วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 23:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 11:19 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุณณทาสี นางทาสีผู้ยากไร้
:: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก

=========================

วันนี้ขอพูดถึงนางทาสีผู้ยากไร้ แต่ได้เข้าถึงธรรมในที่สุด นางมีชื่อเรียกขานกันว่า ปุณณา เป็นทาสของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ มีหน้าที่ตำข้าวให้ครอบครัวเศรษฐี ตำกระดกขึ้นกระดกลงโดยสากที่ติดอยู่กับคัน จะทำให้ข้าวเปลือกในครกล่อนออกมาเป็นข้าวสาร

อธิบายอย่างนี้มองเห็นภาพหรือเปล่าไม่ทราบ ถ้ายังไม่รู้ ก็ลองสอบถามผู้รู้เอาแล้วกัน ผมจนปัญญาให้คำจำกัดความ

วันหนึ่ง เศรษฐีสั่งให้นางปุณณาตำข้าวเปลือกเป็นจำนวนมาก เรียกว่าใช้แรงงานจนเกินคุ้ม ว่าอย่างนั้นเถอะ

นางปุณณาก็ตำข้าวเหงื่อไหลไคลย้อยตลอดทั้งวัน ยังเสร็จไม่ถึงครึ่ง จึงตำต่ออีก มืดค่ำก็ตามประทีป (คือจุดตะเกียง) ตำต่อตลอดทั้งคืน โดยออกไปยืนตากลมเพื่อพักเอาแรงเป็นระยะๆ

ไม่ไกลจากที่นางตำข้าวเท่าใดนัก มีภูเขาลูกหนึ่ง พระสงฆ์จำนวนมากพักอาศัยอยู่ ณ ภูเขาลูกนั้น

ตอนกลางคืน พระทัพพมัลลบุตร ซึ่งเป็นพระที่มีความชำนาญในการจัดแจงเสนาสนะสำหรับพระทั้งหลาย ท่านเดินไปเดินมาเพื่อจัดแจงอาสนะให้พระภิกษุทั้งหลาย โดยตัวท่านจุดประทีปเดินนำพาภิกษุแต่ละรูป แต่ละกลุ่มไปพำนักยังเสนาสนะที่ได้ตระเตรียมไว้

นางปุณณา มองไปเห็นแสงไฟวูบวาบๆ บนภูเขานั้น รำพึงว่า ค่ำคืนดึกดื่นป่านฉะนี้พระคุณเจ้าทั้งหลายยังไม่นอน เราเองก็ยังไม่ได้นอน ที่เราเองยังนอนไม่ได้เพราะเรามีความทุกข์บีบคั้น มีภาระหน้าที่จะต้องทำ แต่พระคุณเจ้าไม่นอนเพราะมีความทุกข์อะไรหนอ หรือว่าพระคุณเจ้ารูปใดรูปหนึ่งอาพาธ หรือถูกงูเห่างบกัด


รุ่งเช้าขึ้นมา นางเอารำมาคลุกน้ำ แล้วปั้นเป็นก้อนๆ ทำเป็นขนมจี่ไฟ แล้วก็เหน็บไว้ที่ชายพก เดินไปท่าน้ำ หวังว่าจะเอาไปกินระหว่างทาง

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังหมู่บ้านตามทางที่นางออกมา กำลังจะไปที่ท่าน้ำพอดี

นางพบพระพุทธองค์แล้วก็คิดว่า ในวันอื่นเราพบพระศาสดาอยากจะถวายท่าน ก็ไม่มีไทยธรรม (ของจะถวายทาน) บางวันมีไทยธรรมแต่ก็ไม่พบพระพุทธองค์ แต่วันนี้เราพบพระพุทธองค์ และไทยธรรมก็มีด้วย ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงรังเกียจว่า อาหารของเราเศร้าหมอง (คือเป็นของเลว) ทรงรับไว้ เราก็จะพึงถวายแด่พระพุทธองค์

นางวางหม้อน้ำลง ยกมือนมัสการกราบทูลว่า

“ถ้าพระองค์มิทรงรังเกียจว่า อาหารนี้เศร้าหมอง ขอพระองค์ทรงรับเพื่ออนุเคราะห์หม่อมฉันด้วยเถิด”

พระพุทธองค์ทรงชำเลืองมองมาทางพระอานนท์พุทธอนุชา พระอานนท์นำบาตรไปถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงรับ “รำจี่” จากนางปุณณา

นางปุณณาถวายขนมใส่ลงไปในบาตร ก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า “ด้วยอานิสงส์ของการถวายรำจี่นี้ ขอให้หม่อมฉันได้มีส่วนแห่งการบรรลุธรรมในปัจจุบันทันตาเห็นเถิด”

พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนาว่า “เอวัง โหตุ - จงสัมฤทธิผลดังปรารถนาเถิด” แล้วเสด็จพุทธดำเนินเข้าไปยังหมู่บ้าน มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ

ฝ่ายนางปุณณาไม่แน่ใจว่า พระพุทธองค์จะเสวยขนมของตนหรือไม่ นางคิดว่า ขนมของคนยากไร้หารสชาติมิได้ พระองค์ไม่เสวยดอก ที่พระองค์ทรงรับไว้คงเพื่อถนอมน้ำใจ ไม่ต้องการให้เราเสียใจมากกว่า พระองค์คงจะทรงโยนให้สุนัขหรือกาในระหว่างทางก็เป็นได้ นางจึงเดินตามพระพุทธองค์ไปห่างๆ หารู้ไม่ว่าพระพุทธองค์ทรงทราบความในใจของนาง เสด็จไปได้หน่อยหนึ่ง ก็ทรงชำเลืองดูพระอานนท์พุทธอนุชา

พระอานนท์ทราบด้วยพระกิริยาจึงลาดจีวรเป็นอาสนะให้พระพุทธองค์ประทับ พระพุทธองค์เสวยขนมรำจี่ของนางปุณณาที่นอกเมือง ตรงนี้ท่านผู้แต่งคัมภีร์ก็ “ใส่ไข่” ว่า เทวดาในหมื่นจักรวาล ได้นำเอาโอชารสอันหวานอร่อยมาโรยใส่ในขนม ทำให้ขนมนั้นแสนจะอร่อย ว่าอย่างนั้น ทำอย่างกับว่าถ้าไม่อร่อย พระพุทธองค์จะไม่เสวย

ความจริง “พระ” ย่อมฉันอาหารอย่างพระอยู่แล้ว ไม่ติดในรสอาหาร ฉันสักแต่ว่ามันเป็นอาหาร ไม่จำเป็นต้องใส่ผงชูรส ใส่ซอสเพิ่มรสชาติก็ได้

สำหรับพระพุทธองค์ด้วยแล้ว ข้อความนี้ไม่จำเป็นเลย นอกเสียจากจะให้เทวดาได้มีส่วนในการทำบุญทำทานครั้งนี้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นางปุณณายืนดูอยู่ห่างๆ เกิดความปีติโสมนัสเป็นล้นพ้น พระพุทธองค์ตรัสให้พระอานนท์เรียกนางปุณณาเข้ามาใกล้ๆ ตรัสถามว่า “ปุณณา ทำไมเธอดูหมิ่นสาวกของเรา”

นางสะดุ้ง กราบทูลว่า “หม่อมฉันมิได้ดูหมิ่นเลย พระเจ้าข้า”

“ถ้าเช่นนั้น เมื่อคืนที่ผ่านมา เธอมองดูสาวกของเราบนเขาแล้วพูดอะไรออกมา”

“หม่อมฉันเห็นพวกท่านไม่นอนกัน จึงพึมพำออกมาว่า ทำไมพระคุณเจ้ายังไม่นอน ท่านมีความทุกข์เหมือนเราหรือเปล่าหนอ หรือว่ามีท่านรูปใดอาพาธ หม่อมฉันพูดเพียงแค่นี้เองพระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ปุณณา เธอไม่ได้นอนเพราะมีความทุกข์บีบคั้น แต่สาวกของเราไม่นอนเพราะมีความเพียรเครื่องตื่นอยู่เสมอ”

แล้วตรัสคาถา (โศลก - อ่านว่า สะ-โหฺลก) แสดงธรรม ความว่า “สำหรับผู้ตื่นอยู่เสมอ ตลอดเวลาสำเหนียกศึกษาทุกทิพาราตรี มีใจน้อมไปสู่พระนิพพาน อาสวะย่อมอันตรธานหมดสิ้น”

จบพระธรรมเทศนา นางปุณณาก็บรรลุโสดาปัตติผล

นับว่าทานที่นางถวายแด่พระพุทธองค์ ได้บันดาลผลในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว


ถึงตรงนี้นึกถึงประเพณีทำบุญ “ข้าวจี่” ข้าวจี่คืออะไรต้องอธิบายเสียหน่อย เพราะเป็นประเพณีท้องถิ่นอีสาน คนภาคอื่นอาจไม่ทราบ

ชาวบ้านเขาจะนำข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อน ชุบไข่ แล้วนำไป “จี่” หรือปิ้งไฟถ่าน แล้วก็นำมากินกันเอร็ดอร่อย ฤดูหนาวชาวบ้านจะทำข้าวจี่ไปถวายพระ มีการรักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรมด้วย ถือเป็นงานใหญ่งานหนึ่งทีเดียว

พระท่านจะเทศน์ “อานิสงส์ของข้าวจี่” ฉลองศรัทธา เล่าต้นเหตุแห่งการเกิดประเพณีบุญข้าวจี่ และอานิสงส์ (ผล) ของการถวายข้าวจี่

เรื่องนางปุณณานี้แหละครับ เป็น “ต้นฉบับ” ประเพณีทำบุญข้าวจี่


:b39: ถ้าถามว่า ทานที่นางปุณณาถวายเป็นเพียงรำจี่เท่านั้น ทำไมมีผลมากขนาดนั้น คำตอบคือ การถวายทานจะให้ผลน้อยหรือมาก ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ๓ ประการคือ

๑. สิ่งของที่จะให้ทานต้องบริสุทธิ์ คือ ได้มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ของนี้ไม่จำเป็นจะต้องประณีต หรูหรา ราคาแพง ของเลวๆ แทบไม่มีราคา เช่น “รำจี่” ของนางปุณณานี้ก็ได้

๒. เจตนา คือ ความตั้งใจจะต้องบริสุทธิ์ ก่อนให้ กำลังให้ และหลังจากให้แล้ว จะต้องมีความเลื่อมใส ไม่คิดเสียดายในภายหลัง

๓. ผู้รับทานต้องบริสุทธิ์ คือ เป็นผู้มีศีล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็น “ปฏิคาหก” (ผู้รับ) ที่บริสุทธิ์

ทานที่ให้จึงมีผลมาก ยิ่งพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ผู้ถวายทานแก่ท่าน ย่อมได้ผลทันตาเห็นเลยทีเดียว


ทานของนางปุณณานั้นมีองค์ประกอบครบทั้งสามประการ จึงมีอานิสงส์มากด้วยประการฉะนี้



:b8: :b8: :b8: คัดมาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


=========================

:b45: อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46456

:b45: พระทัพพมัลลบุตร เอตทัคคะในทางผู้จัดแจงเสนาสนะ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7576

:b45: พระปุณณิกาเถรี อดีตทาสในเรือนเบี้ย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50295


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2018, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร