วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 01:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2012, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว



พอดีบังเอิญไปพบบทความของพระอาจารย์ท่านนี้...วันนี้

ก็เลยเหน็บมาฝาก
สำหรับคนที่มีประสบการณ์มาในแนวนี้

:b16: :b16: :b16:

เพราะถ้าไม่มีประสบการณ์ อาจเป็นงงเต็กได้


:b48: :b41: :b41: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 05 ก.ย. 2012, 20:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2012, 20:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ธาตุรู้ - ฌาน

ที่มา: หนังสือ "สมาธิหมุน จิตวิวัฒน์เพื่อความพ้นทุกข์" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ

"คนส่วนมากก็เข้าใจกันว่า จิตกับใจคืออันเดียวกัน แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นคนละส่วน ที่เราว่าเป็นอันเดียวกันเพราะเรากดจิตให้อยู่กับใจนานๆ"
"ศัตรูที่สำคัญที่กั้นจิตไม่ให้หลุดพ้นคือใจ"
จากหนังสือ "เราจะทำดวงตาให้เห็นธรรมได้อยางไร"

สมถะกรรมฐาน เป็นการฝึกจิตให้เกิดความสงบ เหตุผลหรือความจำเป็นที่เราต้องฝึกจิตให้เกิดความสงบก็คือ ความสงบนั้นเป็นเหตุให้จิตมีพลังเพิ่มขึ้น ยิ่งจิตมีความสงบมากพลังจิตก็เพิ่มมาก ยิ่งจิตมีความสงบมากเท่าใดพลังจิตก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พลังจิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เราทราบถึงระดับพลังงานของจิตว่ามีกี่ระดับ และ เป็นเครื่องมือใช้ในการศึกษากระบวนการทำงานของจิต เพื่อให้เกิดความเข้าใจในระดับพลังและกระบวนการ แล้วนำความเข้าใจที่ได้ ไปฝึก ไปบริหารจิต เพื่อพัฒนาให้จิตมีปัญญา สามารถค้นหา และค้นพบว่า จิตจะต้องอยู่ที่ระดับพลังระดับไหน และโดยกระบวนการอย่างไร ถึงจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง

พลังจิตที่เพิ่มขึ้นจากความสงบนั้นเกิดจากการที่เราลดการใช้งานของจิตลง และรวมกำลังจิตให้รวมตัวอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะการใช้ชีวิตประจำวันตามธรรมดาของคนเรานั้น พลังจิตจะถูกใช้ไปกับการนึกคิด ร่วมไปกับความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระตุ้นจิต ให้จิตมีหน้าที่ เมื่อจิตมีหน้าที่จึงทำงานใช้พลังจิตอยู่ตลอด พลังจิตจึงหมดไปเรื่อยๆ เมื่อใกล้หมดเราก็จะอ่อนเพลียอยากพักผ่อน ง่วงนอนแล้วก็หลับไป การนอนหลับเป็นการทำให้จิตเพิ่มกำลังขึ้นก็จริงเพราะมันเป็นธรรมชาติของจิตที่ต้องพักหลบเข้าภวังค์เพื่อทดแทนพลังทั้งหมดที่หมดไปในแต่ละวัน พลังที่เกิดขึ้นจากการนอนหลับมันจึงพอเพียงสำหรับที่เราจะใช้เพื่อทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันทั่วไปเท่านั้น ยังไม่พอที่จะนำไปใช้ศึกษาเรื่องของจิต การศึกษาเรื่องของจิตเป็นการศึกษาเรื่องที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน มีสถานะของพลังอยู่หลายระดับ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้พลังจิตมากกว่ากิจกรรมตามปกติทั่วไป และการเพิ่มพลังจิตที่เราหมายถึงคือการเพิ่มพลังในขณะที่จิตเรายังตื่นอยู่ โดยให้จิตมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว นำจิตให้มารวมอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งจุดเดียว ไม่แส่ส่าย คิดนึกไปหลายเรื่องตามสิ่งที่มากระตุ้น เมื่อลดหรือหยุดใช้พลังได้ พลังมันก็ไม่เสียไปมันจึงจะสามารถสะสมเพิ่มพูนได้

วิธีทำให้จิตรวมตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งเพื่อเพิ่มพลังจิตนี้ ที่ผ่านมามีวิธีการฝึกมากมาย มีมาก่อนพระพุทธองค์จะตรัสรู้เสียอีก แม้พระพุทธองค์เองก่อนตรัสรู้ก็ต้องไปเรียนไปศึกษาจากสำนักต่างๆที่มีสอนกันในสมัยนั้น ที่เป็นวิธีใหม่ที่พระพุทธองค์นำมาสอนก็มี และบรรดาสาวกรุ่นหลังบัญญัติขึ้นมาก็มีอีก สามารถแบ่งได้เป็นสองลักษณะ คือ การเพ่งสิ่งภายนอกร่างกาย และ การเพ่งสิ่งภายในร่างกาย

ภายในร่างกายของคนเรานั้น มีสิ่งที่เรียกว่า ธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุ แทรกซึมอยู่ทั่วร่างกาย ธาตุรู้นี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดมีสภาพรู้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นโดยร่างกายของเรามีจุดศูนย์รวมของธาตุรู้ อันเป็นจุดที่มีธาตุรู้รวมตัวกันอยู่มาก มีอยู่ 7 ที่ด้วยกัน คือ

ที่ตา เรียกว่า จักขุวิญญาณ,
ที่หู เรียกว่า โสตวิญญาณ,
ที่จมูก เรียกว่า ฆานวิญญาณ,
ที่ลิ้น เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ,
ที่ผิวกาย เรียกว่า กายวิญญาณ และที่สมอง

ทั้งหมดนี้จัดเป็นธาตุรู้ภายนอก ส่วนที่หัวใจ หรือใจ เรียก มโนวิญญาณ จัดเป็นธาตุรู้ภายใน โดยใจจะเป็นศูนย์กลางของธาตุรู้ทั้งหมดอีกที เพราะธาตุรู้รวมตัวกันอยู่ที่ใจนี้มากที่สุด และธาตุรู้ภายนอกกับภายในนี้จะเกิดการเชื่อมโยงสภาพรู้กันอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อจุดประสาทถูกกระทบ ตาเห็นรูป ธาตุรู้ที่ตาถูกกระตุ้นด้วยแสง ธาตุรู้ที่ตาก็ทำงาน เกิดสภาพรู้ที่ตาขึ้น สภาพรู้ดังกล่าวจะเคลื่อนตัวไปเกิดสภาพรู้ที่ใจอีกทีจึงจะเกิดเป็นความรู้ตัวว่าเกิดการเห็นขึ้นอย่างสมบูรณ์ เมื่อรู้ผ่านใจแล้ว สภาพรู้จะวนกลับมาที่ตา รับรู้การกระทบ และวนไปรู้ที่ใจอีก หมุนวนเช่นนี้ เรื่อยไป แต่กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นเร็วมากเราจะไม่เห็นกระบวนการนี้จนกว่าจะได้ฝึกจิตในขั้นวิปัสสนากรรมฐาน

ธาตุรู้นี้หากจะกล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือ เซลล์ประสาท แต่หากจะกล่าวให้เข้าใจอย่างละเอียดแล้วมันไม่ใช่เซลล์ประสาท คือธาตุรู้นี้จะอาศัยเซลล์ประสาทเป็นที่อยู่เป็นที่อาศัย จะอยู่ในส่วนที่เล็กที่สุดของเซลล์ (Cell) เชื่อมโยงต่อกันเป็นสายๆ ส่วนจิตนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ธาตุรู้ แต่มาอาศัยยึดเกาะและปรุงแต่งธาตุรู้อยู่ จิตที่เราหมายถึงในตอนนี้ก็คือ จิตที่เนื่องด้วยขันธ์ คือ ความรู้สึก ความนึก และความคิด

ดังนั้น เมื่อเรามาฝึกจิตให้เกิดความสงบไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม กล่าวโดยสรุปก็คือ

เป็นการพยายามรวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ ที่อยู่ในร่างกายของเรา ณ จุดประสาทต่าง ๆ
เป็นการบังคับจิตให้อยู่กับธาตุรู้ให้รู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเดียว ไม่แส่ส่ายรู้ออกไปหลายเรื่อง เมื่อกำหนดสภาพรู้ ให้รู้เรื่องเดียวไปเรื่อย ๆ เช่นนี้แล้ว จะเป็นการหยุดการปรุงแต่งธาตุรู้ของจิต สภาพเดิมของธาตุรู้ที่ไม่ถูกปรุงแต่งก็จะปรากฏออกมา
เป็นกระบวนการกลับเข้ามาหาผู้รู้ ที่ไปรู้สิ่งถูกรู้ การรู้สิ่งถูกรู้จะทำให้จิตเสียพลัง คือ เสียสภาพรู้ไปเรื่อย ๆ การทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ จิตจะไม่เสียพลังของสภาพรู้และทำให้พลังเพิ่มพูนขึ้น
เป็นการปล่อยวาง คลายแรงยึดเกาะของจิตที่ไปยึดเกาะสิ่งถูกรู้ ซึ่งเป็นระดับพลังที่หยาบและต่ำกว่า เข้ามายึดระดับพลังที่ละเอียดและสูงกว่า ระดับพลังของธาตุรู้มีอยู่หลายระดับชั้น ในพุทธศาสนาเรียกระดับชั้นของพลังนี้สืบต่อกันมาว่า ฌาน
ภาวะของฌานทั้งสี่ระดับ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ยังไม่ใช่ภาวะที่พ้นจากทุกข์ แต่เป็นภาวะข่มทุกข์โดยใช้พลังจิตข่ม เมื่อจิตดำรงอยู่ในองค์ฌาน ทุกขเวทนาจะดับหมด แต่พอออกมาทุกข์ก็ยังคงอยู่ แม้ไม่ใช่ภาวะที่พ้นจากทุกข์แต่เราสามารถอาศัยภาวะของฌานเป็นเครื่องมือเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ซึ่งหากเราไม่รู้ไม่เข้าใจกระบวนการเพื่อให้พ้นทุกข์ ฌานนี้เองที่จะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้เราถึงซึ่งความพ้นทุกข์

ความรู้เรื่องของฌานนี้ กล่าวได้ว่าเป็นพัฒนาการทางปัญญาของมนุษย์ทางโลกตะวันออกที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ที่สามารถค้นพบระดับพลังงานอันละเอียดของธาตุรู้ ซึ่งเป็นผลจากความอยากรู้ของมนุษย์ ที่ถามตัวเองว่า อะไรคือที่สุดของทุกสิ่ง เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง แบ่งแยกไม่ได้ และควรยึดถือเอาเป็นทางเดินของชีวิต

ในขณะที่การพัฒนาทางปัญญาที่ยอดเยี่ยมของมนุษย์ทางโลกตะวันตก ก็ถูกผลักดันด้วยคำถาม อะไรคือที่สุดของทุกสิ่งเช่นกัน และนำไปสู่การค้นพบ อะตอม ( Atom ) , โครงสร้างของอะตอม ( Atomic structure ) , ระดับพลังงานในอะตอม ( Energy level ) และการให้พลังความร้อนและพลังแสงโดยมิได้ต่อเนื่องกันที่มีจังหวะละเอียดมากของอะตอม ที่เรียกว่า ควอนตัม ( Quantum ) อะตอมนั้นคือส่วนที่เล็กที่สุดอย่างหนึ่งของสสาร ที่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งต่างๆ ในเซลล์ประสาทก็เช่นกันมีอะตอมจำนวนมหาศาลที่เรียงร้อยถักถอเชื่อมโยงต่อกันเป็นเซลล์ประสาทขึ้นมา และธาตุรู้ วิญญาณธาตุก็สถิตย์อยู่ในอะตอมนี้

สมถะกรรมฐาน การฝึกจิตให้เกิดความสงบ ให้จิตรวมเป็นหนึ่งกับธาตุรู้ แท้จริงแล้วก็คือการศึกษาเรื่องอะตอมภายในตัวเราทุกคน ส่วนระดับชั้นของฌาน ก็คือระดับชั้นของพลังงานภายในอะตอม

ทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาลนี้ไม่ว่าจะมีโครงสร้างขนาดใหญ่หรือเล็ก ย่อมมีจุดศูนย์กลางที่เป็นแก่นหรือแกนกลางอยู่เสมอ และพยายามปรับตัวให้มีความสมดุลของรูปทรงและพลังงานที่สุด รูปทรงดังกล่าวก็คือ ทรงกลม อะตอมก็เช่นกัน เป็นทรงกลมของระดับชั้นของพลังที่อยู่ภายใน

อานาปานสติ เป็นวิธีการทำให้จิตสงบวิธีหนึ่งที่มีการฝึกฝนกันมาเป็นการฝึกให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้าออกโดยเอาความรู้สึกตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลาไม่สนใจความนึกคิดที่เกิดขึ้น หากสามารถทำเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ แล้ว ลมหายใจจะละเอียดเบาบางขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลมหายใจละเอียด ความนึกคิดจะลดลงไปตามความละเอียดของลมหายใจ จิตก็จะละเอียดตามลมหายใจ และจะรวมตัวสงบลงไป เมื่อทำต่อไปจนลมละเอียดมากเหมือนกับว่าลมหายใจหายไป จิตก็จะยิ่งสงบลึกเข้าไปอีก ความนึกคิดที่เคยเกิดขึ้นก็จะดับตามไป ไม่สามารถรบกวนจิตให้มาร่วมนึกคิดตามได้อีก

ลมหายใจเข้านั้นมีธาตุออกซิเจนอยู่ซึ่งเป็นธาตุที่เราต้องใช้ในการทำปฏิกิริยาเคมีในร่างกายของคนเรา โดยเฉพาะการสันดาปสารอาหารที่เราทานเข้าไปเพื่อให้ได้พลังงานออกมาใช้ในการดำรงชีวิต ปฏิกิริยาเคมีที่ออกซิเจนเข้าไปร่วมนั้นจึงเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน ยิ่งมีออกซิเจนในระบบมากปฏิกิริยาก็จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนกับการเผาไหม้เชื้อเพลิงทั่วไปยิ่งมีออกซิเจนมากไฟก็ยิ่งลุกไหม้ได้ดี

เมื่อเรามานั่งสมาธิเพื่อทำจิตให้สงบ สิ่งที่คอยขัดขวางไม่ให้จิตสงบก็คือ ความนึกคิดเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา การนึกคิดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงาน เมื่อต้องใช้พลังงานก็ต้องการออกซิเจน นึกคิดมากเท่าใดก็ต้องการออกซิเจนมากเท่านั้น เมื่อได้รับออกซิเจนมากความนึกคิดก็จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จิตเราก็ต้องมีหน้าที่ไปร่วมกับความนึกคิดที่เกิดขึ้น หากยังปล่อยให้ลมหายใจเข้าออกเข้าสู่ร่างกายอย่างเป็นปกติแล้ว จิตจะสงบลงยาก ดังนั้นหากเราจะฝึกจิตให้สงบจึงต้องตัดองค์ประกอบที่จะทำให้ร่างกายผลิตพลังงานออกมาน้อยลง วิธีการที่เราสามารถทำได้ก็คือ ลดการใช้ออกซิเจน ให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง โดยการปรับลมหายใจเข้าออกให้ผ่านเข้าออกร่างกายน้อยลง ดังนั้น ยิ่งเราปรับลมให้ผ่านเข้าออกน้อยลงเท่าใด ความนึกคิดก็จะน้อยลงเท่านั้น เมื่อความนึกคิดน้อยลง จิตเราก็จะยิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าลมนิ่งไม่เข้าไม่ออก และสุดท้ายได้เลือนหายไปจากความรู้สึก เมื่อมาถึงจุดนี้ ความนึกคิดที่เคยเกิดขึ้นก็จะเลือนหายตามลมหายไป ไม่สามารถรบกวนจิตให้มาร่วมนึกคิดตามได้อีก ภาวะเช่นนี้ก็คือจิตสงบลงในระดับ ปฐมฌาน แล้ว

เมื่อลมหายใจหายไปจากความรู้สึก มันเป็นเพียงลมหยาบที่ดับไป ลมหายใจที่ละเอียดมันยังมีอยู่ และไหลเข้าออกได้ ทุกรูขุมขนของร่างกาย และในภาวะเช่นนี้ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้อากาศมากเพื่อเผาผลาญพลังงาน

การที่ลมหายใจเลือนหายไป หรือดับลงไปจากความรู้สึกสัมผัส เป็นเพราะ จิตเราได้เข้ามาสู่ภาวะที่ละเอียดกว่าลมหายใจ ลมหายใจจะไม่อยู่ในระดับความละเอียดของจิตเราในขณะนี้ เพราะจิตเรากำลังอยู่ที่ขอบนอกของอะตอม มันเป็นภาวะที่ละเอียดกว่าลมหายใจ จิตเราจึงไม่ถูกรบกวนแม้ด้วยลมหายใจ และขณะที่จิตเรารวมตัวเข้ามา อาจมีอาการเหมือนวูบเข้าไป หรือ เหมือนตกลงไปยังที่ใดที่หนึ่ง หรือ เหมือนกับว่า รอบตัวของเราค่อยๆ มืดลงๆ เงียบลงๆ เป็นเพราะจิตรวมตัวเข้ามาที่ขอบอะตอม และเลยขอบอะตอมเข้ามาแล้ว

เมื่อดำรงปฐมฌานไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว จิตจะเข้าสู่ความสงบที่ลึกขึ้น พลังที่ละเอียดกว่าลมละเอียดจะปรากฏแก่เรา เมื่อจิตเราเข้ามาถึงพลังงานชั้นที่สองภายในอะตอม

เมื่อจิตเราเข้ามาถึงพลังงานชั้นที่สองภายในอะตอมแล้ว สิ่งที่เราจะพบก็คือสนามแรงโน้มถ่วงที่ส่งออกมาจากจุดศูนย์กลางอะตอม คือ นิวเคลียส ( Nucleus ) จะเป็นแรงที่มีลักษณะเป็นระลอกคลื่น หนัก เบา หนัก เบา สลับกันไป เราจะสัมผัสได้จากความรู้สึกที่แรงนี้กระทำกับจิตเรา

สนามแรงโน้มถ่วงจากนิวเคลียสนี้จะมีผลทำให้ สภาพการรับรู้ความรู้สึกของเราถูกบิดเบือนและเบี่ยงเบนไปจากภาวะปกติ คือในภาวะปกติเราจะรู้ตัวทั่วพร้อมว่าตัวตนของเรานั่งอยู่ตรงนี้ที่นี่ ในอริยาบถอย่างนี้ มีขอบเขตของร่างกายเท่านี้ เมื่อจิตเราอยู่ในคลื่นความโน้มถ่วงเช่นนี้แล้ว สภาพการรับรู้ที่ถูกบิดเบือนไปจะทำให้เรารู้สึกว่าร่างกายตัวตนของเรามีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ โดยเราจะพบอาการต่างๆ ต่อไปนี้ เช่น ตัวเราโยกคลอนไปมา ตัวเราหายไป ตัวเราขยายใหญ่โตขึ้น ตัวเราหดตัวมีขนาดเล็กลง หัวเรายืดสูงขึ้นไป มือหายไป ขาหายไป มือยาวยืดออกไป หน้าตาเหมือนบิดเบี้ยว นั่งหันหน้ากลับทิศที่เรานั่งตอนแรก ขนลุกขนชัน รู้สึกซาบซ่านซู่ซ่าไปทั้งตัว รู้สึกเบิกบานมีน้ำตาไหลโดยไร้เหตุผล นั่งยิ้มอยู่คนเดียวนานๆ รู้สึกฮึกเหิมกล้าหาญ จิตใจพองโต อิ่มอกอิ่มใจไม่หิวไม่กระหาย ซึ่งมีสารพัดอาการ อาการอย่างนี้เรียกว่า ปีติ เป็นภาวะที่จิตสงบเข้ามาถึง ทุติยฌาน แล้ว และเป็นอาการบอกถึงว่าจิตเราจะสงบลึกเข้าไปอีกเมื่อผ่านปีติไป เมื่อเกิดปีติขึ้นเราไม่ควรดีใจเสียใจกับอาการที่เกิดขึ้น มันจะเกิดอะไรจะเป็นอย่างไรก็ให้พอแค่นั้น ไม่ต้องสนใจอาการต่างๆที่เกิดขึ้น หากเราไปตื่นเต้น ดีใจ ตกใจ จิตจะถอนออกมาจากความสงบ ดูอาการของปีติไป จนกว่าอาการของปีติจะจางคลายลงไป เมื่ออาการของปีติจางคลายลงนั่นคือจิตเราเข้าสู่ระดับพลังของอะตอมลึกขึ้นจนพ้นรัศมีของคลื่นแรงโน้มถ่วงจากนิวเคลียสเข้ามาแล้ว และกำลังเคลื่อนตัวเข้ามายังชั้นพลังงานที่ลึกว่าต่อไป

หลังจากปีติหมดไปแล้วจิตเราจะสงบนิ่งขึ้น ละเอียดขึ้น และไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้นกับเราอีก จนจิตเราเข้ามาถึงพลังงานชั้นที่สามภายในอะตอม พลังที่เราจะได้พบก็คือ แสงสว่าง จะค่อยๆปรากฏแก่เราเป็นแสงสว่างเรืองๆ จะไม่สว่างมากอาจเห็นเป็นแสงออกสีเหลืองอ่อนเรืองแสงอยู่ไกลๆ เมื่อเราดำดิ่งความรู้สึกลงไป ความสว่างของแสงจะมากขึ้น เราอาจเห็นแสงสีต่างๆ ที่เป็นเฉดสีที่อยู่ในสเปคตรัม ( Spectrum ) ของแสงพระอาทิตย์ คือม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง ซึ่งแสงสีเหล่านี้เกิดขึ้นจาก จิตของเราที่ไปปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆเก็บเป็นพลังงานค้างไว้ในธาตุรู้ภายในอะตอม และบอกได้ถึงสุขภาพร่างกายของเราด้วย คือหากร่างกายของเรามีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติดี แสงสว่างที่มีมากที่สุดที่เราจะได้พบก็คือ แสงสีเหลือง และแสงสีเหลืองนี้เป็นแสงของอารมณ์เมตตาด้วย นั่นคือหากเราอยากมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืน ควรอยู่กับความเมตตาให้มาก และแสงเหล่านี้มันส่องออกมาเป็นแสงรัศมีรอบกายเราด้วย ผู้ที่มีจิตละเอียดจะสามารถเห็นได้และสามารถรู้ว่าเราเป็นคนมีนิสัยใจคออย่างไร กำลังอยู่ในอารมณ์อะไร และสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไร เมื่อเราเห็นแสงสีเหล่านี้แล้ว เราก็ดูมันเฉยๆ จนกว่ามันจะหายไป แสงสีเหล่านี้จะเป็นแสงที่อยู่ขอบนอกของพลังชั้นที่สาม ห่อหุ้มพลังอีกกลุ่มหนึ่งไว้ เมื่อจิตเราเข้าสู่ระดับลึกกว่าเดิมเราก็จะพบ คือ กลุ่มพลังของธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุ ซึ่งสถิตย์อยู่ในระดับพลังงานชั้นในของชั้นที่สามนี้

สภาพเดิมอย่างหนึ่งของธาตุรู้ที่จะปรากฏแก่เรา คือ เป็นกลุ่มพลังงานแสงสว่างสีขาวบริสุทธิ์ เมื่อเรามาถึงแสงสว่างสีขาวนี้ เราจะเกิดความสุขอันละเอียดมาก จิตจะเบา กายจะเบา รู้สึกร่างกายจิตใจละเอียดอ่อนนุ่มนวลสะอาดใสบริสุทธิ์ ความนึกความคิด ความเจ็บความปวดไม่รู้ว่ามันละลายหายไปไหนหมด ภาวะเช่นนี้ เรียกว่า สุข เป็นความสุขที่ละเอียดสุขุม เป็นภาวะที่จิตสงบเข้ามาถึง ตติยฌาน แล้ว การที่พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า “ สุขอื่นจะเท่ากับความสงบไม่มี ” เมื่อเรามาถึงตรงนี้แล้วเราจะเคารพในพุทธภาษิตนี้จริงๆ เพราะความสุขใดๆที่ผ่านมาในชีวิตของเราจะไม่สามารถมาเทียบเคียงได้ อยู่กับตติยฌานนี้เราจะนั่งสมาธิได้นานมากไม่อยากออกจากสมาธิเลยเพราะมีความสุขมาก และเมื่อเราอยู่กับแสงสว่างนี้นานๆโดยจิตยังไม่เข้าสู่ความสงบที่ลึกกว่าต่อไป ความสว่างมันจะมากขึ้น เมื่อความสว่างมากจนถึงระดับหนึ่ง จิตของเราจะมีกำลังของธาตุรู้ที่มากขึ้น พอถึงจุดนี้ ภาพนิมิต มันจะปรากฏขึ้นแก่เรา ภาพนิมิตนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุ 3 ประการ คือ

1. เกิดจากสัญญาภาพที่เป็นอดีตที่เก็บไว้ที่สมอง

ระดับพลังงานภายในอะตอมที่อยู่ในระดับพลังเดียวกัน มันสามารถเชื่อมต่อพลังกันได้ เมื่อจิตเรามาเข้าถึงแสงสว่างของธาตุรู้ที่ฐานอารมณ์ แสงจากธาตุรู้จากฐานอื่น เช่น ฐานสมอง ฐานใจ ที่เป็นที่เก็บภาพต่างๆ ไว้มันสามารถไหลเข้ามาหาได้ ภาพเหล่านี้จะมีลักษณะเหมือนกับ ฟิล์มสไลด์ หรือ ฟิล์มภาพยนตร์ แสงจากธาตุรู้ก็เหมือนกับแสงจากเครื่องฉายภาพ ตามปกติเมื่อเรานึกคิดถึงสิ่งใดภาพในใจในความคิดมันก็ปรากฏขึ้นอยู่แล้ว แต่ในขณะที่เราอยู่ใน ตติยฌานนี้ แสงมันมีมากและจิตเราอยู่ในภาวะจิตละเอียดเท่ากับแสงสว่าง เมื่อจิตเราข้องติดหรือประทับใจในภาพใดๆ ก่อนหน้าที่เรามานั่งทำสมาธิ และยังคลายความยึดติดไม่ได้ ภาพเหล่านี้มันจะค่อย ๆ ไหลเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้ว ก็เหมือนกับ ฟิล์ม มาเจอกับแสงจากเครื่องฉาย ก็จะฉายเป็นภาพนิมิตให้เราได้เห็นทันที

2. เกิดจากการนึกจินตนาการ ปรุงแต่ง

เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะคือ เมื่อจิตเข้าถึงแสงสว่างแล้ว หลงเพลินกับแสงนึกปรุงแสง รวมแสงเป็นภาพต่างๆ ขึ้น อีกกรณีหนึ่ง เป็นกระบวนการที่เกิดต่อเนื่องจากนิมิตที่เกิดจากสัญญา และเป็นกรณีที่เกิดขึ้นบ่อย คือเมื่อเห็นภาพนิมิตขึ้นมาแล้วก็ปรุงแต่งภาพนิมิตที่เห็นนั้นให้เป็นไปตามที่จิตต้องการเห็น เช่น ย่อ ขยาย เพิ่มจำนวน เพิ่มความใสสะอาด เป็นต้น

3. เกิดจากการส่งจิตไปรู้สิ่งต่างๆ

เมื่อจิตเรามาเข้าถึงแสงสว่างของธาตุรู้ภายในตัวเรา จิตเราจะมีกำลังมาก ธาตุรู้เราก็มีกำลังมาก เราสามารถเชื่อมโยงแสงสว่างจากธาตุรู้ที่อยู่ภายนอกตัวเราได้ เพราะเป็นระดับพลังเดียวกัน และธาตุรู้นี้เป็นสิ่งสากล เราสามารถใช้กำลังจิต กำลังของธาตุรู้ที่มีความเข้มข้นนี้ให้ทำงานให้เต็มที่โดยการส่งออกไปหาสิ่งต่างๆ ที่เราอยากรู้อยากเห็น สามารถขยายขอบเขตความสามารถในการรู้ของจิตเราได้ คือ หากอยากรู้อยากเห็นสิ่งใด กำหนดนึกไป ภาพสิ่งที่เราอยากเห็นจะมาปรากฏ เราจะเหมือนมีจอโทรทัศน์ในตัวเราเลยทีเดียว , สามารถมองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลตัวเราได้ , สามารถรู้ความรู้สึกนึกคิด ของคนอื่น สัตว์อื่นได้ , มองทะลุวัตถุได้ , เห็นอดีต อนาคต , เห็นภพภูมิอื่น เป็นต้น

ภาพนิมิตทั้งหลายนี้ บางทีก็เป็นจริง บางทีก็ไม่เป็นจริง ตามความปรุงแต่งและ บงการของอนุสัยกิเลสภายในใจของเรา หากเรายังอยู่กับภาพนิมิตอยู่ จิตก็ยังไม่เข้าถึงความสงบอย่างที่สุด และตัวนิมิตนี้เองที่อาจจะมาทำให้จิตถอนตัวจากความสงบได้ด้วย การฝึกจิตจะไม่ก้าวหน้า ดังนั้นหากเราต้องการความสงบกว่าเดิมเราต้องละจากภาพนิมิต จากแสงสว่าง เพื่อเข้าสู่ความสงบที่ลึกกว่าต่อไป ไม่ต้องสนใจภาพที่มันเกิดขึ้น มันจะเกิดภาพหรือเสียงนิมิตอะไรจิตเราไม่ต้องเคลื่อนไปตามสิ่งที่เราเห็นเรารู้ ไม่ส่งจิตออกตามไปรู้เห็นสิ่งถูกรู้ ให้กลับเข้ามาดูที่ผู้เห็นผู้รู้แทน ภาพนิมิตก็จะหายไป เหลือแต่ความสว่างเช่นเดิม

ระดับความสงบที่ลึกกว่าความสุขของตติยฌาน ที่จิตเราละแสงสว่างได้แล้ว ภาวะที่เราจะพบก็คือ เป็นสภาพเดิมที่อยู่ลึกที่สุดของธาตุรู้ คือ ความว่าง อาการก่อนที่เราจะเข้ามาสู่ความว่างนี้ ที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ เกิดอาการวูบเหมือนเราตกลงไปยังที่ใดที่หนึ่งความรู้ตัวขณะตกลงมาจะมีไม่มาก แต่จะค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นเมื่อตกลงมาถึง ณ. ที่นี้แล้ว หรือ ความรู้สึกของเราเหมือนเคลื่อนผ่านกลุ่มแสงสีขาวเข้าไป แสงจะลดลงไปเรื่อยๆ จนมาถึง ณ. ที่หนึ่ง ณ. ที่นี้ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีสี ไม่มีภาพนิมิต เป็นที่เงียบสงบมาก ว่างเปล่า รู้สึกเหมือนมีเพียงตัวเราอยู่คนเดียวในโลก ทุกสิ่งไร้การเคลื่อนไหว เป็นภาวะที่สงบนิ่งที่ลึกและกว้างไกลมาก รู้สึกจิตมีกำลังรวมเป็นหนึ่งแน่นหนา ไม่เป็นภาวะสุข หรือ ทุกข์ เป็นแต่กลางๆ เฉยอยู่ ภาวะที่จิตรวมเป็นหนึ่งกับธาตุรู้เช่นนี้ เรียกว่า เอกัคตารมณ์ ภาวะเป็นกลาง เรียกว่า อุเบกขา เมื่อเรามาถึงตรงนี้ เป็นภาวะที่จิตสงบเข้ามาถึง จตุตถฌาน และจิตได้เข้ามาถึงจุดศูนย์กลางของ อะตอม คือ นิวเคลียสแล้ว

ในอดีตที่ผ่านมาในสมัยพุทธกาลนั้นมีเจ้าลัทธิศาสนามากมาย ที่ประกาศทิฎฐิความเชื่อ ความรู้ที่ตนเองเชื่อถือ และบรรลุว่า เป็นสิ่งที่เป็นที่สุดของทุกสิ่ง เที่ยงแท้ ควรยึดถือเป็นทางเดินของชีวิต ซึ่งพระพุทธองค์จำแนกออกได้ถึง 62 ทิฎฐิ และท่านจัดเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งสิ้น ซึ่งก็มีพวกที่กล่าวถึงระดับของฌานที่ตนบรรลุว่าเป็นที่สุดของทุกสิ่งอยู่ คือ พวกทิฏฐิธัมมนิพพาน 5 เป็นพวกเห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน ได้แก่ พวกที่ไม่รู้จักฌานก็ยึดถือว่า การเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้าคือ นิพพาน พวกที่บรรลุเพียงปฐมฌาน ก็ถือว่า ปฐมฌานคือนิพพาน พวกที่บรรลุเพียงทุติยฌาน ก็ถือว่า ทุติยฌานคือนิพพาน พวกที่บรรลุเพียงตติยฌาน ก็ถือว่า ตติยฌานคือนิพพาน พวกที่บรรลุเพียงจตุตถฌาน ก็ถือว่า จตุตถฌานคือนิพพาน สัมมาทิฏฐิในพุทธศาสนานั้นอยู่นอกเหนือทิฏฐิเหล่านี้

เมื่อมาถึงปัจจุบัน สำหรับผู้ที่เคยได้ฝึกฝนทางจิตมาบ้างและมีประสบการณ์ทางจิตเกิดขึ้น จึงควรได้พิจารณาถึงภูมิธรรมของตนเองที่ได้เข้าถึงจากการฝึกปฏิบัติที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกทำจิตให้สงบนิ่งที่ฐานต่างๆ อาจเข้าใจว่าภาวะของจิตที่เกิดขึ้นกับเราเป็นการได้เห็นธรรม จะทำให้พ้นจากทุกข์ได้นั้น เป็นความจริงหรือไม่ หรือแท้จริงภูมิจิตของเรายังอยู่กับอารมณ์ของฌานอยู่ เพราะภาวะของตติยฌาน กับ จตุตถฌาน นั้นง่ายต่อการที่เราจะหลงเข้าไปยึดถือว่าเป็นธรรม เป็นนิพพาน ซึ่งมีข้อควรพิจารณาดังนี้

กรณีที่หนึ่ง

ใน ตติยฌาน แสงสีเหลืองที่ปรากฏ แสงนี้ได้เรียกกันว่า เป็นความสว่าง แสงสีขาว ที่ปรากฏ ได้เรียกกันว่า เป็นความสะอาด เป็นความบริสุทธิ์ ในจตุตถฌาน ความว่างที่ปรากฏ ก็เรียกกันว่า เป็นความสงบ จึงมีการสรุปกันว่า ธรรมะนั้น คือ ความสว่าง สะอาด สงบ ซึ่งธรรมะนั้นไม่ใช่ภาวะเหล่านี้ สภาวะธรรมนั้น เป็นภาวะจิตที่ไม่ยึดเกาะ ปรุงแต่งพลังงานใดๆ ทั้งเป็นอิสระจากขันธ์ห้า ความสว่าง ความสะอาด ความสงบ เป็นพลังงานที่อยู่ภายในอะตอม เป็นอาการของวิญญาณธาตุที่ละเอียด อันเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า การที่จิตยังยึดเกาะวิญญาณขันธ์อยู่ แล้วจิตจะหลุดพ้นได้อย่างไร

กรณีที่สอง

ในตติยฌาน เมื่อภาพนิมิตเกิดขึ้นโดยเฉพาะภาพที่เราเข้าใจมาก่อนว่า เป็นภาพที่ดี เช่นภาพพระพุทธรูป พระพุทธองค์ ภาพพระที่เราคิดว่าเป็นพระอรหันต์ ปรากฏขึ้นมา เราก็เข้าใจว่า การเห็นเช่นนี้คือ การเห็นธรรม เห็นนิพพาน ความเข้าใจเช่นนี้ยังห่างจากความจริงมากนัก เพราะจิตที่เข้าถึงสภาวะธรรมนั้น เป็นจิตที่ไม่ยึดเกาะ ปรุงแต่งพลังงานใดๆ ทั้งเป็นอิสระจากขันธ์ห้า ภาพนิมิตเหล่านี้แท้จริงก็คือ พลังงานแสง พลังงานแสงก็คือ อนุภาค โฟตอน ( Photon ) ที่อยู่ในวงโคจรในอะตอม การที่จิตยังยึดเกาะอนุภาคโฟตอนอยู่ แล้วจิตจะหลุดพ้นได้อย่างไร

กรณีที่สาม

ในตติยฌาน ธาตุรู้จะมีกำลังเต็มที่ ทำงานเต็มที่ เราสามารถขยายขอบเขตความสามารถในการรู้สิ่งต่างๆ ของจิตเราได้ หากอยากรู้อยากเห็นสิ่งใด กำหนดนึกไป ภาพสิ่งที่เราอยากเห็นจะมาปรากฏ สามารถรู้ความรู้สึกนึกคิด ของคนอื่น สัตว์อื่น รู้อดีต อนาคต รู้เห็นภพภูมิอื่น ภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นเพราะจิตรวมกับธาตุรู้ตลอดเวลา จะทำให้เราเข้าใจว่า จิต คือ ผู้รู้ ซึ่งจิตนั้นไม่ใช่ผู้รู้ แต่มาอาศัยผู้รู้อยู่ ผู้รู้นั้นคือ ธาตุรู้ หากเรายังเข้าใจว่าจิตคือผู้รู้แล้ว เราจะไม่รู้เลยว่า จิตที่หลุดพ้นจากธาตุรู้เป็นอย่างไร

กรณีที่สี่

การฝึกจิตให้รวมเป็นหนึ่งกับธาตุรู้ที่ใจแล้วเกิดภาวะของจิต เป็นความสว่าง สะอาด สงบ จะทำให้เรา สรุปว่า การได้ธรรมะได้กันที่ใจ และจะเกิดความเข้าใจว่า จิต กับ ใจ คือสิ่งเดียวกัน เพราะวิธีการฝึกอย่างนี้เราต้องทำจิตให้อยู่กับใจตลอดเวลา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จิตกับใจจะแยกจากกัน และโดยปกติแล้ว ใจก็มีอนุสัยกิเลส รัก ชัง ส่งแรงตัณหาไปร้อยรัดจิตอยู่แล้ว ดังนั้นหากฝึกจิตเช่นนี้ต่อไปเราจะไม่เห็นความแตกต่าง ระหว่าง จิตกับใจ และไม่ได้ธรรมะที่แท้จริง การจะได้ธรรมะนั้นจิตต้องหลุดพ้นออกจากใจที่เป็นอายตนะ เป็นมโนวิญญาณขันธ์ก่อน

กรณีที่ห้า

ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ท่านก็ได้ไปศึกษาการเข้าฌานจากสำนักต่างๆ หากภาวะฌานระดับใดระดับหนึ่งสามารถนำท่านพ้นทุกข์ จาก เกิด แก่ เจ็บ ตายได้ ท่านก็คงไม่ต้องไปค้นหาเพิ่มเติม และพุทธศาสนาก็คงไม่อุบัติขึ้นในโลก และในขณะที่การฝึกจิตในสมัยนั้น เต็มไปด้วยการฝึกจิต ด้วยวิธีสมถะกรรมฐาน ทำจิตให้สงบที่ฐานใดฐานหนึ่ง แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่มีการฝึกจิตด้วยวิธี วิปัสสนากรรมฐานด้วย และวิธีการนี้เองที่แสดงถึงความเป็นพุทธศาสนา เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้จิตแยกออกมาจากใจได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร