ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
พระพุทธโฆษะ ยอดอรรถกถาจารย์... http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=27056 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 18 พ.ย. 2009, 20:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระพุทธโฆษะ ยอดอรรถกถาจารย์... |
พระพุทธโฆษะ ยอดอรรถกถาจารย์... อารัมภกถา-พุทธโฆสุปปัตติ อนึ่ง ในเรื่องประวัติพระพุทธโฆสะนี้ พระบุรพาจารย์ในสีหลทวีปครั้งกระโน้น ได้กล่าวคาถารวมความไว้ดังนี้ เมื่อ (ศาสนายุกาล) แต่ปรินิพพานแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่วงแล้ว ๙๕๖ พรรษา พระเจ้ามหานามทรงครองราชย์ในลังกาโดยทศพิธธรรม พราหมณมาณพผู้เกิดในบ้านใกล้โพธิมณฑ์ เป็นผู้รู้วิทยาและกระบวนศิลปะ จบไตรเพท เจนจัดลัทธิ เชี่ยวชาญวาทะทั้งปวง มีความต้องการจะใช้วาทะ จึงเที่ยวโต้วาทะไปในชมพูทวีป จนมาถึงวิหารแห่งหนึ่ง ตอนกลางคืนบริวรรตปาตญชลีมนต์ให้มีบทอันสมบูรณ์เป็นปริมณฑลดี พระมหาเถระองค์หนึ่งชื่อเรวตะ ในวิหารนั้นทราบชัดว่า “ สัตว์ผู้นี้มีปัญญามาก เราทรมานได้จะดี “ ท่านจึงกล่าวเปรยว่า “ ใครหนอมีเสียงเป็นฬา “ พราหมณมาณพถามท่านว่า “ ท่านรู้ความในเสียงร้องของฬาหรือ “ เมื่อท่านรับว่ารู้ จึงยังให้ท่านลงสู่ลัทธิของตน (คือเอาลัทธิของตนมาถามท่าน ? ) ท่านก็แก้ข้อที่ตนถาม ๆ ได้ ทั้งชี้ข้อที่ผิดพลาดได้ด้วย ครั้นท่านเตือน (จะถามบ้าง ) ก็อนุญาตให้ท่านยังตนให้ลงสู่วาทะของท่านบ้าง(ท่านถามแล้ว) ไม่ (อาจ) แก้ความหมายแห่งบาลีมหาอภิธรรมแก่ท่านได้ จึงถามว่า “ นี่เป็นมนต์ของใคร “ ท่านบอกว่าเป็นมนต์ของพระพุทธเจ้าจึงขอท่าน ท่านบอกว่า “ เราจะให้พุทธมนต์นั้นแก่คนที่ทรงเพศอย่างเรา “ พราหมณมาณพนั้น อันบุพเหตุ (คือกุศลในปางก่อน ) ทั้งหลายเตือน (ใจ) แล้ว จึงบวชเพื่อต้องการมนต์ เธอได้อุปสมบทแล้วก็เรียนพระไตรปิฏก ภายหลังก็ถือเอาพระไตรปิฏกนั้นว่า นี่เป็นเอกายนมรรค (ทางดำเนินอย่างเอก ประเสริฐกว่าลัทธิเก่าของตน) (ต่อมา) ท่านเป็นผู้ปรากฏ (เด่น) ดังดวงไฟ ดังดวงจันทร์ ดังดวงอาทิตย์ ซึ่งได้พยากรณ์กล่าวแก้ธรรมอันลึกแก่สัตว์ทั้งหลายละม้ายพุทธพยากรณ์ ท่านจึงได้นามว่า พุทธโฆสะ เพราะโด่งดังไปในพื้นแผ่นดินแม้นพระพุทธองค์ ในครั้ง (อยู่ที่วิหาร) นั้น ท่านมีความรู้ได้แต่งปกรณ์ชื่อญาโณทัยไว้ในวิหารนั้น แล้วแต่งอรรถกถาธรรมสังคณี เริ่มจะแต่งอรรถกถาน้อยชื่อ อรรถสาลินี พระเรวตเถระเห็นเช่นนั้น จึงบอกว่าปกรณ์ที่นำมาที่ (ชมพูทวีป) นี่ มีแต่พระบาลีอรรถกถาหามีไม่ อาจริยวาทต่าง ๆ ก็ไม่มีเช่นกัน แต่อรรถกถาเป็นภาษาสิงหลล้วน ที่พระมหินท์ผู้ทรงปรีชาญาณ ตรวจดูกถามรรคที่ได้ขึ้นสู่สังคีติทั้ง ๓ ครั้ง นับถือเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ และพระเถระมีพระสารีบุตรเป็นต้นร้อยกรองไว้ แล้วแต่งขึ้นไว้เป็นภาษาสีหล ยังเป็นไปอยู่ในสีหลทวีป เธอจงไปที่สีหลทวีปนั้น ตรวจดูอรรถกถาสีหลนั้น แล้วปริวรรตไว้ในภาษามคธเสียได้ อรรถกถา (ที่ปริวรรต) นั้น จะนำมาซึ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งปวง เมื่อพระเถระบอกเช่นนั้น ท่านผู้มีปัญญามากก็เลื่อมใส ออก (เดินทาง) จากวิหารนั้น มาถึง(สีหล) ทวีปนี้ในรัชกาลพระราชาพระองค์นี้แหละ ท่านมาถึงมหาวิหารอันเป็นที่อยู่ของสาธุภิกษุทั้งปวงไปสู่มหาปธานฆระ ได้ฟังอรรถกถาสีหลและเถระวาทะโดยตลอดจากสำนักพระสังฆปาละแล้ว ก็ตัดสินว่า นี่แหละเป็นพระพุทธาธิบายของพระธรรมสามิศร์แท้ จึงนิมนต์สงฆ์ในวิหารนั้นมาพร้อมกันแล้วกล่าวว่า “ ขอท่านทั้งหลายโปรดให้หนังสือคัมภีร์ทั้งหลายแก่ข้าพเจ้าเพื่อจะทำอรรถกถา” สงฆ์จะทดสอบปัญญา จึงให้คาถา ๒ บทแก่ท่าน กล่าวว่า “ ท่านจงแสดงความสามารถของท่านในคาถา ๒ บทนี้ เราทั้งหลายเห็นความสามารถของท่านแล้ว จึงจะให้หนังสือทั้งหมด “ ท่านจึงรวบรวมพระไตรปิฏกพร้อมทั้งอรรถกถาโดนย่ยย่อ แต่งปกรณ์วิสุทธิมรรคขึ้นในมหาวิหารนี้เอง ครั้นแล้วจึงนิมนต์สงฆ์ผู้ฉลาดรู้พระสัมพุทธธรรมให้ประชุมกัน ณ ที่ใกล้มหาโพธิพฤษ์ (ลังกา) ปรารถจะให้อ่านปกรณ์วิสุทธิมรรคนั้น (ให้สงฆ์ฟัง) เทวดาทั้งหลายจะประกาศความมีฝีมือของท่านให้ปรากฏในมหาชน จึงกำบังหนังสือนั้นไว้เสีย ท่านก็ทำขึ้นใหม่อีก ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง เมื่อนำหนังสือมาจะให้อ่านครั้งที่ ๓ พวกเทวดาก็เลิก (กำบัง) วางหนังสืออีก ๒ จบ (ที่กำบังไว้) ให้พร้อมในที่นั้น ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายอ่านหนังสือ (วิสุทธิมรรค) ๓ จบนั้นด้วยกัน ความผิดเพี้ยนกันโดยคัณฐะก็ดี โดยอรรถก็ดี โดยเกณฑ์ก่อนหลังก็ดี โดยเถรวาท ทั้งหลายก็ดี โดยบาลีทั้งหลายก็ดี มิได้มีเลยในหนังสือ (วิสุทธิมรรค) ทั้ง ๓ จบนั้น ครั้งนั้น สงฆ์ชื่นชมยินดีกันเป็นพิเศษ บอกกล่าวกันเซ็งแซ่ไปว่า “ ท่านผู้นี้คือพระโพธิสัตว์เมตไตรยมา (เกิด) ไม่ต้องสงสัย “ จึงมอบหนังสือคัมภีร์พระไตรปิฏกพร้อมทั้งอรรถกถาให้ ท่านอยู่ในมหาวิหารอันเป็นบ่อเกิดแห่งคัมภีร์ เป็นที่ไกลความเกี่ยวข้อง (กับคนอื่น) ปริวรรตอรรถกถาสีหลทั้งหมดในครั้งนั้นมาในภาษามคธ อันเป็นมูลภาษาของอรรถกถาทั้งปวงนั้น อรรถกถา (ที่ท่านปริวรรต) นั้นก็ได้นำมาซึ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ประชุมชนทุกภาษา พระอาจารย์ชั้นเถระทั้งปวง(นับ) ถืออรรถกถานั้นแม้นพระบาลี ครั้นเมื่อกิจที่พึงทำถึงซึ่งความสำเร็จแล้ว ท่านก็กลับไปชมพูทวีป เพื่อจะไหว้พระมหาโพธิ (ที่พุทธคยา) พระเจ้ามหานามทรงครองแผ่นดินอยู่ ๑๒ ปี ทรงทำบุญหลายอย่างต่างประการแล้ว ก็เสด็จไป (สู่ปรโลก) ตามกรรม ฝ่ายพระเถระพุทธโฆสะ ครั้นทำอรรถกถาพระไตรปิฏก ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกเป็นอันมากแล้ว อยู่ไปจนตลอดอายุ ก็ไปสู่ดุสิตเทวโลกแล โปรดพิจารณาท่านพุทธโฆษาจารย์เป็นยอดอรรถกถาจารย์อย่างไร... สังเกตแล้วจะพบว่า...ในบรรดาอรรถกถาจารย์ซึ่งรจนาคัมภีร์อรรกถานั้น ท่านพุทธโฆษารจนาไว้มากกว่าท่านอื่น แสดงถึงความมีปัญญาอันเลิศของท่าน...อย่างยิ่ง พระไตรปิฎก อรรถกถา พระอรรถกถาจารย์ วิสุทธิมรรค(*) -->>พระพุทธโฆษะ ก. พระวินัยปิฎก สมันตปาสาทิกา -->>พระพุทธโฆษะ พระปาติโมกข์ กังขาวิตรณี -->>พระพุทธโฆษะ ข. พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี -->>พระพุทธโฆษะ มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี -->>พระพุทธโฆษะ สังยุตตนิกาย สารัตถปกาสิยี -->>พระพุทธโฆษะ อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี -->>พระพุทธโฆษะ ขุททกนิกาย ๑. ขุททกปาฐะ ปรมัตถโชติกา -->>พระพุทธโฆษะ ๒. ธรรมบท ธัทมปทัฏฐกถา -->>พระพุทธโฆษะ(๑) ๓. อุทาน ปรมัตถทีปนี พระธรรมปาละ ๔. อิติวุตตกะ ปรมัตถทีปนี พระธรรมปาละ ๕. สุตตนิบาต ปรมัตถโชติกา -->>พระพุทธโฆษะ ๖. วิมานวัตถุ ปรมัตถทีปนี พระธรรมปาละ ๗. เปตวัตถุ ปรมัตถทีปนี พระธรรมปาละ ๘. เถรคาถา ปรมัตถทีปนี พระธรรมปาละ ๙. เถรีคาถา ปรมัตถทีปนี พระธรรมปาละ ๑๐.ชาดก ชาตกัฏฐกถา -->>พระพุทธโฆษะ(๒) ๑๑.นิทเทส สัทธัมมปัชโชติกา พระอุปเสนะ ๑๒.ปฏิสัมภิทามรรค สัทธัทมปกาสินี พระมหานามะ ๑๓.อปทาน วิสุทธชนวิลาสินี ไม่ทราบนามผู้รจนา ๑๔.พุทธวงศ์ มธุรัตถวิลาสินี พระพุทธทัตตะ ๑๕.จริยาปิฎก ปรมัตถทีปนี พระธรรมปาละ พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี อัตถสาลินี -->>พระพุทธโฆษะ วิภังค์ สัมโมหวิโนทนี -->>พระพุทธโฆษะ กถาวัตถุ ปัญจัปปกรณัฏฐกถา -->>พระพุทธโฆษะ ปุคคลบัญญัติ ปัญจัปปกรณัฏฐกถา -->>พระพุทธโฆษะ ธาตุกถา ปัญจัปปกรณัฏฐกถา -->>พระพุทธโฆษะ ยมก ปัญจัปปกรณัฏฐกถา -->>พระพุทธโฆษะ ปัฏฐาน ปัญจัปปกรณัฏฐกถา -->>พระพุทธโฆษะ อรรถกถาของพระสูตร ๔ นิกายแรกถือว่าเก่าที่สุด คืออยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ (ในช่วงชีวิตของพระพุทธโฆษะ) (*) ท่านจัดวิสุทธิมรรคอยู่ในบรรดาอรรถกถาด้วย แต่ไม่ได้เป็นอรรถกถาของคัมภีร์ใดโดยเฉพาะ (๑) – (๒) กล่าวกันต่อๆ มาว่า คัมภีร์ทั้งสองเป็นของพระพุทธโฆษะ แต่ดูจากสำนวนภาษานั้น ไม่น่าเชื่อว่าเป็นของท่าน เพราะต่างจากสำนวนในคัมภีร์อื่นของพระพุทธโฆษะ คัดมาจาก หัวข้อวิทยานิพนธ์ : ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท ชื่อนิสิต : สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อาจารย์ที่ปรึกษา : ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงจิรายุ นพวงศ์ ภาควิชา : ภาษาตะวันออก ปีการศึกษา ๒๕๒๓ |
เจ้าของ: | Bwitch [ 27 เม.ย. 2010, 10:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธโฆษะ ยอดอรรถกถาจารย์... |
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจปฏิบัติไว้ดีแล้ว จงเป็นพลวปัจจัย เป็นนิสัยตามส่งให้ข้าพเจ้าเกิดความสุข ความเจริญ และเกิดปัญญาญาณทั้งในชาตินี้ ชาติหน้าตลอดชาติอย่างยิ่ง จนบรรลุถึงพระนิพพานในอนาคตกาลนั้น เทอญ. |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 27 เม.ย. 2010, 14:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธโฆษะ ยอดอรรถกถาจารย์... |
ขออนุโมทนาสาธุการแด่คุณ Bwitch ด้วยครับ ที่อุตสาห์ไปค้นมาอ่าน |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 27 เม.ย. 2010, 14:34 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธโฆษะ ยอดอรรถกถาจารย์... | ||
สาธุด้วยครับ..ท่านวรานนท์
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |