วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2019, 08:26 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระสีวลี ผู้มีลาภมาก
จาก... ๓ พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์
:: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
===================

พระสีวลี เป็นพระเถระที่ชาวพุทธนับถือกันว่ามีลาภมาก พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสีวลีว่าเป็น ผู้เลิศในทางมีลาภ พระสีวลีเป็นบุตรของนางสุปปวาสา พระธิดาของเจ้าโกลิยวงศ์พระองค์หนึ่ง บิดาของพระสีวลีคือ เจ้ามหาลิจฉวี ขณะที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดา ท่านนำลาภมาให้มารดาเสมอ แต่ประหลาดตรงที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดานานถึง ๗ ปี ไม่ยอมคลอด มารดารู้สึกอึดอัดไม่น้อย นึกว่าตนเองคงมีกรรม มีเวรอะไรบางอย่าง อาจตายก่อนคลอดลูกก็ได้ จึงคิดที่จะทำบุญกุศล บอกพระสวามีให้ไปทูลอาราธนาพระพุทธองค์และสั่งว่าถ้าพระพุทธองค์รับสั่งอย่างใดให้จำไว้ด้วย

พระสวามีไปกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเพื่อให้เสด็จมาเสวยพระกระยาหาร พระพุทธองค์ตรัสว่า “ขอให้สุปปวาสาจงมีความสุข ปราศจากโรค และคลอดบุตรผู้ปราศจากโรคเถิด”

พระสวามีกราบถวายบังคมลา กลับไปถึงวังก็ทราบว่ากุมารได้ประสูติแล้ว นางสุปปวาสาทราบพระพุทธดำรังก็ปลื้มปีติอย่างยิ่ง บอกให้พระสวามีไปทูลอาราธนาพระองค์มาเสวยพระกระยาหารติดต่อกัน ๗ วัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองบุตรเกิดใหม่

ว่ากันว่าพระกุมารน้อยได้ช่วยเอาธมกรกกรองน้ำดื่มถวายพระสงฆ์ หลังจากเกิดมาไม่นาน เป็นที่อัศจรรย์ บางท่านก็ว่ากุมารอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปี คลอดออกมาแล้วก็ย่อมมีความสามารถดุจเด็ก ๗ ขวบ แต่คัมภีร์กล่าวว่า เพราะบารมีที่กุมารบำเพ็ญมาแต่ปางก่อน จนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้กลายเป็นธรรมดาของกุมารไป มิใช่เรื่องมหัศจรรย์อันใด หากเป็นผลสัมฤทธิ์ของบุญ

พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานนามพระกุมารว่า “สีวลี” สีวลีเจริญอายุมาได้ ๗ ขวบ รู้ความเป็นมาของชีวิตของตน กอปรกับบุญญาธิการแต่ปางหลังเตือน จึงสลดใจคิดอยากบวช ปรารภความนี้กับพระสารีบุตร

พระสารีบุตรจึงขออนุญาตนางสุปปวาสา พระมารดา นางก็อนุญาต

สามเณรสีวลีก็สำเร็จพระอรหัตผลทันทีที่ปลงผมเสร็จ นับตั้งแต่ท่านบรรพชามา ปัจจัยสี่ได้เกิดขึ้นแก่ท่านมากมาย ลาภผลเหล่านั้นได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์ทั้งปวงด้วย

ไม่ว่าพระสีวลีจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะทุรกันดารเพียงใด มักจะมีผู้นำอาหารบิณฑบาตมาถวายเสมอ แม้จะไปพร้อมพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ ต่างก็มีอาหารฉันอย่างเพียงพอ ไม่ขาดแคลน ความที่ท่านเป็นผู้มีลาภมากได้เลื่องลือไปทั่ว จนพระพุทธองค์ทรงประทานตำแหน่งเอตทัคคะในด้านเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นในทางมีลาภมาก

สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์พร้อมพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากเสด็จเพื่อไปเยี่ยมพระเรวตะ (ขทิรวนิยเรวตะ) ผู้อยู่สงัดวิเวกรูปเดียวในป่าสะแก ไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง พระอานนท์กราบทูลว่า ทางหนึ่งเป็นทางอ้อม ระยะทางถึง ๖๐ โยชน์ ตามรายทางมีหมู่บ้าน อีกทางหนึ่งเป็นทางตรง ระยะทางเพียง ๓๐ โยชน์ ไม่มีคนอยู่เลย เป็นทางทุรกันดาร เราควรไปทางไหน

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “สีวลีมากับเราด้วยหรือเปล่า”

“มา พระพุทธเจ้าข้า” พระอานนท์กราบทูล

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเราไปทางลัด”

แล้วพระองค์ก็เสด็จดำเนินนำหน้าไป ที่พระพุทธองค์ไปทางลัด ก็เพราะทรงทราบว่า ไม่ว่าจะไปทางไหน ถ้ามีพระสีวลีไปด้วย ย่อมไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต ซึ่งก็จริงตามนั้น เหล่าเทวดาที่สิงอยู่ในป่าต่างก็นำอาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระสงฆ์ตลอดเส้นทางที่ผ่าน เพราะผลบุญของพระสีวลี

การที่พระสีวลีมีลาภมาก็ดี ต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาถึง ๗ ปีกว่าจะคลอดก็ดี ล้วนเป็นผลบุญและบาปที่ทำไว้แต่ปางก่อน ในคัมภีร์อปาทาน ท่านได้เล่าอัตชีวประวัติไว้ว่า

ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมมุตตระ พระสีวลีเคยเป็นกษัตริย์เมืองหนึ่ง ท่านถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้ว ตั้งความปรารถนาอยากได้เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก ต่อมาในอีกชาติหนึ่ง ท่านเกิดเป็นกุลบุตรผู้ยากไร้ ได้ถวายน้ำผึ้งกับนมส้มแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ด้วยศรัทธาอย่างยิ่ง ด้วยอานิสงส์แห่งผลทานนั้นท่านจึงเป็นผู้มีลาภมากในชาตินี้

ในส่วนที่ท่านต้องทุกข์ทรมานอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปีจึงคลอดนั้น ท่านมิได้กล่าวไว้ แต่พระสงฆ์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเล่าว่า ในชาติหนึ่งพระสีวลีเกิดเป็นกษัตริย์ ยกทัพไปล้อมเมืองข้าศึกเพื่อเอาเป็นเมืองขึ้น ล้อมอยู่ ๗ ปี กษัตริย์เมืองถูกล้อมไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งชาวเมืองเดือดร้อนมาก จึงลุกฮือขึ้นจับพระราชาของตนสังหาร แล้วยกเมืองให้กษัตริย์ผู้บุกรุก เพื่อยุติปัญหา เพราะผลบาปที่ทำไว้นั้น ท่านจึงต้องอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปีกว่าจะคลอด หลังจากเสวยผลกรรมในนรกมานาน


พิเคราะห์ตามประวัติของพระสีวลี ท่านมีลาภมากเพราะผลทานที่ถวายด้วยจิตที่เลื่อมใส ทำให้มีข้อคิดแก่เราชาวพุทธว่า ถ้าเราอยากได้อะไร เราก็ควรให้ก่อน การทำบุญทำทานคือการให้

เพราะฉะนั้นท่านที่อยากได้ลาภ ถึงกับอุตส่าห์ไปเช่าพระสีวลีมาบูชา ก็ควรจะปฏิบัติตามปฏิปทาของพระสีวลี นั่นคือให้รู้จักทำบุญทำทานมากๆ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มาก ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อนั้นแหละลาภผลก็จะหลั่งไหลมาสู่ท่านไม่รู้จักหมดสิ้น

คนที่เอาแต่ได้ บุญทานไม่เคยทำ ถึงจะแขวนพระสีวลีเต็มคอ ก็คงหาลาภไม่ได้อยู่ดี


===================

:b50: :b50: :b50: ๓ พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์
(๑) พระมหากัจจายนเถระ (พระสังกัจจายน์)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=57582

(๒) พระสีวลี ผู้มีลาภมาก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=57583

(๓) พระอุปคุต (พระบัวเข็ม) ผู้ปราบพญามาร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=57464

:b45: ภิกษุ ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46461


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร