วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2022, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b8: ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ : keathadhammaboththai

กาละ บุตรเศรษฐีเกเรผู้กลับใจ
ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก

:b50: :b49: :b50:

ชีวิตนี้ถือเป็นบทเรียนที่คุ้มค่าที่สุด น่าจะเป็นชีวิตของคนประเสริฐ ที่เรียกว่า “ต้นคดปลายตรง” หรือคนที่เหลวไหลมาก่อน ภายหลังกลับเนื้อกลับตัว

คนอย่างองคุลิมาลก็ดี พระเจ้าอโศกก็ดี เป็นแบบอย่างชีวิตที่น่าชื่นชม ที่พลาดถลำลงแล้วไม่ถลำลึกลงไปอีก รู้สำนึกตน ปรับปรุงตนให้ดีขึ้น และทำประโยชน์แก่สังคมให้มากขึ้น

แม้ไม่ได้ทำความดีอะไรแก่สังคมให้เป็นที่ปรากฏ เพียงการที่เขากลับตัวเป็นคนดี ก็มีส่วนได้ช่วยสังคมแล้ว คือ สังคมจะได้เอาเป็นแบบอย่าง สั่งสอนลูก หลาน เหลน เลียด (จากเหลนเป็น “เลียด” ครับ มิใช่ “โหลนๆ”) ต่อๆ ไป


นายกาละ ก็เป็นคนหนึ่งที่ควรนำมาพูดถึง

นายกาละเป็นบุตรโทนของท่านสุทัตตะเศรษฐี (ต่อมาเรียกขานกันในชื่อว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี) ในขณะที่บุตรสาวคนอื่นๆ ของเศรษฐีเป็นบุตรในโอวาท ช่วยกิจการงานของครอบครัว กาละ บุตรชายโทน เอาแต่เที่ยวเตร่ ดื่มกิน สนุกสนานกับเพื่อนๆ ลูกชายคนร่ำรวยอื่นๆ

เศรษฐีผู้เป็นบิดาจะตักเตือนสั่งสอนอย่างไรก็ไม่ฟัง หรือฟังแต่ก็เข้าหูซ้าย ออกหูขวา

ผู้ที่เดือดร้อน คือ อนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้บิดา เพราะตัวท่านเป็นผู้สนใจใคร่ธรรม เป็นผู้ถวายความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ถวายทานแก่พระสงฆ์เป็นประจำทุกวัน บุตรสาวแต่ละคนก็ช่วยกันรับหน้าที่ดูแลงานแทนท่าน เมื่อบุตรสาวคนโตออกเรือนแล้วก็ได้บุตรสาวคนรอง เมื่อคนรองออกเรือนไปอีกคน ก็ได้บุตรสาวคนเล็กช่วยดูแล


ตัวท่านเองนั้นก็ได้รับเชิญไปให้ปรึกษาแก่ทายกทายิกาที่เขาทำบุญทำกุศลแทบทุกวันก็ว่าได้ จึงไม่มีเวลาดูแลเอง การบริหารกิจการเกี่ยวกับงานบุญงานกุศลประจำบ้าน จึงตกเป็นหน้าที่ของบุตรสาวทั้งสาม

ภาระหน้าที่นี้ แทนที่บุตรชายจะได้ช่วยแบ่งเบาบ้าง ก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้เพราะเธอเอาแต่เที่ยวเตร่ แค่นั้นยังไม่เท่าไร ที่สำคัญทำให้ “ขายหน้า” ประชาชนนี้สิครับ พ่อเป็นคนธรรมะธัมโม แต่ลูกไม่เอาไหน รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เขาหาว่าพ่อไม่มีปัญญาอบรมลูก

นี่แหละคือสิ่งที่ทิ่มแทงใจของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีตลอดมา พยายามคิดหาวิธีการจะให้ลูกชายกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้

วันหนึ่งท่านก็คิดหาวิธีได้ คือจ้างให้ลูกไปฟังธรรม ท่านเรียกบุตรชายมาบอกว่า พ่อจะให้เงินเจ้าใช้วันละเท่านั้นเท่านี้ (ตำราไม่ได้บอกว่าให้วันละเท่าไร แต่คงมากพอสมควร) ขอให้ลูกไปฟังธรรมทุกวัน

ลูกชายตอบรับด้วยความดีใจ (ดีใจที่จะได้เงิน) ไปวัดพระเชตวันทุกเย็น เพราะทุกเย็นพระพุทธเจ้าจะประทับนั่งแสดงธรรมแก่ประชาชนจำนวนมาก กาละเข้าไปนั่งอยู่ใต้ธรรมาสน์ฟังธรรม ฟังไปได้หน่อยหนึ่งก็หลับ จะตื่นขึ้นมาก็ต่อเมื่อพระธรรมเทศนาจบ

แล้วก็รีบลงศาลากลับไปบ้าน รายงานให้พ่อทราบ พร้อมแบมือขอค่าจ้างเศรษฐีก็จ่ายให้ตามสัญญา เหตุการณ์ผ่านไปนานพอควร พ่อจึงกล่าวว่า “ถ้าลูกจำข้อธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงได้ พ่อจะจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นบทละเท่านั้นเท่านี้” (ราคาเท่าไรก็ว่ากันไป)

ด้วยความโลภในทรัพย์ นายกาละก็รับปากทันที วันรุ่งขึ้นไปนั่งใต้ธรรมาสน์เช่นเดิม คราวนี้ไม่นั่งหลับ ใจจดใจจ่อทีเดียว พยายามกำหนดเนื้อหาของธรรมที่ทรงแสดง เพื่อจะจำเอามากๆ ไปแลกค่าจ้าง

พระพุทธองค์ทรงบันดาลให้เขาลืม เมื่อลืมก็ตั้งใจจำบทต่อๆ ไปอย่างนี้ไปจนจบ ว่ากันว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อโปรดเขาโดยเฉพาะ เมื่อจบพระธรรมเทศนา เขากลับจำเนื้อความได้หมดและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน


เขาเข้าไปกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท ทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมภิกษุสงฆ์ เสด็จไปเสวยภัตตาหารที่บ้านในวันรุ่งขึ้น เช้าขึ้นมาเขาไปวัด อุ้มบาตรของพระพุทธองค์ตามเสด็จมายังคฤหาสน์ของตน

เศรษฐีผู้เป็นพ่อแปลกใจอยู่ที่ไม่เห็นลูกทวงเงินค่าจ้างเมื่อวันนี้ วันนี้ก็เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก

มาถึงบ้านเขาได้กุลีกุจอช่วยคนในบ้าน “อังคาสพระ” (เลี้ยงอาหารพระ) ยังกับคนคุ้นวัดคุ้นวามาเป็นสิบๆ ปี เศรษฐีผู้พ่อยกถุงเงินค่าจ้างมาห่อใหญ่ วางไว้ตรงหน้าบุตรชาย “เอ้า ลูก นี่คือค่าจ้างของลูก รับไว้เสีย” (นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ลูกชายไม่ทวงค่าจ้าง)

นายกาละทำท่าทางอิดเอื้อน ไม่ยอมรับถุงเงิน แม้ว่าพ่อจะคะยั้นคะยออย่างไรก็ตาม

พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องว่าอะไรเป็นอะไร จึงตรัสกับเศรษฐีว่า สุทัตตะ บุตรชายท่านไม่ต้องการทรัพย์ภายนอกใดๆ ต่อไปแล้ว เพราะเธอได้บรรลุโสดาปัตติผลอันเป็นอริยทรัพย์ มีค่ามากกว่าทรัพย์ภายนอกแล้ว แล้วตรัสโศลกธรรมบทหนึ่งว่า

ยิ่งกว่าเอกราชเหนือแผ่นดิน
ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย
ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง
คือพระโสดาปัตติผล


เป็นอันว่าวิธีจ้างลูกเกเรฟังธรรมของอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ผล ใครจะจำเอาไปใช้บ้างก็คงดีไม่น้อย
อย่างน้อยถ้าใช้วิธีอื่นล้มเหลวมาแล้ว น่าจะลองวิธีนี้ดูบ้าง

ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยบอกผมว่า ท่านก็เคยจ้างลูกชายซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย อ่านหนังสือ “สองทศวรรษในดงขมิ้น” ของ ไต้ ตามทาง

ผมถามว่าทำไมต้องจ้าง

ท่านบอกว่า หนังสือดีๆ แบบนี้ อยากให้ลูกอ่าน บอกเฉยๆ มันไม่อ่าน จึงจ้าง

และว่าต่อไปว่า บรรยากาศอย่างนี้ (อย่างที่บรรยายไว้ในหนังสือ) ต่อไปคนรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น

ลืมถามว่าได้ผลเหมือนอนาถบิณฑิกะหรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2022, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อนาถบิณฑิกเศรษฐี จ้างลูกชายฟังธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก

:b50: :b49: :b50:

“ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี” มีบุตรชายโทน คือ นายกาละ กับบุตรสาวอีกสามคน คือ นางมหาสุภัททา นางจุลสุภัททา และนางสุมนาเทวี

บุตรสาวทุกคนใจบุญสุนทานตามอย่างบิดาเลยทีเดียว บิดาจึงมอบให้ดูแลเกี่ยวกับการทำบุญเลี้ยงพระด้วย

พระที่รับนิมนต์มาฉันบ้านเศรษฐีประจำ มีจำนวนวันละพันรูป ที่บ้านจึงต้องมีผู้คนตระเตรียมอาหารถวายพระ ยังกับมีงานมหรสพทุกวันก็ว่าได้


มหาสุภัททา ลูกสาวคนโต เป็นแม่งานใหญ่ดูแลสั่งการทุกอย่าง งานดำเนินมาด้วยความเรียบร้อยตลอดมา พอมหาสุภัททาแต่งงานออกเรือนไปแล้ว น้องสาวคนรองคือ จุลสุภัททา ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทน ครั้นจุลสุภัททาแต่งงานไปอยู่กับครอบครัวพ่อแม่สามีแล้ว น้องคนสุดท้องชื่อ สุมมาเทวี รับหน้าที่แทน

ครับ มีลูกสาวก็ดีอย่างนี้แหละ แบ่งเบาภาระได้ ตัวท่านเศรษฐีนั้นไม่มีเวลาว่างเลย ไปเป็นที่ปรึกษาในกิจการงานบุญของชาวบ้านตลอดเวลา เพราะท่านเป็นผู้ใกล้ชิดพระศาสนา ใกล้ชิดพระสงฆ์ ใครจะทำบุญเลี้ยงพระ หรือจัดงานบุญอื่นๆ ต้องมาขอคำแนะนำจากท่านอนาถบิณฑิกะตลอด

งานภายในบ้านต้องมอบให้อยู่ในความรับผิดชอบของบุตรสาว

แล้วบุตรชายคนโตและคนเดียวของเศรษฐีเล่า ไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ

ในเบื้องต้นแล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ เป็นบุตรไม่เอาถ่าน เอาแต่เที่ยวเตร่เป็นเพลย์บอยตามประสาลูกมหาเศรษฐี

ดีว่าสมัยโน้นไม่มีรถซิ่ง ถ้ามีแกคงซิ่งรถแข่ง ไม่มีโอกาสตายตอนแก่ (รถคว่ำตาย) ก็อาจเป็นได้

ท่านเศรษฐีเองก็ “เจ๊กอั่ก” ที่มีลูกชายไม่เอาไหน แต่ท่านก็ใจเย็น คอยหาวิธีอบรมลูกชายด้วยความอดทน สารพัดเทคนิควิธี ท่านได้คิดค้นออกมาเพื่อจะปรับเปลี่ยนนิสัยของลูกชาย แต่ก็ไม่เป็นผล

ในที่สุด ท่านก็คิดได้วิธีหนึ่งขึ้นมาคือ “จ้างลูกไปฟังธรรม”

ท่านเรียกลูกชายมาต่อรองว่า ถ้าลูกไปฟังธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงวันละครั้ง พ่อจะให้เงินเท่านั้นเท่านี้ คงให้มากโขกอยู่ ลูกชายจึงตกลงไปฟังธรรมที่วัดพระเชตวันทุกเย็น ว่ากันว่า แกไปวัดเพราะอยากได้เงิน มิใช่อยากได้ความรู้ธรรม

เมื่อไปถึงก็มองหาทำเลเหมาะนั่งฟังธรรม แลเห็นใต้ธรรมาสน์เหมาะเหม็งดี จึงคลานเข้าไปนั่งฟังธรรม หลับไปอยู่ตรงนั้นเอง เมื่อฟังจบก็ลุกขึ้นกลับบ้าน แบมือทวงค่าจ้าง “ไหนเงิน”

“กินข้าวกินปลาก่อนค่อยเอาก็ได้” คุณพ่อบอก

“ไม่ได้ ต้องเอาเงินมาก่อน” ลูกชายกลัวเบี้ยว เศรษฐีต้องเอาถุงเงินมาวางไว้ตรงหน้า พอเจ้าประคุณจึงจะยอมกันข้าว

เหตุการณ์เป็นไปอย่างนี้พอสมควร วันหนึ่ง พ่อบอกลูกชายว่าถ้าลูกฟังแล้วจำได้วันละบท พ่อจะให้บทละเท่านั้นเท่านี้ ถ้าจำได้มาก พ่อก็จะให้มาก

บุตรชายดีใจมากที่พ่อจะขึ้น “ค่าตัว” จึงตั้งใจฟังตั้งแต่ต้น

พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่า เด็กหนุ่มต้องการจดจำพระธรรมให้ได้มากที่สุด พระพุทธองค์จึงแสดงธรรมให้เขาค่อยกำหนดทีละประโยค จนกระทั่งจบพระธรรมเทศนา เขาได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

เขาได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จไปเสวยภัตตาหารที่บ้านเขาในวันรุ่งขึ้น

วันนั้นเขารีบกลับบ้าน รีบกินข้าว ไม่พูดถึงเงินค่าจ้างเลย รุ่งเช้าขึ้นมาเขาก็รีบไปวัดพระเชตวัน อุ้มบาตรพระพุทธองค์ตามเสด็จมาถึงคฤหาสน์ของตน ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์ “ด้วยมือของตน”


ตรงนี้ขอแทรกนิดหน่อย สำนวนภาษาว่า “เลี้ยงพระสงฆ์ด้วยมือของตน” มิใช่เข้าครัวทำกับข้าวเอง

เป็นประเพณีชาวชมพูทวีปสมัยโน้น เวลาจะถวายอาหารพระ ญาติโยมจะถวายภาชนะ (จานหรือชาม) เปล่าหนึ่งใบ ตัวเองก็ถือขันข้าวและแกงกับตักถวายพระท่านลงในภาชนะเดียวกัน (สมัยพุทธกาล พระท่านฉันในบาตรส่วนมาก) พระท่านก็ “ฉันมือ” (คือใช้มือแทนช้อนส้อม) ถ้าท่านพอแล้วก็ยกมือเป็นสัญญาณว่าพอแล้ว เสร็จแล้วก็ถวายน้ำล้างมือและผ้าเช็ดมือ อย่างนี้เรียกว่า “เลี้ยงพระสงฆ์ด้วยมือของตน”

เมื่อพระพุทธองค์พร้อมภิกษุเสวยเสร็จ จะประทานอนุโมทนา เศรษฐีผู้เป็นพ่อก็นำเอาถุงทรัพย์ถุงใหญ่มาวางไว้ต่อหน้าลูกชาย กล่าวดังๆ ว่า “เอ้า นี่ค่าจ้างฟังธรรม รับไว้ซะ” ลูกชายถลึงตาใส่พ่อว่า อย่าพูดอย่างนั้น พ่อยังไม่ “เก็ต” กล่าวว่า ค่าฟังธรรมของลูก รับไว้เสีย เล่นเอาบุตรชายเศรษฐีหน้าแดงด้วยความละอาย

พระพุทธองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไรมาตั้งแต่ต้น พระองค์ตรัสกับเศรษฐีว่า “อนาถบิณฑิกะ” บัดนี้บุตรชายท่านได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ไม่ยินดีรับทรัพย์ภายนอกใดๆ เพราะได้ทรัพย์ภายในแล้ว” เสร็จแล้วพระองค์ก็ตรัสคาถาสอนธรรมสั้นๆ บทหนึ่งว่า

ปฐพฺยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปจฺเจน โสดาปตฺติผลํ วรํ

ยิ่งกว่าเอกราชทั่วแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย
ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง คือพระโสดาปัตติผล


Than sole sovereignty over the earth, than going to celestial worlds,
than lordship over all the worlds, is the fruit of a stream-winner.

ก็เป็นอันว่า ท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกชายได้สำเร็จ หมดเงินไปเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ก็คุ้ม เพราะหลังจากนั้น
นายกาละ ลูกชายโทนของท่านก็เป็นอุบาสกคนสำคัญอีกคนหนึ่ง ผู้เป็นพ่อเองก็ “ตายตาหลับ” ว่าอย่างนั้นเถิด

มีลูกไม่ดีนี่ อย่าว่าแต่จะตายตาไม่หลับเลยครับ ขณะยังไม่ตายนี่แหละ กลุ้มอกกลุ้มใจดุจไฟลน เรื่องของโลกก็อย่างนี้แหละ ไม่มีบุตรชายก็กลุ้ม เพราะค่านิยมถือว่าบุตรชายเป็นผู้สืบสกุล ถึงกับพูดว่า “แต่งงานแล้วไม่มีบุตรสืบสกุล จะตกนรกขุมปุตตะ” พอมีบุตรชายมา บุตรชายไม่เอาไหน เกเรเกตุง ก็ “ตกนรก” อีกเช่นกัน

เพราะเหตุนี้แหละ เมื่อเทวดาองค์หนึ่งมากล่าวภาษิตถวายพระพุทธองค์ว่า “คนมีบุตรย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร” พระองค์ตรัสว่า ไม่ถูกดอก นั่นมันมองโลกแบบโลกียชน ในสายตาของพระอริยเจ้าแล้วท่านเห็นตรงกันข้าม ท่านเห็นว่า “คนมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร” ต่างหาก

ท่านผู้อ่านละครับ จะถือข้างไหน

คือจะเสมอข้าง “คนมีบุตร เพลิดเพลินเพราะบุตร” หรือ “คนมีบุตร เศร้าโศกเพราะบุตร” หรือจะเอาทั้งสองอย่าง เพลิดเพลินก็เอา เศร้าโศก (ถึงไม่เต็มใจ) ก็ยอมรับ สำหรับผมขอจบแค่นี้ก่อน



ที่มา >>> :b39: สุทัตตะ อนาถบิณฑิกเศรษฐี
อุบาสกผู้มีอุปการคุณต่อพระศาสนา

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50333


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2022, 21:06 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2024, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: onion

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร