วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ผลงานการสร้างสรรค์ของอาจารย์อนันท์ ราชวังอินทร์


สามเณรสังกิจจะ

รอยเท้าของพระอรหันต์ ๗ ขวบ สามเณรสังกิจจะ
สามเณรใจเพชรผู้เป็นศิษย์ของพระสารีบุตรเถระ

:b44: :b39: :b44:

ผู้ที่เกิดมาถ้าหากว่ามีเป้าหมายแน่นอนที่จะบวชตั้งแต่เยาว์วัย แม้จะเกิดมาในตระกูลใดก็ไม่สำคัญ เพราะเมื่อบวชเข้ามาแล้วย่อมไม่มีความแตกต่างกัน ผู้ที่บวชเป็นสามเณรเข้ามาแล้วจะให้ความเคารพกันตามลำดับพรรษา โดยผู้ที่บวชภายหลังต้องให้ความเคารพแก่ผู้ที่บวชก่อน นอกจากนั้นก็ให้ความเคารพกันในคุณธรรมและคุณวิเศษ คือถ้าท่านผู้นั้นมีคุณธรรมสูงส่ง มีความประพฤติเป็นที่น่าเลื่อมใสเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่นได้ แม้จะมีอายุพรรษาน้อยก็ย่อมได้รับการยกย่องเชิดชู อย่างเช่นสามเณรรูปหนึ่งนามว่า “สังกิจจะ” ซึ่งท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ และยังได้เป็นที่พึ่งให้แก่พระภิกษุ ๓๐ รูปในราวไพร ซึ่งมีเรื่องราวดังต่อไปนี้

“สามเณรสังกิจจะ” ได้ออกบวชเป็นสามเณรเมื่อมีอายุได้ ๗ ขวบ ท่านมีความเป็นมาน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง มารดาของท่านนั้นเป็นธิดาของตระกูลมั่งคั่งในกรุงสาวัตถี แต่ว่ามารดามีอายุสั้นได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ท่านยังอยู่ในครรภ์ด้วยโรคร้ายอย่างหนึ่ง เมื่อมารดาถูกเผาอยู่บนเชิงตะกอน ในขณะที่เนื้อส่วนอื่นไหม้ไปจนหมดยังเหลืออยู่แต่เพียงส่วนเนื้อท้อง พวกสัปเหร่อจึงเอาหลาวเหล็กเสียบเนื้อท้องของนาง ยกลงจากเชิงตะกอน แทงซ้ำอีก ๒-๓ ครั้งเพื่อให้เนื้อแตกออกจากกัน ปลายหลาวเหล็กได้แทงหางตาของทารก เมื่อพวกสัปเหร่อแทงเนื้อท้องเสร็จจึงโยนกลับขึ้นไปบนเชิงตะกอน ใส่ฟืนสุมไฟเข้าไปอีกชั้นหนึ่งจนแน่ใจว่าคราวนี้คงไหม้หมดแน่แล้ว จึงค่อยพากันกลับบ้าน แม้เนื้อท้องได้ไหม้จนหมด แต่ทารกกลับไม่ได้ไหม้ ยังคงนอนหลับสบายเหมือนนอนอยู่ในห้องกลีบดอกบัว ที่เป็นเช่นนี้ด้วยเพราะอานุภาพของผู้เกิดมาเพื่อเป็นภพชาติสุดท้าย แม้จะถูกภูเขาสิเนรุทับก็จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตก่อนที่จะได้บรรลุธรรม

ในวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อกลับมาอีกเพื่อจะดับเชิงตะกอน เห็นทารกนอนอยู่บนเชิงตะกอนก็เกิดอัศจรรย์ใจว่า มารดาถูกเผาอยู่บนฟืนมากขนาดนี้แต่ทำไมทารกนี้กลับไม่ไหม้ จึงอุ้มเด็กเข้าไปในหมู่บ้าน พวกหมอดูทำนายว่า...ถ้าทารกนี้อยู่ครองเรือน หมู่ญาติตลอด ๗ ชั่วเครือสกุลจะไม่ยากจน แต่ถ้าเขาออกบวช จะมีสมณะ ๕๐๐ รูปเป็นลูกศิษย์ พวกญาติจึงขนานนามว่า “สังกิจจะ” เพราะหางตาของเธอถูกขอเหล็กแทงจนแตก จากนั้นพวกญาติๆ ได้ช่วยกันเลี้ยงดู โดยตกลงกันว่าเมื่อเด็กโตขึ้นจะให้บวชเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร

ต่อมา เมื่อสังกิจจะอายุได้ ๗ ขวบ ได้ยินพวกเพื่อนๆ พูดล้อกันว่า “แกนี่มันรอดตายมาได้ยังไง ขนาดเขาเผาแม่แกบนกองไฟ แกยังไม่ยอมตาย แกนี่มันหัวแข็งจริงๆ” สังกิจจะเกิดความสลดสังเวชในการเกิดบ่อยๆ จึงบอกพวกญาติๆ ว่า “แม้ฉันรอดพ้นจากความตายมาได้ สักวันหนึ่งก็ต้องตายอยู่ดี ฉันจะขอบวชเพื่อแสวงหาทางที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป” หมู่ญาติจึงบอกว่า “สาธุ ดีแล้วลูกเอ๊ย ! พวกเราก็ตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน” ว่าแล้วก็นำสังกิจจะไปหาพระสารีบุตร ได้ขอร้องให้ท่านช่วยบวชให้ พระเถระให้พระกัมมัฏฐาน มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอารมณ์ แล้วก็บวชให้ สามเณรสามารถพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ทำใจหยุดนิ่งอยู่ภายใน ยกใจขึ้นสู่ไตรลักษณ์ ทันทีที่ปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุอรหันตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทันที

ในวันหนึ่งได้มีพระภิกษุ ๓๐ รูปปรารถนาจะเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมในราวป่า จึงเข้าไปกราบทูลลาพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเห็นด้วยพุทธญาณว่าภัยของพระภิกษุเหล่านี้จะเกิดจากชายชั่วคนหนึ่ง หากสามเณรสังกิจจะไปด้วยก็จะช่วยป้องกันภัยนั้นได้ อีกทั้งพระภิกษุก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย จึงรับสั่งให้พระภิกษุทั้ง ๓๐ รูปไปกราบลาพระสารีบุตรเถระก่อน

พระพุทธองค์ทรงแนะนำว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอำลาสารีบุตร พี่ชายทางธรรมของพวกเธอแล้วจึงค่อยไป” พระภิกษุทั้ง ๓๐ รูป ครั้นรับพระพุทธโอวาทแล้ว ก็ไปยังสำนักของพระสารีบุตรเถระ พระเถระให้การปฏิสันถารทุกรูป พร้อมกับไต่ถามว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลายจะพากันไปไหน”

พระภิกษุจึงกราบเรียนว่า...“พวกกระผมเรียนพระกัมมัฏฐานจากพระบรมศาสดาแล้ว ต้องการจะเข้าป่าเพื่อปลีกวิเวก พระบรมศาสดาทรงมีรับสั่งให้พวกเรามาอำลาท่านพระสารีบุตรก่อนไป”

พระเถระคิดว่า...“การที่พระองค์ทรงส่งพระภิกษุเหล่านี้มาคงเห็นเหตุบางอย่าง” จึงตรวจดูด้วยญาณทัสสนะ ครั้นรู้แล้วจึงกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ พวกท่านมีสามเณรคอยอุปัฏฐากหรือยัง ครั้นพวกภิกษุบอกว่า ยังไม่มี

พระเถระจึงบอกว่า...“ถ้ายังไม่มี พวกท่านจงนำเอาสามเณรสังกิจจะของเราไปด้วยสิ”

“อย่าเลยครับ...ถ้าสามเณรไปด้วยพวกกระผมจะพลอยกังวลใจเปล่าๆ เนื่องจากพวกเราปรารถนาจะเข้าไปประพฤติธรรม บำเพ็ญเพียรอยู่ในราวป่า คงไม่จำเป็นต้องให้สามเณรมาอุปัฏฐาก”

พระสารีบุตรกล่าวเตือนว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย สามเณรนี้จะไม่ทำให้พวกท่านกังวลใจหรอก มีแต่เพราะอาศัยพวกท่านสามเณรจะเป็นกังวลมากกว่า แม้พระบรมศาสดาทรงหวังจะส่งสามเณรไปกับพวกท่านจึงทรงรับสั่งให้มาลาเราก่อน พวกท่านจงพาสามเณรไปด้วยเถิด” พระภิกษุเห็นว่าพระเถระมีความปรารถนาดี ก็ยินดีรับสามเณรไปด้วย จึงรวมเป็น ๓๑ รูป จากนั้นได้อำลาพระเถระเที่ยวจาริกไป

เมื่อเดินทางไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ถึงหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง พวกชาวบ้านเห็นพระภิกษุสงฆ์เดินธุดงค์ผ่านมา ต่างก็มีจิตเลื่อมใสถวายอาหารบิณฑบาตโดยเคารพ พร้อมกับไต่ถามว่า...“พระคุณเจ้า...จะเดินธุดงค์ไปไหน” เหล่าพระภิกษุจึงตอบว่า...“กำลังหาสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม”

ชาวบ้านจึงกราบนิมนต์ว่า “ท่านเจ้าข้า...ถ้าอย่างนั้นขอนิมนต์พระคุณเจ้าอยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งนี้เถิด พวกกระผมจะสมาทานศีลห้าและรักษาอุโบสถศีล”

พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปเห็นโยมมีศรัทธาแรงกล้า จึงรับนิมนต์เพื่ออยู่จำพรรษาในวิหารใหม่ที่ชาวบ้านพากันทำถวาย เมื่อได้สถานที่อยู่จำพรรษาแล้วทุกรูปต่างแยกย้ายกันเข้าจำพรรษาในที่เฉพาะของแต่ละรูป โดยจะไม่อยู่รวมกันแห่งละ ๒ รูป แต่ละรูปเร่งความเพียรปฏิบัติมุ่งทำพระนิพพานให้แจ้งกันอย่างเดียว

ในวันปวารณาเข้าพรรษา พระเถระได้ให้โอวาทและตั้งกติกาว่า “ท่านผู้มีอายุ พวกเราเรียนพระกัมมัฏฐานจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ หากไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม จะให้พระองค์ทรงพอพระทัยนั้นเป็นเรื่องยาก อีกอย่างหนึ่ง ประตูอบายก็เปิดคอยรับพวกเราเสมอ เพราะฉะนั้นยกเว้นเวลาบิณฑบาตในตอนเช้าและเวลาบำรุงพระเถระตอนเย็น ในเวลาที่เหลือพวกเราจะไม่อยู่ในที่แห่งเดียวกัน ๒ รูป แต่ถ้าพระภิกษุรูปใดอาพาธก็จงตีระฆัง พวกเราจะไปที่พักของท่านผู้นั้นเพื่อช่วยกันพยาบาล นอกจากนี้ พวกเราจะไม่ประมาทหมั่นทำพระกัมมัฏฐานให้ต่อเนื่อง” จากนั้นมาพระภิกษุทุกรูปจึงอยู่ด้วยความไม่ประมาท หมั่นทำพระกัมมัฏฐานทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

ในวันหนึ่งได้มีบุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเคยอาศัยครอบครัวของภรรยาดำรงชีพ แต่เมื่อถูกทอดทิ้งจึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย ได้พบพระภิกษุสงฆ์กำลังเที่ยวไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เมื่อได้ภัตตาหารมาแล้ว ก็มานั่งทำภัตกิจอยู่บนหาดทราย เขาได้เข้าไปไหว้พระเถระด้วยความคิดว่า พระภิกษุเพิ่งกลับจากบิณฑบาตกำลังทำภัตกิจ คงมีอาหารพอทำให้เราคลายหิวได้บ้าง พระเถระเมื่อเห็นเขาจึงถามเขาว่า “จะไปไหนล่ะ” ครั้นรู้ว่าเขากำลังตกทุกข์ได้ยาก จึงเกิดความกรุณาบอกเขาว่า “อุบาสก ท่านหิวมาก จงไปนำใบไม้มาเป็นภาชนะ” ว่าแล้วแต่ละรูปก็ได้คลุกข้าวกับแกงแบ่งให้ บุรุษเข็ญใจกินข้าวเสร็จแล้ว คิดว่า “เราอุตสาห์ทำงานตลอดทั้งวัน ก็ยังไม่ได้อาหารที่เลิศอย่างนี้ เราจะไปที่อื่นทำไม อยู่กับภิกษุเหล่านี้ดีกว่า” จึงบอกพระภิกษุว่า “กระผมอยากจะขออยู่ช่วยอุปัฏฐากดูแลพระคุณเจ้า” พวกพระภิกษุเห็นความตั้งใจดีของเขา จึงเมตตารับเขาไว้ เมื่อเขาอยู่กับพวกพระภิกษุก็ทำวัตรปฏิบัติเป็นอย่างดี ทำให้พวกพระภิกษุรักและไว้วางใจเรื่อยมา

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ๒ เดือน บุรุษเข็ญใจคนนี้ก็เกิดอยากมีภรรยาขึ้นมา คืนนั้นจึงแอบหนีไปโดยไม่บอกลา โดยหารู้ไม่ว่าเขากำลังจะนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่พระภิกษุสงฆ์ ก็ในหนทางที่เขาไปนั้น มีป่าทึบดงหนาอยู่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ซุ่มอยู่ของพวกเหล่าโจรร้าย วันนั้นพวกเหล่าโจรร้าย ๕๐๐ คน (ทางสำนวนอินเดียใช้คำว่า “๕๐๐” ระบุจำนวน ซึ่งมีความหมายว่า “จำนวนมาก” นั่นเอง) ได้บนบานเทพเจ้าของพวกตนว่า “ถ้าใครเข้ามาในดงนี้ พวกเราจะจับผู้นั้นฆ่า เอาเนื้อและเลือดของผู้นั้นทำพลีกรรมแด่ท่าน”

เมื่อกล่าวบนบานแล้ว หัวหน้าโจรก็ได้ขึ้นต้นไม้มองคนเคราะห์ร้ายที่จะพลัดหลงเข้ามา ก็ได้เห็นบุรุษนั้นเดินมาแต่ไกลจึงได้ให้สัญญาณแก่สมุนโจร พวกโจรรู้ว่ามีคนพลัดเข้ามาแล้ว จึงล้อมจับเขา ผูกมัดอย่างแน่นหนา ขนฟืนมาก่อเป็นกองไฟใหญ่ เสี้ยมหลาวไว้ บุรุษนั้นถามพวกโจรว่า “นาย กระผมไม่เห็นจะมีหมูหรือเนื้อเลยสักตัวเดียว พวกท่านก่อไฟและเสี้ยมหลาวไว้ทำไม” พวกโจรพากันหัวเราะแล้วบอกว่า “พวกเราจะฆ่าเจ้า แล้วเสียบหลาวย่างทำพลีกรรมแด่เทพเจ้านะซิ” เขาเกิดกลัวตายสุดขีด ไม่ได้คิดถึงอุปการคุณของพระภิกษุเลย คิดแต่จะเอาตัวเขารอดอย่างเดียว คนประเภทนี้เป็นคนที่ทำคุณไม่ขึ้นจริงๆ เขาจึงบอกพวกโจรว่า...“นาย...ข้าพเจ้าเป็นคนกินเดนคน (คำว่า กินเดนคน คือ “กาลกิณี”) ก็พวกพระภิกษุโดยมากออกบวชจากตระกูลใหญ่ๆ เป็นกษัตริย์ออกบวชก็มี บัดนี้มีพระภิกษุ ๓๑ รูปอาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พวกท่านจงฆ่าพระภิกษุเหล่านั้นทำพลีกรรมเถิด เทพเจ้าของพวกท่านจะได้พอใจ” พวกโจรฟังแล้วคิดว่า “บุรุษคนนี้พูดถูก การฆ่าคนกาลกิณีนี้คงไม่เกิดประโยชน์ พวกเราจะฆ่ากษัตริย์ทำพลีกรรมดีกว่า” คิดแล้วจึงแก้มัดให้เขา จากนั้นให้เขานั่นแหละเป็นผู้นำทางไป

เมื่อถึงที่อยู่ของพระภิกษุแล้วไม่เห็นพระภิกษุแม้เพียงรูปเดียว หัวหน้าโจรจึงถามเขาว่า “พวกพระภิกษุอยู่ที่ไหนล่ะ” เขารู้กติกาของพระภิกษุสงฆ์ดี จึงกล่าวว่า “พวกพระภิกษุกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่พักของตัวเอง จงตีระฆังดูซิ เมื่อพวกพระภิกษุได้ยินเสียงระฆัง ก็จะมาประชุมกัน”

หัวหน้าโจรจึงตีระฆังขึ้น พวกพระภิกษุได้ยินเสียงระฆัง จึงคิดว่า “มีผู้ตีระฆังผิดเวลา คงจะมีใครเจ็บไข้กระมัง” จึงมานั่งรวมกัน เมื่อพระภิกษุมาครบทุกรูป ไม่เห็นมีองค์ไหนอาพาธ

พระสังฆเถระได้ถามพวกโจรว่า “อุบาสก พวกท่านตีระฆังทำไมหรือ”

หัวหน้าโจรจึงบอกความประสงค์ว่า “พวกข้าพเจ้าบนบานเทพเจ้าประจำดงไว้ ต้องการพระภิกษุรูปหนึ่งเพื่อนำไปทำพลีกรรมแด่เทวดา พวกท่านจงส่งตัวแทนของพระภิกษุมารูปหนึ่ง”

พระมหาเถระครั้นได้ฟังหัวหน้าโจรบอกว่า ต้องการพระภิกษุ ๑ รูปเพื่อนำไปทำพลีกรรม จึงคิดว่า ธรรมดาอันตรายที่จะเกิดแก่น้องๆ ผู้เป็นพี่ต้องช่วยแก้ไข จึงบอกพวกพระภิกษุว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมจะสละชีวิตเพื่อพวกท่าน ขออันตรายจงอย่ามีแก่พวกท่านเลย พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเร่งบำเพ็ญสมณธรรมอยู่เถิด”

ฝ่ายพระอนุเถระก็คิดว่า พระมหาเถระควรจะอยู่เป็นที่พึ่งให้แก่น้องๆ จึงกล่าวว่า “ธรรมดากิจของพี่ย่อมเป็นภาระของน้อง กระผมขอไปเอง ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด”

ทางด้านพระภิกษุที่เหลือต่างก็ลุกขึ้นพูดเหมือนกันว่า “ผมเอง ให้ผมไปเอง”

พระภิกษุทั้งหมดแม้ไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องท้องเดียวกัน เป็นพระภิกษุผู้เป็นปุถุชนยังไม่มีใครหมดกิเลส มีความกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ยอมเสียสละชีวิตเพื่อพระภิกษุที่เหลือ ฝ่ายสังกิจจะสามเณรก็แน่เหมือนกัน ได้บอกพระภิกษุทั้งหลายว่า “หยุดเถิดท่านขอรับ กระผมจะสละชีวิตเพื่อพวกท่านเอง” พวกพระภิกษุได้ยินสามเณรพูดดังนั้น ก็รู้สึกสะท้านไปถึงหัวใจรีบกล่าวห้ามว่า “สามเณร เราทั้งหมดแม้จะถูกฆ่ารวมกันก็จะไม่ยอมสละเธอผู้เดียว...”

สามเณรจึงกราบเรียนถามว่า “ทำไมท่านจึงพูดอย่างนั้น ขอรับ” พวกพระภิกษุบอกว่า “เธอเป็นสามเณรของพระสารีบุตรเถระ ถ้าเราจะสละเธอไป พระเถระก็จะตำหนิได้ว่าพวกพระภิกษุไม่ต้องการสามเณร จึงพาไปให้พวกโจรฆ่าทิ้ง พวกเราไม่อาจรับคำตำหนินั้นได้ เพราะฉะนั้นเราจึงสละเธอไปไม่ได้”

สามเณรบอกให้พระทุกรูประลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่จะออกเดินทาง พร้อมกับชี้แจงว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายขอรับ...การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงส่งพวกท่านไปอำลาพระอุปัชฌาย์ของกระผมก็ดี การที่พระอุปัชฌาย์ส่งกระผมมากับพวกท่านก็ดี ท่านผู้ทรงคุณทั้งสองได้ทรงเล็งเห็นเหตุนี้แล้วทั้งนั้น จึงส่งกระผมมา ขอพวกท่านจงหยุดเถิด กระผมนี้แหละจะไปเอง”

ถ้อยคำที่กล่าวอย่างองอาจและมีเหตุมีผลของสามเณรทำให้พระภิกษุทุกรูปได้พิจารณา ไม่กล้าคัดค้าน ได้แต่นิ่ง สามเณรสังกิจจะได้ก้มกราบขอขมาพระภิกษุทั้ง ๓๐ รูปแล้ว กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายขอรับ ถ้ากระผมเคยผิดพลาดล่วงเกินสิ่งใดใด ขอท่านทั้งหลายโปรดจงให้อภัยกระผมด้วยครับ” ว่าแล้วก็ออกเดินนำพวกโจรไปโดยไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อมรณภัยแม้เพียงนิดเดียว ความสลดใจอย่างใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นแก่พระภิกษุผู้เป็นปุถุชน จนน้ำตาเอ่อล้นเต็มเบ้าตา หัวใจสั่นไหวระริกด้วยความสงสารสามเณรน้อย

เมื่อสามเณรสังกิจจะจะเดินคล้อยหลังไป พระมหาเถระผู้เป็นหัวหน้าได้ขอร้องหัวหน้าโจรว่า “โยม...สามเณรยังเป็นเด็กน้อย หากเห็นพวกท่านก่อไฟ เสี้ยมหลาว ลาดใบไม้ก็จะเกิดความกลัว พวกท่านจงให้สามเณรพักอยู่ในที่แห่งหนึ่งก่อน แล้วจึงทำพลีกรรมในอีกที่หนึ่งเถิดนะ”

เมื่อพวกโจรพาสามเณรน้อยไปแล้ว จึงได้พาไปพักไว้ในที่แห่งหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยไปเตรียมสถานที่บูชายัญในที่อีกแห่งหนึ่ง ครั้นสามเณรสังกิจจะไปถึงที่อยู่ของพวกโจร แทนที่จะนั่งร้องไห้กลัวตาย กลับนั่งเข้าฌานสงบนิ่งไม่ไหวติง ส่วนพวกโจรเมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว หัวหน้าโจรได้ชักดาบเดินเข้าไปหาสามเณร กำด้ามดาบแน่นแล้วยกขึ้นฟันฉับลงที่ก้านคอสามเณรทันที ! ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น...! ดาบได้งอพับเป็นรูปโค้งทำให้หัวหน้าโจรต้องตะลึง ! แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า...“เราคงฟันพลาดไปมั้ง” จึงดัดดาบให้ตรง แล้วฟันซ้ำอีก ทีนี้ดาบได้ม้วนงอลงมาอีกครั้ง หัวหน้าโจรเห็นปาฏิหาริย์แล้วจึงเกิดความหวั่นไหว คิดว่า “เมื่อก่อนดาบของเราสามารถใช้ตัดเสาหินหรือตอไม้ตะเคียนเหมือนฟันหยวกกล้วย แต่คราวนี้ดาบของเราม้วนงออย่างกับใบตาลม้วน ดาบนี้แม้ไม่มีจิต ยังไม่กล้าทำร้ายสามเณร เราเป็นคนแท้ๆ แต่กลับไม่รู้คุณของสามเณร”

เมื่อคิดดังนี้แล้วจึงทิ้งดาบลงบนพื้น หมอบลงแทบเท้าของสามเณร แล้วกล่าวว่า “สามเณร...พวกเราเป็นโจรในป่ามานาน คนตั้งพันเห็นพวกเราแต่ไกลยังตัวสั่น ส่วนท่านไม่มีความกลัวแม้เพียงนิดเดียวใบหน้าของท่านกลับผ่องใสยิ่งนัก เป็นเพราะอะไรหนอ” สามเณรบอกว่า “ท่านหัวหน้า ธรรมดาของผู้ที่หมดกิเลสแล้วย่อมไม่มีความหวาดกลัว ขึ้นชื่อว่าร่างกายเป็นเหมือนภาระหนักที่ต้องคอยดูแล พระอรหันต์ทั้งหลายเห็นว่าเมื่อร่างกายแตกสลายไป ย่อมมีแต่ความยินดี ไม่มีความหวาดกลัวเลย”

“พวกท่านจะทำอย่างไรต่อไป” ลูกน้องโจรไม่มีความเห็นได้แต่บอกว่า “ก็แล้วแต่หัวหน้าเถอะ”

หัวหน้าโจรจึงบอกว่า...“เมื่อเราเห็นปาฏิหาริย์ถึงเพียงนี้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเป็นโจรป่า เราจะบวชเป็นลูกศิษย์ของสามเณร” พวกสมุนโจรเห็นดีเห็นงามว่า “ดีแล้ว...แม้พวกเราก็จะบวชเหมือนกัน”

หัวหน้าโจรจึงได้นำสมุนทั้งหมดกราบเท้าขอบวชกับสามเณร สามเณรได้ใช้คมดาบตัดผมของหัวหน้าโจร ตัดชายผ้าที่โจรใช้ห่มออก แล้วย้อมด้วยดินแดงให้ครองผ้ากาสาวะ (ผ้าคลุกฝุ่น) แล้วก็ให้พวกโจรทั้งหมดบวชเป็นสามเณร ให้รับศีล ๑๐ ทุกคน สังกิจจะสามเณรเมื่อให้พวกโจรรับศีล ๑๐ แล้ว คิดว่า “บริเวณนี้เป็นที่ไม่ปลอดภัยสำหรับสามเณรใหม่ เราควรนำพวกเขากลับไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา”

ก่อนจะไปได้คิดว่า “ถ้าเราไม่ลาพระเถระทั้งหลายเสียก่อน พวกท่านคงไม่อาจบำเพ็ญสมณธรรมได้ ตั้งแต่เวลาที่เรามากับพวกโจรก็ไม่มีพระองค์ไหนสามารถกลั้นน้ำตาระทมทุกข์ไว้ได้” จึงตั้งใจจะกลับไปหาพระภิกษุทุกรูปก่อน

สามเณรสังกิจจะกลัวว่าพระภิกษุทั้ง ๓๐ รูปจะเป็นห่วง จึงพาสามเณรใหม่ทั้ง ๕๐๐ รูปกลับไปลาพวกพระภิกษุเหล่านั้น เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังทุกอย่างจนพระภิกษุทุกรูปสบายใจไปตามๆ กัน เหมือนยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะจากไปสามเณรบอกให้พระภิกษุทุกรูปอย่าได้ประมาทให้ตั้งใจเร่งบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มที่ จากนั้นก็กล่าวลาเพื่อไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อกลับไปถึงวัดเวฬุวัน ก็ได้นำสามเณรใหม่ ๕๐๐ รูปไปกราบนมัสการพระสารีบุตรเถระ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ พระสารีบุตรถามว่า...“สังกิจจะ เธอได้ลูกศิษย์มาหรือ”

สามเณรจึงตอบว่า...“ขอรับ” แล้วก็เล่าเรื่องราวให้พระเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ทราบทุกอย่าง พระสารีบุตรแนะนำว่า “สังกิจจะเธอจงพาสามเณรเหล่านี้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเถิด”

สังกิจจะสามเณรเมื่อได้รับคำแนะนำแล้ว จึงพาสามเณรใหม่ทั้ง ๕๐๐ รูปไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสถามว่า “สังกิจจะ เธอได้ลูกศิษย์มาหรือ” สามเณรจึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาตรัสสนทนากับสามเณรใหม่ทั้ง ๕๐๐ รูป พร้อมทั้งทรงแสดงธรรมเนื้อหาโดยสรุปว่า

“การที่พวกท่านตั้งอยู่ในศีล มีชีวิตอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ประเสริฐกว่าการเป็นโจรตั้ง ๑๐๐ ปี ก็ผู้ใดทุศีล มีจิตไม่ตั้งมั่น แม้มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌานประเสริฐกว่า” ในเวลาจบพระธรรมเทศนา สามเณรใหม่ทั้ง ๕๐๐ รูปได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา

จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า สามเณรอายุเพียง ๗ ขวบเพียงรูปเดียวก็สามารถช่วยให้พระภิกษุทั้ง ๓๐ รูปรอดพ้นจากความตาย และยังสร้างศรัทธาให้กับพวกโจรทั้ง ๕๐๐ คนได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ดังนั้น การที่มีผู้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าอายุยังน้อยก็ตาม แต่หากเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่งแล้วก็สามารถชี้นำสิ่งที่ดีๆ ให้สังคมตลอดจนมวลมนุษยชาติได้ แม้เป็นเพียงเด็กเล็กๆ ก็สามารถทำโลกนี้ให้สว่างไสวได้ พระบรมศาสดาเคยตรัสสอนแก่พระเจ้าปเสนธิโกศล ถึงสิ่งเล็กน้อย ๔ ประการที่ไม่ควรจะไปดูถูกดูแคลน ซึ่งก็คือ (๑) งู แม้ตัวเล็ก ก็อาจมีพิษกัดถึงตายได้ (๒) ไฟ แม้เพียงไม้ขีดก้านเดียวก็เผาผลาญให้วอดวายได้ (๓) ยุวกษัตริย์ แม้ยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่ก็มีพระราชอำนาจปกครองตัดสินคนทั้งประเทศได้ (๔) ภิกษุใหม่หรือสามเณรน้อย แม้บวชเพียงวันเดียวก็อาจเป็นพระอริยเจ้าได้

เรื่องของโจรกลับใจนี้ ครั้งในสมัยพระกัมมัฏฐานศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็เคยมีอดีตขุนโจรอีสไมล์แอ โจรสลัดทะเลผู้โหดเหี้ยม เสรีไทยในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ผู้หันเหชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ นั่นก็คือ หลวงปู่ประยุทธ ธัมมยุตโต ลูกศิษย์ที่เข้าฝากตัวกับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เพราะสำนึกในกรรมที่ท่านเคยสร้างมาจึงปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ตื้อ ปลีกวิเวกหลีกเร้นอยู่รุกขมูลตามราวป่า จนบั้นปลายชีวิตหลวงปู่ประยุทธ ธัมมยุตโต ได้เข้าสมาบัติมรณภาพลงในท่านั่งสมาธิที่กุฏิบนหลังเขาวัดป่าผาลาด อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ และภายหลังอัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ


:b8: :b8: :b8: ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูล ::
หนังสือชีวประวัติสามเณร รวบรวมและเรียบเรียงโดย จำเนียร ทรงฤกษ์
หนังสือสามเณร เหล่ากอแห่งสมณะ โดย ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก


:: สามเณร ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46459

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2013, 00:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอน้อมกราบ สังกิจจะสามเณร สามเณรใจเพชรผู้เป็นศิษย์ของพระสารีบุตรเถระ ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2018, 08:09 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2019, 14:14 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2022, 11:58 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร