วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 16:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2021, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง)
ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

เนื่องในวันนี้จะแสดงเรื่องชีวิตของคนเราที่เกิดมาอยู่ในโลกนี้ ด้วยอำนาจการสร้างกรรมและคุณงามความดีของตนตามขั้นตอนของบุคคลทั้งหลายที่เกิดขึ้นย่อมต่างๆ กันนั้นเพราะเหตุอะไร บางบุคคลนั้นสติปัญญาก็มีน้อย บางบุคคลก็มีสติปัญญาปานกลาง บางบุคคลก็มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดแหลมคมรู้แจ้งเห็นจริงได้จึงเปรียบเทียบได้ว่า สมัยครั้งพุทธกาลนั้น ทำไมเมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศนาจบลงจึงได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุธรรมกันได้ง่ายๆ เรื่องอย่างนี้ก็มีคนถามมากมายว่าทำไมในปัจจุบันนี้เมื่อฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม ยังนำตนเองให้พ้นจากทุกข์ไปไม่ได้

พวกเราท่านทั้งหลายทั้งพระเณรอุบาสกอุบาสิกาผู้มีความตั้งใจศึกษาหลักพระพุทธศาสนานั้นควรที่จะทำความเข้าใจว่า ในชีวิตของคนเราที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมันมายาวนานเหมือนกับพระสาวกทั้งหลาย กับพระพุทธองค์นั้นก็ต้องสะสมบุญบารมีมาด้วยกันตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นนก เป็นสัตว์ต่างๆ ก็เกิดร่วมกันอยู่ ไปไหนเป็นหมู่เป็นฝูงกันอยู่ ทั้งเชื่อฟังคำสั่งสอนของหัวหน้าพาประพฤติปฏิบัติกันมาตั้งแต่เป็นสัตว์จนทำคุณงามความดีเจริญก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้มาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์แล้วก็ต้องสร้างสมอบรมสติปัญญาบุญบารมีของตน เราก็จะเห็นคนเกิดมาอยู่ในโลกนี้ ทำไมจึงต่างๆ กันบ้าง บางคนก็สติปัญญาน้อย บางคนก็ได้ปานกลาง บางคนก็ได้เฉลียวฉลาดดังได้กล่าวมานั้น บางคนก็ทุกข์จนไร้เข็ญใจ บางคนก็มีพอใช้ บางคนก็มั่งมีขึ้นมาเป็นคฤหบดี กระฎุมพี เศรษฐี พรามหณ์มหาศาลจนถึงเป็นพระราชามหากษัตราธิราชเจ้า ทำไมคนเรามันจึงเป็นอย่างนี้ ก็อาศัยซึ่งการสะสมอบรมบุญบารมีนั่นเองจึงต่างกันอย่างนี้

บัดนี้การต่างกันด้านสติปัญญานั้นจึงเป็นข้อที่สำคัญที่เราพากันฝึกฝนอบรมจิตใจของตนเพื่อจะให้จิตใจของเรานั้นเป็นผู้มีสติปัญญาในตัวของเขา เขาจึงจะได้คิดไปในทางที่ถูก ในทางที่ชอบ จึงจะได้ประกอบคุณงามความดีที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมหลักพระพุทธศาสนา อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งอีก แม้บุคคลนั้นตั้งแต่จะเป็นคนจนก็ดี หรือเป็นคฤหบดี กระฎุมพี เศรษฐี พรามหณ์มหาศาล พระราชามหากษัตริย์ก็ดี การสร้างสมอบรมสติปัญญานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทำไมจึงพูดอย่างนี้ จึงเทศน์กันอย่างนี้

ครั้งสมัยพุทธกาลนั้นแม้จะบวชเป็นคนทุกข์จน รับข้างเลี้ยงโคอยู่ในทุ่งนาก็ดี คนรับจ้างแบกหาม ทำคุณงามความดีก็เหมือนกัน คนนั้นก็เหลื่อมล้ำต่ำสูงกันตามฐานะ แต่ทำไมมาปฏิบัติด้วยกันแล้วจึงสามารถที่จะรู้แจ้งในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์เหมือนกันได้ตั้งแต่คนทุกข์จนจนถึงพระราชามหากษัตริย์ ตรงนี้เราก็มองได้เห็นชัดเจนแล้วว่า การสร้างสมอบรมปัญญานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนการสร้างสมอบรมด้านวัตถุนั้น มั่งมีศรีสุขต่างกันก็คือ การทำบุญทำทานการกุศลสร้างความดีด้านวัตถุ การที่มารักษาศีลเจริญภาวนาฝึกฝนอบรมจิตใจก็เป็นคนละส่วนกัน เราก็จะเห็นเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่แยกกันเป็นคนละส่วน

เมื่อเห็นอย่างนี้เองเราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า คนที่ร่ำรวยมั่งมีศรีสุขมีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติมาก ทำไมบางบุคคลนั้นไม่เข้าวัดเข้าวา ทำไมบางบุคคลนั้นเป็นคนขี้เกลียดขี้โกรธคนอื่น คนดุร้าย จะทำร้ายคนอื่น จะทำลายคนอื่น เหยียบย่ำคนอื่นอยู่ จิตใจทำไมเขาจะเป็นแบบนั้น ทั้งๆเขามีทรัพย์สมบัติมาก จนถึงฉ้อถึงโกงกันล่ะที่เราพูดกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เปรียบเทียบก็พูดว่าทำนาใส่หลังคน เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าไม่ไปตามอำนาจของตนก็จะทุบจะตีจะฆ่าให้ตาย ทำไมบุคคลทั้งหลายที่มีทรัพย์สมบัติจึงผิดใจกันเป็นอย่างนี้ ก็เขาไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งเจริญเมตตาภาวนาฝึกฝนอบรมจิตใจนั่นเอง ก็ขาดสติปัญญาตรงนี้ เขาก็ได้แต่ทรัพย์เฉยๆแล้วไปทำบุญ ทำบุญ ก็ทำถูกอยู่มันได้บุญ มีทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ได้ฝึกหัดจิตใจจึงเป็นคนดุร้าย

พวกเราทั้งหลายก็จะเห็นชัดเจนลงไปอย่างนี้ บัดนี้ทำไมบางบุคคลนั้นแม้ทรัพย์สมบัติก็ไม่มากแต่ก็ฝึกฝนอบรมตนเองเป็นผู้มีศีล อยู่ในความสงบเสงี่ยม ไม่ทำร้ายบุคคลอื่น ไม่เหยียบย่ำยีบุคคลอื่น ก็เห็นใจบุคคลอื่นได้ คนเช่นนี้เขาก็เคยรักษาศีลเอาไว้แต่ก็ไม่รวยแต่ก็เป็นคนที่ไม่ดุร้าย

ทีนี้บางบุคคลนั้นทรัพย์สมบัติก็ไม่มั่งมีร่ำรวยอะไรแต่ทำไมเป็นคนที่ใจเยือกเย็น ทั้งผู้หญิงผู้ชายก็ดี ทั้งภิกษุสามเณรก็ดี ทำไมเขาหน้าแช่มชื่มเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจทำไมไม่ดุร้าย ทำไมเป็นคนที่จิตใจเยือกเย็น เราเห็นทั้งพระภิกษุสามเณร เห็นทั้งอุบาสกอุบาสิกา ญาติโยมทั้งหลายก็มีคนใจดีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่ดุร้ายหน้าแช่มชื่นเบิกบาน จิตใจรื่นเริงสงบเหงี่ยม นั้นก็คือเคยสร้างสมอบรมด้านจิตใจมาแต่ไม่ได้สร้างด้านวัตถุมาก แต่ศึกษาด้านฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบก็เลยพบความสุขติดตามมาตั้งแต่ชาติอดีต ถ้าหากเรามองดูอย่างนี้ก็จะเข้าใจชัดในชีวิตของคนที่เกิดมา


:b44: :b44:

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
“อานิสงส์บุญจากการฟังธรรม”


:b47: ประวัติและคำสอน “หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38758

:b49: :b50: หลวงปู่ตื้อแนะนำเรื่องนิมิตให้แก่ “หลวงปู่เปลี่ยน”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=57719

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร