วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2019, 14:27 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


พราหมณ์ขี้ยัวะ ผู้ซึ่งกลับตัวกลับใจได้
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก

:b45: :b47: :b45:

พรหมณ์ผู้นี้ชื่อเสียงเรียงไรไม่ทราบ แต่เรียกกันว่า “ภารัทวาชะ” ตามชื่อ โคตร หรือตระกูล เขาเป็นคนหยิ่งทะนง ขี้โมโห ต่อมาพฤติกรรมได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะเทคนิควิธีของพระพุทธเจ้า อันได้นาม (ตามภาษากำลังภายใน) ว่า “ยืมดาบศัตรูฟันศัตรู” ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าจอมยุทธ์ผู้ทระนงตน ไม่มีดาบอยู่ในมือ แต่ชั่วพริบตาเดียวนั้น ดาบที่อยู่ในมือของตนนั้นไปอยู่ที่มือศัตรูได้อย่างไร และกว่าที่จะรู้ตัวก็ล้มลงไปแล้ว และกำลังจะสิ้นใจพอดี ช่างรวดเร็วอะไรปานนั้น

พราหมณ์คนนี้โกรธพระพุทธองค์ที่ชักจูงพี่ชายน้องชายไปบวชกันหมด พวกพราหมณ์ต่อต้านพระพุทธเจ้า และคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว การที่พวกพราหมณ์ต่อต้านพระพุทธเจ้า ก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้น ถ้าพวกเขาไม่ต่อต้านสิจะเป็นเรื่องประหลาด เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนคำสอนที่ “หักล้าง” ความเชื่อดั้งเดิมและการปฏิบัติสืบต่อกันมาของพวกเขา แบบหน้ามือเป็นหลังมือ

พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาไม่เท่ากัน เกิดมาตามพระประสงค์ของพรหมัน (พระพรหม) ที่แบ่งสันปันส่วนมา

พระพุทธเจ้าก็ค้านว่ามนุษย์มิได้ถูกแบ่งสันปันส่วนมาโดยเทพองค์ใด มนุษย์มีความทัดเทียมกันโดยความเป็นมนุษย์ และมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนได้ โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

พวกเขาเชื่อกันว่า คนดี คนเลว ตัดสินได้จากวรรณะที่เกิดมา เกิดมาในตระกูลสูงก็เป็นคนดี เกิดมาในวรรณะต่ำก็เป็นคนเลว เพราะเป็นบัญญัติจากพระเจ้า

พระพุทธเจ้าก็ค้านว่า คนดี คนเลว ตัดสินกันด้วยการกระทำ คนจะเป็นคนเลวก็การกระทำ เทพไท้ทั้งหลายหามีส่วนไม่

พวกเขาเชื่อในยัญพิธีต่างๆ เช่น บูชาไฟ ฆ่าสัตว์บูชายัญ อาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ

พระพุทธเจ้าก็ทรงคัดค้านหมด แล้วอย่างนี้จะให้นิ่งดูดายได้อย่างไร

พอต่อต้านได้ก็ต่อต้าน ไม่ต่อต้านออกหน้าออกตาก็ต่อต้านเงียบๆ

ยิ่งพรรคพวกพราหมณ์กันเอง ใครไปเห็นดีเห็นงามด้วยกับ “พระสมณโคดม” (คือพระพุทธเจ้า) ถือว่าไม่รักดี จะถูกพวกพราหมณ์รุกรานเอา

พราหมณ์ปากร้ายคนนี้โกรธมากที่พระพุทธเจ้าชักจูงเอาพี่ชายและน้องชายไปบวชเรียกว่า ขายหน้าพวกพราหมณ์ด้วยกัน จึงตามไปด่าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ

คำด่ามีอะไรบ้าง บันทึกเป็น “แบบฟอร์ม” เลยครับ เช่น ไอ้โจร ไอพาล ไอ้หลงเลอะ ไอ้อูฐ ไอ้โค ไอ้ลา ไอ้สัตว์นรก ไอ้สัตว์เดรัจฉาน คนเช่นเจ้าไม่มีหวังได้ไปสู่สุคติ มีแต่ทุคติเท่านั้น อะไรทำนองนี้

พระพุทธองค์ปล่อยให้เขาด่าจนพอใจ ไม่โต้ตอบแม้แต่คำเดียว อันเป็น “วิธีการต่อสู้แบบพุทธ” ก็ว่าได้ หลายครั้งหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นกับพระพุทธองค์ พระองค์จะไม่โต้ตอบ


ดังครั้งหนึ่ง นางมาคันทิยาจ้างคนมาด่าพระพุทธเจ้า (เพราะความแค้นแต่หนหลัง) พระองค์ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอนแม้คำเดียว เล่นเอาพระอานนท์ร้อนใจ ถึงกับกราบทูลให้หนีไปยังเมืองที่ไม่มีใครด่า พระองค์ตรัสถามว่า ถ้าเมืองนั้นเขาด่าอีกล่ะจะไปที่ไหน พระอานนท์ก็กราบทูลว่า ไปเมืองอื่นที่ไม่มีใครด่า

พระองค์ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะต้อหนีไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะคนเลวมีมาก พระองค์ว่าอย่างนั้น ไปไหนก็ต้องเจอคนเลว และถูกคนเลวด่าจนได้

เมื่อเขาด่าจนพอใจแล้ว พระพุทธองค์ตรัสถามเขาว่า “พราหมณ์ที่บ้านท่านมีแขกไปใครมาไหม”

“มีสิ สมณโคดม ข้าพเจ้ามิใช่คนกระจอกนี่” เขาตอบด้วยความทระนงว่า คนอย่างเขาก็เป็นพราหมณ์มีอันดับ มีเพื่อนฝูง และคนนับหน้าถือตามากมาย ย่อมต้องมีแขกไปมาหาสู่มากเป็นธรรมดา

“เวลาแขกมา ท่านเอาอะไรมาต้อนรับ”

“ก็ของต้อนรับแขกตามธรรมเนียมสิ สมณโคดม ข้าพเจ้ามิใช่คนป่าเถื่อนนี่” เขาตอบอย่างทระนงเช่นเคย พราหมณ์มีอันดับอย่างเขาย่อมรู้ขนบธรรมเนียม เวลาใครไปใครมาควรจะต้อนรับอย่างไร ไม่น่าถาม ว่าอย่างนั้นเถอะ

“ถ้าแขกไม่กินของที่ท่านนำมาต้อนรับ ของนั้นจะเป็นของใคร”

“ก็เป็นของข้าพเจ้าตามเดิมสิ” พราหมณ์ตอบ ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสถามทำไม คำถามพื้นๆ นี้ใครก็ตอบได้ หารู้ไม่ “ดาบศัตรู” ได้มาอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์โดยที่เขาไม่รู้สึก

พระองค์ตรัสว่า ก็เช่นเดียวกันละนะ เมื่อกี้ท่านด่าเรามากมายด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราตถาคตไม่รับคำด่าเหล่านั้น คำด่าเหล่านั้นตกเป็นของท่านตามเดิมสินะ” พระพุทธองค์ตรัสเงียบๆ

เขาสะดุ้งดุจถูกเสียบด้วยดาบคมกริบก็มิปาน

ไม่สะดุ้งไหวหรือครับ คำ “ไอ้โค ไอ้อูฐ ไอ้สัตว์เดรัจฉาน” เป็นต้น ที่เขาด่า ด่า ด่า และด่าออกไปเมื่อกี้นี้ มันหันกลับมาหาเขาเอง พูดง่ายๆ ว่าเขากำลังด่าตัวเองว่าเป็นโค เป็นอูฐ เป็นสัตว์เดรัจฉาน

เมื่อเขาสำนึก พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถา (โศลกธรรม) สอนเขา ความว่า

“ผู้ที่ไม่มักโกรธ ผู้ฝึกตนแล้ว มีชีวิตราบเรียบ หลุดพ้นเพราะรู้แจ้ง สงบ และมั่นคง ความโกรธจะมีแต่ที่ไหน (คือ คนเช่นนี้ไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย) ผู้โกรธที่ตอบคนที่ด่า เลวกว่าคนด่าเสียอีก ผู้ไม่โกรธตอบคนที่ด่า นับว่าชนะสงครามที่เอาชนะได้ยากยิ่ง

คนที่รู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว มีสติ สงบใจได้ นับว่าได้ทำประโยชน์แก่ตนและคนอื่นทั้งสองฝ่าย คนที่ว่านี้นับว่าได้ช่วยเยียวยาแก่คนทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งตนเองและคนอื่น คนที่ไม่รู้ธรรม (ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว) เขาเรียกกันว่า คนโง่”


พราหมณ์ได้สดับฟังพระธรรมเทศนาโดยย่อ ก็ซาบซึ้งใจ ก้มกราบ กล่าวปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า เป็นสรณะ (ที่พึ่ง ที่ระลึก เป็นแนวทางดำเนินชีวิต) ตลอดชีวิต

จากความเป็นพราหมณ์ขี้ยัวะ หยิ่งทระนงตนว่ามีชาติตระกูลสูง กลายเป็นสงบเสงี่ยม ไม่ถือตนเข้าใจโลกและชีวิต พฤติกรรมได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ตำราขยายต่อไปว่า ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตเขาได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วย



:b8: :b8: :b8: คัดมาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


:b45: :b47: :b45:

:b44: อุบาสก ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46457


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร