วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2008, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ประวัติ พระอุทายี

พระเถระรูปหนึ่ง ท่านเป็นบุตรพราหมณ์ชาวกรุง กบิลพัสดุ์ เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้เห็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าในคราวที่พระพุทธองค์เสด็จไปแสดงปาฏิหาริย์ และทรงแสดงธรรมโปรดพระประยูรญาติ แล้วมีความเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา พยายามเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

ตามหลักฐานหลายแห่งในพระไตรปิฎก ปรากฏว่าท่านพระอุทายีรูปนี้ เป็นนักเทศน์ที่มีฝีปากดี มีผู้คนนับถือมากอยู่ เช่น ในอังคุตตรนิกาย เล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านพระอุทายีนั่งแสดงธรรมอยู่ มีพุทธบริษัท ฝ่ายคฤหัสถ์มาฟังจำนวนมาก พระอานนท์ไปพบท่านในเวลานั้นแล้วนำความไปกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสแก่พระอานนท์เป็นทำนองทรงรับรองความสามารถของพระอุทายีว่า การแสดงธรรมให้คนฟังนั้นไม่ใช่ของทำได้ง่าย เพราะผู้แสดงธรรมจะต้องมีคุณธรรมถึง ๕ ประการ คือ แสดงธรรมโดยลำดับไม่ตัดลัดให้ขาดความ ๑ อ้างเหตุผลให้ผู้ฟังเข้าใจได้ ๑ มีใจเมตตาลาภ ๑ ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือ ไม่ยกตนข่มท่าน

ในสังยุตตนิกายเล่าว่า เมื่อท่านพักอยู่ที่สวนมะม่วงของโตเทยยพราหมณ์ ใกล้นครกามัณฑา ท่านได้แสดงธรรมสอนชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์ของนางพราหมณี เวรหัญจานิโคตรปรากฏว่าชายหนุ่มนั้น ได้มีความเข้าใจในพระธรรมเทศนา พอใจถือตามคำสอน ทั้งได้รับความอาจหาญร่าเริง แล้วไปเล่าให้นางพราหมณีผู้เป็นอาจารย์ฟังว่าท่านพระอุทายีแสดงธรรมได้ไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ประกาศพรหมณีก็มีความยินดีได้ขอให้ชายหนุ่มคนนั้นไปนิมนต์ท่าน ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตน ท่านพระอุทายีได้ไปฉันอาหารที่บ้านของนางพราหมณีตามคำนิมนต์ถึง ๓ ครั้ง แต่ครั้งที่หนึ่งและที่สอง แม้นางพราหมณีจะอาราธนาให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง ท่านก็มิได้แสดง เพราะนางพรมหมณีนั้นนั่งอาสนะที่สูงกว่าทั้งสวมเขียงเท้า และคลุมศีรษะ ซึ่งไม่ควรรับฟังธรรมเทศนา แต่ครั้งที่สาม นางพราหมณี ได้รับคำชี้แจงจากชายหนุ่มจึงได้นั่งอาสนะที่ต่ำกว่า ถอดเขียงเท้า เปิดศีรษะ นิมนต์ท่านแสดงธรรม โดยตั้งเป็นคำถามว่า

เพราะมีอะไรพระอรหันต์ทั้งหลายจึงบัญญัติว่ามีสุขและทุกข์? เพราะไม่มีอะไรจึงมิได้บัญญัติว่ามีสุขและทุกข์?
ท่านตอบว่า เพราะอายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอยู่ พระอรหันต์ทั้งหลายจึงบัญญัติว่า มีสุขและทุกข์ เมื่ออายตนะภายในไม่มี พระอรหันต์ทั้งหลายจึงไม่บัญญัติว่ามีสุขและทุกข์

เมื่อท่านแสดงธรรมจบแล้ว ปรากฏว่านางพราหมณีเวรหัญจานิโคตร ได้รับความพอใจ มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้กล่าวชมเชยธรรมเทศนาของท่าน แล้วปฏิญาณถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แสดงตนเป็นอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา

ครั้งหนึ่งท่านพระอุทายีได้สนทนากับคหบดีช่างไม้ ชื่อปัญจกังคะถึงเรื่องเวทนา ท่านเห็นว่าพระพุทธองค์ทรง แสดงเวทนาไว้ ๓ อย่างคือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา (อุเบกขาเวทนา) ๑ แต่คหบดีปัญจกังคะเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงเวทนาไว้เพียง ๒ อย่างคือ สุขเวทนา และทุกขเวทนาเท่านั้น ส่วนอทุกขมสุขเวทนานั้น ก็ได้แก่ สุขเวทนาอันประณีตนั้นเอง ทั้งสองท่านไม่สามารถจะตกลงกันได้ พระอานนท์ได้ทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงไปกราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงรับรองว่า ความเห็นและคำอธิบายของท่านพระอุทายีนั้นถูกต้อง

ปรากฏว่า ท่านพระอุทายีเป็นผู้สนใจในการสนทนาธรรมและเข้าใจในหลักอนัตตาดีมากเช่น ครั้งหนึ่ง ท่านพักอยู่ที่โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี ได้สนทนาธรรมกับท่านพระอานนท์ ท่านถามพระอานนท์ว่าพระพุทธองค์แสดงเสมอว่ากายนี้เป็นอนันตตา ฉะนั้นเราจะสามารถกล่าวยืนยันได้หรือไม่ว่าแม้วิญญาณนี้ก็เป็นอนัตตา ท่านพระอานนท์ตอบว่า แม้วิญญาณก็เป็นอนัตตาเช่นเดียวกับกาย แล้วย้อนถามท่านว่า เมื่อเหตุและปัจจัยแห่งจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณดับไปไม่มีเหลือแล้ว วิญญาณเหล่านั้นจะปรากฏหรือไม่ ? ท่านตอบว่า วิญญาณจะไม่ปรากฏเลย ฉะนั้นท่านพระอานนท์จึงสรุปความว่า โดยเหตุนี้เอง วิญญาณจึงเป็นอนัตตา

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระสงฆ์ว่า โพชฌงค์ ๗ เป็นหนทางและข้อปฏิบัติที่อำนวยให้สิ้นตัณหาเป็นส่วนแห่งการทำลายกิเลศ ท่านพระอุทายีได้ฟังพระธรรมเทศนา แล้วทูลขอให้พระองค์ทรงแสดงวิธีเจริญโพชฌงค์ ๗ ประการนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงโปรดตามที่ท่านทูลอาราธนา

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นิคม เสตถะ (เสทกะ) ใกล้นคร สุมภะ ท่านพระอุทายีได้เข้าไปเฝ้าพระองค์จนถึงที่ประทับแล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า ท่านมีความจงรัก ความเคารพ
ความละอายและเกรงกลัวพระพุทธองค์มาก จึงได้ออกบวช เพราะเมื่อเป็นคฤหัสถ์นั้น ท่านมิได้นับถือพระธรรมพระสงฆ์เลย และที่ท่านบวชนั้นก็ด้วยหวังว่าพระพุทธองค์จักทรงแสดงโปรดให้ทราบว่าขันธ์ ๕ เกิดขึ้นและดับไปโดยประการนั้น ๆ ครั้นแล้วท่านได้กราบทูลต่อไปว่า เมื่อท่านอยู่ในเรื่องว่าง พิจารณาความเกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ จึงได้รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง และได้กราบทูลว่าถ้าถ่านได้เจริญธรรมเจริญมรรคและโพชฌงค์ ๗ ที่ท่านได้บรรลุได้ประสบแล้วให้มากขึ้นธรรม มรรค และโพชฌงค์นั้นก็จักน้อมนำท่านให้ได้บรรลุมรรคผลที่สูงยิ่งขึ้นไป จักเป็นเหตุให้ท่านทราบว่า ชาติคือความเกิดได้หมดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำก็ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะพึงทำเพื่อเป็นอย่างนี้อีกมิได้มี พระพุทธองค์ได้ทรงสดับถ้อยคำของท่านแล้วทรงประทานสาธุการชมเชยความเห็นของท่าน

ครั้งหนึ่ง ท่านพระอุทายีได้มีความดำริว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้นำทุกขธรรมเป็นอันมากออกไปจากภิกษุสงฆ์ ทรงนำสุขธรรมเป็นอันมากมาสู่ภิกษุสงฆ์ ทรงนำอกุศลธรรมเป็นอันมากออกจากภิกษุสงฆ์ และทรงนำกุศลธรรมเป็นอันมากมาสู่ภิกษุสงฆ์ แล้วได้นำความดำรินั้นไปกราบทูลพระองค์ ณ ไพรสณฑ์แห่งหนึ่งที่อาปณนิคม แห่งอังคุตตราปชนบท แล้วได้เล่าเหตุผลที่มีความดำริเช่นนั้นถวายพระพุทธองค์ว่า เมื่อก่อนการบัญญัติสิกขาบทนั้น ภิกษุสงฆ์พากันฉันอาหารได้ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า และเวลาวิกาล (ทั้งทิวาวิกาลและราตรีวิกาล) แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนให้งดการฉันในเวลาวิกาลแล้ว ครั้งแรกแม้จะมีความน้อยใจเสียใจอยู่บ้าง เพราะมิได้ฉันอาหารสนองศรัทธาของคหบดีผู้มีศรัทธา แต่ก็ได้พากันเลิกฉันในเวลาวิกาล ทั้งนี้เพราะมีความจงรัก ความเคารพ ความละอายและความเกรงกลัวพระพุทธองค์ ทั้งเห็นว่าการออกบิณฑบาตในเวลามืดค่ำนั้นเป็นการลำบาก ทำให้พระสงฆ์ได้รับทุกข์มาก เช่นบางครั้งเดินไปตกบ่อน้ำครำบ้าง ตกหลุมโสโครกบ้าง สะดุดตอเหยียบหนามบ้าง เหยียบแม่โคที่กำลังหลับอยู่บ้าง พบพวกโจรบ้าง ถูกผู้หญิงยั่วยวนบ้าง แม้ท่านเองก็เคยถูกผู้หญิงด่าและติเตียน โดยหญิงคนนั้นกำลังล้างภาชนะอยู่ในเวลามือค่ำ พอฟ้าแลบก็เหลือบมองไปเห็นท่าน จึงตกใจกลัวร้องดังลั่นขึ้นที เพราะเข้าใจว่าเป็นปีศาจร้าย เมื่อท่านแจ้งให้ทราบความจริงแล้ว หญิงคนนั้นจึงด่าและติเตียนว่า การเที่ยวบิณฑบาตเวลาค่ำคืน เพราะเห็นแก่ปากแก่ท้องนั้นไม่ดีเลย เอามีดคว้านท้องตายเสียดีกว่า การเที่ยวหากินกลางคืนเป็นเรื่องของพระไม่มีพ่อไม่มีแม่ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร ท่านเห็นเหตุผลดังกล่าวนี้จึงได้นำความดำริของตนไปกราบทูลพระพุทธองค์ดังกล่าว
แล้ว เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบแล้ว ได้ทรงมีพระดำรัสชมเชยความดำริของท่าน แล้วทรงแสดง ลฑุกิโกปมสูตร โปรดท่านตั้งแต่ต้นจนจบ

ท่านพระอุทายี มีความเฉลียวฉลาดในการเทศนา และสนทนาธรรม ทั้งมีอัธยาศัยอ่อนโยนดังกล่าวนี้ ท่านจึงได้รับยกย่องว่า "มหาอุทายี" บ้าง "บัณฑิตอุทายี" บ้าง

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ย. 2008, 11:39
โพสต์: 316

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b18: :b18: :b8: :b8: :b8: :b16: :b16: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
คิดดี พูดดี ทำดี มองเเต่ดีเถิด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 04:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบนอบน้อม พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปักเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระธรรม และ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

:b44: :b44: :b44:

รูปภาพ

ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน
ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจปฏิบัติไว้ดีแล้ว
จงเป็นพลวปัจจัย เป็นนิสัยตามส่งให้ข้าพเจ้าเกิดความสุข ความเจริญ
และเกิดปัญญาญาณทั้งในชาตินี้ ชาติหน้าตลอดชาติอย่างยิ่ง
จนบรรลุถึงพระนิพพานในอนาคตกาลนั้น เทอญ.


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 06:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆๆขอบพระคุณค่ะ บุญรักษาทุกท่านค่ะ _/i\_ :b8: :b8: :b8:

:b34:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร