วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 09:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2021, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาไม่ได้อยู่ที่โลก

“การรู้เรื่องรูป จิตมันเป็นผู้รู้ ไม่ใช่ตาเป็นผู้รู้ แต่จิตมันอาศัยตา เป็นเหมือนหน้าต่างเข้ามา เหมือนสะพานทอดเข้ามา ถ้าตาเราไม่ดีเหมือนคนตาบอด แต่จิตมันดี แต่มันไม่มีเครื่องมือรับรูป แม้มีรูปอยู่ แต่มันก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นมันต้องประกอบกันว่าตานี่ดีและจิตมันใช้ตา มันก็รับรู้ถึงรูป

จิตใช้หูรับเรื่องเสียง ถ้าหูเราดี แต่จิตเราไปเหม่อลอย ใครมาพูดตะโกนใส่ มันก็ไม่ได้ยิน แต่จิตมันใช้หู มาซุบซิบมันยังได้ยินเลย เพราะจิตมันเป็นผู้รับรู้ รับรู้ในเสียง ไม่ใช่หูรับรู้เรื่องเสียง หูมันไม่ได้รับรู้หรอก แต่หูมันเป็นช่องทาง เป็นสะพานเข้ามาหาจิต รับเสียงเข้ามาหาจิต

จิตอาศัยลิ้นรับรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม

จิตอาศัยจมูก รับกลิ่นเข้ามา

จิตอาศัยกาย รับเย็น ร้อน อ่อน แข็งเข้ามา

จิตอาศัยสมอง รับความคิดเข้ามา สมมุติว่าจิตเราดี แต่สมองเสื่อม เช่นพวกอัลไซเมอร์ หรือพวกปัญญาอ่อน จะคิดได้ไหมละ มันคิดไม่ได้ สมองเราดีแต่จิตมันไม่ไปใช้ มันก็ไม่มีความคิดอะไร มีแต่เฉยๆ ทื่อๆ หัวหลักหัวตอ เพราะฉะนั้น จิตมันต้องใช้สมองพร้อมกับที่สมองมันสมบูรณ์ มันก็คิดเป็นเรื่องเป็นราวได้

เพราะความคิดมันออกมาจากจิต ไม่ใช่ออกมาจากสมอง แต่จิตมันใช้สมองเป็นเครื่องมือรับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ พอจิตมันใช้สมองมาคิดปรุงเป็นเรื่องเป็นราว เรียกว่า ธรรมารมณ์ จิตเป็นผู้รับทราบ จิตเป็นผู้รับรู้ เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ พอจิตมันสัมผัส จิตเกี่ยวข้องกับกาย มันสัมผัส มันจะมีขันธ์ต่างๆ ที่เป็นผู้รับ จิตใช้ตาสัมผัสรูป พอสัมผัสรูปปุ้บ จิตมันรับทราบ พอรับปั๊บ มันจะส่งไปให้สัญญา ความจำได้หมายรู้ จำได้ว่านี่คือคน นี่คือหญิง นี่คือชาย มันจำได้ทันที พอจำได้ปุ๊บ สังขารความนึกคิดปรุงแต่งมันก็ปรุงเลย สวย ขี้เหร่ น่ารัก น่าเกลียด มันก็ปรุงไป พอสังขารปรุงไป เวทนาก็รับเลย ถ้าปรุงไปในทางว่าสวย มันก็มีความสุข ชอบ ปรุงไปในทางขี้เหร่ มันก็เป็นทุกข์ เศร้าหมอง มันก็รับกันมาทันที นี่คืออาการของมัน

จริง ๆ แล้ว อาการทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นอาการของจิตกับกายมาเกี่ยวข้องกัน มันไม่ใช่ตัวจิต เหมือนกับแม่เหล็กกับเหล็ก พอมาเกี่ยวข้องกัน มันมีอาการดึงดูด ถ้าแม่เหล็กอยู่เฉพาะแม่เหล็ก มันจะไม่มีอะไรเลย แต่พอมาเกี่ยวข้องปุ๊บ มันมีอาการดึงดูด จิตมาเกี่ยวข้องกับกาย มาเกี่ยวข้องกับกายปุ๊บ มันมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังที่กล่าวมา ที่นี้พวกเราไปยึด เอาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นเรา พอเป็นเรา เราก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ต้องการให้เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้ แต่เขาไม่รู้ ว่าเราต้องการหรือไม่ต้องการ เขาเป็นอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น พอมันไม่เป็นดังที่ต้องการ เรานี่แหละเป็นทุกข์ ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเป็นทุกข์

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนออกมาจากจิตดวงเดียวเท่านั้น ท่านจึงบอกให้มาอบรมจิตของเรา กระบวนการมันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่จิตดวงเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น โลกทั้งโลกไม่มีอะไรเป็นปัญหาเลยนะ พอเกิดเขาก็เกิด พอดับเขาก็ดับ แต่ปัญหามันอยู่ที่จิตเท่านั้น จิตมันเสกสรรปั้นแต่งให้เขา แล้วก็ไปยึดเอาสิ่งที่ตัวเองเสกสรรปั้นแต่ง ไปตั้งความปรารถนา ปรารถนาอย่างนั้น ไม่ปรารถนาอย่างนี้

ถามดูจริง ๆ แล้ว จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส มันมีไหม มันไม่มี มันมีแต่มืดกับสว่าง มันจะมีอะไร มันจะรู้เรื่องอะไร มืด สว่าง มันจะรู้เรื่องอะไร จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เกิดจากพวกเราสมมุติกัน สมมุติเพื่อมาสื่อความหมายให้ได้ประโยชน์จากมัน ว่าจันทร์ถึงศุกร์ ไปทำงานนะ เสาร์ อาทิตย์ หยุดทำงานพักผ่อน มืด สว่าง ช่วงนี้หยุดนะ มันก็สื่อกันได้ แต่ตอนนี้ มันก็สมมุติกันไปเรื่อย สมมุติแล้วก็ไปยึดเอา จันทร์โลกาวินาศ อังคารธงชัยอธิบดี วันนี้โลกาวินาศ วันนี้ไปทำอะไรไม่ได้ เขาบอกไปสมัครงานไม่ได้ เป็นวันโลกาวินาศ ก็ไม่ยอมไป พอพรุ่งนี้ไปเขาเลิกรับสมัครแล้ว ก็ตกงานเลย แล้ววันมันจะเดือดร้อนอะไร คนเดือดร้อนก็คือเรา ใช่ไหม มันเป็นบ้าสมมุติใช่ไหม มันจะมีอะไร ธงชัย โลกาวินาศ อธิบดี มันไม่ได้รู้เรื่องสักอย่างนึง มันรู้แต่ว่ามืดกับสว่าง เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านว่า “สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง” ฤกษ์ดียามดีอยู่ที่การทำดีของพวกเรา เราทำดี พูดดี คิดดี นั่นแหละฤกษ์ดี ยามดี ดวงดาวหรือจะมาทำอะไรเราได้ ไม่ใช่ไปยึดเอาแต่โคมลอย จนเสียประโยชน์ส่วนตน ให้พากันคิดใหม่นะ

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราย้อนกลับมาถึงวิมุตติ วิมุตติหลุดพ้นจากสมมุติ เพราะมันออกไปจากตัวนี้ ตัวจิตไปสมมุติ แล้วก็ไปยึดเอาสมมุติต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งแต่สมมุติว่าตัวเรา คำว่าอัตตาตัวเรา แล้วก็ไปยึด ยึดอัตตาตัวเรา พอตัวเรายึดว่าต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ ตัวเราก็มีของเรา ของเราต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ ไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่ต้องการอย่างนี้ แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เขาไม่รู้สึกเลยว่าเป็นของเรา เขาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น พอมันไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา เรานี่แหละทุกข์ ลองย้อนกลับเข้ามาสิ ย้อนกลับเข้ามาที่ตัวเราไปเสกสรรปั้นแต่ง พอย้อนเข้ามาไปเห็นตามสภาพความจริง มันวางทุกอย่าง พอวางแล้วก็อยู่กับความจริงล้วนๆ

คำว่าสมมุตินี่ มันสมมุติเพื่อประโยชน์ ไม่ใช่ไปยึดติดในสมมุติให้เสียประโยชน์ ไม่ใช่วางหมด มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องให้เข้าใจนะ

พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
สนทนาธรรมกับญาติโยม ณ วัดป่าบ้านตาด
วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
:b8: :b8: :b8:

(ถอดความจากเทปโอวาทธรรมคำสอนของท่านพระอาจารย์)


:b44: รวมคำสอน “พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=60243

:b44: ประวัติและปฏิปทา “พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22493


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2022, 18:29 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2023, 18:39 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร