ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

คุณธรรมของธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ (เสฐียรพงษ์ วรรณปก)
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=47872
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  wincha [ 04 มิ.ย. 2014, 18:44 ]
หัวข้อกระทู้:  คุณธรรมของธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ (เสฐียรพงษ์ วรรณปก)

รูปภาพ

คุณธรรมของ “ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ”
อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก

วันที่ 8 มกราคม 2549 เป็นวันครบรอบ 36 ปีแห่งวันมรณภาพของท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ (พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต) วัดเทพศิรินทราวาส ผมมีโชคดี ได้รับหนังสือประวัติและโอวาทของท่าน จากศิษยานุศิษย์ของท่าน ขอขอบพระคุณมากครับ

เวลาเขียนถึงพระดี ผมมีความสุขใจอย่างประหลาด วันนี้ขอให้เป็นวันแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของผมสักวันเถอะครับ

ผมเกิดทันหลวงพ่อท่านก็จริง แต่ไม่ได้พบปะศึกษาธรรมจากท่าน ได้รับทราบเรื่องราวของท่านจากปากคำของลูกศิษย์ท่านบางส่วน เคยได้แผ่นปลิวโอวาทของท่านที่เขียนโดยลายมือที่สวยงาม บอกวิธีปฏิบัติตน (มีภาษาฝรั่งกำกับด้วย) รู้สึกกินใจ จึงเก็บไว้กับตัว ตอนนี้แผ่นปลิวนั้นหายไปแล้ว แต่ใจความของโอวาทนั้นยังก้องอยู่ในสมอง Let it go and get it out อะไรทำนองนี้

สั้น ง่าย เข้าใจดี แต่ทำยากครับ จนป่านนี้ยังทำไม่ค่อยจะได้เลย !

หลวงพ่อท่านนามเดิม ตรึก นามสกุลพระราชทานคือ จินตยานนท์ เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2440 เป็นบุตรพระนรราชภักดี และนางนรราชภักดี ท่านเรียนจบมัธยมศึกษาแล้ว มีความประสงค์จะเรียนแพทย์ อยากเป็นหมอรักษาผู้ป่วยไข้ให้หายจากทุกขเวทนา แต่บิดาต้องการให้เป็นนักปกครอง

เพื่อปฏิบัติตามความประสงค์ของบิดา ทั้งที่ไม่ค่อยชอบ ท่านจึงเข้าเรียนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ จบเป็นบัณฑิตจุฬาฯ รุ่นแรก และท่านสอบได้ที่หนึ่งของรุ่นด้วย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงตั้งกองอาสาสมัครเสือป่าและลูกเสือขึ้น ท่านได้สมัครเข้าเป็นเสือป่าเพื่อเรียนวิชาการรบไว้ป้องกันประเทศชาติ ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ทอดพระเนตรเห็นท่านรูปร่างเล็ก รับสั่งถามว่า ตัวเล็กๆ อย่างนี้ ถูกข้าศึกทำร้ายจะสู้ไหวหรือ ท่านกราบทูลว่า "ต้องลองสู้กันก่อน สู้ได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง" ทรงพอพระทัยมาก โดยเฉพาะทรงทอดพระเนตรเห็นแววตาท่าน ทรงชมว่าเป็นแววตาคนซื่อสัตย์มาก จึงรับสั่งว่า "เรียนจบแล้วมาอยู่กับข้าเถิด"

ท่านมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯถวายบริการรับใช้ใกล้ชิด โดยรับราชการในกองมหาดเล็กตั้งเครื่อง กรมมหาดเล็กรับใช้ตำแหน่งมหาดเล็กพิเศษ อายุ 18 ปี และได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "จินตยานนท์" ดังกล่าวแล้ว

หลวงพ่อมีความรู้พิเศษคือโหราศาสตร์ โดยเฉพาะการดูลายมือ เล่าว่า ท่านดูลายมือให้คุณหญิงท่านหนึ่งในวังแม่นยำจนเป็นที่เลื่องลือ ด้วยความสนใจในวิชานี้ ท่านขออนุญาตเจ้าคุณพัสดีฯ เรือนจำเข้าไปดูลายมือนักโทษที่จะถูกประหาร เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงของวิชานี้

เล่าว่า ท่านได้แอบเห็นลายมือของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทร์ ขณะถวายของ จึงตั้งใจอยากจะบวชเป็นศิษย์เจ้าประคุณสมเด็จฯ เพราะเลื่อมใสในบุคลิกลักษณะของเจ้าประคุณสมเด็จฯ

เมื่อวันถวายพระเพลิงพระบรมศพของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ท่านได้บวชอุทิศถวายพระราชกุศลที่วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า ธมฺมวิตกฺโก แปลว่า ผู้ตรึกธรรม เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2468

พรรษาแรกเมื่อท่านไปรับบิณฑบาตโปรดญาติโยม กลับมาก็นำอาหารบิณฑบาตนั้นไปถวายสมเด็จพระอุปัชฌาย์ทุกครั้ง ท่านรู้ว่าในชีวิตของท่านที่ก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้ เพราะได้กัลยาณมิตรเป็นผู้ช่วยเหลือทั้งทางโลกและทางธรรม

ในทางโลกนั้นได้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ทรงเป็นกัลยาณมิตร ในทางธรรมมีสมเด็จพระอุปัชฌาย์พร่ำสอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอริยสัจ 4 จนท่านเห็นความจริงว่า ชีวิตมีความทุกข์ซ้อนอยู่ในความสุขนั้น เมื่อนำมาเปรียบกับชีวิตของท่านที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตเป็นทุกข์อย่างแท้จริง และอยากจะใฝ่หาความพ้นทุกข์ ท่านจึงตัดสินใจไม่ลาสิกขา

เมื่อโยมบิดาท่านบวชที่วัดโสมนัส ท่านขอร้องไม่ให้หลวงพ่อมาเยี่ยมท่านที่วัดเทพศิรินทร์ เพราะตามวินัยสงฆ์นั้น ผู้มีพรรษาน้อยกว่าจะต้องกราบไหว้ภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า ท่านไม่อยากให้บิดาของท่านกราบไหว้ท่าน ท่านต้องการเทิดทูนเคารพบูชาคุณของหลวงพ่อท่านไว้เหนือเกล้า แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการียิ่งนัก

ท่านปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ไม่ย่อมล่วงละเมิดศีลแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ท่านไม่ยอมออกไปนอกวัดเลย หากอยู่ปฏิบัติบำเพ็ญสมาธิภาวนาในกุฏิภายในวัด แม้กระทั่งเวลาหลวงพ่อท่านอาพาธ และโยมมารดาเจ็บป่วย ก็มิได้ไปเยี่ยม แต่ให้คุณตริน้องชายท่านดูแลแทน และได้เขียนข้อธรรมะฝากให้ลูกหลานไปอ่านให้ฟังเสมอ

ท่านลงทำวัตรสวดมนต์ทุกวันไม่ขาด มีครั้งเดียวเท่านั้นที่ท่านไม่ได้ลงสวดมนต์ เพราะถูกงูกัด ท่านลงสรงน้ำหลังกุฏิ มืดมากจนมองไม่เห็นงู เหยียบมันเข้าเลยโดยมันกัด วันหนึ่งท่านถูกคางคกไฟกัด ว่ากันว่าคนที่ถูกคางคกไฟกัดเสียชีวิตได้ง่ายๆ แต่แปลกที่ท่านไม่เสียชีวิต คืนนั้นเท้าบวมมาก ความปวดค่อยเพิ่มขึ้นๆ ถึงหัวใจ ท่านพยายามเอาผ้ารัดเข่าซ้ายไว้ให้แน่น และขับไล่ความเจ็บปวดนั้น ต่อสู้กับทุกขเวทนาด้วยความอดทนตลอดคืนยันรุ่ง จนสว่างอาการปวดค่อยทุเลาลง สามารถลงโบสถ์ได้

ท่านป่วยเป็นโรคมะเร็งกรามช้าง ท่านไม่ยอมไปหาหมอ ใช้อำนาจจิตรักษา ทนต่อทุกขเวทนา นับว่าท่านมีขันติธรรมเป็นเลิศ ท่านมิใช่คนที่แข็งแรง แถมยังฉันอาหารมื้อเดียว ฉันอาหารน้อยที่สุด แต่ก็ประหลาด ท่านกลับมีพลังแข็งแรง ยิ่งพลังจิตแล้วต้องนับว่าท่านมีสมบูรณ์เต็มที่ เพราะอำนาจพลังจิตนี้เอง ที่ท่านได้อาศัยเยียวยาร่างกายยามเจ็บป่วย โรคมะเร็งแทนที่จะลุกลามอย่างรวดเร็ว ก็สามารถสกัดไว้ได้ ถึงแม้จะไม่หายขาด แต่ก็ไม่ก่อทุกขเวทนามาก

ท่านบอกว่า เมื่อตัดสินใจปฏิบัติทางจิตแล้ว ก็ต้องทำให้ได้โดยอาศัยอำนาจจิตรักษา เมื่อรักษาไม่ได้ก็ต้องตายไป ไม่ขออาศัยยาแก้เจ็บไข้ คนที่ปฏิบัติทางจิตนี้ต้องการสังขารเพียงเพื่อจะได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมต่อเท่านั้น ไม่ต้องการสังขารที่สุกใสเปล่งปลั่ง ท่านพูดเสมอว่า "ช้างพี ฤๅษีผอม"

สุภาษิตคำกลอนที่ท่านยกมาสอนตนและคนอื่นเสมอคือ "อุทานธรรม" (ที่ท่านเจ้าคุณพระศาสนโศภน แจ่ม จตฺตสลฺโล ได้มอบให้ท่านนานแล้ว) ความว่า

ถึงกายแพ้แต่ใจเราไม่แพ้
ใจไม่แก่เจ็บตายตามกายหนา
กายนี้มันจะเน่าเราก็ลา
ไปสวรรค์ชั้นฟ้านิพพานเอย


เช้าวันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2514 ท่านบอกว่าวันนี้จะไม่ลงอุโบสถทำวัตร การที่ท่านไม่ลงอุโบสถทำวัตรเป็นเรื่องใหญ่ เพราะท่านเคยพูดว่า ถ้าท่านขาดทำวัตรสวดมนต์เมื่อใด แสดงว่าท่านจะมรณภาพ จนกระทั่งประมาณ 20.00 น. คุณหมอไพบูลย์ บุษปธำรง ซึ่งไปชำระแผลให้ท่านประจำ ขึ้นกุฏิไป ไปตรวจชีพจรท่าน ก็รู้ว่าท่านได้ถึงแก่มรณภาพแล้วตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น.

ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ พุทธสาวกผู้เคร่งครัด ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้ละโลกนี้ไปแล้วเมื่ออายุได้ 74 ปี ธรรมฺมวิตกฺโก "ผู้ตรึกธรรม, ผู้ไตร่ตรองธรรม, ผู้เห็นแจ้งธรรม" เราปุถุชนไม่รู้ดอกว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นใด และไม่ต้องเดา ไม่ต้องถาม เพราะท่านเองย่อมรู้ด้วยตัวท่านเอง คนอื่นไม่เกี่ยว

คุณชายคนดังเคยเอ่ยถามท่านว่า "ท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า" หลวงพ่อดึงหูท่านผู้นั้นมาใกล้ๆ แล้วพูดกรอกหูว่า "ไอ้บ้า"

ชัดถ้อยชัดคำจังครับ

แปลกนะครับ คนไทยสมัยนี้ มักให้ความสนใจพระเกจิอาจารย์ดังๆ กันทั่วไป ถึงกับจัด "ทัวร์" (เรียกอย่างนั้นก็ไม่ผิด) ไปไหว้พระที่ตนเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์กันทั่วไป ไปถึงก็พากันกราบๆ ไหว้ๆ บ้างก็เดินชมโน่นชมนี่ตามความพอใจแล้วก็กลับ

น้อยนักที่จะนั่งสนทนาธรรมจากพระท่าน รับเอาโอวาทท่านไปปฏิบัติเพื่อเกิดประโยชน์แก่ชีวิต อย่างที่ท่านพุทธทาสว่า "คนสมัยนี้เอาแต่ไหว้ พอบอกให้ประพฤติธรรมก็กำหู"

ยิ่งผู้ที่สนใจอยากจะรู้ว่า ก่อนที่พระท่านจะมาถึง "จุดนี้" เป็นที่เคารพนับถือกันโดยทั่วไป ท่านได้ฝึกฝนฝึกปรือตนเองมาอย่างใดบ้าง

จุดนี้ต่างหากที่ให้แง่คิด และแบบอย่างแก่ผู้สนใจปฏิบัติตน

หลวงพ่อธัมมวิตักโก ท่านได้ฝึกฝนตนเองอย่างเข้มงวดตลอดชีวิตของท่าน แม้ร่างกายท่านจะอ่อนแอ ถูกโรคร้ายรบกวน ไม่ใช่โรคธรรมดา หากเป็นโรคมะเร็ง ที่เมื่อกำเริบแต่ละครั้งก็ก่อทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก หลวงพ่อปฏิเสธการพยาบาลรักษาแผนใหม่

ท่านรักษาด้วยพลังจิตขงท่านเอง และด้วยอำนาจพลังจิต ท่านก็สามารถสู้กับโรคร้ายได้ หลายท่านอาจคิดว่า ท่านแพ้แก่โรคร้าย

ใช่ ในที่สุดท่านก็มรณภาพเพราะโรคร้ายนั้น แต่จิตใจท่านมิได้แพ้ ชนะเสียด้วยซ้ำท่านสามารถแยกนามขันธ์ของท่านออกจากรูปขันธ์ได้ พ้นจากความทุกข์แห่งรูปขันธ์ รูปขันธ์มันจะสลายไปตามธรรมดาของมันก็ปล่อยให้มันสลายไป เพราะท่านละความปรารถนาที่จะอาศัยร่างนี้ต่อไปแล้ว

กลอนบทนี้ จะเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวนี้อย่างดี

ถึงกายแพ้แต่ใจเราไม่ยอมแพ้
ใจไม่แก่เจ็บตายตามกายหนา
กายนี้มันจะเน่าเราก็ลา
ไปสวรรค์ชั้นฟ้านิพพานเอย


ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ผู้ล่วงลับ ได้พรรณนาคุณธรรมของหลวงพ่อไว้ครอบคลุมมาก รวมทั้งหมด 9 ข้อด้วยกัน ผมขอสรุปเท่าที่กระดาษจะอำนวยดังนี้

1. ท่านมีคุณธรรามเป็นที่ยกย่องของกษัตริย์ถึงสามรัชกาล

พระมหากษัตริย์ทั้งสามพระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 พระราชทานบรรดาศักดิ์และตำแหน่งสำคัญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงแต่งตั้งท่านเป็นองคมนตรี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จไปเป็นประธานในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน

2. อยู่ในวัดในกรุงให้ผลเท่ากับอยู่ในป่า

ท่านได้ปฏิวัติความเชื่อถือและความคิดอ่านของคนทั่วไปที่ว่า ถ้าจะบวชหาความสงบควรอยู่ในดงในป่า สงบสงัดจากสิ่งรบกวนภายนอก จึงจะได้ผลตามมุ่งหมาย ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ว่า ไม่ต้องไปอยู่ในป่าเลย บวชอยู่ในกรุงเทพฯนี้แหละ ขอให้เป็นคนทำอะไรทำจริงเสียอย่างเดียว จะแก้ปัญหาต่างๆได้หมด กุฏิของท่าน ถ้าไม่เปิดรับใคร ก็จะมีสภาพเหมือนป่าดงพงพีไปเอง ภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกามากมายในวัดเทพศิรินทราวาส ก็มิได้เป็นเครื่องขัดขวางการบำเพ็ญเพียรทางจิตเพื่อแสวงหาความสงบแต่ประการใด

3. เป็นอยู่อย่างง่ายๆ

ท่านครองชีวิตสมณะอย่างเรียบง่าย มีสมบัติน้อยที่สุด ชีวิตของท่านจึงเบา สบายเช่น ในเรื่องอาหาร ท่านฉันเพียงมื้อเดียว ฉันมังสวิรัติเช่น ถั่วนึ่งแล้วบด ใบไม้ เช่นใบฝรั่งบด โดยเฉพาะในวันพระ ท่านฉันเพียงกล้วยน้ำว้าเพียงอย่างเดียว โดยมีคุณตริ น้องชายท่านคอยทำถวาย เคยมีผู้ศรัทธานำอาหารไปถวายท่าน ท่านก็รับเป็นการสงเคราะห์เขา แล้วบอกให้เขานำไปถวายพระรูปอื่น สุดแต่เขาจะพอใจถวายรูปไหน

ในเรื่องผ้านุ่งห่ม ท่านใช้ผ้าเพียงสามผืน แม้ใครจะนำผ้าไตรจีวรไปถวาย ท่านก็รับเพื่ออนุเคราะห์เขา เมื่อรับแล้วก็คืนให้เขานำไปถวายพระรูปอื่น ท่านไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่ใช้รองเท้า เพราะการเดินทางของท่านมีอยู่เพียงระหว่างกุฏิกับพระอุโบสถเท่านั้นซึ่งห่างกันไม่เกิน 80 เมตร

เรื่องที่อยู่อาศัยก็อยู่ง่ายๆ กุฏิเป็นตึกแถวแบ่งเป็นห้องๆ เฉพาะรูป ไม่รับแขกในกุฏิใครมีธุระจำเป็นจริงๆ มาขอให้เป็นที่พึ่งทางใจ ท่านก็อาจยืนพูดด้วยผ่านหน้าต่างลูกกรงชั้นล้างบ้าง ชั้นบนบ้าง ส่วนใหญ่ก็สอนให้เขาอยู่ในความสงบ อยู่ในศีลธรรม

4. ทำอะไรทำจริง

ท่านทำอะไรทำจริง เช่นลงโบสถ์สวดมนต์เช้าเย็นไม่ขาด ลงฟังพระธรรมเทศนาในวันพระเช้าเย็นไม่ขาด ไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย ท่านทำอย่างนี้ติดต่อกันมายาวนานไม่เคยขาด เท่าที่ทราบตลอดชีวิตของท่าน ท่านขาดลงโบสถ์สวดมนต์เพียงครั้งเดียวเนื่องจากถูกงูกัด และขาดอีกครั้งก็คือวันถึงแก่มรณภาพของท่าน

5. สามารถควบคุมกายได้

ท่านสามารถควบคุมกายของท่านโดยใช้หลัก 2 ประการคือ อาศัยการบริหารกายอย่างหนึ่ง อาศัยการบริหารจิตอย่างหนึ่ง

วันหนนึ่งหลังกลับจากฟังเทศน์ในวันพระ รู้สึกว่ากายท่านซีกซ้ายหมดแรง คล้ายจะเป็นอัมพาต ทรงตัวเดินต่อไปไม่ได้ ท่านมีสติทรุดลงนั่ง เอามือขวาคลำหัวใจ ตรวจดูชีพจรยังเต้นดี จึงใช้ directing the Circulation (อำนวยการหมุนเวียน) ให้มาทางซีกซ้าย ต่อมาค่อยๆ ร้อนขึ้นจากปลายนิ้ว และร่างกายซีกซ้ายค่อยๆ อุ่นขึ้นเป็นปกติ แล้วก็เดินขึ้นห้องได้

6. สามารถควบคุมจิต

เมื่อได้รับทุกขเวทนาทางกาย ซึ่งจะส่งผลคือความกระวนกระวายไปยังจิต ท่านสามารถควบคุมจิตท่านมิให้กระสับกระส่าย เข้าลักษณะว่า "เมื่อกายเดือดร้อน จิตของเราจะไม่เดือดร้อน" ด้วยการใช้อำนาจทางจิตนี้เอง ท่านสามารถควบคุมความเจ็บปวดทางกายได้ เมื่อคราวถูกงูกัด และถูกคางคกไฟกัด ท่านใช้อำนาจจิตขับไล่ความเจ็บปวดได้ อาการบวมพองก็ยุบลงได้

7. ไม่แสดงความยิ่งใหญ่ ไม่เรียกร้องอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น

คนที่มียศศักดิ์ทั่วไป แม้จะบวชแล้ว ก็ยากจะตัดความยึดมั่นถือมั่นและทิฐิมานะให้หมดสิ้นไปได้ เป็นที่อัศจรรย์ว่า หลวงพ่อธัมมวิตักโก ไม่มีอาการเหล่านี้เลย คุณตริเคยเล่าว่าสมัยท่านเป็นคฤหัสถ์ เป็นพระยาพานทองแล้ว ท่านนั่งรถลาก พอมืดๆหน่อย ท่านให้คนจีนนั่งรถแทนท่าน ท่านเป็นผู้ลากเสียเอง เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว กลับให้เงินคนจีนลากรถอีก

เมื่อท่านบวชแล้ว ท่านไม่แสดงว่าท่านเคยเป็นพระยาพานทองมาก่อน เข้ากับพระเณรทั่วไปได้อย่างดี แสดงความเคารพตามลำดับอาวุโส

8. เป็นนักปฏิบัติผู้ส่งเสริมปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน

ปัญหาที่เกิดขึ้นเสมอคือ พระผู้เป็นนักปฏิบัติก็จะตำหนิผู้เล่าเรียนตำรับตำราว่า ไม่สนใจปฏิบัติจึงไม่รู้ของจริง ผู้เป็นนักปริยัติก็จะตำหนิผู้ปฏิบัติว่า ไม่สนใจหลักวิชาการ อธิบายธรรมะเอาตามชอบใจ แต่ท่านธัมมวิตักโก เป็นนักปฏิบัติที่อิงอาศัยปริยัติ คือเล่าเรียนศึกษาตลอดเวลา ท่านฟัง ท่านอ่าน ท่านไม่รังเกียจว่าผู้เทศน์ในโบสถ์นั้นเป็นเพียงพระผู้น้อย มีความรู้น้อย ท่านฟังด้วยความเคารพ แม้ผู้เทศน์จะอธิบายผิดหลัก ท่านรู้ว่าไม่ถูก ท่านก็ไม่ว่าอะไร หากคิดเอามาเป็นแง่มุมสำหรับปฏิบัติให้จนได้

9. เป็นที่รวมแห่งคุณธรรม

ท่านประพฤติธรรมหลายอย่าง บรรดาที่นับว่าดีงาม เช่น เป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมอย่างสูง เป็นผู้มีเมตตากรุณาสูงยิ่ง และเป็นพยานแห่งการใช้พลังทางจิตให้เป็นประโยชน์

ท่านแสดงออกซึ่งความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีอย่างสูง เช่น โยมมารดา บิดา ยาย น้าผู้หญิง หม่อมยาย ผู้เคยเลี้ยงดูท่าน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ พระอุปัชฌายะ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 คุณธรรมข้อนี้เป็นตัวอย่างแก่บุคคลทั่วไป

อ่านเรื่องราวของหลวงพ่อแล้ว ทำให้ได้คิดว่า ความเก่งหาได้ด้วยการตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แต่ความดียิ่งเรียนก็ยิ่งหาไม่เจอ ต้องฝึกปฏิบัติเองครับ หลวงพ่อธัมมวิตักโกเป็นแบบอย่างของพระดีแท้จริง


:b42: ประวัติและปฏิปทา “เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=46797

:b42: รวมคำสอน “อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38913

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/