วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 11:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2020, 10:21 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


กัณฑ์ที่ ๕
พระพุทโธเกิดจากใจ
พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
ในงานฉลองปี ๒๕๐๐ วัดอโศการาม สมุทรปราการ

รูปภาพ

(ต้นเทปขาดหายไป)...หูก็พระธรรม วิญญาณจมูกก็พระธรรม วิญญาณลิ้นก็พระธรรม วิญญาณกายก็พระธรรม วิญญาณใจก็พระธรรม

ใจ นั่นแหละ ใจนะเป็นพระธรรม ทำดีก็ใจของเรานี่แหละ ถ้าทำไม่ดี ก็ใจของเรานี้แหละ

ในใจของเรานี้ ขณะมันเป็นบาป ฆ่าคนก็ได้ ฆ่าควายก็ได้ ขณะ มันเป็นบุญ เอาศีลเอาธรรมคำสั่งสอนก็ได้

ก็พระธรรมก็คือใจ ไม่มีตามใบตาลใบลานดอก เขียนไว้ตามใบลาน มันกลัวลืม ให้เขียนลงที่กายกับใจของเรา

อันนี้แหละจึงว่า ธัมมัญจะ วินโยจะ ท่านทั้งหลายจงรักษาวินัย ผู้รักษาศีล ๕ ก็พุทธวินัย รักษาศีล ๘ ก็พุทธวินัย รักษาศีล ๑๐ ก็พุทธวินัย รักษาศีล ๒๒๗ ก็พุทธวินัย

ศีล ๕ ก็พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ ศีล ๘ ก็พระองค์เทศน์ไว้ ศีล ๑๐ ก็พระองค์เทศน์ไว้ ศีล ๒๒๗ ก็พระองค์เทศน์ไว้ เรียกว่า ศีลพุทธสมาธิ

สมาธิ คือ ใจของเรานี่ ตั้งอยู่ในศีล ๕ ตั้งอยู่ในศีล ๘ ตั้งอยู่ใน ศีล ๑๐ ตั้งอยู่ในศีล ๒๒๗

ศีล ๕ เป็นเค้า ศีล ๘ เป็นปลาย ศีล ๑๐เป็นปลาย ศีล ๒๒๗ เป็นปลาย

ศีล ๕ นั้น ท่านเปรียบเหมือนแผ่นดิน ศีล ๘ เหมือนต้นกล้วย ศีล ๑๐ เหมือนต้นอ้อย ศีล ๒๒๗ เหมือนต้นข้าว นายเศรษฐีเขา ปลูกกล้วยก็ปลูกลงดิน จะปลูกอ้อยก็ปลูกลงดิน ไม่มีดินปลูก กล้วยก็ ตาย อ้อยก็ตาย จะปลูกข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวก็ตาม มันต้องปลูกดิน ถ้าไม่มีดินปลูกข้าวก็ตาย

ศีลทั้งหลายมีศีล ๕ เป็นเค้า เค้าศีล ๕ นั่น เค้าขาของเรานี่ เค้าแขน ของเรานี่ หัวศีล ๕ ก็หัวใจของเรานี่ซิ

เวรมณี กายกับใจไม่ฆ่าสัตว์ พระพุทโธก็เกิดจากใจ พระธัมโม เกิดจากใจ พระสังโฆเกิดจากใจ

เวรมณี ไม่ลักทรัพย์ข้าวของเงินทองของท่าน พระพุทโธเกิด จากใจ พระธัมโมเกิดจากใจ พระสังโฆเกิดจากใจ

อพรหฺมจริยา เวรมณี ออกบวชเป็นพระก็ดี เป็นชีก็ดี ไม่มีสามี ภรรยา ก็พระพุทโธก็เกิดจากใจ พระธัมโมก็เกิดจากใจ พระสังโฆ เกิดจากใจ

เวรมณี ไม่กล่าวมุสาวาท พระพุทโธเกิดจากใจของเราทุกคน พระธัมโมก็เกิดจากใจของเรา พระสังโฆเกิดจากใจ

เวรมณี ไม่เสพสุรา กัญชา ยาฝิ่น ก็พระพุทโธเกิดจากใจ พระธัมโม เกิดจากใจ พระสังโฆเกิดจากใจ

ถ้าเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เอาใจของเราไปฆ่าคนก็เป็นปาราชิก เอาใจไปลักทรัพย์ เสียศีลเสียธรรม เอาใจไปประพฤติผิดในกาม เป็นนักเลงเจ้าชู้ นักเลงตัณหา เอาใจไปพูดเท็จพูดปด ก็ใครจะนับถือ เอาใจไปเสพสุรา กัญชา ยาฝิ่น นักเลงขี้เมา

การฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าเกิดมาก็ตามไม่เกิดก็ตาม โลกเขาฆ่าอยู่ การลักทรัพย์ พระพุทธเจ้าเกิดก็ตามไม่เกิดก็ตาม เขาลักกันอยู่ การมีพืช มีพันธุ์ สามีภรรยา พระโคตมะจะเกิดก็ตาม ไม่เกิดก็ตามมันเป็นพืช เป็นพันธุ์อยู่ การกล่าวมุสาวาท พระพุทธเจ้าเกิดก็ตาม ไม่เกิดก็ตาม มันก็ขี้ปดกันอยู่ การเสพสุรา กัญชา ยาฝิ่น เป็นวัตถุของโลก

เมื่อเราถือศีลนี้ เวรมณี กายกับใจไม่ฆ่าสัตว์ พระพุทโธอยู่นี่ เวรมณี กายกับใจไม่ลักทรัพย์ พระพุทโธอยู่นี่ อยู่ที่ใจของเรานี่ซิ เวรมณี ออกบวช รับศีลห้า ศีลแปด พระพุทโธ เกิดจากหัวใจ เวรมณี ไม่กล่าวมุสาวาท พระพุทโธเกิดจากหัวใจ ไม่เสพสุรา กัญชา ยาฝิ่น พระพุทโธเกิดที่ใจ

ใจนี่แหละท่านเรียกว่าพระพุทธเจ้า ใจนี่แหละเรียกว่าพระธรรม ใจนี่แหละเรียกว่าพระสงฆ์

พระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นโลกียะใจ ย่อมเป็นธรรมดาโลกทุกข์บ้าง สุขบ้าง คนเราเหมือนกันนะ ฟังธรรมวันนี้เป็นอรหันต์วันนี้ไม่ได้หรอก มันต้องฟังกันหลายวันหลายคืนเสียก่อน กิเลสจึงจะขาด สันดาน จึงจะหลุดพ้นอุปาทานเข้านิพพานได้ มันเป็นมาอย่างนี้

จะได้พูดเป็นพุทธคาถาว่า พุทฺธานุสฺสติ อะไรเรียกพระพุทธเจ้า กายกับใจเป็นพระพุทธเจ้า ธมฺมานุสฺสติ อะไรเรียกพระธรรม กายกับใจ เป็นพระธรรม สงฺฆานุสฺสติ อะไรเรียกพระสงฆ์ กายกับใจ เป็นพระสงฆ์ ลงมาที่หัวใจของเรานี้แหละ

การพุทฺธานุสฺสติ พระพุทธเจ้าเอาขันธ์ห้าของตาของยายเป็นพระพุทธเจ้า ธมฺมานุสฺสติ เอาขันธ์ห้าของตาของยายเป็นพระธรรมเจ้า สงฺฆานุสฺสติ เอาขันธ์ห้าของตาของยายมาเป็นพระสังฆเจ้า ได้ชื่อว่า พุทธศาสนา

การที่เอาขันธ์ห้าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเอาอย่างไรล่ะ ท่านเอามา ที่กายกับใจนี่แหละ รูปขันธ์ เป็นพุทธที่หนึ่ง เวทนาขันธ์ เป็นพุทธที่สอง สัญญาขันธ์ เป็นพุทธที่สาม สังขารขันธ์ เป็นพุทธที่สี่ วิญญาณขันธ์ เป็นพุทธที่ห้า

ขันธ์ห้านี่แหละที่ได้ฉายาเรียกว่า พุทฺธานุสฺสติ

การรู้ขันธ์ห้าซึ่งพุทธ พระพุทธเจ้ามีรูป ไม่พารูปไปฆ่าสัตว์ รูปเป็นศีล รูปเป็นพุทธ

สอง พระองค์มีเวทนา ไม่พาเวทนาไปลักทรัพย์ เวทนาเป็นศีล เวทนาเป็นพุทธ

สาม พระองค์มีสัญญา ไม่พาสัญญาไปประพฤติผิดในกาม สัญญาเป็นศีล สัญญาเป็นพุทธ

สี่ พระองค์มีสังขาร ไม่พาสังขารไปกล่าวมุสาวาท สังขารเป็นศีล สังขารเป็นพุทธ

ห้า พระองค์มีวิญญาณ ไม่พาวิญญาณไปกินเหล้า จักขุวิญญาณ ตาก็ไม่กินเหล้า โสตวิญญาณ หูก็ไม่กินเหล้า ฆนวิญญาณ จมูกก็ ไม่กินเหล้า ชิวหาวิญญาณ ปากและลิ้นก็ไม่กินเหล้า กายวิญญาณ กายก็ไม่กินเหล้า จิตวิญญาณ จิตก็ไม่กินเหล้า จึงมีนามฉายาเรียกว่า พระพุทธเจ้า

ถ้าพระองค์พากายกับใจฆ่าสัตว์ ใครจะนับถือพระพุทธเจ้า ถ้าพระองค์พากายกับใจลักทรัพย์ โจรํ ก็เป็นโจร ไม่มีใครนับถือ ถ้าพระองค์พากายกับใจเสพกาม นักเลงเจ้าชู้ นักเลงตัณหา เขารังเกียจทั่วบ้าน ถ้าพระองค์พากายกับใจทำจริตพูดปด ถ้าพระองค์พากายกับใจเสพสุรา กัญชา ยาฝิ่น นักเลงขี้เมา ใครจะนับถือ

เวรมณี กายกับใจไม่ฆ่าสัตว์ เรียกพุทโธ
เวรมณี กายกับใจไม่ลักทรัพย์ เรียกพุทโธ
เวรมณี กายกับใจไม่มีผัวไม่มีเมีย เรียกพุทโธ
เวรมณี กายกับใจไม่กล่าวมุสาวาท เรียกพุทโธ
เวรมณี กายกับใจไม่กินเหล้า เรียกพุทโธ
เรียกพุทโธ พุทธภายใน พุทธภายนอก

พุทธภายใน ก็เป็นใจที่บริสุทธิ์ ใจที่บริสุทธิ์ ใจไม่เป็นใบ้ ใจไม่เป็นบ้า ใจดี ใจงาม ใจสัตย์ใจซื่อ ใจมีศีลใจมีธรรม พุทโธอยู่ที่ไหนเล่า อยู่ที่ใจของเราทุกคน

ธัมโมก็ใจ สังโฆก็ใจ ใจนี่แหละเรียกว่าพระธรรม ใจนี่แหละเรียกว่าพระสงฆ์ ใจนี่แหละพุทธภายใน

พุทธภายนอก ก็ตา ตาทั้งสองได้นามฉายาเรียกว่าพระพุทธเจ้า ตาบอดเสียพุทธ ตาไม่มีพุทธ ตาไม้สัก ตาไม้ซาง ตาไม้ไผ่ ตาไม้ไร่ ตาไม้บง

ตามีพุทธ ได้แก่ ตามนุษย์ เราท่านทั้งหลายผู้นับถือพุทธศาสนา

พุทธในใจ พุทธนอกก็ตา นี่เป็นองค์ที่หนึ่ง องค์ที่สอง พุทธภายในใจ บริสุทธิ์ ใจมีทาน ใจมีศีล ใจมีธรรมะ พุทโธอยู่ที่ใจของเราทุกคน ธัมโมก็ใจ สังโฆก็ใจ

ใจเป็นพระพุทธ ใจเป็นพระธรรม ใจเป็นพระสงฆ์ อันนี้แหละ เรียกพุทธภายใน

พุทธภายนอก พุทโธก็หู ธัมโมก็หู สังโฆก็หู หูเป็นพระพุทธ หูเป็นพระธรรม หูเป็นพระสงฆ์ ถ้าหูหนวกเสียพุทธ หูไม่มีพุทธ ได้แก่ หูกระเช้า หูกระทะ หูกระบุง หูหม้อขาม หูหม้อน้ำ หูมีพุทธ ได้แก่ หูมนุษย์ เราท่านทั้งหลายผู้นับถือพุทธศาสนา พุทธในก็ใจของเราซิ พุทธนอกก็หู นี่เป็นองค์ที่สอง

องค์ที่สาม พุทธภายใน ใจบริสุทธิ์ หนึ่ง ใจมีเมตตาพรหมวิหาร ฐานที่อยู่ของใจได้แก่ พระเมตตาคุณ สอง ใจมีคุณกรุณาพรหมวิหาร ฐานที่อยู่ของใจได้แก่ พระกรุณาคุณ สาม ใจมีมุทิตาพรหมวิหาร ฐานที่อยู่ของใจได้แก่ พระมุทิตาคุณ สี่ ใจมีอุเปกขาพรหมวิหาร ฐานที่อยู่ของใจได้แก่ พระอุเปกขาคุณ

พึงพร้อมกันเจริญธรรมะ คือ พรหมวิหาร ๔ เมตตาตีโต คิดเมตตาต่อสัตว์ เพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย อเวรา อย่า เป็นเวร เพื่อนมนุษย์

กรุณาตีโต สงสารแก่เพื่อนมนูษย์ เพื่อนเกิดมาร่วมสุขร่วมทุกข์ อพฺยาปชฺชนฺตุ อย่าพยาบาทอาฆาตผูกเวรซึ่งกันและกัน

มุทิตาตีโต มีจิตอ่อนหวาน ผู้เกิดก่อนยกให้เป็นพระคุณเจ้า บิดา มารดา เจ้าปู่เจ้าตา เจ้าย่าเจ้ายาย ผู้เกิดลุน (หลัง) เป็นลูกเป็นหลาน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน

อุเปกขาพรหมวิหาร กระทำการวางจิตให้เฉย

พุทโธอยู่ที่ใจของเราทุกคน ธัมโมก็ใจ สังโฆก็ใจ ใจนี่แหละท่านเรียกว่าพระพุทธเจ้า ใจอันนี้แหละ เรียกว่าพระธรรม ใจนี้เรียกพระสงฆ์ อันนี้แหละเรียกพุทโธภายใน

พุทโธภายนอก พุทโธก็ปาก ธัมโมก็ปาก สังโฆก็ปาก ปากเป็น พระพุทธ ปากเป็นพระธรรม ปากเป็นพระสงฆ์ ปากไม่มีพุทธ ปากน้ำบ่อ ปากน้ำบวย ปากน้ำต้น ปากหม้อปากไห ปากมีพุทธ ได้แก่ปากมนุษย์ เราท่านทั้งหลายผู้ถือพุทธศาสนา

พุทธในก็ใจนั่นซิ พุทธนอกก็ปาก อญฺญามญฺญา ปจฺจโย เป็นคู่กัน ออกจากกันไม่ได้ ได้ชื่อว่าพุทฺธานุสฺสติ สติตารู้จักโลก สติหูรู้จักเสียง สติจมูกรู้กลิ่น สติลิ้นรู้รส สติกายร้อนหนาว ร้อนนักก็ไม่สบาย หนาวนัก ก็ไม่สบาย ร้อนพอดีพองาม มชฺฌิมาปฏิปทา ตกอยู่ในร้อน ไม่ถือร้อน เป็นอารมณ์ ตกอยู่หนาวไม่ถือหนาวเป็นอารมณ์

เวลานี้ขันธ์ห้าของเราร้อน เราอย่าเอาร้อนมาขี่ใจ ถ้ามันหนาวเราอย่า เอาหนาวมาขี่ใจ ร้อนให้เป็นธาตุไฟของท่านบิดมารดา ให้สละออก หนาวให้เป็นธาตุน้ำของบิดามารดา เย็นให้เป็นธาตุลมของบิดามารดา

ร้อนเราไม่นิมนต์ เขาเป็นเอง หนาวเราไม่นิมนต์ เขาเป็นเอง เกิดเขาก็เป็นเอง แก่เขาก็เป็นเอง เจ็บเขาก็เป็นเอง ตายเขาก็เป็นเอง

ตัวอะไรตาย ไอ้ตัวขันธ์มันตาย ตัวใจผู้เลิศผู้ประเสริฐ ใจไม่ตาย เหตุนั้น..........ที่ใจของเรา ตามพุทโธ ธัมโม สังโฆ คือใจดวงเดียวนั่นแหละ มันเป็นกิริยาเท่านั้นเอง

พุทโธ เหมือนกับข้าวสาร ธัมโม เหมือนกับข้าวแช่ สังโฆ เหมือนกับข้าวสุก เป็นกิริยา

ย่อเข้า มะพร้าวลูกเดียวนั่นแหละ พุทโธ เหมือนเปลือกมะพร้าว ธัมโม กะลามะพราว สังโฆ ชิ้นมะพร้าว

เมื่อจิตเราตั้งพุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่นั้น...มีคาถาว่า อฏฐปุริส ปุคฺคลา ได้แก่บุคคล ๘ จำพวก อัฏฐะแปลว่าแปด บุคคล ๘ จำพวกคือใคร พระโสดามรรคเป็นองค์ที่หนึ่ง พระสกิทาคามิมรรค องค์ที่สอง พระอนาคามิมรรคเป็นองค์ที่สาม พระอรหันตมรรค ที่สี่ พระโสดาผล พระสกิทาคามิผล พระอนาคามิผล พระอรหันตาผล เป็นอิริยบุคคล ๘

ข้อนี้...สักหน่อยนะ พระโสดามรรค ก็ทานบารมีเป็นมรรค พระโสดามรรค ก็ศีลบารมีเป็นมรรค พระโสดามรรค ธรรมบารมีเป็นมรรค พระโสดามรรค ก็ปัญญาบารมีเป็นมรรค ทานแล้วได้สัมฤทธิผล รักษาศีลห้าแล้วได้สัมฤทธิผล มีธรรมะ บวชกายกับใจสัมฤทธิผล ปัญญาบารมีความรู้ดีความรู้ชอบสัมฤทธิผล

เหตุนั้น ผู้ตั้งอยู่ในทานนี่แหละ โสดามรรค โสดาผล ผู้ตั้งในศีลห้า ก็โสดามรรค โสดาผล ผู้ตั้งอยู่ในศีลแปด ก็โสดามรรค โสดาผล ผู้ตั้งอยู่ในศีล ๑๐ ก็โสดามรรค โสดาผล ผู้ตั้งอยู่ในศีล ๒๒๗ ก็โสดามรรค โสดาผล อันนี้ตามพระสูตร

พระปรมัตถ์นี่ ใจฆ่าคนไม่ใช่โสดา ใจนรก ใจลักทรัพย์ไม่ใช่โสดา ใจนรก ใจเสพกามไม่ใช่โสดา ใจนรก ใจขี้ปดมันใจนรก ใจขี้เหล้ามันใจนรก

จตุราบายภูมิจิต อบายภูมิ ๔ อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายของเรา การพนัน จากอบายภูมิ ๔ ตาไม่ฆ่าสัตว์ พุทโธอยู่ที่ใจ ตาไม่ลักทรัพย์ก็พุทโธอยู่ที่ใจ ตาไม่มีผัวมีเมียก็พุทโธอยู่ที่ใจ ตาไม่ขี้ปดก็พุทโธอยู่ที่ใจ ตาไม่กินเหล้าพุทโธอยู่ที่ใจ

นี่แหละภาคปรมัตถ์ ตาไม่ฆ่าสัตว์ หูไม่ฆ่าสัตว์ ดังไม่ฆ่าสัตว์ ปากไม่ฆ่าสัตว์ กาย-ใจไม่ฆ่าสัตว์ พุทโธอยู่นี่

ตาไม่ลักทรัพย์ หูไม่ลักทรัพย์ จมูกไม่ลักทรัพย์ ปากไม่ลักทรัพย์ กาย-ใจไม่ลักทรัพย์ พุทโธอยู่นี่

ตาออกบวชไม่มีผัวไม่มีเมีย หูออกบวชไม่มีผัวมีเมีย จมูกออกบวชไม่มีผัวมีเมีย ปากออกบวชไม่มีผัวมีเมีย กายออกบวช ใจออกบวช พุทโธอยู่นี่

ตาไม่ขี้จุ๊ หูไม่ขี้จุ๊ ดังไม่ขี้จุ๊ ลงมานี้แหละ ตาไม่กินเหล้า หูไม่กินเหล้า ปากไม่กินเหล้า กายไม่กินเหล้า ใจไม่กินเหล้า ใจก็พุทโธ

ใจก็พูดชื่อพระพุทธเจ้าว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา ภควา คือที่เกิดแห่งธรรม ภควาที่อยู่ของธรรม ภควารู้จักละวาง เราละอะไร ละรูป ละเวทนา ละสังขาร ละวิญญาณ ละลูกละหลาน ละเหลน ละโทสะ ละโมหะ ละทิฏฐิ ละแล้วชื่อว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา

พุทโธ ก็แปลว่า พ้น พ้นจากรูป พ้นจากเวทนา พ้นจากสัญญา พ้นจากสังขาร พ้นจากวิญญาณ ใจเข้านิพพาน เมื่อใจมีพุทโธนั่นแหละ ไม่ว่าท่านแม่ญิง ไม่ว่าผู้ชาย

แต่ขันธ์เขาไม่เป็นอะไรดอก การที่แม่ญิงไปบวชเป็นนางภิกษุณี ขันธ์ก็เป็นแม่ญิงจนตาย ใจนี้แหละพุทโธ ผู้ชายไปบวช เป็นพระอรหันต์ ขันธ์เป็นผู้ชาย ใจเป็นพุทโธ

เหตุนั้น พุทโธ อย่าเข้าใจร้องหาพระพุทธเจ้านะ ดูใจของเราให้เป็นพระพุทโธ ดูใจของเราให้เป็นพระธัมโม ดูใจของเราให้เป็นพระสังโฆ

ถ้าใจไม่มีพุทโธ มันเป็นใจควาย ตายอยู่ในโลกนี้นี่แหละ ใจไม่มีธัมโม มันเป็นใจม้า ตายในโลกให้เขาขี่นี่แหละ ใจไม่มีสังโฆ เป็นใจแมว มันเป็นอย่างนั้นแหละ

เราไม่ใช่ม้าไม่ใช่แมว พ่อของเราก็คือพระพุทธ แม่ของเราก็คือพระพุทธ พ่อของเราก็คือพระธรรม แม่ของเราก็คือพระธรรม เราเป็นลูกพระพุทธลูกพระธรรม วิญญาณก็พุทธ ตาก็พุทธ หูก็พุทธ จมูกก็พุทธ ปากก็พุทธ กายก็พุทธ ใจนี่ นี่แหละเป็นพระพุทธเจ้า

ส่วนพระธรรมเล่า รูปก็พระธรรม เวทนาก็พระธรรม สัญญาก็พระธรรม สังขารก็พระธรรม วิญญาณตาก็พระธรรม วิญญาณหูก็พระธรรม วิญญาณจมูกก็พระธรรม ปากก็พระธรรม กายก็พระธรรม ใจนี่ นี่แหละพระธรรม

พระสงฆ์เล่า รูปก็พระสงฆ์ เวทนาก็พระสงฆ์ สัญญาก็พระสงฆ์ สังขารก็พระสงฆ์ วิญญาณก็พระสงฆ์ จะไปที่ไหนต้องอาศัยวิญญาณตา พระสงฆ์นี่แหละ วิญญาณหูก็พระสงฆ์ วิญญาณจมูกก็พระสงฆ์ วิญญาณกายก็พระสงฆ์ วิญญาณใจก็พระสงฆ์ ใจพระสงฆ์

รวมแล้วพระพุทธเจ้าก็ใจดวงเดียวนี้แหละ พระธรรมก็ใจดวงเดียวนี้แหละ พระสังฆเจ้าก็ใจดวงเดียวนี้แหละ

ธรรมขั้นสูงอย่ากลัวนะ เตสํ วูปสโม สุโข เตสัง เตสัง รูปก็ตาย เวทนาก็ตาย สัญญาก็ตาย สังขารก็ตาย วิญญาณก็ตาย ตาก็ตาย หูก็ตาย ดังก็ตาย ปากก็ตาย หัวใจก็แตก

ใจไม่แตกหรอก มันไปไหนละใจหนะ ถ้าใจมีพุทโธ เลือกโสดามรรค โสดาผล ใจมีธัมโม เลือกสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล ใจมีพุทโธ อนาคามิมรรค อนาคามิผล

พระโสดาบัน มีฌาน ๕ วิตก เป็นฌานที่หนึ่ง วิจาร ฌานที่สอง ปีติ ที่สาม สุข ที่สี่ เอกัคคตา ที่ห้า

อันนี้แหละ พุทโธเป็นมรรค พุทโธเป็นผล พระโสดามรรค ก็พุทโธเป็นมรรค พระโสดาผลก็พุทโธเป็นผล

พระสกิทาคา มีฌาน ๔ วิจาร เป็นฌานที่หนึ่ง ปีติ เป็นฌานที่สอง สุข เป็นฌานที่สาม เอกัคคตา ที่สี่ ธัมโมเป็นมรรค ธัมโมเป็นผล

พระอนาคามิมรรค มีฌาน ๓ ปีติ เป็นฌานที่หนึ่ง สุข เป็นฌานที่สอง เอกัคคตา เป็นฌานที่สาม สังโฆเป็นมรรค สังโฆเป็นผล เป็นอริยบุคคลวิเศษ

ส่วนพระอรหันต์นั่นนะ ท่านไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ ดอก....คือ พ้นจากอุปาทาน นั่งอยู่นิพพาน นอนอยู่นิพพาน

นิพพานไม่ใกล้ไม่ไกล เมื่อถอนอุปาทานแล้วใจเป็นนิพพาน คือพระอรหันต์ไม่มีพุทโธ สังโฆ ท่านพอแล้ว....เฉยจากรูป เฉยจากเวทนา เฉยจากสัญญา เฉยจากสังขาร เฉยจากวิญญาณ จึงเป็นนิพพาน

เมื่อจิตเป็นนิพพานแล้ว ชาติ เกิดไม่มี ชราธมฺโม ไม่มีแก่ พยาธิ ความเจ็บไม่มี มรณ ความตายไม่มี ตัวตายมันตัวขันธ์ห้า ตัวไม่ตาย คือ ตัวจิต ตัววิญญาณก็ตัวตาย

นี่แหละ เตสํ วูปสโม สุโข ถึงสุขแล้ว ข้าวไม่กิน น้ำไม่กิน ยาไม่สูบ หมากไม่เคี้ยว นอนเฉยอยู่ ลูกหลานเขาก็มัดมือมัดตีน ว่าคุณตาคุณยาย จะพาไปไหว้ที่พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์เสียเถิด เฉยไม่ต้องพูด เขาไห้ก็ไม่หนวกหู

โบราณท่านกล่าวไว้ ใกล้คนเฒ่าเฝ้าเมืองนรก ใกล้คนเฒ่าเฝ้าเมืองสวรรค์ เขาไห้เย้ยไห้หยัน น้ำตาไม่มี เขาก็เอาน้ำลายใส่เอา

การที่ใกล้คนเฒ่าเฝ้านรก คนเฒ่าขี้มักเอะอะให้ลูกให้หลาน

ใกล้คนเฒ่าเฝ้าสวรรค์ เมื่อคนเฒ่ามี เขาเอาหมด ข้าวของเงินทอง เรือนชานบ้านช่อง เอาหมด

เขาให้คนเฒ่า.......เอาไม้มาทำปราสาทพอนอนได้ เอาไว้สัก ๒-๓ วัน กลิ่นน้ำอบไหลออกมาถูกจมูกเขา รำคาญแก่เขา

เพราะคนไทยของเรานับถือพระพุทธศาสนา ถือมาแต่ปู่แต่ตา สมโณ สมณะลูกศิษย์พระเจ้าโคตมะก็พากันมา เพราะคุณตาคุณยายนั้นเป็นพุทธ เมื่อตายแล้วก็ยังเป็นพุทธอยู่ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็พากันปันพรว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข

สงฺขารา อันว่าสังขารขันธ์ทั้งหลายอันเกิดมาเป็นแม่ญิงก็ดี เป็นชายก็ดี ไม่มั่นไม่เที่ยง มีความเบี่ยงไปมา เวียนตายเวียนเกิด เวียนเกิดเวียนตาย ไม่มีที่สุด

ตายจากมนุษย์ก็ไปบังเกิดเป็นเทวดา เสื่อมจากเทวดาก็มาเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์ก็ไปเป็นพระอินทร์ เสื่อมจากพระอินทร์ก็มาเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์ก็ไปเป็นพระพรหม เสื่อมจากพรหมลงมาเป็นมนุษย์ ยังไม่ตายเกิดชั้นสุทธาวาส จิตถึงขั้นอนาคามิมรรค อนาคามิผล สิ้นชีพวายชนม์ก็เข้านิพพาน

ได้ทำโวหาร อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อายุ ๖๐ ปีขึ้น ๗๐ ปีก็มี ๘๐ ปีก็มี นี่แหละ นิรชฺฌนฺติ ก็ดับไป หายไป สูญไป คนแก่ตายไป คนใหม่เกิดขึ้น

คนเก่าก็พวกเรานี้ซิ ไม่วันนี้ก็วันพุก (พรุ่ง) คนเก่าไป เดี๋ยวเขาก็มาใหม่ เต็มกรุงเทพฯ นี่ซิ

เราไปไหน ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ นิพพานก็ได้

การไปสวรรค์นั่น ทานบารมี ทานเป็นมรรค ทานเป็นผล ศีลเป็นมรรค ศีลเป็นผล ธรรมะเป็นมรรค ธรรมะเป็นผล สิ้นชีพวายชนม์ก็ไปสวรรค์

จะไปพรหมโลก ก็เมตตาพรหมวิหาร เป็นฌานที่หนึ่ง กรุณาพรหมวิหาร เป็นฌานที่สอง มุทิตาพรหมวิหาร เป็นฌานที่สาม อุเปกขาพรหมวิหาร เป็นฌานที่สี่

ไปนิพพานล่ะ นวโลกุตฺตรธมฺมานุภาเวน ธรรม ๙ ประการมีนิพพานเป็นที่ไป...เตสํ วูปสโม สุโข...

ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ห้าของเรานี้ เราอย่าเข้าใจว่าเป็นของเราหนา ยืมสมบัติของตาของยายไว้ จักขุนทรียัง ดูอะไรล่ะ ดูตาของเราทุกคน โสตินฯ ดูหูของเราทุกคน ฆานินฯ ดูจมูก ชิวหินฯ ดูลิ้น กายินฯ ดูกาย มนินฯ ดูมโนวิญญาณ

.....พระมารดาไปไหนล่ะ มารดาก็ตายแล้ว.....บิดาไปไหน บิดาก็ตายแล้ว.....(รอยต่อของเทป เสียงขาดหายไป).....

.....เวทนาขันธ์ก็เอาไม่ได้ สัญญาก็เอาไม่ได้ วิญญาณก็เอาไม่ได้ เมื่อขันธ์ห้าของเรานี้แตกดับแล้วนะ

จงทำบารมีให้เต็มที่ ทานบารมี จงพากันทำทาน ศีลบารมี จงรักษาศีล คือรักษาใจของเรานี้แหละ ธรรมะบารมี เป็นตัวพระธรรม

พระพุทโธอยู่ที่ใจของข้า พระธัมโมอยู่ที่ใจของข้า พระสังโฆอยู่ที่ใจของข้า

...(พระคาถาบาลี)...

บุคคลเกิดมาในโลกนี้ จะทำการทำงานบ่มีโทษ ทั้งชาตินี้ชาติหน้า ได้แก่การบุญการกุศล สร้างพระพุทธรูป สร้างพระเจดีย์ สร้างวัดอาวาส โบสถ์ วิหาร ศาลาธรรม ขุดสระขุดบ่อก่อถนน ทำโรงทาน เราเป็นผู้ทำเราจึงจะได้ ทำบุญตักบาตรหยาดน้ำค้ำชูศาสนา

เมื่อเราทำแล้ว...เหมือนเงาที่ตามตัว ธรรมดาเงานั้น เรานั่งเงาก็นั่ง เรานอนเงาก็นอน ถ้าเราไปไหนเงาก็ไป นี่แหละใจของเรา ได้ตั้งทานบารมี ใจเป็นพระทำทาน ศีลบารมี ใจเป็นผู้มีศีล ธรรมบารมี ใจมีธรรม....

อาการขันธ์มันแตกมันดับ รูปมันตาย ก็เป็นอาการของรูป เวทนาตาย ก็เป็นอาการของเวทนา สัญญาตาย เป็นอาการของสัญญา สังขารตาย เป็นอาการของสังขาร วิญญาณตาย เป็นอาการของวิญญาณ อย่าไปเกี่ยวกับมัน

เมื่อมีเงินทองข้าวของทิ้งหมด เอาไปบ่ได้ สตางค์แดงหนึ่งก็เอาไปบ่ได้ เมื่อตายแล้วละเงินละทองไว้ ลูกหลานเขาก็รวย

ไม่ต้องกล่าวถึงเงินทองเลย อยํกาโย ร่างกายของเราก็เอาไปไม่ได้ เกสา หัวหงอกเช่นนี้ก็ทิ้งหมด เอาไปบ่ได้ โลมา ขนคิ้วขนคางก็ทิ้งหมด เอาไปบ่ได้ นขา เล็บตีนเล็บมือก็ทิ้ง เอาไปก็บ่ได้ ทนฺตา ครกตำหมาก สากตำน้ำพริกก็ทิ้งหมด เอาไปบ่ได้ ตโจ ผิวหนังก็ทิ้ง มงฺสงฺ ชิ้นก็ทิ้ง นหารู เอ็นทั้งหลายก็ทิ้ง อฏฺฐิ กระดูกแข้งกระดูกขาก็ทิ้งหมด ตาสำหรับดูก็ทิ้ง หูสำหรับฟังเสียงก็ทิ้ง รูดังชอบดมก็ทิ้ง ลิ้นคำพูดก็ทิ้ง

อะไรเล่ามันตาย รูปมันตาย เวทนามันตาย สัญญามันตาย สังขารมันตาย วิญญาณมันตาย ที่บ่ตายก็คือใจนี่แหละ

พุทโธ ให้จิตของเรานี่อยู่ในพระพุทธ ธัมโม ให้จิตของเราเป็นพระธรรม สังโฆ จิตใจของเราเป็นพระสงฆ์

__แปลว่านกยูงทองนะ นกยูงทองก็บินไปได้ ก็อาศัยขนปีกขนหาง ถ้านกยูงขาดขนปีกขนหาง บินไม่ได้ ใจบ่มีพุทโธ จะไปสวรรค์ก็บ่ได้ ใจบ่มีธัมโม ไห้หาสวรรค์ก็บ่ได้ ใจบ่มีสังโฆ ไปบ่ได้ทั้งนั้น

ฉะนั้น พุทโธเกิดที่จิต เลือกสวรรค์ภพ ธัมโม ธรรมจิต พรหม ๑๖ สังโฆ พรหมชั้นสุทธาวาส

จิตน้อมในสวรรค์ ๖ มันไปด้วยอะไร ยายพุทโธ ยายธัมโม มันไปได้น่ะ ตาพุทโธนี่ ก็ตาทานบารมี ตาศีลบารมี ยายพุทโธ ก็ยายทานบารมี ศีลบารมี จึงว่า ทานเป็นมรรค ทานเป็นผล สิ้นชีพวายชนม์ก็ไปบังเกิดขึ้นเป็นอินทร์ เป็นพรหมตามความนิยมชอบใจ เรียกว่าโลกียมรรค

วัดบ่เข้า พระเจ้าบ่ไหว้ ไปสวรรค์บ่ได้ เหตุฉะนั้นต้องตั้งพระพุทโธไว้ที่ใจของเรา ตั้งพระธัมโมที่ใจของเรา พระสังโฆที่ใจของเรา เมื่อใจของเรามี พุทโธ ธัมโม สังโฆ เอตํ พุทฺธานสาสนนฺติ บ่เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

ตั้งแต่นี้ไป ขอให้ทายกทายิกา ศรัทธาทั้งหลายจงพากันน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ

เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ


หนังสือหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๒ หน้า ๒๙๑-๓๐๖
รศ.ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์ เรียบเรียง :b8: :b8: :b8:


:b47: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=26069

:b47: รวมคำสอน “หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43511

:b47: ประมวลภาพ “หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม” วัดอรัญญวิเวก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=26976


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร