วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2011, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นโจร

รูปภาพ

ภิกษุรูปหนึ่งกระสันใคร่สึก
เพราะการเล้าโลมของบุราณทุติยิกา (หญิงภรรยาสมัยเมื่อเป็นฆราวาส)

พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้น จึงทรงโอวาทว่า
เธอยังไม่เข็ดหลาบอีกหรือ ?
ในชาติก่อนเธอถูกตัดศีรษะเพราะหญิงนี้มาแล้ว

จึงทรงนำเรื่องในอดีตของภิกษุนั้นมาตรัสเล่า ดังนี้

ในอดีตกาล บุรุษผู้หนึ่งเกิดในตระกูลคหบดี
เมื่อเจริญวัยแล้วเป็นโจร เที่ยวทำโจรกรรมจนมีื่ชื่อเสียงมาก
ยากที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะจับได้
วันหนึ่งโจรนั้นเข้าลักทรัพย์ในเรือนเศรษฐีคนหนึ่งได้ทรัพย์จำนวนมาก
ชาวนครเดือดร้อนเพราะโจรมาก จึงพากันร้องต่อพระราชาพรหมทัตให้ปราบโจร
และในคืนหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็จับโจรนั้นได้พร้อมทั้งของกลาง
พระราชาทรงรับสั่งให้ตัดหัวเสีย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ใครอีกต่อไป

ข่าวที่โจรนั้นถูกราชบุรุษจับได้ลือกระฉ่อนไปทั่วนคร
คราวนั้นมีหญิงคนหนึ่งชื่อ สามา
รูปสวย รวยทรัพย์ เป็นที่โปรดปรานแม้แห่งพระราชา
แต่มีอาชีพเป็นนครโสเภณี ใครจะร่วมอภิรมย์ต้องเสียทรัพย์ครั้งละ ๑๐๐๐ กหาปณะ

วันที่เขานำโจรไปสู่ตะแลงแกง นางยืนดูอยู่บนปราสาท
เห็นรูปร่างโจรบึกบึน งามหาบุรุษใดเปรียบได้ยาก เกิดความเสน่หาอย่างยิ่ง
จึงคิดอุบายให้ได้โจรนี้มาเป็นภัสดา (สามี)

นางคิดอุบายให้หญิงคนใช้ไปหาเจ้าหน้าที่ บอกว่า โจรนี้เป็นสามีของนางสามา
ขอให้เจ้าหน้าที่รับทรัพย์หนึ่งพันไว้แล้วปล่อยโจร
แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าได้คนอื่นมาแทนจึงจะปล่อยได้

ครั้งนั้นมี บุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ติดพันนางสามาอยู่ เขามาหานางทุกวัน
และนำทรัพย์หนึ่งพันมาให้ด้วย วันนั้นเขาก็มาอย่างเคย

นางสามารับทรัพย์แล้ววางไว้ที่ขาอ่อนแสร้งร้องไห้
คร่ำครวญว่า โจรที่ถูกจับนั้นเป็นพี่ชายของนาง
และเจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องมีทรัพย์หนึ่งพันไปให้แล้วเขาจะปล่อยตัวพี่ชายมา
แต่นางไม่มีโอกาสไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อนำทรัพย์ไปให้

บุตรเศรษฐีหลงรักนางสามา จึงอาสาไปหาเจ้าหน้าที่แทน
นางสามาจึงขอว่า ให้ท่านบุตรเศรษฐีนำทรัพย์ที่จะมอบให้นางหนึ่งพันนี้
ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ที่คุมตัวโจรแทน
แล้วแสร้งออเซาะให้บุตรเศรษฐีชื่นใจนิดหน่อย แล้วนางก็เร่งให้เขารีบไป

ฝ่ายเจ้าหน้าที่เห็นบุตรเศรษฐีนำทรัพย์มาหนึ่งพันก็สำคัญผิดว่า
เขา คือ บุรุษที่นางสามาส่งมาแทนโจร จึงเอาบุตรเศรษฐีไปไว้ที่มิดชิด
แล้วส่งโจรไปให้นางสามา
คืนนั้นเอง...บุตรเศรษฐีก็ถูกตัดหัวประหารชีวิตแทนโจร

กาลต่อมา นางสามาได้โจรเป็นภัสดา ก็อภิรมย์แต่กับโจรไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร
แต่โจรคิดว่า ต่อไปหากนางนี้มีใจปฏิพัทธ์ต่อบุรุษอื่นก็อาจสั่งให้ฆ่าเราเสีย
นางผู้นี้ประทุษร้ายมิตร ไม่ควรจะอยู่ด้วย จึงควรรีบหนีไปเสียดีกว่า


โจรกล่าวถึงนางในตอนหลังอีกว่า

นางสามาเป็นผู้ประทุษร้ายมิตร
ทรยศต่อบุรุษผู้ซื่อตรง มาภักดีต่อเรา (โจร) ผู้ไม่ยั่งยืน
ต่อไปภายหน้านางจะต้องทำอย่างนี้กับเราอีก
หญิงอย่างนั้นเราไม่ปรารถนาสมาคมด้วย


พระศาสดาตรัสเรื่องนี้จบแล้ว
ตรัสว่า โจรในครั้งนั้นคือ พระตถาคต เอง


:b51: :b51: :b53: :b51: :b51:

คติธรรม

โจรโพธิสัตว์เบื่อหน่ายนางสามาเพราะมีใจรวนเรใจร้าย
วางแผนฆ่าบุรุษผู้ภักดีต่อนาง เช่นเดียวกับคนที่ทรยศต่อมิตร
คนเช่นนี้ผู้อื่นย่อมไม่ไว้วางใจ แม้แต่มิตรก็ทรยศได้
ถ้าหากทำการอย่างหนึ่งก็คงแสร้งทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่างเท่านั้น
พอสิ้นเรื่องผลประโยชน์ก็คงสิ้นเยื่อใยกัน


:b44: :b41: :b41: :b44:

คติด้านพุทธจริยา

พระพุทธองค์ตรัสสรุปว่า โจรในครั้งนั้นคือ พระตถาคตเอง
แสดงถึงพระทัยที่บริสุทธิ์สะอาด ซื่อตรง ไม่ทรงปิดบังอำพรางเรื่องใด
ทรงเล่าทั้งความดี-ความไม่ดีของพระองค์ในอดีต
แม้กระทั่งเคยเป็นโจรก็ทรงเล่า ทรงเล่าทั้งส่วนที่ผิดพลาดและถูกต้อง
กระนั้นจะทำให้เราเคารพสักการะพระองค์น้อยลงก็หาไม่
กลับยิ่งเพิ่มพูนบูชา เพราะพระองค์ไม่ทรงมีความลับ เปรียบกับทรงแบพระหัตถ์หมดสิ้น

การที่ผู้มีบารมีสูงยิ่งอย่างพระพุทธเจ้าเคยเป็นโจรนั้น
ให้กำลังใจแก่เราอย่างมาก สอนให้เราไม่หมดหวังในชีวิตในการตั้งต้นใหม่
รู้ักตัดตอนในการคบคน คือ แม้เขาจะเคยไม่ดีมาบ้าง
แต่ถ้าบัดนี้เขาเลิกการกระทำนั้นแล้ว
เขาประพฤติตนเป็นคนดีแล้วก็ต้องให้เกียรติและเคารพนับถือเขาได้
คนทุกคนต้องเคยทำผิดมามากบ้าง น้อยบ้าง

เช่น โจรองคุลิมาล เคยฆ่าคนมานับตั้งมากมายแต่กลับใจบวช
พระเจ้าปเสนทิราชาก็แสดงประสงค์เป็นอุปฐากตลอดชีวิต

เช่นเดียวกับถ้าใครตกหลุมโคลน เปรอะเปื้อนโคลน เรารังเกียจว่าเขาสกปรก
แต่ต่อมาเมื่อเขาได้ชำระล้างแล้วจนสะอาด
ถ้าใครยังนึกถึงความสกปรกของเขาที่ตกหลุมโคลนและยังรังเกียจเขาอยู่
ก็เรียกว่า เป็นคนไม่รู้จักตัดตอน เป็นคนเขลา

รูปภาพ

:b42: :b41: :b41: :b42:


สรุปและคัดลอกบางส่วนจาก
นิตยสารศุภมิตร. ปีที่ ๕๑ ฉบับที่ ๕๕๘
เดือนกรกฏาคม-สิงหาคม ๒๕๔๙. (หน้า ๒๑-๒๕)

:b48: ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เนตไว้ ณ ที่นี้ :b48:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2011, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 19:55
โพสต์: 146


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุครับ อ่านเพลินดีครับ

ผู้ประทุษร้ายต่อมิตรไม่ควรคบหาด้วยอย่างยิ่ง ดังมีตัวอย่างเรื่องเล่ามากมาย
กระทั่งปัจจุบันก็มีการนำมาทำเป็นละครให้ดูกัน

ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ

ธรรมประสิทธิ์ครับ

.....................................................
เก็บธรรมใส่กล่อง.....เรียนรู้จากบัณฑิต.....คบหากัลยาณมิตร.....จิตอ่อนน้อมในพระธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2011, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 12:51
โพสต์: 13

อายุ: 19

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร