ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สามเณรนาคเสน http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=58999 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | AAAA [ 05 มิ.ย. 2020, 09:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | สามเณรนาคเสน |
สามเณรนาคเสน :: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก วันนี้ขอเล่าประวัติ สามเณร “นิรนาม” รูปหนึ่ง มีชีวิตอยู่ก่อนพุทธกาลนี้ คือในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ว่าอย่างนั้น ความว่า ในอารามแห่งหนึ่ง มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่อาศัยอยู่ ภิกษุทั้งหลายถือ “วัตร” อย่างเคร่งครัด คือตื่นเช้าขึ้นมาก็จะจับไม้กวาดกวาดลานวัด ลานเจดีย์ เก็บขยะไปทิ้งอย่างพร้อมเพียงกัน วัดวาอารามสะอาดสะอ้านน่ารื่นรมย์ สมนาม “อาราม” อาราม แปลตามศัพท์ว่า สถานที่ที่คนมาแล้วรื่นรมย์ (อาคนฺตฺวา รมนฺติ เอตฺถาติ อาราโม = สถานที่ใดที่คนทั้งหลายมาถึงแล้วมีความรื่นรมย์ สถานที่นั้นเรียกว่า อาราม) ส่วนสถานที่ใดแม้ว่าจะมีพระสงฆ์อยู่ คนเข้าไปถึงแล้ว มีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ เหลียวไปไหนก็มีแต่ขยะ และรอยขีดเขียนคำไม่สุภาพตามกำแพง และมีกลิ่นปัสสาวะเหม็นคลุ้ง แถมยังมีเสียงเพลงลูกทุ่งลอยมากับสายลม อ้อ ตามลานวัดก็มีตลาดสด หรือไม่ก็เป็นลานจอดมากกว่าจะทำเป็นสวนหย่อม มีต้นไม้ใบหนาให้คนที่มาถึงได้นั่งพักให้ร่มรื่นชื่นอารมณ์ สถานที่ดังว่านี้ไม่สมนามว่า อาราม ดอกครับท่าน วันหนึ่งภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกวาดลานวัดอยู่อย่างขะมักเขม้น เรียกสามเณรน้อยรูปหนึ่งมาสั่งว่า สามเณรเอาขยะไปทิ้งที สามเณรน้อยทำเป็นไม่ได้ยิน ภิกษุหนุ่มนึกว่าสามเณรไม่ได้ยินจริงๆ จึงเรียกตั้งสามครั้ง เจ้าสามเณรน้อยรูปนี้ก็แกล้งเอาหูทวนลมเสีย ภิกษุหนุ่มจึงเอาด้ามไม้กวาดตีสามเณรพร้อมคำรามว่า “มันดื้อจริงวะ เณรน้อยรูปนี้” บังคับให้เธอเอาขยะไปทิ้งจนได้ สามเณรน้อยร้องไห้พลางขนขยะไปทิ้งพลาง แล้วตั้งความปรารถนา (อธิษฐาน) ดังๆ ว่า “ด้วยบุญคือการนำขยะไปทิ้งนี้ ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุพระนิพพาน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ก็ขอให้เป็นผู้มีศักดิ์ (อำนาจ) มากดุจแสงพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน” เมื่อทิ้งขยะเสร็จแล้ว จึงไปอาบน้ำยังแม่น้ำ เห็นคลื่นมันก่อตัวแล้วซัดเข้ามาฝั่งแล้วๆ เล่าๆ จึงตั้งความปรารถนาว่า “ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุพระนิพพาน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ขอให้มีปฏิภาณเฉียบคมไม่รู้หมดสิ้นดุจเกลียวคลื่นเหล่านี้” ฝ่ายภิกษุหนุ่มไปอาบน้ำเหมือนกัน ได้ยินสามเณรน้อยอธิษฐานดังนั้น ก็ยิ้มนึกในใจ (นึก “ในใจ” ทั้งนั้นแหละ “นอกใจ” ไม่มีดอก) ว่าเณรเปี๊ยกนี้ ทิ้งขยะก็เพราะเราใช้ให้ทำ ถ้ามีอานิสงส์จากการทิ้งขยะ เราควรจะได้ก่อน ว่าแล้วก็อธิษฐานดังๆ ว่า “ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุพระนิพพาน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ขอให้มีปฏิภาณเฉียบคมไม่รู้หมดสิ้นดุจเกลียวคลื่นเหล่านี้ และขอให้สามารถแก้ปัญหาทุกข้อที่สามเณรนี้จะพึงถาม” ทั้งสอง คือ ทั้งภิกษุหนึ่งและสามเณร ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏตลอดพุทธันดรหนึ่ง ตกมาถึงพุทธกาลนี้ สามเณรนิรนามนั้นมาเกิดเป็น พระยามิลินท์ (เป็นกษัตริย์ชาวกรีกผู้นับถือพระพุทธศาสนา นามเดิมว่า เมนานเดอร์) ภิกษุหนุ่มมาเกิดเป็นบุตรโสณุตตรพราหมณ์ แห่งหมู่บ้านกชังคละ เชิงเขาหิมาลัย เด็กน้อยมีนามว่า นาคเสน พราหมณ์ผู้เป็นพ่อเป็นพราหมณ์นับถือศาสนาฮินดู มิได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่เคยทำบุญในพระพุทธศาสนา แม้จะมีพระภิกษุรูปหนึ่งยืนที่หน้าบ้านของตน แกก็มิได้สนใจ รำคาญเข้าก็ไล่ตะเพิด พระท่านก็ไม่ว่าอะไร เช้าวันรุ่งขึ้นก็มายืนสงบหน้าบ้านแกอีก แกก็ไล่ไปเหมือนเดิม ถามว่า พระไปบิณฑบาต ไปยืนรอหน้าบ้านเขาได้หรือ ตอบว่า ธรรมเนียมโบราณสมัยพุทธกาลนั้น พระไปยืนหน้าบ้าน ถ้าเขามีอาหารและมีจิตศรัทธา ก็จะออกมาใส่บาตร ถ้าเขาไม่มีใส่ หรือไม่มีศรัทธาเขาก็จะบอกว่า “นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด” แล้วพระท่านก็จะไปที่อื่น ธรรมเนียมไทยไม่เช่นนั้น ถ้าเห็นพระมายืนรอรับบิณฑบาตก็นินทาแล้ว “อะไรกัน ทำไมไม่เดินบิณฑบาต มายืนรอทำไม อย่างนี้ไม่ถูกต้อง” ครับไม่ถูกต้องตามวัฒนธรรมไทย แต่มิได้ผิดวัฒนธรรมพุทธนะขอรับ ถามอีกว่า ทำไมพระเถระรูปนี้จึงทนทู่ซี้มายืนหน้าบ้านพราหมณ์คนนี้ตั้งนาน (ว่ากันว่าเป็นเวลา ๗ ปี) ตอบว่า เพราะท่านถูกทำ “พรหมทัณฑ์” คือในช่วงที่พระอรหันต์ทั้งหลายประชุม “วางแผน” เกี่ยวกับอนาคตพระพุทธศาสนานั้น ท่านรูปนี้มัวแต่เข้าฌานสมาบัติอยู่ ไม่ได้มาประชุมด้วยจึงถูกสงฆ์ลงโทษ ให้หาวิธีเอาเด็กน้อยนาคเสนมาบวชให้ได้ เพื่อจะได้เป็นกำลังพระพุทธศาสนา ปราบคนมิจฉาทิฐิที่เห็นผิดอย่างพระยามิลินท์ที่พูดถึงนี้ วันหนึ่งท่านเดินกลับวัด สวนทางกับพราหมณ์โสณุตตระ พราหมณ์ถามท่านว่า สมณะ วันนี้ท่านไปบ้านข้าพเจ้าหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่า ไป จึงถามว่า “ได้อะไรบ้างไหม” ถามไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครใส่บาตรดอก แต่ผิดคาด พระเถระตอบเบาๆ ว่า “วันนี้อาตมาได้ โยม” ได้ยินดังนั้นก็หูร้อนทันทีรีบไปบ้านถามคนในบ้านด้วยความโกรธว่า “ใครให้ข้าวสมณะ” เมื่อทุกคนปฏิเสธว่ามิ “ได้ให้เลย” ก็ยิ่งโกรธกำลังสองคือโกรธสมณะ หาว่าพูดเท็จ พรุ่งนี้เถอะ ข้าจะจับผิดสมณะรูปนี้ให้ได้ รุ่งเช้าขึ้นมา แกก็นั่งรอพระเถระแต่เช้า พอเห็นหน้าก็ต่อว่าหาว่าท่านโกหก เมื่อวานนี้ไม่มีใครให้อะไรท่านเลย ท่านกลับบอกว่าได้ “อาตมาได้จริงๆ โยม” พระตอบสงบ “ได้อะไร” “ได้คำพูดไพเราะ เมื่อวานนี้ภรรยาของท่านกล่าวกับอาตมาว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด ตลอด ๗ ปี อาตมาไม่ได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีเลย มาเมื่อวานนี้ได้คำพูดอ่อนหวานว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด อาตมาหมายเอาคำพูดนี้ อาตมาจึงบอกโยมว่าอาตมาได้” ฟังพระเถระอธิบาย พราหมณ์ก็อึ้ง นึกไม่ถึงว่าสมณศากยบุตรนั้นเป็นผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนปานนั้น มีจิตใจกตัญญูรู้คุณอะไรปานนั้น เพียงแค่ได้คำพูดอ่อนหวานฉันไมตรีจิต ก็ยังซาบซึ้งว่าเป็นบุญคุณ จึงเกิดความเลื่อมใสนิมนต์ขึ้นไปฉันภัตตาหารที่บ้านเป็นประจำ แต่วันนั้นมาพระเถระก็กล่าวธรรมกถาวันละเล็กละน้อยโปรดโยมอุปัฏฐากของท่าน เด็กน้อยนาคเสนเห็นพระเถระนุ่งห่มแปลกๆ ก็เข้ามาซักถามทำไมนุ่งห่มอย่างนี้ ทำไมไม่ไว้ผมเหมือนคนอื่น พระเถระก็อธิบายให้ฟังว่าพระในพระพุทธศาสนาต้องครองเพศอย่างนี้ ถามว่าท่านรู้ไตรเพทไหม ท่านบอกว่าท่านรู้ เมื่อถามไถ่เรื่องราวของไตรเพท พระเถระก็ตอบได้หมด พอพระเถระถามบ้างก็ตอบไม่ได้ จึงอยากจะขอเรียนจากพระเถระ พระเถระว่า จะไม่สอนให้แก่คนที่ไม่ถือเพศอย่างเดียวกับตน เด็กน้อยนาคเสน อยากเรียนจากพระเถระ จึงตัดสินใจบวช ไปขออนุญาตพ่อแม่ไม่ได้รับอนุญาตในเบื้องต้น จึงประท้วงด้วยการอดอาหาร ยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ได้บวชก็ขออดอาหารตายดีกว่า พ่อแม่กลัวลูกตาย และคิดอีกทีว่า ลูกชายของตนเป็นคนใฝ่รู้มาก เมื่ออยากได้ความรู้แล้ว ไม่มีใครห้ามได้ เธอบวชเรียนได้ความรู้จากพระเถระแล้วก็คงสึกออกมา จึงอนุญาตให้ลูกชายบวช ลืมบอกไปว่า พระเถระที่เทียวไล้เทียวขื่อตลอดเวลา ๗ ปี กว่าจะได้เด็กน้อยนาคเสนมาเป็นศิษย์รูปนี้ นามว่า พระโรหนเถระ ท่านโรหนะได้ให้เด็กน้อยนาคเสนบวชเป็นสามเณร ขณะนั้นอายุเพียง ๗ ขวบ บวชแล้วก็ให้การศึกษาอบรมอย่างดี โดยให้เรียนอภิธรรมก่อน ว่ากันว่า อภิธรรม ๗ คัมภีร์ สามเณรน้อยนาคเสนใช้เวลา ๗ เดือนก็เรียนจบและมีความแตกฉานอย่างดีเยี่ยม เธอได้สาธยายให้พระอรหันต์ทั้งหลายฟังอย่างแม่ยำ ไม่ผิดพลาด เมื่ออายุครบบวชพระ ก็ได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีพระโรหนะเป็นพระอุปัชฌายะ ตามประวัติดูเหมือนว่า นาคเสนขณะยังเป็นสามเณรอยู่ได้ศึกษาเฉพาะอภิธรรม ต่อเมื่อบวชแล้วจึงถูกส่งไปศึกษาปิฎกอื่น (พระสูตร และพระวินัย) จากพระอัสสคุต และพระธัมมรักขิต จนเป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฎกอย่างหาผู้เปรียบปานได้ยาก ภายหลังถูกพระธัมมรักขิตเตือนว่า “อย่าเป็นเพียงเด็กเลี้ยงโค รับค่าจ้างเลี้ยงโคให้เขา แต่มิได้ดื่มรสน้ำนมโค” ความหมายก็คือ อย่าบำเพ็ญตนเป็นเพียงพหูสูต รู้หลักทฤษฎีเท่านั้น จงนำเอามาปฏิบัติจนได้รู้เห็นด้วยตนเองด้วย ท่านจึงคร่ำเคร่งบำเพ็ญสมาธิวิปัสสนาจนในที่สุดได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา (ความแตกฉานใน ๔ ด้าน คือ แตกฉานในอรรถ ในธรรม ในภาษา และในปฏิภาณ) ในช่วงที่กล่าวถึงนี้ คู่ปรับเก่าในอดีตชาติ (พระยามิลินท์) ได้โต้วาทะหักล้างนักปราชญ์ต่างๆ จนไม่มีใครสู้ได้ต่างหลบหน้าไปหมด พระหนุ่มนาคเสนจึงได้เดินทางไปยังเมืองสาคละ เพื่อโต้วาทะกับพระยามิลินท์ การโต้วาทะอันลือลั่นครั้งนั้น ได้บันทึกไว้ในหนังสือชื่อว่า มิลินทปัญหา อยากทราบไหวพริบปฏิภาณของพระหนุ่มอดีตสามเณรน้อยนามว่า นาคเสน ว่าเฉียบคมอย่างไร หาอ่านจากหนังสือเล่มนี้ เมนานเดอร์ (พระยามิลินท์) กษัตริย์กรีกผู้นับถือพระพุทธศาสนา คัดมาจาก...หนังสือ สามเณร เหล่ากอแห่งสมณะ เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต สามเณร ในสมัยพุทธกาล http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46459 เมนานเดอร์ หรือ พระยามิลินท์ กษัตริย์กรีกผู้นับถือพระพุทธศาสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50325 สามเณรนิรนาม สมัยกัสสปะพุทธเจ้า (ต่อมาคือ พระยามิลินท์ ในสมัยพุทธกาล) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50332 การทำบาปของผู้ที่รู้และไม่รู้ (มิลินทปัญหา) http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14385 กำลังแห่งบุญและบาป (มิลินทปัญหา) http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14401 เรื่องสภาวะแห่งนิพพาน (มิลินทปัญหา) http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14582 เหตุไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ องค์ (มิลินทปัญหา) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=28346 พระเทวทัตเสมอกันกับพระโพธิสัตว์ ?? (มิลินทปัญหา) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=27616 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |