วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 00:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2023, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


"การรู้ขันธ์" กับ "การรู้อริยสัจจ์" เป็นปัญญาคนละขั้นกัน คือ การรู้ขันธ์เป็นวิปัสสนาปัญญา อันเป็นวิถีการที่จะให้จิตปล่อยวางขันธ์ที่จิตเคยยึดถืออยู่ เมื่อปล่อยวางขันธ์แล้ว จิตก็จะรวมเข้ามาที่จิต เพื่อเริ่มกระบวนการที่เรียกว่า จิตเห็นจิต ก็จะได้เห็นอริยสัจจ์ อันจัดเป็นโลกุตรปัญญา

หากไม่ผ่านวิปัสสนาปัญญา จู่ๆ จะพยายามย้อนรู้เข้ามาที่จิต สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ "การเพ่งจิต" จึงจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติจะต้องเฝ้ารู้ความเกิดดับของอารมณ์ปรมัตถ์ของจริง จนสามารถวางความยึดมั่นในอารมณ์ได้ แล้วจิตก็จะสงบรวมเข้ามาที่จิต เพื่อเรียนรู้ "อริยสัจจ์แห่งจิต"

แต่บางคน แม้จะมีกำลังพอที่จะรู้ถึงจิตได้แล้ว ก็ยังรัก ยังหวงที่จะกลับไปรู้ความเกิดดับของอารมณ์ อันเป็นเหตุให้ จิตเกิดปฏิกิริยาหมุนวนเป็นวัฏฏะต่อไปไม่สิ้นสุดเช่น แทนที่จะระลึกรู้อยู่ที่จิต กลับหันไปรู้ลมหายใจอีก จิตก็ต้องทำงานหมุนวนออกไปอีก แทนที่จะหยุด-รู้-อยู่ที่จิต ซึ่งเหนือความคิดนึกปรุงแต่ง เป็นการถ่วงตนเองให้เนิ่นช้าในการประจักษ์ถึงอริยสัจจ์แห่งจิต

การปฏิบัติทุกขั้นตอน คือการส่งทอดสติปัญญาเข้ามาเรียนรู้จิตเท่านั้นเอง เพราะจิตนั่นแหละคือประธานแห่งธรรมทั้งปวง เช่น ทำสมถะ ก็เพื่อระงับความฟุ้งซ่านของจิตไว้ชั่วขณะ เพื่อให้จิตมีคุณภาพที่จะเจริญวิปัสสนา คือการเรียนรู้ความจริงของสิ่งที่จิตไปติดยึดอยู่ เมื่อรู้จริงแล้ว จิตก็วาง รวมเข้ามาที่จิต ก็จะได้เรียนรู้อริยสัจจ์แห่งจิตคือเห็นว่า ความทุกข์เกิดขึ้นก็เพราะจิตออกไปอยากไปยึดอารมณ์เท่านั้นเอง

เมื่อจิตฉลาดขึ้น จิตก็หน่ายที่จะเที่ยวแสวงหาทุกข์มาใส่ตัวเอง จิตก็หยุดความปรุงแต่งลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อปราศจากความปรุงแต่ง จิตก็พ้นจากการห่อหุ้มของสิ่งปรุงแต่ง เข้าถึงธรรมชาติแห่งความเป็นตัวของตัวเองล้วนๆ หลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์ และรู้ถึงนิพพานอันเป็นสันติธรรม ที่แท้จริงเหนือกาลเวลา

สภาวะตรงที่จิตเข้ามารู้นิพพานนั้น จิตจะรวมเข้าภวังค์นิดหนึ่งโดยไม่มีความจงใจ และเมื่อจิตทำงานขึ้นมารับรู้อารมณ์ใหม่นั้น จิตจะประกอบด้วยฌานอันใดอันหนึ่งโดยอัตโนมัติ และปัญญาที่ประณีตถึงที่สุด จะตัดความปรุงแต่งขาดลง จิตก็เข้าถึงความเป็นอิสระครั้งแรกต่อเนื่องกันอย่างอัตโนมัติ

ตรงจุดนี้มีจิต ไม่ใช่ไม่มีจิต จัดเป็นมรรคจิต ผลจิต เมื่อเป็นจิตก็ต้องรู้อารมณ์ ถ้าไม่รู้อารมณ์ก็ย่อมไม่ใช่จิต อารมณ์ที่จิตรู้ ก็คือนิพพานอันเป็นสันติธรรมที่แท้จริง แต่บางแห่งสอนกันว่า ขณะที่เกิดมรรคผลนั้น จิตดับแบบพรหมลูกฟัก คือวูบแล้วหมดความรู้สึกไปเลย อันนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ที่ไปเอาสภาวะจิตดับขณะถึงนิพพานขันธ์มาเปรียบกับมรรคจิต ผลจิต เพราะถ้าขณะที่เกิดมรรคผลไม่มีจิต ตำราอภิธรรมท่านคงไม่บัญญัติมรรคจิตผลจิตไว้ถึง 40 ดวงเป็นแน่

จิตที่หลุดพ้นยังไม่ใช่นิพพาน นิพพานเป็นสิ่งที่จิตที่หลุดพ้นไปรู้เข้าเท่านั้น เมื่อรู้แล้ว ก็ไม่อาจจับจองเป็นเจ้าของนิพพานได้ และเมื่อถึงวันดับขันธ์ จิตก็สลายไป เหมือนไฟที่ดับไป ส่วนนิพพาน ก็คงเป็นธรรมที่ทรงธรรมอยู่ตามธรรมชาติธรรมดาของมหาสุญญตานั่นเอง ไม่มีเกิดดับ และไม่มีใครเป็นเจ้าของครอบครองได้

ผู้ปฏิบัติที่จิตแหวกตนเองออกจากสิ่งห่อหุ้มแล้ว ไม่นานสิ่งห่อหุ้มก็เข้ามาปกปิดจิตไว้อีก การปฏิบัติในขั้นถัดจากนี้ ก็คือการเรียนรู้อริยสัจจ์แห่งจิตต่อไปนั่นเอง
.
.
วิธีรู้จิตในขั้นนี้ จะต้องรู้ให้เป็นรู้แท้ๆ คือไม่เจือด้วยความปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจงใจที่จะรู้ สภาพรู้นั้น จะไม่มีน้ำหนักแม้แต่น้อย ถ้าเติมความจงใจลงไปในรู้ จะเกิดน้ำหนักในการเพ่งจิตขึ้นนิดหนึ่ง การดูจิตในขั้นนี้ คล้ายกับเรามีกระดาษที่บางกริบ 2 แผ่นซ้อนกัน ปัญญาอัตโนมัติจะต้องตัดแผ่นหน้าให้ขาด คือรู้และตัดความปรุงแต่งขาด โดยที่ไม่เกิดรอยในแผ่นหลัง คือไม่ให้กระเทือนถึงจิต ถ้าจงใจขึ้นสักนิดหนึ่ง แรงกดจะเกิดขึ้นทันที แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ใช่จงใจดูให้เบา หรือจงใจประคองให้เบาด้วย เพราะนั่นคือการเสแสร้งปฏิบัติ การรู้ ที่เป็น รู้ อย่างแท้จริงนั้น ทำให้โดยอาศัย ทักษะ อย่างเดียวเท่านั้น
.
.
วิปัสสนาที่แท้จริงนั้น มีแต่รู้ ไม่ต้องจงใจเติมสิ่งใดลงไปในรู้ ไม่ว่าจะเป็นศีล สมาธิ หรือปัญญา ไม่ต้องเอาสมมุติบัญญัติ หรือความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ มาช่วยทำวิปัสสนา ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพิจารณาโดยสิ้นเชิง เพราะความจงใจเคลื่อนไหวใดๆ จะทำให้จิตก่อภพก่อชาติก่อวัฏฏะหมุนวนขึ้นมาอีก

เมื่อจิตจะแหวกสิ่งห่อหุ้มออกเป็นครั้งที่ 4 นั้น ไม่มีสิ่งใด แม้กระทั่งอวิชชาที่จะต้องพยายามละ มีแต่รู้ (ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เมื่อรู้พอแล้ว จิตพลิกนิดเดียวก็พ้นแล้ว) จิตกับสิ่งห่อหุ้ม หรืออุปาทานขันธ์ ก็เป็นอันหมดความผูกพันต่อกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ไปตามธรรมชาติธรรมดา เป็นจิตที่เป็นอิสระ ทำทุกอย่างเป็นกิริยาล้วนๆ เพราะไม่มีความกระเทือนเข้าถึงกันระหว่างจิตกับอารมณ์ และไม่ต้องเอาความดีคือสติปัญญาใดๆ มาบำรุงรักษาจิตอีกต่อไป

จิตจะมีเพียงความรู้สึกที่เป็นกลางอย่างหนึ่ง กับความสุขโสมนัสอีกอย่างหนึ่ง จนถึงวันที่จะดับการสืบต่อของจิต เหมือนไฟที่ดับลงเพราะหมดเชื้อเท่านั้น

จากหนังสือ วิมุตติปฏิปทา
โดย หลวงพ่อปราโมช ปาโมชโช (สันตินันท์)

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 144 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร