วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2015, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



เวลาใดจิตใจมันหงอยเหงาเศร้าโศก
มันประสบกับความผิดหวังบางสิ่งบางอย่าง
หรือบางทีมันก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างนี้
คนธรรมดาสามัญมันก็ต้องเศร้าโศกเสียใจ

หรือทำการงานอะไรมันผิดหวังลงไป
ทำการค้าการขายขาดทุน ทำนาทำสวนไม่ได้ข้าวไม่ได้ผลไม้
เนื่องจากแล้งเบาะ ท่วมเบาะ อะไรหมู่นี้นะ
ก็ได้ชื่อเป็นความผิดหวังในชีวิตอย่างใหญ่หลวงพอได้เหมือนกัน

ทีนี้เมื่อบุคคลมาประสบกับภัยพิบัติดังกล่าวมานี้แล้ว
ก็ต้องมีอุบายสอนใจตัวเอง ก่อนอื่นก็ควรนึกถึง
"สภาพของสังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง" นั่นแหละมาเป็นอารมณ์

ถ้าหากว่าสังขารคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นขึ้นนี่มันเที่ยงแล้ว
มันก็จะไม่แปรปรวนไม่แตกไม่ดับไป
นี่เมื่อทุกสิ่งในโลกนี้มันเป็นของไม่เที่ยงแล้ว
มันจะได้สมหวังมาแต่ไหนก็ต้องหาอุบายสอนใจตัวเองเข้าไป

ให้ใจมันรู้มันเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว
มันก็คลายความทุกข์ความโศกลงเพราะว่าทุกสิ่ง
"มันเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปตามใจหวัง"
เมื่อไตรลักษณญาณปรากฏแจ่มแจ้งในใจอย่างนี้แล้ว
มันก็บรรเทาเบาบางลงได้ความโศกเศร้าเสียใจต่างๆนานา

อีกนัยหนึ่งก็นึกถึงความดีของตัวเอง
ไม่ใช่ตนของตนนี่มีแต่ความชั่วอย่างเดียว
มีแต่ความผิดหวังอย่างเดียว ความสมหวังก็มีอยู่ในชีวิต

อาศัยบุญบารมีที่สั่งสมอบรมมาตั้งแต่ก่อนโน้นน่ะ
มันมาอำนวยผลให้ เช่น ได้เกิดมาเป็นคนอย่างนี้
มีอวัยวะร่างกายครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่บกพร่องแต่อย่างใด
แล้วก็มีสติปัญญาพอสมควร พอหาเลี้ยงอัตภาพได้
ไม่ถึงกับว่าได้เป็นทาสทาสีทาสาของผู้อื่น
มีพื้นความรู้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพเช่นทำนา ทำสวน เป็นต้น
เหล่านี้นะ ผู้ใดไม่เกียจคร้านแล้วลงมือทำไป
มันก็ต้องได้มาทรัพย์สมบัติต่างๆ เหล่านั้นน่ะ
นี่ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญอยู่ ไม่ใช่ไม่มีบุญเสียเลย

นึกถึงบุญถึงวาสนาของตนมาแต่หนหลังตลอดมาถึงจนปัจจุบัน
ตนก็ได้ทำความดีมาอย่างนี้นะ เมื่อนึกถึงความดี
นึกถึงบุญวาสนามาแล้วมันก็ชื่นใจขึ้นมา
ก็รู้ว่าตนนั้นไม่ใช่มีแต่ความชั่วความผิดหวัง
ความสมหวังก็มีอยู่ บุญวาสนาบารมีก็มี
ถ้าบุญวาสนาไม่มีก็ไม่ได้เกิดมาเป็นคน
แต่ว่าบุญวาสนาที่มาตกแต่งให้นี้มันน้อยไป
เนื่องจากว่าตนได้ทำความดีไว้แต่ก่อนน่ะมันน้อย

ชักจะมัวเมาประมาทเพลิดเพลินไปในโลกสงสารอันนี้
มากกว่าการมาทำความดี มากกว่าการฝึกฝนอบรมจิตอย่างที่ว่านี่ล่ะ
ไม่ฝึกจิตใจของตนให้ตั้งมั่นต่อกุศลคุณงามความดี
หรือว่าตั้งมั่นก็ตั้งนิดๆ หน่อยๆ ไม่มาก
ทีนี้เวลามันอำนวยผลให้มาในปัจจุบันนี่
มันก็อำนวยผลให้ตามกำลังของบุญวาสนาที่ตนได้กระทำอบรมมา

บางทีทำบาปเข้า เอ้า บาปก็มาตัดรอนชีวิต
ไม่ให้มีความสุขสม่ำเสมออยู่ได้
เมื่อมีความสุขความเจริญไปๆหน่อยหนึ่ง
บาปมันตามมาทัน บาปมันมาตัดรอนเอา
ความสุขความเจริญเหล่านั้นสูญหายไปอย่างนี้นะ

เมื่อเป็นเช่นนี้น่ะ บุคคลไม่รู้แจ้งในกรรมในผลของกรรม
จึงได้เสียใจเศร้าโศกพิไรรำพันต่างๆ นานา
นี่มันก็เป็นความทุกข์อย่างนี้แหละบุคคลผู้ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์
ไม่ละเหตุแห่งทุกข์นั้นๆ แล้วมันก็เป็นทุกข์ร่ำไป



:b46: :b46:


ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
“การฝึกจิตเพื่อชีวิตที่สูงขึ้น”



:: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร