วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2020, 19:34 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b50: :b47: ธรรม ๓ อย่าง

พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


รูปภาพ

การที่เราได้ให้สิ่งที่มันเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ และผู้รับได้ใช้สิ่งนั้นให้เกิดความสุข ความสะดวกสบายขึ้น นั้นแหละชื่อว่ากุศลธรรม กุศลธรรมบังเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ให้ผู้บริจาค ผู้รับก็ได้ความสะดวกสบาย ซึ่งไม่เหมือนอย่างลัทธิอื่น ศาสนาอื่น ซึ่งเราคงรู้กันดีอยู่ว่าที่อื่นก็มีศาลเจ้าหรือมีสุเหร่าอะไรไว้ แล้วไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตนอะไรเลยที่เป็นเจ้าของสถานที่นั้น สร้างสถานที่ขึ้น แล้วก็เอาหมูเห็ดเป็ดไก่ไปบวงสรวง อ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอยู่มากิน แล้วมาอำนวยความสุข ความเจริญให้แก่ตน

ในโลกนี้ก็มีอยู่สองประเภทนี้เอง ประเภทบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกประเภทหนึ่งอยู่ที่จิตใจของคนเรา เพียงแต่ว่าอย่างใดมากกว่า อย่างใดน้อยกว่ากัน เพราะฉะนั้นในฐานะเราผู้นับถือพระพุทธศาสนา ขอให้พากันเลือก เพราะว่าในธรรมเหล่านั้น มันเป็นนามธรรมไม่มีรูปมีแต่ชื่อ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้กำหนดรู้ในใจ ธรรมะเหล่านี้มันอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่อื่น เมื่อใจผู้ใดน้อมไปทางกุศลธรรม ก็แสวงหาบุญกุศล อย่างพวกเรามาวันนี้ก็เรียกว่าเป็นผู้แสวงบุญ เพราะว่าการทำบุญนี้มันย่อมมีบ่อเกิด บ่อเกิดแห่งบุญ ก็คือบุคคลผู้มีบุญ เมื่อเราแสวงบุญก็หมายความว่า หากได้วัตถุอันใดอันหนึ่ง ไปให้แก่ท่านผู้มีบุญ บุญก็ย่อมบังเกิดขึ้นแก่เรา มันสืบเนื่องกัน นั่นคือสิ่งที่เราให้แก่ภายนอก

ประเภทบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายใน ได้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ แต่นี้ผู้ที่ชาวพุทธทั้งหลายยกย่องว่า เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ ทรงพระคุณอันประเสริฐ ก็ขอให้พากันเข้าใจ ทรงพระคุณอันประเสริฐไม่เห็นอำนวยความร่ำรวยอะไรให้ คนมักจะพูดกันอย่างนี้แหละ เรียกว่าความเข้าใจผิดไป สิ่งที่ทำนี่น่ะ พอทำลงไปแล้ว จะเกิดผลปุบปับทันทีอย่างนี้มันไม่มีในโลก ก็จะมีบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่ยั่งยืน อย่างเราปลูกต้นไม้ในดินนี้ พรุ่งนี้ให้ผลิดอกออกผลเลย อย่างนี้ไม่มีในโลก

ฉันใดการทำบุญกุศลก็เหมือนกัน เมื่อทำลงไปแล้วไม่ถึงกาลเวลามันจะให้ผล มันก็ยังให้ผลไม่ได้ มันต้องรอกาลเวลา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าบุญเก่าที่ทำแต่ชาติก่อนยังอำนวยผลให้อยู่ บุญใหม่ที่ทำในปัจจุบันนี้ก็ยังให้ผลทางด้านวัตถุไม่ได้ แต่ให้ผลทางด้านจิตใจได้อยู่ ต่อเมื่อบุญเก่ามันให้ผลหมดอายุลง บุญใหม่ที่ทำนี้จึงให้ผลต่อได้

เหมือนอย่างว่าคนเราเมื่อมีชีวิตอยู่ สะสมบุญกุศลไว้ในใจ สะสมธรรมที่เป็นบุญเป็นกุศลไว้ในใจ เวลาบุญเก่าหมดลง ก็หมายความว่าจวนตายแล้ว จวนจะตายก็จะมีบุญใหม่ที่ทำในปัจจุบันนี้ แสดงนิมิตให้จิตเห็น ท่านเรียกว่า กุศลกรรมนิมิต เป็นนิมิตแห่งบุญกุศล จะปรากฏในจิตใจ เช่น เห็นผู้เห็นคน ก็เห็นคนหน้าตาสะสวย คนดี คนใจดีน่าคบหาสมาคม เห็นถนนหนทางก็ราบเรียบ ไม่มีขวากหนาม ไม่มีหลุมไม่มีบ่อ เห็นบ้านเห็นเรือนก็เป็นบ้านเรือนที่ใหม่สวยงาม ไม่ทรุดโทรม ถ้าหากว่าเมื่อเกิดนิมิตขึ้น มองเห็นในใจในเวลาจวนจะตาย อันนั้นท่านก็เรียกว่ากุศลกรรมนิมิต นิมิตแห่งกุศลบังเกิดขึ้น คอยนำจิตนี้ไปเกิดในที่สุขสบายต่อไป

ถ้าเป็นอกุศลกรรมนิมิตบังเกิดขึ้น เวลาจวนจะสิ้นชีพทำลายขันธ์ นิมิตอันใดที่เป็นแต่ของเลวๆ เห็นผู้เห็นคนก็เป็นแต่คนดุ คนใจดุร้าย คนรูปร่างหน้าตาไม่น่าเลื่อมใส ถ้าเห็นถนนหนทางก็เต็มไปด้วยขวากด้วยหนาม มีหลุมมีบ่อ เป็นหนทางที่เดินไม่สะดวก เห็นบ้านเห็นเรือนก็เป็นบ้านเรือนที่ทรุดโทรม ไม่น่าอยู่อาศัย เมื่อนิมิตปรากฏเช่นนี้ในใจ ก็รู้ได้เลย บาปมันจะให้ผลเวลาจิตออกจากร่างนี้ บาปนี้จะนำไปสู่ทุกข์

นิมิตบางอย่างเกิดขึ้น ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปอะไร เห็นแล้วก็เฉยๆ อันนี้ท่านเรียกว่าอัพยากตธรรม แปลว่าธรรมที่เป็นกลางๆ ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป แต่อยู่ในใจของเราทุกคน เรากำหนดก็รู้เอง เราเห็นวัตถุต่างๆ เป็นของไม่มีค่า ปรากฏเป็นรูปร่างเฉยๆ คนเราย่อมมีธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นเครื่องอยู่ในใจ

บัดนี้บุคคลผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อธรรมที่เป็นบาปอกุศลเกิดขึ้น ก็รับเอา เมื่อจิตรับแล้วก็ใช้กายทำ วาจาพูด บาปอกุศลบังเกิดขึ้น มันเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามีจิตธรรมที่เป็นกุศลบังเกิดขึ้น จิตเป็นบุญกุศล ก็คิดอยากสร้างบุญกุศล ก็เหมือนอย่างที่พวกเรามาทำบุญในวันนี้ แสดงว่าจิตนี้บังเกิดกุศลธรรมขึ้นในใจ เราคงจะได้โอกาสทำบุญพระอยู่ที่โน้นที่นี้ เราก็เข้าใจว่าพระนี้ต้องมีศีลธรรม ต้องมีคุณความดี ต่างคนต่างคิดอย่างนี้เหมือนกัน จึงตกลงร่วมเดินทางกันมาทำบุญกุศล อันนี้เรียกว่าเป็นผู้แสวงบุญ โดยมีผู้มีศีลมีธรรมเป็นผู้รับสักการะต่างๆ ที่นำมา

อันนี้แหละคนเราที่จะมีความสุขได้ ก็เพราะแต่ชาติก่อน จิตเราเป็นกุศลจิต เรามีกุศลธรรมเป็นเครื่องอยู่ บันดาลให้เราสร้างบุญกุศล แล้วพอละจากโลกนั้นมาสู่โลกนี้ มาเกิดในชาตินี้ บุญกุศลก็นำมาเกิดในตระกูลสูง เกิดมาแล้วก็มีสติมีปัญญา รู้จักการแสวงหาทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอกคือเงินทอง ทรัพย์ภายในคือบุญกุศล นี่บุญกุศลมันสืบเนื่องกันอย่างนี้นะ ขอให้เข้าใจ

บุญตั้งแต่ชาติก่อนส่งให้เรามาเกิดในชาตินี้ เกิดมาแล้วชอบบุญชอบกุศล ชอบสร้างบุญกุศล ถ้ามีบาปอกุศลที่ทำมาในชาติก่อน นำมาให้เกิดในชาตินี้ เกิดมาแล้วก็ทำแต่ความชั่ว ทำดีไม่เป็น บาปบันดาลให้ชอบแต่กรรมชั่ว

คนบางคนเกิดมาแล้วทำบุญทำบาปอะไรก็ไม่เป็น ซื่อๆ ใจซื่อ นี้เรียกว่าคนนั้นเป็นผู้มีธรรมที่ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปอยู่ในใจ เคยเห็นไหมคนบางคนซื่อๆ ไม่มีสติปัญญาอะไร เกิดมาแล้วก็อาศัยพ่อแม่อยู่ อาศัยญาติพี่น้อง ทำงานอะไรก็ไม่เป็น หรือถ้าเป็นได้ก็เป็นนิดๆ หน่อยๆ นั่นแหละเรียกว่า คนผู้นั้นมีอัพยากตธรรมอยู่ในใจ คือธรรมไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป มันก็เลยคิดสร้างบุญไม่เป็น ละบาปก็ไม่ได้

ผู้ที่สั่งสมบุญกุศลอยู่ในใจในส่วนของอัพยากตธรรม ธรรมที่ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปนั้น มันก็เป็นพื้นฐานอยู่ มีกุศลธรรมรองรับอยู่ มันก็บันดาลให้บุคคลผู้นั้น เป็นคนมีปัญญา เฉลียวฉลาด รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล

อัพยากตธรรมนี้หมายความว่าเป็นธรรมที่รองรับทั้งบุญทั้งบาป ถ้าผู้สั่งสมบาปไว้ ธรรมเป็นกลางนี้ก็โน้มไปทางบาป เอนไปทางบาป มักเป็นคนโมโหโทโส มักเป็นคนโลภมาก โลภหลอกลวงฉ้อโกงเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน เพราะฉะนั้นทุกคนขอให้ไหว้พระภาวนา นั่งสมาธิเพ่งดูความรู้สึกภายในกาย ความรู้สึกภายในกายนี้เรียกว่าจิต ธรรม ๓ ประการนี้ก็อาศัยอยู่ในจิตนี้เอง บัดนี้เมื่อเราภาวนาลงไป นึกโกรธเกลียดชังคนโน้นคนนี้ขึ้นมา บาปอกุศลเกิดขึ้นก็รู้ได้ ก็ละมัน

ถ้าภาวนาไปจิตใจเยือกเย็นสบาย มานึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงบุญความดีที่ตนกระทำ อันนี้เรียกจิตเป็นกุศล ควรรักษาไว้ อย่าให้เสื่อม แล้วเมื่อไม่มีการงานอะไรที่จะต้องคิดต้องทำ จิตอยู่เฉยๆ อย่างนี้ ท่านเรียกว่าจิตเป็นอัพยากตธรรม เป็นธรรมกลางๆ

เพราะฉะนั้นให้พากันภาวนาดู เลือกเฟ้น ธรรมอันใดที่เป็นอกุศลเราอย่าส่งเสริมมัน ละมันเลย เราส่งเสริมก็แต่ธรรมที่เป็นบุญเป็นกุศลขึ้นในใจ ให้ใจของเราปลอดโปร่ง ใจมีสมาธิมีปัญญา อันนี้ท่านเรียกว่าใจเป็นกุศล ใจเป็นบุญกุศล เพราะฉะนั้นขอให้รับพรจากการทำบุญครั้งนี้โดยทั่วกัน


:b8: :b8: :b8:

ที่มา : หนังสือ วรลาโภวาท พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา พระสุธรรมรำลึก
อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ หัวข้อ ธรรม ๓ อย่าง หน้า ๘๕-๙๐

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=51952

:b45: รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b49: :b50: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์ของ
“พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2021, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2022, 11:39 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร