตาย ไม่ตายเดือนนี้เดือนหน้าก็ตาย ไม่ตายปีนี้ปีต่อ ๆ ไปก็ตายได้ ให้รู้ไว้ ให้เข้าใจไว้ แล้วจิตใจอย่าได้มัวเมา หลงใหลไปกับกิเลสกาม วัตถุกาม มาหลงร้องไห้ หัวเราะอยู่นี้ไม่มีที่สิ้นสุด ก้อนทุกข์ กองทุกข์เต็มตัวทุกคน จงภาวนาดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญา ไม่ใช่คนอื่นจะมาทำให้ ปฏิบัติให้ ไม่มีตัวเองนั่นแหละปฏิบัติตัวเอง หมายเหตุ - กิเลสกาม คือกิเลสที่ทำให้เกิดความอยาก ได้แก่ ราคา โลภะ อิจฉา เป็นต้น - วัตถุกาม ได้แก่ กามคุณทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันน่าปรารถนา ๐ อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนทำบาปตนก็ได้รับทุกข์เอง ตนทำบุญบุญก็ให้ความสุขแก่บุคคลผู้นั้น บุญ-บาป เป็นของเที่ยงแท้แน่นอน ใครทำบาป บาปย่อมให้ผล ใครทำบุญกุศล บุญกุศลย่อมตามให้ผล แต่ว่าบางอย่าง บางประการนั้น ไม่ทันกับใจกิเลสมนุษย์ ก็เลยเข้าใจว่าทำบุญก็ไม่เห็นผล แต่ว่าบาปนั้นไม่ทำก็เห็นผล ๐ อบรมจิตใจด้วยการบริกรรมภาวนา ด้วยการนึกถึงความทุกข์ความเดือดร้อนในโลกนี้ นึกถึงความแก่ความชรา ความเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมันมาถึงแล้ว มันมีความเจ็บปวด ทุกขเวทนา ต้องฝึกฝนอบรมจิตใจของเราในทางสมาธิภาวนา ทำใจให้สงบระงับด้วยการนึกน้อมเอาพุทธคุณ คือ คุณพระพุทธเจ้ามาเป็นอารมณ์ แม้เราจะนึกพุทโธ พุทโธอยู่ก็ตาม ก็ให้ถือว่า ธัมโมก็อยู่ที่นั่น สังโฆก็อยู่ด้วยกัน ๐ กิเลสมาร หมายถึงจิตใจที่เรายังเลิกละ ปลดปล่อย กิเลส ราคะ ตัณหาไม่ได้ ราคะ ตัณหานั่นแหละคือตัวมาร ที่คอยหลอกลวงอยู่ในใจนั้น ถ้าผู้ใดใจไม่มั่นคง ก็หลงใหลไปตามการหลอกลวงของมารกิเลส ไม่ยอมละ ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมปล่อยวาง กิเลสก็ติดอยู่ในตัว ติดอยู่ในกาย ในวาจา ในจิตในใจ คือ ใจเราไปติดกิเลส ไม่ใช่กิเลสมาติดอยู่ในใจของเรา จิตใจของเราไม่ภาวนาละกิเลส แต่ภาวนาเอากิเลส กิเลสก็มาอยู่ในกาย ในวาจา ในจิตในใจของเราเต็มไปหมด ๐ ไฟ คือราคะ ไฟ คือโทสะ ไฟ คือความหลง เมื่อมีไฟ 3 กองนี้อยู่ในใจ มันก็ร้อนเป็นไฟ นั่งที่ไหน นอนที่ไหนก็ร้อนระอุด้วยไฟ เพราะไฟนั้นเป็นของเร่าร้อน ผูกมัดรัดรึงจิตใจคนเราให้หลงให้ติดข้องอยู่ เวลาภาวนาท่านจึงให้ละออกไป ปล่อยออกไป ให้หลุดไป สิ้นไป เอาให้หลุด ให้พ้น ให้สงบระงับ แม้ยังไม่หลุดพ้นก็ให้ภาวนาทุกคน ให้ใจสงบระงับตั้งมั่นทุก ๆ คืนไป จนมีกำลังความสามารถอาจหาญ ก็จะตัดละได้ด้วยตนเอง ๐ ธรรมดากิเลสเป็นมาร เป็นภัยอันตราย คำว่ามารก็คือว่าเป็นผู้ฆ่าผู้ทำลาย ใครไปหลงกลมารยาของมารแล้วก็เสียทุกครั้งไป ฉะนั้นเราทุกคนจงอย่าได้ปล่อยจิตใจให้คิดนึกไปภายนอก จงนึกเตือนใจของตนอยู่ทุกเวลาว่า พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา ธัมโม สังโฆ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา คือให้ใจมาสงบตั้งมั่นอยู่ภายใน ไม่ให้ไปตามอาการภายนอก ๐ อย่าไปคิดว่าเวลาเราแก่ หรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือใกล้ ๆ จะแตก จะตาย แล้วจึงภาวนา ถ้าคิดอย่างนั้นก็เป็นอันว่าคิดผิด เพราะเวลาอยู่ดีสบายนี้แหละเป็นเวลาที่เราจะต้องริเริ่มภาวนาให้ได้ให้ถึง กิเลสอะไรที่ยังไม่ออกจากจิตใจเรา ก็จะได้ละกิเลสนั้นเสีย ๐ ให้พากันตั้งใจภาวนากันจริง ๆ เอาจิตใจดวงผู้รู้ภายในมาจี้จุดหลงของใจเรา ความหลงของใจไม่ใช่อื่นไกลที่ไหน หลงในรูป หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ บ้านเรือน เคหะสถานอันใดก็ตาม ถ้าจิตไปหลงก็จะไปข้องอยู่กับที่นั่น ถ้าจิตไม่หลงก็วางเฉยได้ จิตใจก็เย็นสบายเป็นสุข ไม่ทุกข์ร้อนประการใด เราทุกคนควรปฏิบัติบูชาภาวนาอย่างนี้ให้ได้ทุก ๆ คืน ไม่มีใครจะช่วยเราได้เท่ากับตัวเราเอง ๐ การภาวนาอย่าเข้าใจว่ามันเป็นของยาก ไม่ว่ากิจกรรมการงานอะไร อย่างหยาบ ๆ ก็ดี ถ้าเราไม่ทำไม่ประกอบก็ยิ่งเป็นอุปสรรค แต่ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ แล้ว มันมีทางออก ภาวนาไปรวมจิตใจลงไป จนกระทั่งจิตใจเชื่อตามความเป็นจริง เชื่อต่อคุณพระพุทธเจ้าจริง ๆ เชื่อต่อพระธรรมจริง ๆ เชื่อต่อคุณพระอริยสงฆ์สาวกจริง ๆ แล้ว บุคคลผู้นั้นก็มีทางที่จะได้บรรลุมรรคผล เห็นแจ้งในธรรม ในปัจจุบันชาตินี้ ๐ อะไร ๆ ทุกอย่าง ถ้าคนเราลงทำลงแล้ว มันต้องได้ไม่มากก็น้อย ถ้าไม่ทำ เลิกล้มความเพียร ชอบสบายอยู่เฉย ๆ แต่เราอย่าเข้าใจว่าเราจะอยู่เฉยได้ ในเมื่อความเจ็บไข้ได้ป่วย ปัจจุบันกะทันหันขึ้นมา จะเฉยอยู่ไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อความเจ็บมา อุบายธรรมไม่ทัน เราก็หลงยึดไปถือไปวุ่นวายไป ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน ปล่อยวางได้ทุกลมหายใจเข้าออก จิตใจก็เย็นสบายเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อนประการใด ๐ อุบายธรรมต่าง ๆ ที่กำหนดจดจำไปประพฤติปฏิบัติ ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุญบารมีเก่าเราทำมามากหรือไม่ บุญบารมีใหม่ ใจปัจจุบันของเราตั้งมั่นหรือไม่ ใจปัจจุบันเป็นหลักสำคัญที่เราทุกคน ทุกดวงใจจะประมาทไม่ได้ พระพุทธเจ้า พระองค์เตือนว่า ผู้ไม่ประมาทย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ผู้ประมาทมัวเมาเป็นไปเพื่อความเสื่อม ๐ วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไปมันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้นให้ภาวนาดูว่าวันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง ๐ เรามัวเพลิดเพลินอะไรอยู่ไปมัวเสียอกเสียใจอย่างไรอยู่ ทำไมไม่ภาวนา ทำไมไม่ละกิเลส ภาวนาให้มันหมดสิ้นไป เวลาความแก่มาถึงเข้า หรือเวลาความเจ็บไข้มาถึงเข้า จิตก็ว้าวุ่น ยิ่งความตายจะมาถึง เราละกิเลสไว้ก่อนหรือยัง ก็ตอบได้ด้วยตนเองว่ายังไม่หมด เมื่อยังไม่หมดเรามัวไปทำอะไรอยู่ ชีวิตของคนเราหมดไป เหมือนจุดเทียนขึ้นมาแล้ว ไฟมันก็ไหม้ไส้เทียนจนหมด เราทำอะไรอยู่ ไม่พินิจพิจารณา ต้องเตือนใจของตนเองว่าเราภาวนาแล้วหรือยัง อย่าประมาทคือภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก ๐ เราทุกคนก็ต้องโอปนยิกธรรม น้อมเข้ามา รวมเข้ามา สอนตัวเองเข้ามาให้ได้อยู่ทุกวันเวลา แล้ว มรรคผล นิพพาน ก็ไม่ต้องไปหาที่อื่น มันอยู่ที่ความเพียร ความหมั่น ความขยัน ในการภาวนาไม่ให้ขาด นั่งก็ภาวนา นอนก็ภาวนา หลับแล้วก็แล้วไป ตื่นขึ้นก็ภาวนาต่อให้เป็นวงจรอยู่ตลอดเวลา จิตใจย่อมมีกำลัง มีความสามารถอาจหาญไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ หมายเหตุ- โอปนยิกธรรม หมายถึง พระธรรมที่ควรน้อมนำเข้ามาไว้ในใจ คัดลอกเนื้อหามาจาก... หนังสือพุทฺธาจารปูชา ธรรมานุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) ณ สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ วันจันทร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ (หน้า) ๏ ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21573 ๏ รวมคำสอน “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42673 |
เจ้าของ: | Supatorn [ 13 ส.ค. 2011, 11:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่สอนว่า (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) |
กราบ กราบ กราบ _/i\_ _/i\_ _/i\_ ทาน ศีล ภาวนา ภาวนา ภาวนา |
เจ้าของ: | ชีวิตนี้น้อยนัก [ 20 ส.ค. 2011, 16:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่สอนว่า (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |