วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 23:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2015, 08:04 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b8: ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : keathadhammaboththai

จิตตหัตถ์ ชายเจ็ดโบสถ์
:: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
====================

มีคำพังเพยว่า “ชายสามโบสถ์” ความหมายที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครให้ความกระจ่างแก่ผมได้ บ้างก็ว่าคนที่เปลี่ยนศาสนาถึงสามครั้ง คบไม่ได้ ที่ถูกเป็นอย่างไร คงต้องเป็นปริศนาต่อไป

เจ้าคุณอนุมาณฯ ท่านได้ความรู้ใหม่จากเด็กว่า “ตูดเอาไว้ขี้ ก้นเอาไว้นั่ง” ซึ่งผมก็เห็นว่าเข้าที แต่คุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ กวีซีไรต์ เพื่อนผู้น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เธอว่าไม่ถูก ที่ถูกคือกลับกัน “ตูดเอาไว้นั่ง ก้นเอาไว้ขี้” แล้วก็อ้างเหตุผลยกตัวอย่างมามากมาย จนผมร่ำๆ จะเชื่อแล้ว (แต่ไม่เชื่อ ฮิฮิ)


กระทาชายนายจิตตหัตถ์ เป็นคนยากจน มีอาชีพเลี้ยงโค ภูมิลำเนาอยู่เมืองสาวัตถี ที่ว่าอยู่เมืองสาวัตถีนี้ หมายถึงเกิดในแคว้นโกศล อันมีเมืองสาวัตถีเป็นเมืองหลวง

วันหนึ่ง โคหายไปตัวหนึ่ง ตามหาจนเหนื่อยกว่าจะพบ ต้อนมันเข้าฝูงแล้วท้องก็ร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิว เห็นวัดป่าแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปขอข้าวกิน พระสงฆ์องค์เจ้าก็ดีใจหาย เอาข้าวเอาน้ำมาให้นายจิตตหัตถ์กินจนอิ่มหมีพีมัน

กินข้าวอิ่มก็เรียนถามพระคุณเจ้าด้วยความสงสัยว่า
“พระคุณเจ้าไปบิณฑบาตได้มาหรือ ขอรับ”

“ใช่โยม ทายกทายิกาที่หมู่บ้านไม่ไกลจากนี้นัก ใส่บาตรมาทุกวัน การขบฉันไม่ลำบากดอก”

ฉับพลัน ความคิดก็พุ่งปรู๊ดปร๊าด
“เราทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำกว่าจะได้กินข้าวสักมื้อ พระคุณเจ้าเหล่านี้ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ๆ ก็มีผู้คนเอาข้าวปลาอาหารมาถวายล้วนดีๆ ทั้งนั้น เราจะอยู่เป็นคฤหัสถ์ทำไม บวชดีกว่า”

แล้วเขาก็เข้าไปขอบวชอยู่กับพระคุณเจ้าทั้งหลาย

เมื่อบวชแล้วอุปัชฌาย์อาจารย์ให้ท่องบทสาธยาย ทำวัตรสวดมนต์ให้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัด วันๆ แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ก็คิดว่า “แหม นึกว่าบวชแล้วจะได้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่นี่กลับต้องมาสวด มาท่อง นั่งสมาธิแต่เช้ายันดึก แถมยังต้องระมัดระวังกาย วาจา ใจ อย่างเข้มงวดอีก ดูประหนึ่งว่าจะเหยียดเท้าไม่ได้ นั่นก็อาบัติ นี่ก็อาบัติ โอ๊ย ชีวิตพระสงฆ์นี้ไม่มีอิสรภาพเสียเลย สึกดีกว่า”

ว่าแล้วก็ไปลาอุปัชฌาย์สึก มิไยอุปัชฌาย์จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เชื่อ สึกออกมาแล้วไปเลี้ยงโคเหมือนเดิม ไม่ได้เลี้ยงโคพักหนึ่ง กลับมาคราวนี้ทำไมมันเหนื่อยกว่าเดิม จึงคิดอยากบวชอีก ไปขอบวชอยู่กับพระคุณเจ้าอีก

พระคุณเจ้าเห็นแกบวชๆ สึกๆ หลายหน จึงเตือนว่า ทำอะไรจับจด ไม่ดีหนา จะบวชก็บวชเลย จะสึกก็สึกไปเลย แกก็ครับๆ คราวนี้ไม่สึกอีกแล้ว

ที่ไหนได้ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็ร้อนผ้าเหลืองอีก สึกออกไป

ว่ากันว่าแกไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ถึง ๖ ครั้ง

พระสงฆ์เห็นแกเป็นคนว่านอนสอนง่าย ถึงจะโลเล ก็อดสงสารแกไม่ได้ จึงให้บวชทุกครั้ง นัยว่าระหว่างนี้ภรรยาแกตั้งท้องพอดี

ครั้งที่ ๗ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย แกแบกไถกลับจากนาเข้าบ้าน ขณะภรรยานอนหลับอยู่ เขาเข้าห้องหมายหยิบผ้ามาเปลี่ยน เห็นภรรยานอนผ้านุ่งหลุดลุ่ยลงมา น้ำลายไหลออกจากปาก เสียงกรนดังครืดๆ กัดฟันกรอดๆ

ภาพนี้ใช่ว่าเพิ่งจะเคยเห็น แต่การเห็นคราวนี้ มันก่อความเปลี่ยนแปลงภายในใจเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะ “อินทรีย์” เขาแก่กล้าพอดี หมายความว่า มีความพร้อมจะเข้าถึงธรรมแล้ว เขาจึงมองดูภรรยาดุจดังซากศพขึ้นอืด (คงอ้วนเป็นพะโล้ด้วยล่ะ ฮิฮิ)

อนิจจตา ทุกขตา ก็ปรากฏขึ้นชัดแจ้งในสำนึก จึงคว้าผ้า “ขาวม้า” (ผ้าแขกจะเป็นผืนใหญ่ ขนาดผ้าขาวม้าไทยเหมือนกัน) คาดพุงรีบลงเรือน มุ่งหน้าไปวัดหวังจักบวชไม่ยอมสึก แม่ยายยืนอยู่บนเรือนอีกหลัง เห็นลูกเขยเพิ่งกลับจากนาหยกๆ ออกจากบ้านอย่างรีบร้อน จึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น รีบไปบนเรือน เห็นลูกสาวนอนกรนครืดๆ อยู่ จึงปลุกขึ้นด่า “นังชาติชั่ว ผัวเอ็งเห็นเอ็งอยู่ในสภาพที่ทุเรศอย่างนี้ เบื่อหน่ายหนีไปวัดแล้วเว้ย”

ลูกสาวงัวเงียขึ้นตอบว่า “ช่างเถอะแม่ เขาไปๆ มาๆ อย่างนี้หลายหนแล้ว เดี๋ยวอีกสองสามวันก็กลับมา”


นายจิตตหัสถ์ เดินไปบ่นไปว่าไม่เที่ยงหนอๆๆ เป็นทุกข์หนอๆๆ ตลอดทาง ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว (บรรลุโสดาปัตติผล) ในระหว่างทางนั้นเอง เข้าไปขอบวชกับพระคุณเจ้า

พระเถระประธานสงฆ์กล่าวว่า “เธอบวชๆ สึกๆ มาแล้วตั้ง ๖ ครั้ง แสดงถึงความโลเลไม่เอาจริง ศีรษะเธอถูกมีดโกนไถจนจะเป็นหินลับมีดอยู่แล้ว เราไม่สามารถบวชให้เธอได้อีก”

“ได้โปรดเถอะครับ คราวนี้จะไม่สึกอีกแล้ว กระผมรับรอง” เขาขอร้องอย่างน่าเห็นใจ

ในที่สุดท่านก็ใจอ่อนจนได้ อนุญาตให้เธอบวชเป็น “โบสถ์ที่ ๗” บวชแล้วเธอก็หมั่นทำความเพียรจากจิต ไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตถ์

คราวนี้บรรดาสมาชิกดงขมิ้นเห็นว่าท่านอยู่นานกว่าทุกครั้ง จึงกระเซ้าว่า “ทำไมคราวนี้ชักช้าอยู่เล่า ไม่ห่วงไถห่วงเมียหรือ”

ท่านบอกพระคุณเจ้าทั้งหลายว่า
“ผมจะไปๆ มาๆ ก็ต่อเมื่อมีความผูกพัน แต่ตอนนี้ตัดความผูกพันได้แล้ว ไม่ต้องไปไม่ต้องมาได้แล้ว” (แน่ะ เป็นปริศนาธรรมเสียด้วย)

พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องของจิตตหัตถ์ ตรัสรับรองกับภิกษุทั้งหลายว่า จิตตหัตถ์ไม่กลับไปอีกแล้ว เพราะเธอ “ละบุญละบาปได้แล้ว” (หมายถึงเป็นพระอรหันต์)

นำเรื่องของจิตตหัสถ์มาล่าให้ฟัง เป็นเครื่องเตือนสติว่า ไปๆ มาๆ ขึ้นๆ ลงๆ ตามอำนาจกิเลสตัณหาชักพาไป กาลเวลาบางทีมันค่อยๆ สะสมประสบการณ์ ค่อยๆ อบรมบ่มนิสัย สักวันหนึ่งเมื่อทุกอย่าง “พร้อม” และ “ลงตัว” มันก็จะ “คลิก” ของมันเอง

ท่ามกลางความวุ่นวายนั่นแหละจะค้นพบความไม่วุ่นวาย ท่ามกลางปัญญานั่นแหละจะค้นพบการแก้ปัญหา

เพื่อนพ้องผมที่แทบฆ่าตัวตายเพราะพิษไอเอ็มเอฟบางคน บัดนี้ได้คิดหันเข้าสู่พระธรรม จิตใจสงบมั่นคง เพราะได้คำชี้แนะจากผมผู้เป็นกัลยาณมิตร น่าอนุโมทนา


นึกๆ ดูก็ขำ ก่อนนี้มาหาเรา พูดไปร้องไห้ไป วันนี้กลับมาเยี่ยม แถมสอนเราด้วยแน่ะว่า “ปล่อยวางบ้างนะ”

เกือบจะสวนไปว่า ฉันน่ะทั้งปล่อยทั้งวางเว้ย ถ้าไม่ปล่อยไม่วาง ป่านนี้ก็ร้องไห้ตาแดงเหมือนแกวันนั้นไปแล้ว ฮิฮิ


:b8: :b8: :b8: คัดเนื้อหามาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


====================

:b45: อุบาสก ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46457

:b44: เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล
เมืองที่เป็นทั้งปาฏิหาริย์และอัศจรรย์

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=55477


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2022, 21:57 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร