วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 20:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2011, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


๗. กปิลราชจริยา
ว่าด้วยจริยาของพญาวานร


ในกาลที่เราเป็นพญาวานร อยู่ ณ ซอกภูเขาใกล้ฝั่งแม่น้ำ
ครั้งนั้น เราถูกจระเข้เบียดเบียนไปไหนไม่ได้
เรายืนอยู่ ณ โอกาสใด โดดจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น
จระเข้เป็นสัตว์ดุร้าย แสดงความน่ากลัวอยู่ ณ โอกาสนั้น
จระเข้นั้นกล่าวกับเราว่า “มาเถิด”
แม้เราก็กล่าวกับจระเข้นั้นว่า “แม้เราก็จะไป” ดังนี้
เรามิได้ทำตามคำของจระเข้ที่กล่าวหลอกลวงนั้นก็หาไม่
บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล

กปิลราชจริยาที่ ๗ จบ
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2011, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘
ว่าด้วยจริยาวัตรของสัจจดาบส


อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นดาบสปรากฏ นามว่าสัจจะ เรารักษา
สัตว์โลกไว้ด้วยคำสัจ ได้ทำหมู่ชนให้สามัคคีกัน ฉะนี้แล.

จบสัจจสวหยปัณฑิตจริยาที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2011, 21:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙
ว่าด้วยจริยาวัตรของลูกนกคุ้ม


อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นลูกนกคุ้ม ขนยังไม่งอก ยังอ่อนเป็นดังชิ้นเนื้อ อยู่ในรัง ในมคธชนบท ในกาลนั้น มารดาเอาจะงอยปากคาบเหยื่อมาเลี้ยงเรา เราเป็นอยู่ด้วยผัสสะของมารดา กำลังกายของเรายังไม่มี ในฤดูร้อนทุกๆ ปี มีไฟป่าไหม้ลุกลามมา ไฟไหม้ป่าเป็นทางดำลุกลามมาใกล้เรา ไฟไหม้ป่าลุกลามใหญ่หลวงเสียงสนั่นอื้ออึง ไฟไหม้ลุกลามมาโดยลำดับ เข้ามาใกล้จวนจะถึงเรา มารดาบิดาของเราสะดุ้งใจหวาดหวั่น เพราะกลัวไฟที่ไหม้มาโดยเร็ว จึงทิ้งเราไว้ในรังหนีเอาตัวรอดไปได้ เราเหยียดเท้า กางปีกออกรู้ว่า กำลังกายของเราไม่มี เรานั้นไปไม่ได้อยู่ในรังนั่นเอง จึงคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า เมื่อก่อนเราสะดุ้งหวาดหวั่น พึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในระหว่างปีกของมารดาบิดา บัดนี้ มารดาบิดาทิ้งเราหนีไปเสียแล้ว วันนี้ เราจะทำอย่างไรศีลคุณ ความสัตย์ พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความสัตย์เอ็นดูกรุณามีอยู่ในโลก ด้วยความสัตย์นั้นเราจักกระทำ สัจจกิริยาอันสูงสุดเราคำนึงถึงกำลังพระธรรม ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้พิชิตมารอันมีในก่อน ได้กระทำสัจจกิริยา แสดงกำลังความสัตย์ว่า ปีกของเรามีอยู่ แต่ไม่มีขน เท้าของเรามีอยู่ แต่ยังเดินไม่ได้ มารดาบิดาก็พากันบินออกไปแล้วแน่ะไฟ จงกลับไป(จงดับเสีย) พร้อมกับเมื่อเรากระทำสัจจกิริยา ไฟที่ลุกรุ่งโรจน์ใหญ่หลวงเว้นไว้ ๑๖ กรีส ไฟดับ ณ ที่นั้นเหมือนจุ่มลงในน้ำผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.

จบวัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2011, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


มัจฉราชจริยาที่ ๑๐
ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาปลา


อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาปลาอยู่ในสระใหญ่น้ำในสระแห้งขอด เพราะแสงพระอาทิตย์ในฤดูร้อน ที่นั้นกา แร้ง นกกระสา นกตะกรุมและเหยี่ยว มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันกลางคืน ในกาลนั้น เราคิดอย่างนี้ว่า เรากับหมู่ญาติถูกบีบคั้น จะพึงเปลื้องหมู่ญาติให้พ้นจากทุกข์ได้ด้วยอุบายอะไรหนอ เราคิดแล้ว ได้เห็นความสัตย์อันเป็นอรรถเป็นธรรมว่า เป็นที่พึ่งของหมู่ญาติได้ เราตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว จะเปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้เรานึกถึงธรรมของสัตบุรุษ คิดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ อันยั่งยืนเที่ยงแท้ในโลก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้ แล้วได้กระทำสัจจกิริยาว่า ตั้งแต่เราระลึกตนได้ ตั้งแต่เรารู้ความมาจนถึงบัดนี้ เราไม่รู้สึกว่าแกล้งเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งให้ได้รับความลำบากเลยด้วยสัจจวาจานี้ ขอเมฆจงยังฝนให้ตกห่าใหญ่ แน่ะเมฆ ท่านจงเปล่งสายฟ้าคำรามให้ฝนตกจงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป ท่านจงยังกาให้เดือดร้อนด้วยความโศก จงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศกพร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครื้น ยังฝนให้ตกครู่เดียว ก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่ม ครั้นเราทำความเพียรอย่างสูงสุด อันเป็นความสัตย์อย่างประเสริฐเห็นปานนี้แล้ว อาศัยกำลังอานุภาพความสัตย์ จึงยังให้ฝนตกห่าใหญ่ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเราฉะนี้แล.

จบมัจฉราชจริยาที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2011, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กัณหทีปายนจริยาที่ ๑๑
ว่าด้วยจริยาวัตรของกัณหทีปายนะดาบส


อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นฤาษีชื่อว่ากัณหทีปายนะ เราไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ยิ่งกว่า ๕๐ ปี ใครๆ จะรู้ใจที่ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ของเรานั้นหามิได้ แม้เราก็ไม่บอกแก่ใครๆ ว่า ความไม่ยินดีมีในใจของเรา สหายเพื่อนพรหมจรรย์ของเรา ชื่อมัณฑัพยะเป็นฤาษีมีอานุภาพมากประกอบด้วยบุรพกรรม (กรรมเก่าให้ผล)ถูกเสียบหลาวทั้งเป็น เราทำการพยาบาลมัณฑัพยะดาบสนั่นให้หายโรคแล้วได้อำลามาสู่บรรณศาลาอันเป็นอาศรมของเราเอง พราหมณ์ผู้เป็นสหายของเรา ได้พาภริยาและบุตร ต่างถือสักการะสำหรับต้อนรับแขก รวมสามคนมาหาเรา เรานั่งเจรจาปราศรัยกับสหายและภรรยาของเขาอยู่ในอาศรมของตน เด็กโยนลูกข่างเล่นอยู่ ทำงูเห่าให้โกรธแล้ว ทีนั้น เด็กนั้นเอามือควานหาลูกข่างไปตามปล่องจอมปลวก ควานไปถูกเอาศีรษะงูเข้าพอมือไปถูกศีรษะของมัน งูก็โกรธ อาศัยกำลังพิษ เคืองจนเหลือจะอดกลั้นได้กัดเด็กทันที พร้อมกับถูกงูกัด เด็กล้มลงที่พื้นดิน ด้วยกำลังพิษกล้า เหตุนั้นเราเป็นผู้ได้รับทุกข์หรือว่าเรามีความรักจึงเป็นทุกข์ เราได้ปลอบมารดาบิดาของทารกนั้น ผู้มีทุกข์เศร้าโศก ให้สว่างแล้ว ได้ทำสัจจกิริยาอันประเสริฐสุดก่อนว่าเราผู้ต้องการบุญ ได้ประพฤติพรหมจรรย์ มีจิตเลื่อมใสอยู่ ๗ วันเท่านั้น ต่อแต่นั้นมา การประพฤติของเราไม่เลื่อมใส ๕๐ ปีเศษ เราไม่ปรารถนาจะประพฤติเสียเลย ด้วยความสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่เด็กนี้เถิด พิษจงระงับ ยัญญทัตตกุมารจงเป็นอยู่พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา มาณพหวั่นไหวด้วยกำลังพิษได้ฟื้นกายหายโรค ลุกขึ้นได้ ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.

จบกัณหทีปายนจริยาที่ ๑๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2011, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สุตโสมจริยาที่ ๑๒
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าสุตโสม


อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าสุตโสม ถูกพระเจ้าโปริสาทจับไปได้ ระลึกถึงคำผัดเพี้ยนไว้กะพราหมณ์ พระยาโปริสาทเอาเชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ ไว้แล้ว ทำกษัตริย์เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก นำเราไปด้วยเพื่อต้องการทำพลีกรรม พระยาโปริสาทได้ถามเราว่าท่านปรารถนาจะให้ปล่อยหรือ เราจักทำตามชอบใจของท่านถ้าท่านจะกลับมาสู่สำนักเรา เรารับคำพระยาโปริสาทนั้นว่าจะกล่าวใย ถึงการมาของเรา แล้วเข้าไปยังพระนครอันรื่นรมย์มอบราชสมบัติแล้วในกาลนั้น เพราะเราระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ เป็นของเก่า อันพระพุทธเจ้า เป็นต้นเสพแล้วให้ทรัพย์แก่พราหมณ์แล้ว จึงเข้าไปหาพระยาโปริสาท ในการมาในสำนักพระยาโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัยว่าจักฆ่าหรือไม่ เราตามรักษาสัจจวาจายอมสละชีวิตเข้าไปหาพระยาโปริสาท ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.

จบสุตโสมจริยาที่ ๑๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2011, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สุวรรณสามจริยาที่ ๑๓
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของสุวรรณสามดาบส


ในกาลเมื่อเราเป็นดาบส อันท้าวสักกะเชื้อเชิญมาอยู่ในป่า เรากับ
ราชสีห์แลเสือโคร่งในป่าใหญ่ ต่างน้อมเมตตาเข้าหากัน (เราเข้า
ใกล้ราชสีห์และเสือโคร่งในป่าใหญ่ได้ด้วยเมตตา) เราแวดล้อมด้วย
ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี กระบือ กวางดาวและหมู
อยู่ในป่าใหญ่ สัตว์อะไรๆ มิได้สะดุ้งกลัวเรา แม้เรามิได้กลัวสัตว์
อะไรๆ เพราะเรากำลังเมตตาค้ำจุน จึงยินดีอยู่ในป่าในกาลนั้น
ฉะนี้แล.

จบสุวรรณสามจริยาที่ ๑๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2011, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกราชจริยาที่ ๑๔
ว่าด้วยพระจริยาวัตรของพระเจ้าเอกราช


อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชา ปรากฏพระนามว่าเอกราช
ในกาลนั้น เราอธิษฐานศีลอันบริสุทธิ์ยิ่งปกครองแผ่นดินใหญ่
สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการประพฤติโดยไม่มีเศษ สงเคราะห์
มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทใน
ประโยชน์โลกนี้และโลกหน้า ด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าโกศล
พระนามว่าทัพพเสนะ ยกกองทัพมาชิงเอาพระนครเราได้ ทรงทำ
ข้าราชการ ชาวนิคม พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบทให้อยู่ในเงื้อม
พระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม เราเห็นพระเจ้า
ทัพพเสนะกับหมู่อำมาตย์ ชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่งภายในพระนคร
ของเรา เหมือนบุตรสุดที่รัก ฉะนั้น ผู้เสมอด้วยเมตตาของเราไม่มี
นี้เป็นเมตตาบารมีของเรา ฉะนี้แล.

จบเอกราชจริยาที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2011, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


มหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕
ว่าด้วยจริยาวัตรของมหาโลมหังสบัณฑิต


เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพอันมีแต่กระดูกทำเป็นหมอนหนุน
เด็กชาวบ้านพวกหนึ่ง พากันเข้าไปทำความหยาบช้าร้ายกาจนานัปการ
อีกพวกหนึ่งร่าเริงดีใจ พากันนำเอาของหอม ดอกไม้ อาหาร และ
เครื่องบรรณาการต่างๆ เป็นอันมากมาให้เรา พวกใดนำทุกข์มาให้
เราและพวกใดให้สุขแก่เรา เราเป็นผู้มีจิตเสมอแก่เขาทั้งหมดไม่มี
ความเอ็นดู ไม่มีความโกรธ เราเป็นผู้วางเฉยในสุขและทุกข์ ใน
ยศและความเสื่อมยศ เป็นผู้มีใจเสมอในสิ่งทั้งปวง นี้เป็นอุเบกขา
บารมีของเรา ฉะนี้แล.

จบมหาโลมหังสจริยาที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


รวมจริยาที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ยุธัญชยจริยา ๒. โสมนัสสจริยา ๓. อโยฆรจริยา
๔. ภิงสจริยา ๕. โสณนันทปัณฑิตจริยา ๖. มูคผักขจริยา
๗. กปีลราชจริยา ๘. สัจจสวหยปัณฑิตจริยา ๙. วัฏฏกโปตกจริยา
๑๐. มัจฉราชจริยา ๑๑. กัณหทีปายนจริยา ๑๒. สุตโสมจริยา
๑๓. สุวรรณสามจริยา ๑๔. เอกราชจริยา ๑๕. มหาโลมหังสจริยา
เป็นอุเบกขาบารมีดังนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ตรัสแล้ว เราได้เสวยทุกข์
และสมบัติมากมายหลายอย่าง ในภพน้อยภพใหญ่ ตามนัยที่กล่าวแล้ว
อย่างนี้ แล้วจึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด เราได้ให้ทานอันควร
ให้ บำเพ็ญศีลโดยหาเศษมิได้ถึงเนกขัมมบารมีแล้ว จึงบรรลุสัม
โพธิญาณอันสูงสุดเราสอบถามบัณฑิตทั้งหลายทำความเพียรอย่าง
อุกฤษฏ์อย่างถึงขันติบารมีแล้วจึงบรรลุโพธิญาณอันสูงสุด เรากระทำ
อธิษฐานอย่างมั่น ตามรักษาสัจจวาจา ถึงเมตตาบารมีแล้ว จึงบรรลุ
สัมโพธิญาณอันสูงสุด เราเป็นผู้มีจิตเสมอในลาภและความเสื่อม
ลาภ ในยศและความเสื่อมยศ ในความนับถือและการดูหมิ่นทั้งปวง
แล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด ท่านทั้งหลายจงเห็นความ
เกียจคร้านโดยความเป็นภัย และเห็นการปรารภความเพียรโดยเป็น
ทางเกษมแล้วจงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็น
ภัย และเห็นความไม่วิวาทโดยเป็นทางเกษมแล้วจงกล่าววาจาอ่อน
หวานอันสมัครสมานกันเถิด นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย และ
เห็นความไม่ประมาทโดยเป็นทางเกษม แล้วจงเจริญมรรคอันประ
กอบด้วยองค์ ๘ ประการเถิด นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายฯทราบว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อจะทรงยกย่องบุรพจรรยาของพระองค์
จึงได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อพุทธาปทานีย์ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบจริยาปิฎก


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 29 ม.ค. 2014, 23:09, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร