วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หมอชีวกโกมารภัจจ์
ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก

หมอชีวกโกมารภัจจ์นั้น เป็นนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากในครั้งพุทธกาล

สำเร็จการศึกษาวิชาแพทย์จากสำนักตักศิลา ได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าพิมพิสาร เจ้าแห่งมคธรัฐ ให้ดำรงตำแหน่งแพทย์หลวงประจำพระราชสำนัก ต่อมาเขาได้ถวายการรักษาพระโรคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยความใกล้ชิดกับพระพุทธองค์นี่เอง เขาจึงเกิดศรัทธาในพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์ ปรุงพระโอสถถวายทุกคราวที่ทรงพระประชวร นอกจากนี้ เขายังได้ถวายสวนมะม่วงอันเป็นสมบัติของเขาให้เป็นอารามที่ประทับประจำของพระพุทธเจ้าอีกด้วย ตลอดชีวิตเขาได้บำเพ็ญแต่คุณงามความดี ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ ไม่เลือกยากดีมีจน จนได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นเอตทัคคะในทางเป็นที่รักของปวงชน

เรื่องราวชีวิตของเขามีกล่าวไว้ในพระวินัยปิฎก และคัมภีร์อรรถกถาเพียงกระท่อนกระแท่น ผู้เขียนจึงขอเก็บรวบรวมมาแต่งเติมเสริมต่อให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อประกาศเกียรติคุณของบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งตลอดชีวิตมุ่งทำแต่ประโยชน์เพื่อคนอื่นในด้านที่ตนถนัด จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตนเอง

คนชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นคนที่น่าสรรเสริญและเจริญรอยตามเป็นอย่างยิ่ง

• แรงอธิษฐาน

ย้อนหลังจากภัทรกัปนี้เป็นแสนกัป สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตระ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ประสูติที่เมืองจัมปา เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอสมะ กับพระนางอสมา

ก่อนเสด็จออกผนวช ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางอุตตรา มีพระโอรสพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า รัมมะ

ภายหลังทรงรู้สึกเบื่อหน่ายในเพศผู้ครองเรือน จึงเสด็จออกทรงผนวช บำเพ็ญพรต จนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเสด็จไปประกาศพระศาสนา โดยได้แสดงธรรมเทศนา กัณฑ์แรก ชื่อ ธนัญชุยยานสูตร ไม่นาน มีผู้เลื่อมใสมอบตนเป็นสาวกมากขึ้นตามลำดับ ในจำนวนนี้มีพระภราดาทั้งสองของพระองค์ คือ เจ้าชายสาละกับเจ้าชายอุปสาละรวมอยู่ด้วย ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย ตามลำดับ

สมัยนั้นชีวกโกมารภัจจ์เกิดทันเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเห็นชายคนหนึ่งท่าทางภูมิฐาน เดินเข้าเดินออกพระอารามที่ประทับของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ อยากรู้ว่าชายคนนี้ไปวัดทำไมบ่อยๆ วันหนึ่งจึงไปดักรออยู่นอกประตูวัด พอชายคนนั้นเดินออกมาจากประตู เขาจึงกรากเข้าไปถามว่า “นี่คุณ ผมเห็นคุณเดินเข้าเดินออกวัดทุกวัน ผมอยากทราบว่าคุณไปทำไม”

สุภาพบุรุษคนนั้นมองเขาแวบหนึ่ง แล้วตอบอย่างสุภาพว่า “ผมเป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า ผมไปเฝ้าพระองค์ทุกวันเพื่อรับพระโอวาท และถวายการรักษาในคราวที่ทรงพระประชวร”

“แหม คุณช่างมีตำแหน่งน่าสรรเสริญจริงๆ ทำอย่างไรผมจะได้เป็นอย่างคุณบ้างนะ”

“หน้าที่อย่างนี้ ชั่วพุทธกาลหนึ่งก็มีเพียงคนเดียว ถ้าคุณอยากเป็นอย่างผม ก็ตั้งอธิษฐานไว้ชาติหน้าสิ ผมไปล่ะ จะรีบไปดูคนไข้ในเมือง”

แล้วหมอก็รีบผละไป ปล่อยให้เขายืนคิดอยู่คนเดียว “ถ้าคุณอยากเป็นอย่างผม ก็ตั้งอธิษฐานไว้ชาติหน้าสิ” คำพูดของหมอยังก้องอยู่ในใจ ชาติหน้ามีจริงหรือ? อธิษฐานจิตมีผลถึงชาติหน้าจริงหรือ? ฯลฯ คำถามเหล่านี้เรียงคิวเข้ามาสู่สมองของเขาเป็นทิวแถว

แต่ก็ให้คำตอบแก่ตัวเองไม่ได้

พลันนึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ จึงไปเข้าเฝ้าพระองค์ยังพระอาราม กราบทูลถามข้อข้องใจต่างๆ พระองค์ก็ทรงประทานวิสัชนาให้เป็นที่หายสงสัยหมดสิ้น เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้เข้าเฝ้าและสนทนาอย่างใกล้ชิดกับพระผู้เป็นศาสดาเอกในโลก ให้รู้สึกปีติดีใจเหลือพรรณนา หลังจากได้รับรสพระธรรมจากพระองค์เป็นที่ชุ่มชื่นใจแล้ว เขาได้กราบทูลอาราธนาพระองค์ไปเสวยภัตตาหารที่บ้านของเขาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ พระองค์ทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ

หลังจากถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์สาวกแล้ว เขาเข้าไปกราบแทบพระยุคลบาท กล่าวคำอธิษฐานต่อพระพักตร์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายภัตตาหารครั้งนี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงเป็นแพทย์ประจำพระพุทธเจ้าในอนาคตเช่นเดียวกับนายแพทย์ผู้อุปัฏฐากพระองค์ด้วยเถิด”

“เอวัง โหตุ ขอให้สัมฤทธิ์ดังปรารถนาเถิด”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำรัสตอบ ทรงประทานอนุโมทนาเสร็จแล้วเสด็จกลับไปยังพระอาราม

ดับขันธ์จากชาตินั้นแล้ว เขาได้เวียนว่ายตายเกิดในภพต่างๆ ดีบ้าง ชั่วบ้าง ตามแรงกรรมที่ก่อสร้างไว้ กาลผ่านไปเป็นระยะเวลานานนับได้แสนกัป

ในที่สุด “แรงอธิษฐาน” ของเขาสัมฤทธิ์ผล เมื่อเขาได้มาถือกำเนิดเป็นชีวกโกมารภัจจ์โอรสบุญธรรมของเจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเจ้าแห่งมคธรัฐ

โปรดติดตามเรื่องราวของเขาต่อไปเถิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


• กำเนิดชีวกโกมารภัจจ์

ขอกล่าวถึงเมืองไพศาลีก่อน ในครั้งพุทธกาล เมืองไพศาลีเป็นเมืองมั่งคั่ง มีประชาชนพลเมืองมากมาย อุดมสมบูรณ์ด้วยภักษาธัญญาหารนานาชนิด ในพระวินัยปิฎก ท่านพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่แห่งเมืองนี้ว่า
“มีปราสาท ๗,๗๐๗ หลัง มีเรือนยอด ๗,๗๐๗ หลัง มีสวนดอกไม้ ๗,๗๐๗ แห่ง มีสระโบกขรณี ๗,๗๐๗ สระ”

ยิ่งกว่านั้นยังมีสิ่งที่แปลกและใหม่ที่เมืองอื่นไม่มี คือ นครโสเภณี หรือหญิงงามเมือง

ตำแหน่งนี้โบราณถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่พระราชาทรงตั้ง โดยคัดเอาสตรีที่มีเรือนร่างสะคราญตาที่สุด และชำนาญฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีอย่างดีเยี่ยม

สตรีผู้มีเกียรติได้ดำรงตำแหน่งนครโสเภณีเป็นคนแรกชื่อ อัมพปาลี นัยว่า เป็นผู้ที่มีรูปร่างผิวพรรณเฉิดฉาน น่าเสน่หายิ่งนัก ราคาค่าตัวคราวละ ๕๐ กหาปณะ (ประมาณ ๒๐๐ บาท)

เกียรติศัพท์เมืองไพศาลี มีหญิงนครโสเภณีผู้เลอโฉมสำหรับบำเรอชาย ได้ยินไปยังแว่นแคว้นแดนไกล เป็นเหตุให้พ่อค้าคฤหบดีจากเมืองต่างๆ ขนเงินขนทองมาทิ้งให้เมืองไพศาลีเป็นจำนวนมาก

คราวหนึ่ง นายพาณิชจากเมืองราชคฤห์จำนวนหนึ่งเดินทางไปค้าขายที่เมืองไพศาลี ได้ทราบเรื่องนี้เข้า จึงคิดกันว่าตำแหน่งนครโสเภณี เป็นอุบายดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศได้อย่างหนึ่ง สมควรที่จะกราบบังคมทูลพระราชาให้ทรงแต่งตั้งหญิงนครโสเภณีเหมือนอย่างเมืองไพศาลีบ้าง

กลับไปแล้ว พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลความดำริของตนให้พระองค์ทราบ

พระองค์ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้คัดเลือกสตรีงามเพื่อดำรงตำแหน่งนี้

ในที่สุดได้สตรีวัยรุ่นนางหนึ่ง ชื่อ สาลวดี โดยได้ตั้งอัตราค่าตัวสำหรับผู้ร่วมอภิรมย์ ๑๐๐ กหปณะ

นางสาลวดีครองตำแหน่งนี้ไม่นานก็ตั้งครรภ์โดยบังเอิญ มาสำนึกได้ว่า อันธรรมดาหญิงโสเภณี เมื่อตั้งครรภ์ย่อมเป็นที่เบื่อหน่ายของชาย รายได้ที่เคยได้ประจำก็ย่อมจะหมด จะทำแห้งหรือ ก็มีมโนธรรมพอที่จะไม่ทำบาปหยาบช้าถึงขั้นฆ่าลูกในไส้ จะทำอย่างไรดีล่ะ

ในที่สุดก็คิดอุบายได้ แสร้งทำเป็นป่วย บอกงดรับแขกชั่วคราว จนคลอดลูกออกมาเป็นชาย ตกดึกสงัดยามปลอดคน นางได้สั่งให้หญิงรับใช้คนสนิท เอาทารกน้อยผู้น่าสงสาร ใส่กระด้งไปทิ้งไว้ที่กองขยะนอกเมือง

อกุศลกรรมใดที่บันดาลให้ทารกน้อยผู้ไร้เดียงสาต้องถูกนำไปทิ้งอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ก็สุดที่จะทราบได้ แต่เดชะบุญกุศลที่ทารกน้อยผู้นี้ได้ก่อสร้างไว้ในอดีตชาติ มีมากมายมหาศาล จึงบันดาลให้เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร มีอันต้องเสด็จออกนอกเมืองแต่เช้า มุ่งพระพักตร์มายังกองขยะที่ทารกน้อยนอนอยู่

ฝูงแร้งกาที่มารุมกันอยู่ที่ขยะมูลฝอยกองนั้น เห็นคนเดินมาใกล้มากหน้าหลายตา พากันแตกฮือบินหนีไป เจ้าฟ้าอภัยทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงรับสั่งถามมหาดเล็กที่ตามเสด็จว่า “นั่นแร้งกามันรุมกินอะไรที่กองขยะนั่น ไปดูซิ”

พวกมหาดเล็กวิ่งไปดู เห็นทารกน้อยนอนแบบอยู่ที่กระด้งบนกองขยะ จึงรีบมาทูลว่า

“แร้งกามันรุมกันเพื่อจะจิกกินทารกคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าใครเอามาทิ้งไว้พ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชาย พ่ะย่ะค่ะ”

“ยังมีชีวิตอยู่ หรือตายแล้ว”

“ยังมีชีวิตอยู่ พะยะค่ะ”

ได้ฟังคำกราบทูลของมหาดเล็ก ทรงเกิดความสงสารขึ้นจับพระทัย “ใครหนอ ช่างใจร้าย เอาลูกในไส้มาทิ้งได้” ทรงรำพึงในพระทัย พลางรีบสาวพระบาทไปยังกองขยะ ทอดพระเนตรเห็นทารกน้อยดิ้นกระแด่วๆ ยื่นมือไขว่คว้ามายังพระองค์ จึงรับสั่งให้นำเด็กน้อยเข้าวัง สั่งให้พี่เลี้ยงนางนมเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ทรงรับไว้เป็นโอรสบุญธรรมต่อมา

เพราะคำกราบทูลของมหาดเล็กว่า “ยังอยู่” (ชีวโก) เจ้าชายจึงทรงขนานนามทารกน้อยว่า “ชีวกโกมารภัจจ์” หรือเรียกตามภาษาไทยว่า “บุญยัง” (หมายความว่า ผู้ยังมีชีวิตรอดมาได้ เพราะบุญที่เจ้าฟ้าอภัยทรงนำมาเลี้ยงดู)

เจ้าบุญยังมีแววว่าเป็นเด็กฉลาดมาแต่น้อย หน่วยก้านจะได้ดีต่อไปภายหน้า ไม่ว่าจะเล่นอะไรกับลูกหลวงอื่นๆ เจ้าบุญยังสามารถเอาชนะเขาได้หมด จนพวกเขาขัดใจที่เอาชนะเจ้าบุญยังไม่ได้ ด่าเอาเจ็บๆ ว่า

“เจ้าลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่นี่เก่งจริงโว้ย”

“เจ็บใจนัก เล่นสู้เจ้าเด็กข้างถนนไม่ได้” ฯลฯ

ทำเอาเจ้าหนูน้อยบุญยังสงสัยเป็นกำลัง จึงไปทูลถามเจ้าฟ้าอภัย ว่าใครเป็นพ่อแม่ของตน เจ้าฟ้าอภัยทรงอึดอัดที่ถูกถามอย่างจังเช่นนั้น จึงทรงชี้ไปที่พี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายว่า “พวกโน้นแหละแม่เจ้า”

ครั้นเด็กน้อยย้อนถามอีกว่า “คนอื่นเขามีแม่คนเดียว ทำไมหนูมีแม่หลายคนนัก”

เจ้าชายตอบให้เธอหายสงสัยไม่ได้ ก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงไปต่างๆ นานา ครั้นถูกรุกถามหนักเข้า จึงตัดบทว่า

“ก็ข้าเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่เล็กๆ ข้านี่แหละเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ของเจ้า”

“พวกเพื่อนๆ เขาว่าหนูเป็นเด็กข้างถนน เป็นความจริงเพียงไร” หนูน้อยบุญยังซัก

“เฮ้ย อย่าไปเอาใจใส่กับคำพูดเหลวไหลอย่างนั้น” เจ้าชายดุ

ยิ่งถามก็ยิ่งงง เสด็จพ่อไม่เคยให้ความกระจ่างอะไรเลย ชักจะแน่ใจแล้วว่า ตนเองไม่มีพ่อแม่ที่แท้จริง หาไม่เสด็จพ่อคงไม่บ่ายเบี่ยงเช่นนั้น และพวกเพื่อนๆ ลูกหลวงอื่นๆ คงไม่ด่าว่าเป็นเด็กข้างถนนหรอก เจ้าหนูน้อยนั่งคิด “เจ้าเด็กข้างถนน...อา มันช่างเสียวแปลบขั้วหัวใจทุกครั้งที่นึกถึงคำดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้” น้ำตาเจ้ากรรมมันจะไหลซึมออกมาให้ได้

ฉับพลันแรงแห่งมานะก็ฉายวาบขึ้นในใจ “สักวันหนึ่งเถอะ ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่คนนี้จะหาวิชาความรู้ใส่ตัว เอาชนะลูกผู้ดีเหล่านี้ให้ได้”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


• ศึกษาวิชาแพทย์ที่กรุงตักสิลา

สมัยนั้นสำนักตักสิลาเป็นที่เลื่องลือว่า เป็นมหาวิทยาลัยแหล่งผลิตสรรพวิชาทั่วโลก

เจ้าบุญยังหรือชีวกโกมารภัจจ์ คอยสืบเสาะหาทางไปศึกษาวิชาที่เมืองนี้อยู่เสมอ

วันหนึ่งพบปะพวกพาณิชมาจากเมืองตักสิลา จึงพยายามตีสนิท ขออาศัยเดินทางไปกับพวกเขาด้วย โดยมิได้ทูลลาแม้กระทั่งเสด็จพ่อ ด้วยเกรงว่า ถ้าทรงทราบความประสงค์ของเขาคงจักไม่ทรงอนุญาตให้เขาไปเป็นแน่

เมื่อไปถึงเมืองตักสิลา เขาได้เข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มอบตัวถวายเป็นศิษย์ ขอเรียนวิชาแพทยศาสตร์

การศึกษาเล่าเรียนในสมัยนั้นมีอยู่สองประเภท คือประเภทหนึ่ง ถ้าเป็นคนยากจนไม่เสียเงินค่าเล่าเรียน ต้องอยู่รับใช้อาจารย์ ช่วยทำกิจสารพัด ตั้งแต่ตักน้ำ ผ่าฟืน หุงอาหาร บีบนวด ฯลฯ

อีกประเภทหนึ่ง ถ้ามีเงินเสียค่าเล่าเรียน ถึงแม้จะอยู่ในสำนักก็ไม่ต้องทำงานให้อาจารย์ นอกจากเรียนหนังสืออย่างเดียว

ชีวกโกมารภัจจ์ไม่มีเงินให้อาจารย์ จึงมอบตนเป็นศิษย์ประเภทแรก ช่วยทำงานทำการ รับใช้อาจารย์สารพัดอย่าง อาศัยว่าเป็นเด็กที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีความเคารพเชื่อฟังโอวาทอาจารย์เป็นอย่างดี และมีความตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่เกียจคร้าน จึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ วิชาความรู้เท่าไรอาจารย์ก็ถ่ายทอดให้จนหมด ไม่ปิดบังอำพราง

ชีวกเรียนวิชาแพทย์อยู่กับอาจารย์ ๗ ปี มีความรอบรู้ในสาขาวิชานี้เต็มตามที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเรียนจบสักที ชักคิดถึงบ้าน คิดถึงเสด็จพ่อเต็มที วันหนึ่งจึงเข้าไปหาอาจารย์เรียนถามท่านว่า

“อาจารย์ครับ เมื่อไร่ผมจะเรียนจบเสียที”

“ทำไมหรือ” อาจารย์ถาม

“ผมคิดถึงบ้านเต็มทีแล้วครับ ผมตั้งใจเรียนตามที่อาจารย์เมตตาสั่งสอนเป็นเวลา ๗ ปีแล้ว ผมอยากทราบว่าเท่านี้ผมพอจะทำมาหากินได้หรือยัง”

“พ่อน่ะพอหรอก แต่วิชาแพทย์เป็นวิชาที่กว้างขวาง เรียนไม่รู้จบ อาจารย์ตั้งใจจะให้เธอเรียนอีก ๒” ปี แล้วจึงจะให้กลับ แต่ถ้าเธออยากกลับบ้านจริงๆ ก็ตามใจ”

อาจารย์มองหน้าศิษย์รักด้วยปรานี แล้วเอ่ยต่อไปว่า

“ก่อนอื่นอาจารย์ขอสอบความรู้เธอก่อน ถ้าเธอสอบผ่านจึงจะอนุญาตให้กลับ เธอจงไปสำรวจดูต้นไม้ต้นหญ้าทุกชนิด ทั่วทั้งสี่ทิศ ภายในรัศมี ๔๐๐ เส้น ให้ดูว่าหญ้าชนิดไหน ใบไม้เปลือกไม้ชนิดไหน ใช้เป็นยาอะไรได้บ้าง อย่างไหนใช้ทำยาไม่ได้เลย”

ชีวกเดินออกจากมหาวิทยาลัยตักสิลา ขึ้นเขาเข้าป่าไปสำรวจสมุนไพรทั่วทั้งสี่ทิศประมาณเจ็ดวัน จึงกลับมาหาอาจารย์ เมื่อถูกถาม เขาได้สาธยายต้นไม้ใบหญ้าต่างๆ ที่ไปสำรวจมาว่าชนิดนั้นๆ ใช้ผสมทำยาแก้โรคนั้นๆ ตามตำราที่ได้เล่าเรียนมา สุดท้ายเขาบอกแก่อาจารย์ว่า

“ต้นไม้ใบหญ้าและสมุนไพรใดๆ ในชมพูทวีปนี้ที่ใช้ทำยาไม่ได้ ไม่มี ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น

อาจารย์เอื้อมมือมาลูบศีรษะเขาด้วยปรานี พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เป็นอันว่า เธอเรียนจบหลักสูตรวิชาแพทย์แล้ว กลับบ้านได้”

แล้วอาจารย์ได้มอบเงินจำนวนเล็กน้อย พร้อมทั้งกล่าวอวยพรแก่ศิษย์รักด้วยอาลัย เขากราบลาอาจารย์และเพื่อนๆ ออกเดินทางจากเมืองตักสิลา มุ่งหน้ามายังเมืองราชคฤห์ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตน

ตรงนี้คัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า เหตุที่อาจารย์ให้เงินและเสบียงเดินทางแก่ชีวกโกมารภัจจ์เพียงเล็กน้อย เพราะอาจารย์คิดว่าชีวกเป็นโอรสเจ้าฟ้า เจริญเติบโตในราชสกุลอันโอ่อ่า พอเรียนศิลปวิทยาจบ กลับไปก็ยังได้รับการยกย่องในฐานันดรอันสมเกียรติจากพระบิดา และพระอัยกา เมื่อเป็นเช่นนี้เขาคงจักไม่รู้จักบุญคุณของครูบาอาจารย์ และไม่รู้คุณค่าแห่งวิชาการที่ได้เรียนมา

แต่ถ้าเสบียงเดินทางของเขาหมดในระหว่างทาง เขาจักดิ้นรนใช้วิชาความรู้หาเงินหาทองและเสบียงเดินทาง อันจักทำให้เขารู้จักซาบซึ้งในบุญคุณของอาจารย์และวิชาความรู้ยิ่งขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


• รักษาภรรยาเศรษฐีเมืองสาเกต

พอมาถึงเมืองสาเกต ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองตักสิลาและเมืองราชคฤห์ เสบียงเดินทางที่มีติดตัวมาก็หมดเกลี้ยง เจ้าบุญยังชักรู้สึกหิวขึ้นมาตงิดแล้ว จะได้ข้าวที่ไหนกิน?

กำลังคิดหนักใจอยู่พอดี ได้ยินเสียงคนพูดกันถึงเมียเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองสาเกต เป็นโรคปวดศีรษะมา ๗ ปี รักษาจนหมดเงินทองมากมาย ไม่มีหมอคนไหนรักษาให้หายได้ จนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต นอนรอความตายไปวันๆ

หมอหนุ่มจึงแสดงตัวเป็นหมอที่สำเร็จมาจากเมืองตักสิลา โรคของเมียเศรษฐีเขาสามารถรักษาให้หายได้ ขอให้ช่วยพาเขาไปยังบ้านเศรษฐีเถิด

คนฟังเห็นหมอหนุ่มพูดจาเอาจริงเอาจัง จึงพาเขาไปยังบ้านเศรษฐี แจ้งว่ามีหมอคนหนึ่งรับอาสาจะรักษาโรคให้เมียเศรษฐี “หมอแก่ๆ ยังไม่มีปัญญารักษาให้หายได้ เสียเงินเสียทองไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไร่ หมอหนุ่มจะเก่งอาจมาจากไหน บอกเขาเถิด ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” เมียเศรษฐีกล่าวด้วยความเบื่อหน่าย

“เขาบอกว่าถ้ารักษาไม่หายไม่เอาตังค์” เสียงคนใช้รายงานหลังจากนำความไปแจ้งแก่ชายหนุ่ม และได้รับคำมั่นสัญญาจากเขา

“ถ้างั้นบอกให้เขาเข้ามา” เมียเศรษฐีตัดบท

หมอหนุ่มเข้าไปตรวจอาการไข้ประเดี๋ยวเดียวก็รู้ทางแก้

จึงสั่งให้หาเนยในมาประมาณหนึ่งถ้วยตะไล กับเครื่องยาอีกสองสามชนิดมาผสมกัน ให้เมียเศรษฐีนอนหงาย แล้วให้นัตถุ์

พอนัตถุ์ยาเข้าไป เนยใสไหลเยิ้มออกมาทางปาก นางจึงถ่มลงกระโถน แล้วตะโกนสั่งให้สาวใช้เอาสำลีมาซับเนยใสไว้ กิริยาอาการเช่นนั้นทำให้หมอหนุ่มตะลึง คิดในใจว่า “เรามาเจอแม่ยอดตังเมเข้าแล้วสิ เนยใสที่ถ่มทิ้งแล้วยังอุตส่าห์เอาสำลีซับเก็บไว้อีก อย่างนี้แกจะให้ค่ารักษาเรากี่ตังค์”

เมียเศรษฐีดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของหมอหนุ่ม จึงพูดขึ้นว่า “หมอคิดว่าฉันขี้เหนียว แต่หมออย่าลืมว่าฉันป่วยมาตั้ง ๗ ปี เสียค่ารักษาไปแล้วเท่าไหร่ สิ่งใดที่พอจะกระเหม็ดกระแหม่ได้ ก็ไม่ควรให้เสียเปล่า เนยใสที่ซับไว้นี้ ใช้ทามือ ทาเท้า แก้เมื่อยขบหรือใช้เป็นน้ำมันตามไฟก็ได้ หมอไม่ต้องกลัวว่าฉันจะไม่ให้ค่ารักษาแก่หมอหรอก ขอให้หายจริงเถอะ เท่าไหร่เท่ากัน”

“เปล่าหรอกครับคุณนาย ผมมิได้คิดในทำนองนั้น ผมเพียงสงสัยว่าคุณนายให้ซับเนยใสไว้ทำไมเท่านั้นแหละครับ” หมอหนุ่มแก้ตัว

ปรากฏว่าพอนัตถุ์ยาที่หมอชีวกประกอบให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โรคปวดศีรษะของเมียเศรษฐีได้หายไปดังปลิดทิ้ง นางรู้สึกปลาบปลื้มที่หมอหนุ่มได้บันดาลชีวิตใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทอดอาลัยตายอยากในชีวิตมานานแล้ว จึงให้รางวัลเขาถึง ๔,๐๐๐ กหาปณะ (ประมาณหนึ่งหมื่นหกพันบาท)

ฝ่ายลูกเขย ลูกสะใภ้ ลูกชาย ต่างรู้สึกดีใจที่นางหายจากโรค ให้รางวัลหมออีกคนละหลายพัน ชื่อเสียงของหมอหนุ่มได้แพร่สะพัดไปทั่งเมืองสาเกตอย่างรวดเร็ว บ้างก็มาตามตัวไปรักษาโรคของญาติพี่น้องของตน

หมอหนุ่มรวบรวมเงินทองจากการใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากอาจารย์ได้มากเพียงพอแก่ความต้องการ ก็อำลาครอบครัวเศรษฐีและชาวเมืองสาเกต ออกเดินทางไปยังเมืองมาตุภูมิทันที

ไปถึงเมืองราชคฤห์ เขาได้รีบไปเฝ้าเสด็จพ่อ เจ้าฟ้าอภัยตกพระทัยที่จู่ๆ “เจ้าบุญยัง” ก็โผล่พรวดเข้ามา หลังจากหายหน้าไปตั้ง ๗ ปี ครั้งแรกทรงมีพระพักตร์บึ้งตึง ที่โอรสบุญธรรมไปไหนมาไหนไม่บอกกล่าว

เขาได้กราบทูลสาเหตุที่ต้องหลบหนีออกจากพระราชวังไปศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองตักสิลา จนมีความชำนาญรักษาโรคได้สารพัดโรค แล้วกราบทูลขอขมาโทษที่ทำการครั้งนี้ไปโดยพลการ เสมือนมิรู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ทรงเมตตาอุปถัมภ์ชุบเลี้ยงมา แล้วนำเงินทองที่เหลือจากที่ใช้จ่ายทั้งหมดมาถวายแด่เสด็จพ่อ

“เงินจำนวนนี้ หม่อมฉันได้จากการรักษาภรรยาเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองสาเกต ขอทูลถวายเพื่อเป็นเครื่องบูชาพระเดชพระคุณที่ทรงเมตตาชุบเลี้ยงหม่อมฉัน”

ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงแน่พระทัยว่าที่ “เจ้าบุญยัง” กล่าวมาทั้งหมดน่าจะเป็นความจริง

ทรงชื่นชมในความกตัญญูรู้คุณของโอรสบุญธรรม ไม่ทรงรับเงินจำนวนนั้น หากแต่รับสั่งให้เขาเก็บไว้เป็นสมบัติของตน

ตั้งแต่นั้นมาเขากลายเป็นนายแพทย์คนโปรดประจำพระองค์เสด็จพ่ออีกตำแหน่งด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


• รักษาพระโรคพระเจ้าพิมพิสาร

เวลานั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงประชวรเป็นโรค “ภคันธลาพาธ” (“ภคันธลา” ภาษาไทยแปลว่า โรคริดสีดวงทวาร แต่ฉบับภาษาฝรั่งแปลว่า fistula ได้แก่โรคที่เกิดเป็นโพรงระหว่างช่องอุจจาระกับผิวหนังที่ก้น คนละชนิดกับโรคริดสีดวงทวารและรักษายากกว่า) มีพระโลหิตไหลออกมาเปื้อนพระภูษา ทรงเป็นที่รำคาญพระทัยอยู่เสมอ

แพทย์หลวงถวายโอสถขนานใดๆ ก็มิได้หายขาด บางคราวต้องระงับพระราชกิจเป็นเวลานาน

เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสได้กราบทูลแนะให้พระราชทานพระราชวโรกาสให้หมอชีวกถวายการรักษาสักครั้ง จึงทรงรับสั่งให้หมอชีวกเข้าเฝ้าตรวจพระอาการ

หมอหนุ่มวินิจฉัยโรคอย่างถี่ถ้วนแล้ว ประกอบพระโอรถถวายให้เสวยเพียงสองสามครั้ง อาการประชวรก็หายขาดเป็นปลิดทิ้ง จึงทรงโปรดปรานหมอชีวกมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เขาดำรงตำแหน่งนายแพทย์ประจำพระราชสำนัก

รับพระราชทานเบี้ยหวัดเป็นจำนวนมาก

ผ่าตัดใหญ่สองรายซ้อน ในเมืองพาราณสี มีบุตรเศรษฐีคนหนึ่งป่วยเป็นโรคเนื้องอกในลำไส้ รับประทานอาหารลงไปมีอาการจุกเสียด ได้รับทุกขเวทนามาก ผอมแห้งแรงน้อยลงทุกวัน

เศรษฐีได้ทราบข่าวว่า มีหมอผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งในราชสำนักพระเจ้าพิมพิสาร เมืองราชคฤห์ จึงไปกราบทูลขออนุญาตให้เขาไปรักษาบุตรชายของตน พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ตามประสงค์

หมอหนุ่มไปถึงบ้านเศรษฐีตรวจดูคนไข้ก็รู้ทันทีว่า ลำไส้เป็นเนื้องอก ต้องผ่าตัด แต่การที่จะลงมือผ่าตัดใดๆ ในสมัยที่ผู้คนยังไม่รู้จักศัลยกรรม และยังไม่ยอมรับกัน เป็นเรื่องยากลำบาก ดีไม่ดีเขาจะเข้าใจว่าฆ่าลูกเขาก็จะลำบาก

หมอชีวกจึงหันมาพูดกับพ่อของคนไข้ว่า

“ใต้เท้าอยากให้ลูกหายไหม”

“แล้วกัน ไม่อยากให้หายจะตามหมอมาทำไม ถามพิลึก” เศรษฐีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“คือผมอยากจะขอคำมั่นสัญญาจากใต้เท้าก่อน โรคนี้ร้ายแรงมาก ถ้าใต้เท้าไม่ตกลงให้รักษาตามวิธีของผม ลูกชายใต้เท้าต้องตายแน่” หมอหนุ่มไซโค

“เอาเถอะ จะรักษาด้วยวิธีไหนยอมทั้งนั้น ขอชีวิตลูกฉันก็แล้วกัน” เศรษฐีให้คำมั่น

“เห็นจะต้องผ่าตัดเอาไส้ออก” หมอหนุ่มกล่าวเบาๆ

“หา หมอว่าอะไรนะ?” เศรษฐีตาค้าง

“อย่าลืมว่าใต้เท้าสัญญาไว้แล้ว ผมต้องผ่าตัดลูกชายใต้เท้า ไม่งั้นลูกชายใต้เท้าไม่รอดชีวิตแน่” หมอหนุ่มกล่าวเคร่งขรึม

พูดคำว่าตายบ่อยนัก เศรษฐีชักใจไม่ดี จึงหันหน้าไปมองเมีย แม่เด็กก็กลัวลูกชายตายไม่แพ้พ่อ จึงพยักหน้าอนุญาตให้หมอรักษาตามกรรมวิธีของหมอ เพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่น

หมอชีวกลงมือใช้วิชาผ่าตัดที่เรียนมาจากอาจารย์ วางยาสลบเสร็จ แล้วผ่าพุงคนไข้ล้วงลำไส้ออกมาชะล้างอย่างดี ตัดส่วนที่เสียออก เย็บลำไส้ เย็บพุงให้สนิท ทายาสมาน ชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ จากนั้นมาไม่กี่วันคนไข้ก็หาย ได้รับรางวัลจากพ่อแม่ของคนไข้มากมาย

จากนั้นมา เกียรติคุณของหมอหนุ่มก็แพร่สะพัดไปทั่วเมือง ต่างก็โจษจันกันว่า

“หมอหนุ่มจากเมืองราชคฤห์ ผ่าท้องคน เอาไส้ออกมา แล้วนำกลับเข้าไปใหม่ได้ คนที่ถูกผ่าท้องกลับหายป่วยได้ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เขาเห็นจะเป็นหมอเทวดาเป็นแน่แท้”

เกียรติคุณเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะนำความภูมิใจมาให้แก่เขาเท่านั้น แม้เจ้าฟ้าอภัยและพระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้มีหมอวิเศษเช่นเขาประดับพระราชสำนัก

การผ่าตัดใหญ่รายที่สองกระทำที่เมืองราชคฤห์ อันเป็นเมืองมาตุภูมิของเขานั่นเอง คราวนี้เขาผ่าตัดสมองเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์คนหนึ่ง เศรษฐีคนนี้เป็นโรคปวดศีรษะมานาน หมอไหนๆ มารักษาก็ไม่หาย จนใจที่สุด อาการทรุดหนักเหลือกำลังที่หมอจะรักษาได้ บางคนคาดว่าเขาจะต้องตายภายใน ๗ วัน บางคนก็ว่าเขาจะต้องตายภายใน ๕ วัน ครั้งสุดท้ายพวกญาติพี่น้องเศรษฐีได้มาตามหมอชีวกไปรักษา

หมอชีวกตรวจดูอาการของเศรษฐีอย่างละเอียดแล้วพูดขึ้นว่า

“โรคของใต้เท้าหนักนัก ถ้าอยากหายก็ต้องให้สัญญากันก่อนจะรักษา”

“เอาเถอะครับหมอ จะเรียกร้องเท่าไหร่ ผมยินดีจ่ายให้ทั้งนั้น ไม่ต้องเซ็นสัญญงสัญญาอะไรก็ได้ ผมไม่โกงหรอก” เศรษฐีกล่าวขึ้น

หมอหนุ่มโบกมือ ยิ้มละไม

“ใต้เท้าเข้าใจผิด ผมมิได้หมายถึงสัญญาอย่างนั้น”

“ถ้างั้นสัญญาอะไร”

“สัญญาว่า ใต้เท้าจะนอนตะแคงข้างขวา ๗ เดือน ข้างซ้าย ๗ เดือน นอนหงาย ๗ เดือน หลังจากผ่าตัด”

“ตกลง” เศรษฐียอมรับคำ เพราะอยากหาย

หมอชีวกสั่งให้จัดห้องพิเศษไว้ห้องหนึ่ง ห้ามใครเข้าไปนอกจากเมียเศรษฐีคนเดียว ผสมยาและเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือในการผ่าตัดเรียบร้อยดีแล้ว ให้เศรษฐีนอนบนเตียง วางยาสลบ ถลกหนังศีรษะออก ผ่ารอยประสานกะโหลกศีรษะออกพบพยาธิสองตัว เล็กตัวหนึ่ง ใหญ่ตัวหนึ่ง เอาคีมคีบออกมา แล้วปิดแนวประสานศีรษะ เย็บหนังศีรษะแล้วทายาสมานแผล

หลังจากผ่าตัด เขาได้นำพยาธิสองตัวมาแสดงให้บรรดาญาติพี่น้องเศรษฐีดู ที่เขาคาดว่าจะตายภายใน ๕ วันนั้น เพราะเขาตรวจพบพยาธิตัวใหญ่นี้ ส่วนอีกคนที่คาดว่าเศรษฐีจักตายภายใน ๗ วัน เพราะเขาตรวจพบพยาธิตัวเล็กนี้

เศรษฐีนอนตะแคงขวาบนเตียงไปได้ประมาณ ๗ วัน ก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว จึงกล่าวแก่หมอชีวกว่า จะขอเปลี่ยนท่านอนได้หรือยัง จึงอนุญาตให้เปลี่ยนมานอนตะแคงซ้าย เศรษฐีทนนอนไปได้ ๗ วัน ก็ขอเปลี่ยนอีก คราวนี้หมอให้เศรษฐีนอนหงายไปได้ ๗ วัน ก็ร้องว่า ทนต่อไปไม่ไหว

“ถ้าเช่นนั้น เชิญใต้เท้าลุกได้ ใต้เท้าหายแล้ว” หมอหนุ่มกล่าวยิ้มๆ เศรษฐีรีบผุดลุกขึ้นพลางเอามือลูบศีรษะตัวเองด้วยความเคยชิน ปรากฏว่าแผลหายสนิทและความเจ็บปวดปลาสนาการไปหมดสิ้น
“เป็นอันว่าหมอรักษาผมหายภายในสามสัปดาห์เท่านั้น แล้วทำไมหมอให้ผมสัญญาว่าจะต้องนอนถึง ๒๑ เดือน?” เศรษฐีถามขึ้น

“ถ้าผมไม่บอกจำนวนเกินไว้อย่างนี้ ใต้เท้าคงนอนได้ไม่ถึงข้างละสัปดาห์นะซีครับ” หมอหนุ่มอธิบาย

เศรษฐีรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นที่ตนได้พ้นจากโรคอันทรมานนี้ เขาจึงตกรางวัลแก่หมอชีวกโกมารภัจจ์อย่างมหาศาล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


• พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงพระประชวร

คราวนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านนึกไปถึงเมืองอีกเมืองหนึ่ง อยู่ห่างจากเมืองราชคฤห์ไปทางด้านทิศตะวันออกอีกไกลมาก เมืองนี้มีชื่อว่าอุชเชนี มีพระราชาทรงพระนามว่าปัชโชตครองราชสมบัติ ปัชโชตขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นกษัตริย์ที่ดุร้ายมาก ใครทำอะไรขัดพระทัยนิดหน่อยก็จับตัดคอทันที

จนได้สมญานามว่า “จัณฑปัชโชต" แปลว่า “ปัชโชตผู้โหดร้าย”

ปัชโชตมีโรคร้ายประจำอยู่อย่างหนึ่งคือ “ปัณฑุโรค” (โรคดีซ่าน) ได้ทราบว่าที่เมืองราชคฤห์นี้มีหมอวิเศษอยู่คนหนึ่ง จึงทรงส่งพระราชสาส์นไปยังพระเจ้าพิมพิสาร ขอนายแพทย์มารักษาพระโรค

พระเจ้าพิมพิสารจึงส่งหมอชีวกไปถวายการรักษา พร้อมทั้งรับสั่งให้หมอระมัดระวังตัวให้ดีด้วย เพราะทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ดุนัก

พลาดท่าพลาดทางอาจโดนตัดหัวก็ได้

หมอชีวกเดินทางไปเมืองอุชเชนี เข้าเฝ้าพระเจ้าจัณฑปัชโชต ก็แจ้งประจักษ์แก่ใจว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มีพระนิสัยหงุดหงิดดุร้ายจริงตามคำเล่าลือ

เขาลงมือตรวจพระอาการเสร็จแล้วกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ก่อนจะรักษาโรคร้ายให้หายได้ต้องขอให้ทรงสัญญาก่อน

“สัญญาอะไรวะ ข้าเอาแกมารักษาโรค มิใช้ให้มาสัญญา” ปัชโชตตวาดพระเนตรเขียวปัด

“ขอเดชะฯ พระอาการค่อนข้างน่าวิตก ข้าพระพุทธเจ้าจึงอยากจะกราบทูลพระกรุณาขอพระราชทานสัญญาว่าจะทรงเสวยพระโอสถที่ข้าพระพุทธเจ้าประกอบถวายพ่ะย่ะค่ะ” หมอหนุ่มกราบทูลพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ

“ยาอะไรแกให้ข้ากินได้ทั้งนั้นแหละ ขออย่างเดียวอย่าให้มีเนยใส ข้ากินเนยใสไม่ได้ เข้าใจไหม”

หมอหนุ่มสะดุ้ง เพราะยาที่จะผสมให้เสวยจะต้องใส่เนยใสเสียด้วย ถ้าขาดเนยใสมาผสมเป็นกระสาย โรคอย่างนี้จะไม่หาย จึงสู้สะกดใจไว้ กราบทูลอีกว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลพระกรุณาพระราชทานของสามสิ่ง คือ
๑. ห้องพิศษสำหรับปรุงยา
๒. ให้เปิดประตูวังไว้ตลอดคืน
๓. ขอช้างทรง หรือม้าทรงที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดหนึ่งตัว”

“รักษาโรคสวรรค์วิมานอะไรของแกวะ ขอให้เปิดประตูวังตลอดคืน ขอช้างขอม้าฝีเท้าเร็ว ไอ้ข้อแรกก็พอมีเหตุผลอยู่หรอก แต่สองข้อหลังนี่ จะเอาไปทำไม” ปัชโชตทรงซักถามด้วยความขุ่นพระทัย

“ขอเดชะฯ หากเวลาต้องการเครื่องยาสมุนไพรที่จำเป็นบางอย่างกะทันหัน ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ขึ้นช้างหรือม้าไปเอาพ่ะย่ะค่ะ”

“เออ ตกลง รักษามาไม่รู้กี่หมอแล้ว มีแก่นี่แหละยุ่งที่สุด” ทรงบ่นอุบอิบ

เมื่อได้ของตามต้องการแล้ว หมอชีวกจึงเข้าห้องพิเศษ ปรุงยาตามที่เล่าเรียนมา ใส่เนยใสผสมเป็นกระสาย ก่อไฟตั้งเตา ปิดประตูหน้าต่างห้องอย่างมิดชิด ป้องกันกลิ่นเนยระเหยออกไปข้างนอก ใส่สมุนไพรดับกลิ่นเนยอย่างดี เคี่ยวยาอยู่เป็นเวลา ๗ วัน ได้ยาสกัดออกมาเป็นถ้วยขนาดใหญ่ ลองดมดู ไม่มีกลิ่นเนยหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว

เสร็จแล้วนำเข้าถวายพระเจ้าแผ่นดิน กราบทูลวิธีเสวยและอาการหลังจากเสวยว่า “หลังจากที่เสวยยาแล้ว วันแรกจะมีอาการแน่น ถ้ามีพระอาการอย่างไรขอให้ทรงอดทน พอตกถึงวันที่สองจะทรงเรอออกมา แล้วอาการของโรคจะค่อยๆ หายไป”

เสร็จแล้วหมอหนุ่มรีบเข้าไปโรงช้าง ขึ้นช้างพังชื่อภัททวดีซึ่งมีฝีเท้าเร็ว วิ่งได้วันละ ๕๐ โยชน์ออกไปจากพระนคร สั่งมหาดเล็กให้กราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า จะรีบเก็บสมุนไพรมาเพิ่มเติม

ออกจากวังได้ก็รีบไสช้างวิ่งหนีไปทางเมืองราชคฤห์ ไปได้หลายสิบโยชน์เห็นว่ามาไกลพ้นเขตอันตรายแล้ว จึงหยุดช้างลงไปนั่งพักเหนื่อยใต้ต้นมะขามป้อมต้นหนึ่ง

กล่าวถึงพระเจ้าจัณฑปัชโชต พอเสวยยาเข้าไปวันแรกเกิดอาการแน่นอึดอัดตามที่หมอบอก แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดอะไรรุนแรงนัก

พอรุ่งเช้าขึ้นวันที่สอง ทรงเรอออกมาเนยใสที่ผสมเป็นกระสายยาระเหยออกมาแตะพระนาสิก รู้สึกว่าโดนหมอหลอกให้เสวยเนยใสเข้าแล้วเท่านั้น ก็ทรงอาเจียนโอ้กอ้ากทันที ได้พระสติจึงแหวออกมา ทั้งๆ ที่เกือบจะไม่มีพละกำลังอยู่แล้ว รับสั่งให้ตามมหาดเล็กชื่อกากะมาทันที

“มึงรีบไปตามไอ้หมอชีวกมาให้กูให้ได้ ไอ้หมอเจ้าเล่ห์ กูจะตัดหัวมันให้สมกับที่มันโกหกกู” ทรงตะโกนก้องด้วยความพิโรธ

กากะ มหาดเล็กผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งวิ่งได้เร็ววันละ ๑๐ โยชน์ รีบวิ่งออกจากพระราชวังทันที

“เฮ๊ย เดี๋ยวก่อน” ทรงรับสั่งไล่หลังมหาดเล็ก

“ไอ้หมอคนนี้มันเล่ห์เหลี่ยมมาก มึงอย่าเสือกกินอะไรที่มันให้เป็นอันขาดนะ”

กากะวิ่งบ้างเดินบ้าง ตามรอยชีวกไปจนทันที่ป่ามะขามป้อม เห็นหมอชีวกผูกช้างไว้ข้างต้นไม้ นั่งกินอาหารอยู่ จึงจู่โจมเข้าไปจับแขนจะลากกลับเมืองอุชเชนีทันที

“ตายละสิ นึกว่ามาพ้นแล้ว เจ้าบ้านี่ตามมาจนได้”

หมอชีวกคิด ฉับพลันนั้นไวเท่าความคิด เขาจึงพูดขึ้นว่า

“เดี๋ยว ขออนุญาตผมกินข้าวอิ่มก่อนได้ไหม ข้าวยังมีอยู่แยะ เชิญกินข้าวด้วยกันก่อน ค่อยกลับไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน”

“ไม่” เขาสั่นศีรษะ “พระราชารับสั่งว่าคุณมารยามาก ห้ามกินอะไรที่คุณเอาให้เด็ดขาด”

“พระราชาคงทรงกลัวว่าผมจะวางยาพิษกระมัง ก็เราไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกัน ผมจะวางยาคุณทำไม” หมอรบเร้าให้เขาร่วมวงให้ได้

“เชิญตามสบายเถิด คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง ไม่งั้นหัวผมขาด” กากะกล่าวยืนยันความตั้งใจเดิม

เมื่อเห็นว่ากำลังจะเข้าตาจน เพราะเจ้าหมอนั่นรักษาคำสั่งของเจ้าเหนือหัวอย่างเคร่งครัด จึงคว้าผลมะขามป้อมที่หล่นอยู่มาผลหนึ่ง กัดกินแล้วดื่มน้ำพลางหยิบมะขามป้อมที่เพิ่งหล่นจากต้นไม้ส่งให้กากะ ชวนให้กินแก้กระหายน้ำบ้าง

กากะเห็นว่ามะขามป้อมเพิ่งหล่นจากต้นหยกๆ คงไม่เป็นไรจึงรับมากัดกินบ้าง หารู้ไม่ว่าก่อนส่งให้ หมอหนุ่มได้เอาเล็บจิกผิวมะขามป้อมนิดหนึ่ง ปล่อยยาซึ่งซ่อนอยู่ที่ปลายเล็บ ซึมเข้าไปในผลมะขามป้อม

พักเดียวได้เรื่อง เจ้าหมอนั่นรู้สึกปวดท้องกะทันหัน ไม่ทันกล่าวอะไรออกมา อุจจาระก็ไหลออกมาดั่งสายน้ำพุ่งออกจากท่อ

“โอย ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วยเถิด คุณหมอ” มหาดเล็กผู้น่าสงสารอ้อนวอน

“ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนยาก ถ่ายออกหมดแล้วก็จะหายเองแหละ ไม่ใช่ยาพิษอะไรหรอก” หมอหนุ่มกล่าวพร้อมกับหัวเราะร่าเริง

“ฝากนำช้างไปถวายคืนเจ้านายด้วย ลาก่อนนะ”

เวลาผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที มหาดเล็กชื่อกากะก็ค่อยมีกำลังขึ้นบ้าง เดินโผเผไปแก้ช้างออกจากโคนต้นมะขามป้อม ขี่ช้างกลับมายังพระราชวัง เข้าไปกราบทูลแด่พระเจ้าแผ่นดินด้วยอาการตัวสั่นงันงก พระเจ้าจัณฑปัชโชตทอดพระเนตรเห็นมหาดเล็กรูปร่างอิดโรยผิดปกติ ก็ทรงรู้ทันทีว่าคงเสียทีหมอหนุ่มเสียแล้ว จึงรับสั่งด้วยอารมณ์ดีว่า “กูบอกแล้ว อย่ากินอะไรที่มันให้ มึงก็เสียทีมันจนได้ ปล่อยมันเถอะวะ กูหายดีแล้ว ยามันวิเศษจริงๆ”

พอหายประชวรแล้ว พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงนึกถึงบุญคุณของหมอชีวก คิดจะพระราชทานรางวัลให้สมใจ จึงทรงได้เลือกผ้าเนื้อสีทองอย่างดีสองผืนที่ทอที่ประเทศสีพี เป็นผ้าเนื้อละเอียดมาก คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ใช้ผ้าเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น

พร้อมกับมีพระราชสาส์นไปขอบพระทัยพระเจ้าพิมพิสาร ที่ทรงประทานหมอวิเศษไปรักษาโรคให้จนหายสนิท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


• หมอชีวกถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า

หมอชีวกได้ผ้าเนื้อสีทองอย่างดีสองผืน แล้วนึกถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นมาทันที เห็นว่าผ้านี้เป็นผ้าเนื้อดี หาได้ยากควรจักนำไปถวายพระพุทธเจ้า จึงนำไปยังเวฬุวนาราม ตั้งใจจะถวายแด่พระพุทธองค์

แต่สมัยนั้นภิกษุสงฆ์ถือผ้าบังสุกุลอย่างเดียว คือท่านแสวงหาเศษผ้าที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพ (คนส่วนมากคิดว่า ผ้าห่อศพสกปรก เปื้อนเลือดและหนอง ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พระเอามาทำจีวร ความจริงแล้วชาวอินเดียวเขาเอาผ้าอย่างดี ยาวเป็นหูกๆ พันศพหลายๆ ชั้น นำไปทิ้งป่าช้า ผ้าเหล่านี้ชั้นนอกไม่เปื้อนอะไรเลย จึงตัดเอามาทำจีวรได้) มาเย็บทำจีวรเอง และใช้สอยเพียงสามผืนเท่านั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้รับผ้าจีวรที่คฤหัสถ์ทำถวาย

หมอชีวกจึงขอพรพระพุทธเจ้า ให้ทรงรับผ้าเนื้อสีทองที่เขาน้อมถวาย และให้ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์รับผ้า หรือจีวรของหมอชีวก และอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์รับคฤหบดีจีวรได้ตามคำขอของหมอชีวกแต่บัดนั้นมา

ชาวบ้านได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าหรือจีวรที่ชาวบ้านถวายได้ ต่างดีใจ พากันนำจีวรมาถวายพระเป็นจำนวนมาก เนื้อดีบ้าง เนื้อหยาบบ้าง ทอด้วยวัตถุดิบต่างๆ กัน

พระสงฆ์เลยเกิดความสงสัยว่า จีวรชนิดไหนควรจักรับ ชนิดไหนไม่ควรจักรับจึงนำความเข้าทูลถามพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ตรัสอนุญาตไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวร ๖ ชนิด คือ จีวรทำด้วยเปลือกไม้ ๑ ทำด้วยฝ้าย ๑ ทำด้วยไหม ๑ ทำด้วยขนสัตว์ ๑ ทำด้วยป่าน ๑ ทำด้วยทอง (ทั้งห้าอย่างนั้น) เจือกัน ๑

ปัญหาของหมอชีวก

หมอชีวกเป็นผู้เลื่อมใสพระพุทธศาสนามาก มีเวลาว่างจากการดูแลคนไข้เมื่อไร เป็นถือโอกาสไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทันที เขาจึงมักจะเทียวไปเทียวมาระหว่างตัวเมืองกับสวนมะม่วงของเขาเสมอ

สวนมะม่วงที่ว่านี้ เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา เป็นสถานที่สงบสงัด เหมาะแก่ผู้ที่ใคร่วิเวกเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังหมอชีวกได้มอบถวายให้เป็นวัดที่ประทับของพระพุทธเจ้า เมื่อว่างจากภารกิจเมื่อใด เขาก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามข้อข้องใจในธรรมอยู่เสมอ

ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรบันทึกบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับหมอชีวกอยู่หลายแห่ง เป็นเรื่องมีสาระน่ารู้ทั้งสิ้น จึงขอถือโอกาสถ่ายทอดให้ทราบเพียงสองแห่ง ดังต่อไปนี้

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนปฏิบัติ ได้แค่ไหน ถึงจะเรียกว่าเป็นอุบาสก”

“ผู้ที่นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ จึงจะเรียกว่าเป็นอุบาสก”

“อุบาสกชนิดไหน เรียกว่าอุบาสกมีศีล”

“อุบาสกที่งดเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มสุราเมรัย เรียกว่าอุบาสกมีศีล”

“อุบาสกชนิดไหน เรียกว่าเอาตัวรอดคนเดียว”

“อุบาสกที่มีศรัทธา มีศีล มีทัศนะ (ความเห็นถูกต้อง) ใคร่เห็นพระสงฆ์ ใคร่สดับธรรม ฟังธรรมแล้วจดจำได้ จดจำได้แล้ว พิจารณาไตร่ตรอง รู้ข้อธรรมแล้วประพฤติปฏิบัติธรรมถูกต้อง อุบาสกชนิดนี้เรียกว่า เอาตัวรอดคนเดียว”

“แล้วอย่างไหนเรียกว่า เอาตัวรอดด้วย ช่วยคนอื่นด้วย”

“คนที่ประกอบด้วยคุณธรรมดังกล่าวข้างต้น แล้วชักชวนให้คนอื่นทำตาม ชื่อว่าช่วยตัวด้วย ช่วยคนอื่นด้วย”

คราวหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่สวนมะม่วง เช่นเดียวกัน หมอชีวกเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามปัญหา ดังนี้

“ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินคนเขาตำหนิพระองค์ว่า พระองค์ได้สอนให้คนอื่นงดฆ่าสัตว์ แต่เสวยอาหารที่เขาฆ่าถวาย เป็นความจริงเพียงไร”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ถ้าได้เห็น ได้ยิน และสงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงถวาย พระองค์ไม่เสวยเนื้อนั้น แต่ถ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงถวาย พระองค์เสวยเนื้อนั้น

พระองค์ตรัสอธิบายต่อไปว่า ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และแผ่คุณธรรมเหล่านี้ไปยังสรรพสัตว์ทั่วโลก อยู่ด้วยจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทต่อใคร เลี้ยงชีพด้วยอาหารบิณฑบาตที่ชาวบ้านเขาถวาย เมื่อมีคนเขานิมนต์ไปฉันอาหาร ท่านก็ไป เขาถวายอาหารชนิดใด จะเลวหรือประณีต ท่านก็ฉันพอดำรงอัตภาพ ไม่ติดหรือยึดมั่นในอาหารที่ฉันนั้น

เสร็จแล้วพระองค์ย้อนถามหมอชีวกว่า

“พระภิกษุที่ปฏิบัติเช่นนี้ จะเรียกว่าเบียดเบียนคนอื่นหรือไม่”

“ไม่ พระเจ้าข้า” หมอชีวกกราบทูล

“อาหารอย่างนี้ไม่มีโทษ (คือกินได้ ไม่เรียกว่าเป็นการสนับสนุนให้เขาฆ่าสัตว์) มิใช่หรือ”

“เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า”

พระองค์ตรัสต่อไปว่า ใครก็ตาม ถ้าฆ่าสัตว์เจาะจงถวายพระตถาคตหรือพระภิกษุสงฆ์สาวก ย่อมก่อบาปกรรมทั้งแก่ตนเองและคนอื่น ด้วยสถานะ ๕ ประการ คือ

๑) สั่งให้คนอื่นนำสัตว์ตัวโน้นตัวนี้มา (เท่ากับชักนำเอาคนอื่นมาร่วมทำบาปด้วย)
๒) สัตว์ที่ถูกนำมาฆ่า ถูกลากถูลู่ถูกังมาได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก
๓) ออกคำสั่งให้เขาฆ่าสัตว์นั้น (ตัวเองก็บาป คนฆ่าก็บาป)
๔) สัตว์ที่ถูกฆ่าได้รับทุกขเวทนาจนสิ้นชีพ
๕) ทำให้คนอื่นเขาหาช่องว่าพระตถาคตและพระสงฆ์สาวกด้วยเรื่องเนื้ออันไม่ควร

(จริงอยู่ ถ้าพระไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สงสัย ว่าเขาเจาะจงฆ่าถวาย ไม่ต้องอาบัติ แต่คนภายนอกอาจหาว่าพระรู้ แต่แกล้งทำไม่รู้ หรือปากว่าตาขยิบก็ได้)

หมอชีวกได้สดับวิสัชนาจากพระพุทธองค์จนแจ่มแจ้งหายสงสัยแล้ว ในที่สุดได้กล่าวขึ้นว่า ตนเคยแต่ได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่เล่าว่า “พระพรหม” นั้นมีจิตประกอบด้วยพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ไม่เคยเห็น “พระพรหม” ตัวจริงสักที ที่แท้ “พระพรหม” ก็คือพระพุทธองค์นั่นเอง เพราะพระองค์ทรงมีคุณธรรมเหล่านี้ในพระทัย เป็นพยานที่เห็นได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“พรหมที่ว่านี้ ถ้าชีวกหมายถึงผู้ที่ไม่มีความพยาบาท ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ตถาคตเห็นด้วย เพราะตถาคตละกิเลสเหล่านี้ได้เด็ดขาดแล้ว”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2019, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


• เหตุการณ์ระทึกใจในสวนมะม่วง

คราวหนึ่ง เหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกลอบทำร้ายโดยคนใจบาป

เจ้าวายร้ายนั้นปีนขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏ กลิ้งก้อนหินลงมา หมายใจจักให้หินทับพระพุทธองค์ ขณะที่กำลังนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่ในถ้ำมัททกุจฉิ เชิงเขาคิชฌกูฏ แต่เดชะ พระบารมีของพระพุทธองค์ ก้อนหินก้อนนั้นกลิ้งลงมาปะทะชะง่อนผาเบื้องบนพระเศียรกระเด็นไปทางอื่น

แต่กระนั้นสะเก็ดหินก็กระเด็นไปต้องพระบาททำให้ห้อพระโลหิต ได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก พระสงฆ์สาวกช่วยกันหามพระพุทธองค์ออกมายังสวนมะม่วงของหมอชีวก

หมอชีวกกำลังตรวจคนไข้อยู่ในเมือง พอได้ทราบข่าวว่าพระพุทธองค์ถูกทำร้ายอาการสาหัส วิ่งแจ้นไปสวนมะม่วงทันที ได้ถวายการรักษา โดยชะล้างและพันแผลให้พระพุทธองค์ แล้วทูลลาไปดูคนไข้ในเมืองต่อ

ขอย้อนกล่าวถึงสาเหตุที่พระพุทธองค์ถูกลอบทำร้าย ตัวการผู้ก่อมหันตกรรมครั้งนี้คือ พระเทวทัต

พระเทวทัตคือใคร?

พระเทวทัต โดยเชื้อสายดั้งเดิมเป็นชายในโกลิยวงศ์ ลูกพี่ลูกน้อง (บางแห่งว่าเป็นพี่) ของพระนางยโสธราหรือพิมพา เมื่อสิทธัตถะกุมารออกผนวช สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้เสด็จไปโปรดพระราชบิดา และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์

พวกเจ้าชายในตระกูลศากยะเป็นจำนวนมากได้ออกผนวชเป็นพุทธสาวก เทวทัตกุมารได้ถือโอกาสออกผนวช ปรากฏว่าได้บำเพ็ญสมณธรรมจนได้ฌานขั้นโลกีย์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ครั้นต่อมาเกิดขัดพระทัยเรื่องลาภสักการะเป็นเหตุ

เรื่องก็มีอยู่ว่า ชาวบ้านนำภัตตาหารบ้าง ของถวายอย่างอื่นบ้าง ไปถวายพระ ต่างก็หามหาพระองค์อื่นๆ ไม่มีใครถามหาพระเทวทัตเลย จึงเกิดมานะขึ้นในใจว่า พระเหล่านั้นก็เป็นกษัตริย์ออกบวช เราก็เป็นกษัตริย์เหมือนกัน ทำไมจึงไม่เห็นความสำคัญของเรา พวกนี้มันรู้จักเทวทัตน้อยไปเสียแล้ว

คิดดังนี้จึงวางแผนเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับพระเจ้าอชาตศัตรู สมัยยังเป็นพระราชกุมาร แสดงฤทธิ์เดชให้ดู จนเจ้าชายเกิดความเลื่อมใส มอบตนเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ตั้งแต่นั้นมาลาภสักการะก็ไหลมาเทมาสมเจตนานึก เพราะบารมีของศิษย์ก้นกุฏิ

เมื่อคนขนาดมกุฎราชกุมารยกย่องนับถือเป็นพระอาจารย์ เทวทัตก็ชักมองเห็นลู่ทางไปสู่ความยิ่งใหญ่ กำเริบเสิบสานถึงขึ้นคิดจะกุมอำนาจการปกครองคณะสงฆ์แทนพระบรมศาสดา ทูลขอให้พระองค์ทรงมอบอำนาจการปกครองคณะสงฆ์ให้ตน โดยอ้างว่าตนเองมีความปรารถนาดีต่อพระธรรมวินัย ใคร่จะจัดการให้พระศาสนาเจริญก้าวหน้า พระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้ว ทั้งยังมีพระภารกิจอย่างอื่นที่ต้องทรงกระทำเป็นอันมาก ขอให้ประทานอำนาจการปกครองให้ตนเถิด จะได้ช่วยแบ่งเขาพระภาระ

พระพุทธเจ้าทรงมองเห็นเจตนาอันลามกของพระเทวทัต จึงไม่ประทานอำนาจการปกครองคระสงฆ์ให้ ทั้งยังทรงตักเตือนสั่งสอนด้วยถ้อยคำแรงๆ เพื่อให้สำนึก

แต่แทนที่พระเทวทัตจะสำนึก กลับผูกใจเจ็บ พระพุทธองค์หนักขึ้น หาว่าพระพุทธองค์ทำให้อับอายต่อหน้าธารกำนัล

ด้วยเจตนาหยาบช้าอยากใหญ่ของพระเทวทัต ฤทธิ์โลกีย์ที่เคยมีเคยได้ก็เสื่อมหมด เมื่อแผนการขั้นแรกล้มเหลว จึงหันไปเดินวิธีใหม่ โดยยุให้อชาตศัตรูกุมารหาอุบายกำจัดพระราชบิดาเสีย แล้วตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง ส่วนตนเองก็จะฆ่าพระพุทธเจ้า ตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้าแทน

อชาตศัตรูกุมารตกหลุมพรางพระเทวทัต เห็นผิดเป็นชอบ จับพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดาขังคุกทรมานให้อดพระกระยาหารจนสิ้นพระชนม์ ตั้งตนเป็นพระราชาสำเร็จ

ฝ่ายพระเทวทัตก็พยายามหาทางกำจัดพระพุทธองค์ให้ได้ ไปขอแรงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ส่งนายขมังธนูไปยิงพระศาสดา

แต่แผนการล้มเหลวอีก

“เมื่อแผนการที่วางไว้อย่างรัดกุมเช่นนี้ยังล้มเหลว คราวนี้เห็นทีจะต้องแสดงเอง” เจ้าคุณใจบาปคิด จึงค่อยๆ ด้อมๆ มองๆ หาโอกาสเหมาะ

พอดีวันหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จไปประทับอยู่ที่ถ้ำมัททกุจฉิ เชิงเขาคิชกูฏ พระเทวทัตจึงแอบปีนเขาขึ้นไปผลักก้อนหินลงมา เพื่อให้ทับพระศาสดาให้สิ้นพระชนม์

แต่บังเอิญก้อนหินลงมาปะทะชะง่อนผาเหนือพระเศียรกระเด็นห่างออกไป สะเก็ดหินกระเด็นไปกระทบพระบาท ยังผลให้ห้อพระโลหิต ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

หมอชีวกมัววุ่นวายกับการดูแลคนไข้ในเมืองจนถึงเย็น พลันนึกขึ้นมาได้ว่า ถึงเวลาแก้ผ้าพันแผลพระพุทธองค์แล้ว จึงรีบมุ่งหน้าไปยังสวนมะม่วง พอดีได้เวลาประตูเมืองปิด เขาจึงไม่สามารถออกไปเฝ้าพระพุทธองค์ได้

“ตายล่ะสิ ถึงเวลาแก้ผ้าพันแผลที่พระบาทแล้วด้วย ถ้าไม่แก้ คืนนี้ทั้งคืนพระองค์จักมีอาการร้อนใน”

เขาคิดเสียใจ ที่ได้ปฏิบัติต่อองค์พระศาสดาเอกของโลก เหมือนกับคนไข้ธรรมดาคนหนึ่ง

ขณะที่หมอชีวกคิดกลุ้มใจอยู่นั้น พระบรมศาสดาทรงทราบกระแสความคิดของเขา จึงตรัสเรียกพระอานนท์มาแก้ผ้าพันแผลออก

ตื่นเช้าขึ้นหมอชีวกได้รีบเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ทูลถามลำล่ำละลักว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้ พระองค์ทรงมีพระอาการร้อนในหรือเปล่า”

ทรงทราบดีว่าเขาหมายถึงอะไร แต่พระพุทธองค์ตรัสยิ้มๆ ว่า “ตถาคตดับความร้อนทุกชนิดได้สนิทแล้ว ตั้งแต่วันตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ณ โคนต้นโพธิ์ ผู้ที่เดินมาจนสุดทางแห่งสังสารวัฏ หมดความโศก หลุดพ้น ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆ แล้ว ไม่มีความร้อนหรอกชีวก ไม่ว่าร้อนนอกหรือร้อนใน”

ตรัสจบก็ทรงยื่นพระบาทข้างที่บาดเจ็บให้หมอชีวกดู พร้อมทั้งตรัสบอกเขาว่าพระองค์ได้รับสั่งให้พระอานนท์แก้ผ้าพันแผลให้ตั้งแต่เย็นวานนี้ ตรงกับเวลาที่เขานั่งคิดกลุ้มใจอยู่หน้าประตูเมืองนั่นแหละ

หมอชีวกมองดูพระบาท เห็นแผลหายสนิทดีแล้วรู้สึกปลาบปลื้มที่ได้ถวายการรักษาพระบรมศาสดาจนหายประชวร

เรื่องราวหมอชีวกโกมารภัจจ์ เท่าที่เก็บปะติดปะต่อจากพระไตรปิฎกและอรรถกถามีเท่านี้

สังเกตดูตามประวัติจะเห็นได้ว่า ตลอดชีวิตเขายุ่งแต่กับการรักษาโรคคนทั้งเมืองจนแทบหาเวลาปฏิบัติธรรมไม่ได้

อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่เขาไม่ได้ออกบวชหรือบรรลุคุณธรรมแม้เพียงขั้นของโสดาปัตติผล แต่เขาได้ใช้วิชาความรู้ที่เล่าเรียนมาบำเพ็ญประโยชน์แก่คนหมู่มาก นับว่าเป็น “อุบาสกผู้ช่วยตัวเองด้วย และช่วยผู้อื่นด้วย” ตรงตามพุทธพจน์ทุกประการ

คนเช่นนี้ถือว่า ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ และคนเช่นนี้ เราควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง มิใช่หรือ?


:b8: :b8: :b8: คัดมาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


:b44: อุบาสก ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46457


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร