วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2021, 19:56 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b47: :b50: :b47: อนุปุพพิกถา
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๒๙


รูปภาพ

ต่อนี้ไปจึงตั้งใจฟังธรรม อย่าส่งใจไปทางอื่น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์มีปรจิตตวิชาญาณ
ทรงรู้วาระจิตของบุคคลอื่น
พระองค์มีอาสยานุสยญาณ ทรงรู้อัธยาศัยหรือวาสนาบารมีของบุคคล
นัยว่าเมื่อพระองค์พิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งมรรคผลของบุคคล
ผู้ที่มาฟังมานั่งอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์แล้ว นั่นนะ
นั่นแหละพระองค์จึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา
แล้วก็ทรงแสดงให้คฤหัสถ์ฟัง ไม่ได้ทรงแสดงให้บรรพชิต
นี้ก็พึ่งเข้าใจความมุ่งหมายของอนุปุพพิกถาเทศนา
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในครั้งนั้น
ครั้งแรกก็ทรงแสดงแก่พระยสกุลบุตรนั่นเอง
เพราะว่าพระยสกุลบุตรนี้ ท่านเป็นสุขุมาลชาติ
เป็นลูกของมหาเศรษฐีในเมืองพาราณสี
มีปราสาทอยู่ตั้งสามหลังในสามฤดู เหมือนๆ กับพระพุทธเจ้า

ก็ด้วยอำนาจบุญวาสนาที่ท่านได้บำเพ็ญมาแต่อเนกชาติมันมาเต็มบริบูรณ์แล้ว
จึงบันดาลให้ท่านไม่ยินดีในการเสวยกามสุขสมบัติเหล่านั้นเลย
ท่านพิจารณาเห็นกามสุขสมบัตินั้นว่าเป็นของวุ่นวาย
มีแต่เรื่องขัดข้อง มีแต่เรื่องวุ่นวาย ไม่เป็นไปเพื่อความสงบระงับ
เมื่อมันเกิดความรู้สึกขึ้นในใจอย่างนี้แล้ว
ในคืนวันหนึ่งก็จึงได้โอกาสหนีออกไปจากปราสาทเหล่านั้น
ก็ด้วยอำนาจบุญวาสนาบารมีนั่นแหละเดินบ่นไป
ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ เดินไปแล้วก็บ่นไป
พอไปใกล้ที่ประทับของพระศาสดา
ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั่นแหละ

เมื่อพระองค์ได้ทรงฟังเสียงของยสกุลบุตรบ่นมาอย่างนั้น
พระองค์เจ้าทรงตรัสตอบว่า ดูกร ยสกุลบุตร ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง
ท่านจงมา แล้วจงนั่งลง เราจะแสดงธรรมให้ฟัง
เมื่อยสกุลบุตร ได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็ดีอกดีใจมาก
ก็ถอดรองเท้า แล้วก็ถอดชฎาที่สวมอยู่บนศีรษะออกไป
แล้วก็นั่งกราบพระพุทธองค์ลงไปเรียบร้อย
เมื่อนั้นพระองค์ก็ทรงแสดงอนุปุพพิกถา อนุปุพพิกถานั้นมีอยู่ ๕ ข้อ
๑. ทานกถา ว่าด้วยเรื่องการให้การบริจาคทาน
๒. สีลกถา ว่าด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์
๓. สัคคกถา ว่าด้วยสวรรค์ อันเป็นผลของการให้ทานและรักษาศีลให้บริสุทธิ์นั้น
๔. กามาทีนวกถา ว่าด้วยเรื่องของโทษกามคุณ
จะเป็นกามคุณของมนุษย์ก็ตาม เป็นกามของเทพเจ้าเหล่าเทวาใดๆ ก็ตาม
ล้วนแต่มีโทษทั้งนั้นแหละ แล้วบัดนี้ก็แสดง
๕. เนกขัมมานิสังสัคคกถา
ทรงแสดงอานิสงส์แห่งการออกจากกามทั้งหลายดังกล่าวมานั้น

สุดท้ายก็ได้ทรงแสดง อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ จบลง
ยสกุลบุตรก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
แล้วก็ได้ปฏิญาณตนถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต

เมื่อปฏิญาณตนเสร็จแล้ว ก็ได้ขอบวชกับพระศาสดา
พระองค์ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกไป ทรงตรัสว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเราตรัสไว้ดีแล้ว
จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นไปจากทุกข์โดยชอบเถิด
พอพระองค์เจ้าตรัสเท่านี้จบลง
บริขาร ๘ อันเป็นทิพย์ก็เลื่อนลอยมา สวมเอายสกุลบุตรทันที
ผมเฝ้าหนวดเคราอะไร ปลิวไปหายไป
บัดนี้ก็เลยได้ชื่อใหม่เพิ่มเติมเข้าไปอีกว่า พระยสกุลบุตร เข้าไปแล้ว
นี่วิสัยของท่านผู้มีบุญมากเป็นอย่างนี้ ในการที่ได้เกิดร่วมพระพุทธเจ้า
แล้วเมื่อได้ออกบวชอย่างนี้ท่านไม่เอาบริขารอะไรติดตัวไปเลย
เมื่อมีศรัทธาอยู่ในป่าก็ขอบวชอยู่ในป่า
พระองค์ก็ทรงพระอนุญาตให้บวชเป็นภิกขุได้ ด้วยพระวาจาดังกล่าวแล้ว
บริขารอันเป็นทิพย์ก็เลื่อนลอยมาสวมเอาเลย
ไม่ใช่แต่พระยสกุลบุตรเท่านั้น แม้พระสาวกองค์อื่นๆ
ถ้าลงว่าพระศาสดาทรงตรัสเรียกว่า จงเป็นภิกขุมาเถิด
เท่านี้ล่ะ ก็เป็นอันว่า บริขาร ๘ อันเป็นทิพย์ก็เลื่อนลอยมาทันที

แต่ถ้าพระองค์พิจารณาดูว่า
คนผู้นี้ตั้งแต่อดีตชาติหนหลังไม่ได้ให้อัฐบริขารเป็นทานมา
อันทานอย่างอื่นนั้นได้ให้อยู่ แต่ว่าไม่ได้ให้อัฐบริขารเป็นทาน
อย่างนี้นะ ผลแห่งทานดังกล่าวนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่กุลบุตรผู้นี้
เมื่อพระองค์ทรงทราบอย่างนี้แล้ว ก็ทรงแนะนำให้ไปหาบริขาร ๘ เสียก่อน
แล้วจึงมาขอบวชใหม่ เป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าหากว่าพระองค์ได้เหยียดพระหัตถ์ออก เรียกว่าเอหิภิกขุอุปสัมปทาแล้ว
เป็นอันว่าผู้นั้นมีบุญแท้ๆ ผู้นั้นได้ให้ทานอัฐบริขารมาแต่ชาติก่อน
ผลแห่งทานนั้นก็จะมาปรากฏในปัจจุบันนั้น เช่นอย่างพระยสกุลบุตรดังกล่าวแล้ว
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเรื่อง ทาน นั้น
ก็คือว่าทรงแสดงถึงเรื่องความเป็นผู้ที่ไม่ให้เห็นแก่ตัว
นี่หากว่าเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่
ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทองข้าวของอย่างนั้นแล้ว ก็อย่าไปเห็นแก่ความสุขส่วนตัว
พึงเฉลี่ยความสุขส่วนตัวนั้นแก่คนยากคนจนข้นแค้นบ้าง
อย่างนี้จึงชื่อว่าเป็นความดีของผู้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย
เป็นคุณธรรมของผู้เป็นบัณฑิต

แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงว่าธรรมดาผู้เป็นบัณฑิต ผู้มีปัญญา
ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาก็ย่อมไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น
ย่อมสำรวมกายวาจาของตนด้วยดี
ไม่ให้ไปกระทบกระทั่งกับบุคคลอื่นและสัตว์อื่นอย่างนี้
เมื่อพระองค์เจ้าทรงแสดงมาถึงบทนี้ ก็แสดงว่าเป็นผู้สำรวมในศีลนั้นเองแหละ
ความมุ่งหมายผู้ฟังก็ย่อมรู้ได้ ก็ย่อมมีศรัทธามั่นในศีลลงไป
พยายามรักษาเจตนาในใจตนไว้เสมอว่า
ไม่ให้มีเจตนาคิดเบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่นเลย
เมื่อบุคคลได้มาบำเพ็ญทานการกุศล
พร้อมด้วยการวิรัติละเว้นจากบาปโทษมลทินต่างๆ ดังกล่าวมาเช่นนี้แล้ว
ก็ย่อมจะได้รับอานิสงส์ผลทั้งในปัจจุบันและเบื้องหน้า

ในปัจจุบันนี้ก็เป็นผู้มากไปด้วยบริษัท บริวาร มิตร ญาติ สหาย
ไม่มีใครแสดงตนเป็นศัตรูเลย เพราะว่าเป็นผู้มีใจคอกว้างขวาง
ไม่ตระหนี่ในสมบัติข้าวของที่ได้มา แบ่งสันปันส่วนให้คนยากคนจนไป
เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีใครคิดอิจฉาเบียดเบียนเลย
ก็ย่อมอยู่ด้วยความเป็นผู้ไม่มีเวรไม่มีภัย
อันนี้เป็นอานิสงส์ในปัจจุบันซึ่งมองเห็นได้ชัดๆ
เมื่อละโลกนี้ไปแล้วก็ย่อมบันเทิงในสวรรค์
ย่อมได้เสวยผลแห่งบุญกุศลที่ทำมาไว้ในชาตินี้
โดยไม่ต้องได้ทำไร่ไถนา ไม่ได้ทำการค้าขาย เหมือนอย่างโลกมนุษย์อันนี้
บุญกุศลหากเนรมิตสมบัติพัสถานต่างๆ ให้ตามต้องการ

เมื่อพระองค์ทรงแสดงอานิสงส์ผลแห่งทาน ศีล
เป็นการฟอกจิตของยสกุลบุตรนั้นแหละให้ขาวสะอาด
เหมือนกับสบู่หรือว่าผงซักฟอกสำหรับซักฟอกผ้าผ่อน
ที่มัวหมองด้วยฝุ่นละอองธุลี ให้ผ้านั้นขาวสะอาดดีนี้ฉันใด
ข้อปฏิบัติคือทาน ศีล และอานิสงส์แห่งทาน ศีลเหล่านี้
ยสกุลบุตรได้ฟังแล้วก็มีจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน
คิดว่าตนนั้นเป็นผู้มีบุญแหละถึงได้เกิดมาในตระกูลเศรษฐีอย่างนี้
แล้วตนก็ไม่ได้เบียดเบียนบุคคลใดและสัตว์จำพวกใดเลย
เมื่อมาตรวจดูกาย วาจา ใจของตนอย่างว่ามานี้แล้ว
ก็เห็นแต่ความบริสุทธิ์ ปราศจากบาปโทษมลทิน
ดังนั้นจึงได้มีจิตใจเบิกบานผ่องใส

เมื่อพระองค์พิจารณาเห็นว่ายสกุลบุตร
มีจิตใจผ่องใสอยู่ด้วยบุญด้วยกุศลด้วยดีแล้ว
จึงได้ทรงแสดงธรรมขั้นสูงขึ้นไปกว่านั้น
เพื่อให้ผู้ฟังนั้นได้มีความรู้ความคิด ความคิดเห็นเลื่อนขั้นขึ้นไป
ก็ได้แสดงโทษแห่งกามคุณให้ยสกุลบุตรฟัง
โดยทรงยกอุปไมยอุปมาว่า กามทั้งหลายนั่นเหมือนอย่างร่างของสัตว์ที่ตายแล้ว
บรรดาพวกแร้งก็ดี กาก็ดี สุนัขจิ้งจอกก็ดี ยื้อแย่งกันกิน
ตัวไหนมีกำลังมากตัวนั้นก็กินมาก ตัวไหนมีกำลังน้อยตัวนั้นก็ได้กินน้อย
แต่กว่าจะกินได้ก็ต้องสู้กันอย่างสุดเหวี่ยง แสนทุกข์ แสนยาก แสนลำบาก
อันนี้ฉันใด ผู้บริโภคกามทั้งหลายก็เป็นเช่นกันกับซากศพ
ที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายยื้อแย่งกันกินนั้นเอง อันนี้ก็นับว่าเป็นความจริงเหลือเกิน
อันนี้ก็ดี ดังที่เราคงรู้คงได้ยินได้ฟังกันมาแหละ
ไอ้เรื่องเบียดเบียนกัน ฆ่ากันตายอยู่ในโลกอันนี้
มันก็ล้วนแต่แย่งกามคุณกันนี้เอง ไม่ใช่อย่างอื่นใด
แล้วกามทั้งหลายเปรียบเหมือนอย่างหอก ดาบ แหลน หลาว
คอยแต่ละทิ่มแทงให้เจ็บปวดรวดร้าวเวทนาอยู่อย่างนั้น

กามทั้งหลายเปรียบเหมือนอย่างเขียงหั่นชิ้นเนื้อ
ธรรมดาเขียงนี้มีแต่สึกหรอเรื่อยไป ไม่มีหรอกมันจะงอกขึ้นมาอีก
อันนี้ฉันใดก็เหมือนกันแหละ ผู้บริโภคกามทั้งหลายนี่ก็มีตั้งแต่เสื่อมลงไปเลย
ทั้งร่างกายก็ทรุดโทรมลงไป ทางจิตใจก็เสื่อมลงไปจากคุณความดี
ผู้มัวเมาในกามคุณนะ เสื่อมไปจากบุญจากกุศลเป็นอย่างนั้น

กามทั้งหลายเปรียบเหมือนอย่างต้นไม้ที่มีผล
ธรรมดาต้นไม้ที่มีผลนี่ นอกจากพวกนกพวกสัตว์ต่างๆ มากินกันแล้ว
หมู่มนุษย์ก็ไปตัดไปลานกิ่งก้านของมันลงเพื่อจะเอาผลมันมาบริโภค
ก็ต้องได้ถูกรบกวน ต้นไม้ที่มีผลน่ะ
ฉันใดบุคคลผู้ยินดีในกามคุณทั้งหลาย
เมื่อได้รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสนั้นมาแล้ว
ก็มีผู้อยากมายื้อแย้งเอาไปอยู่อย่างนั้นแหละ
ต้องได้รักษา ต้องได้กังวลห่วงใยอยู่อย่างนั้นแน่ะ
มีเงินทองข้าวของมาแล้ว ยิ่งมีคนพยายามจะมายื้อแย้งเอาไป
ถ้ามีเมียสวยๆ งามๆ ยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งเป็นเวร
ดีไม่ดีเขาฆ่าตัวตายซ้ำเลย อันนี้ก็มีอยู่ถมไป นี่แหละ
เพราะฉะนั้นพระองค์เจ้าจึงได้เปรียบกามคุณไว้เหมือนกันกับต้นไม้ที่มีผล

ทรงเปรียบว่ากามทั้งหลายนั้นเปรียบเหมือนอย่างหลุมมูตรหลุมคูถ
เมื่อบุคคลใดตกลงไปในหลุมมูตรหลุมคูถนั้นแล้ว
ก็มีแต่อัปยศอดสูได้รับแต่ความไม่สบายใจเลย
เพราะว่ามันสกปรกโสมม มีกลิ่น ก็กลิ่นอะไรต่ออะไรอย่างนี้แหละ
ทรงเปรียบกามทั้งหลายเหมือนกับยืมสิ่งของของคนอื่นมา
เมื่อถึงเวลาแล้วก็ต้องส่งคืนเขา อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นแหละ
บรรดารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส
อันเป็นที่น่ารักใคร่พอใจต่างๆ ตนได้มาครอบครอง
อยู่ไปๆ ถึงเวลาแล้วมันก็ต้องแตกดับทำลายไป
ก็เท่ากับว่าเป็นของยืมเขามาใช้ชั่วคราวเท่านั้นเอง
อันนี้แหละ บรรดาว่าโทษแห่งกามคุณทั้งหลาย
ที่พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงให้พุทธบริษัททั้งหลายฟังไว้

เมื่อยสกุลบุตรได้ฟังโทษแห่งกามคุณนี้แล้วก็มีจิตใจเบื่อหน่ายในกามทั้งหลาย
เมื่อพระองค์พิจารณาเห็นจิตของยสกุลบุตรเบื่อหน่ายในกามทั้งหลายอย่างนั้นแล้ว
ก็จึงได้ทรงแสดงอานิสงส์แห่งการออกจากกาม
ว่าเมื่อบุคคลเมื่อหากว่ามีจิตใจไม่ฝักใฝ่ในกามทั้งหลายแล้ว
ก็ย่อมถึงซึ่งความสงบระงับ มีจิตใจเบิกบานผ่องแผ้ว
ทั้งมีสติ มีปัญญา รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
รู้จักประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน
เมื่อยสกุลบุตรได้ฟังเช่นนั้นแล้วจิตใจก็คลายจากกามคุณ
กามตัณหาทั้งหลายออกไป มีจิตใจสงบระงับเป็นอย่างดี

ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงแสดงอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ให้ยสกุลบุตรฟัง
เมื่อยสกุลบุตรได้ฟังอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ นั้นจบลง
จึงได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นอริยบุคคลในพุทธศาสนานี้
ใจความในอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ นะ พระองค์ก็ทรงยกทุกข์นี่แหละขึ้นมาแสดงก่อน
เพราะว่าทุกข์นี้มันมาปรากฏชัดๆ อยู่แล้ว ใครๆ ก็ย่อมมองเห็นได้
เช่นอย่างทุกข์อันเกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตายอย่างนี้น่ะ
แม้ว่าตนจะยังหนุ่มแน่นอยู่ก็ตาม แต่คนที่เกิดก่อนตัวเองโน่นนะ
เพื่อนก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตาย มาให้เห็นเป็นสักขีพยานอยู่แล้ว
แม้ตัวของตัวเองนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ เมื่อหากมีชีวิตยืนยาวนานอยู่ต่อไป
ก็จะต้องถูกความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ครอบงำเช่นเดียวกัน
เมื่อยสกุลบุตรได้ฟังเรื่องของความทุกข์
ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ได้สมหวัง
ความได้คบหาสมาคมกับบุคคลที่ไม่เป็นที่น่ารักน่าพอใจต่างๆ
หมู่นี้ล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้นเลย ก็จึงได้เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารนามรูปอันนี้นั่นแหละ
แล้วเมื่อบุคคลมาพิจารณาเห็นว่าทุกข์นี้มันเป็นของมีจริงอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ
มันปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้เลย ไม่ใช่มีอยู่ในอดีตอนาคตอะไร ทุกข์มีอยู่ในปัจจุบัน
ดูอัตภาพร่างกายนี้แล้วกัน มันทรุดโทรมไปอยู่เรื่อย ไปอยู่อย่างนี้แหละ
ในที่สุดมันก็จะหมุนไปหาความแตกดับเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารทีนี้

พระศาสดาจึงได้ทรงตรัสว่า เมื่อบุคคลมาเห็นทุกข์ เบื่อหน่ายในทุกข์ดังกล่าวมานี้แล้ว
ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์เหล่านี้นั้น ก็ต้องเป็นผู้มาละตัณหาเสีย
ตัณหา หมายถึงความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก
ความพอใจในกามคุณทั้งหลายนั้นแหละ
ความติดความผูกพันอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในเครื่องสัมผัสต่างๆ
หมู่นี้ก็ล้วนตั้งแต่เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะว่าเมื่อมันเกิดความพอใจขึ้นแล้ว
มันก็ยึดถือเอาไว้ เมื่อมันยึดถือเอาไว้แล้ว มันก็เป็นเหตุให้แสวงหา
การแสวงหานั้นบางทีเมื่อแสวงหาโดยทางสุจริตไม่ได้ ก็ต้องแสวงหาเอาในทางทุจริต
เพราะว่ามันกลายเป็นความโลภไปแล้วนะบัดนี้ เมื่อมันอยากได้มากๆ ขึ้นไป
ก็เลยกลายเป็นความโลภ เพ่งเล็งเห็นคนอื่นเขาร่ำรวย เขาได้อะไรมาตามประสงค์อย่างนั้น
ตนก็ไปวางแผนยื้อแย่งเอาโดยวิธีหนึ่งเข้าไปอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเหตุเกิดบาปอกุศลขึ้นมา
บาปอกุศลเหล่านี้แหละอำนวยผลให้บุคคลผู้กระทำเช่นนั้น เป็นทุกข์ไปทั้งปัจจุบันและเบื้องหน้า

เพราะฉะนั้นพระศาสดาจึงทรงสอนให้ละตัณหานั่นแหละ
ความอยาก ความดิ้นรน ทะเยอทะยานเกินขอบเขตนั้น มันก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ถ้าหากว่าพูดถึงตัณหาชั้นละเอียดแล้ว
เมื่อมาเห็นโทษแห่งรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส อันจัดว่าเป็นกามตัณหานี่แล้ว
ก็ไม่ผูกพันอยู่ในรูป เสียง เป็นต้นดังกล่าวมานี่
แต่มันมาติดอยู่ในรูปกายในขันธ์ ๕ นี้ ยังไม่สามารถจะปลงและวางขันธ์ ๕ นี้ได้
แต่ถ้าหากว่าหมดอายุสังขารลง ท่านก็ว่าไปเกิดในพรหมโลก
เป็นรูปพรหมเพราะเป็นผู้ระงับกามวิตกเสียได้
มีจิตสงบอยู่ในฌาน เพ่งรูปเป็นอารมณ์อยู่อย่างนี้แหละ
อานิสงส์อันนี้พาให้ไปเกิดในพรหมโลก เป็นพรหมที่มีรูปเป็นอย่างนั้น
ที่ท่านเรียกว่าภวตัณหา วิภวตัณหานั้น
เมื่อบุคคลภาวนาไปเพ่งรูปนี้อยู่ ก็มาเบื่อหน่ายในรูปนี้
แต่เบื่อหน่ายหากไม่มีปัญญาที่จะสอนจิตให้ปล่อยให้วางได้
อาศัยแต่การเพ่งอย่างเดียว เพ่งเพื่อให้รูปนี้มันหายไปจากดวงจิต
เมื่อเพ่งนานๆ เข้ารูปนี้ก็จะหายไปจากดวงจิต จริงๆ จิตนี้ปรากฏว่าว่างเลยบัดนี้นะ
เมื่อจิตว่างลงไปก็ยึดความว่างนั้นน่ะเป็นอารมณ์ไป
ท่านเรียกว่าอรูปฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนะ อากิญจัญญายตนะ
นั่นแหละหมู่นี้แหละเป็นอรูปฌาน
เมื่อหมดอายุสังขารลง ก็ไปเกิดเป็นพรหม เป็นพรหมที่ไม่มีรูป ท่านเรียกว่าอรูปพรหม
อันนี้หมู่นี้ล้วนแต่เป็นตัณหาทั้งนั้นเลย เป็นตัณหาชั้นละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่เจริญสมถะ วิปัสสนาแล้ว
ท่านจะไม่ถือมั่นในสมาธิ ในฌานเหล่านี้ไว้
จะต้องเจริญวิปัสสนา ทำความรู้เท่าฌาน รูปฌาน อรูปฌาน เหล่านี้เสมอ
แล้วก็เจริญวิปัสสนา เพ่งพิจารณาในอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ดังกล่าวมานั้นแหละ
เมื่อเห็นว่าบุคคลมาดับตัณหาทั้งหลายเหล่านี้ได้แล้ว ทุกข์ก็ย่อมดับไปหมด
ท่านก็เจริญปัญญา สอนจิตเนี่ยให้ละตัณหาอันนี้ไปเรื่อยๆ
เมื่อตัณหาเหล่านี้ดับ ทุกข์ทางใจมันก็ดับลง ก็เห็นที่ดับทุกข์ได้
มาดับตรงไหน ดับทุกข์ ดับที่ใจนั่นแหละ
เมื่อใจละตัณหาลงไปได้อย่างสนิทสนมแล้ว ทุกข์ทางใจมันก็ดับลง
การดับทุกข์ไม่ได้ไปดับที่อื่นหรอก ดับที่จิตดวงเดียวนั้นเอง เป็นอย่างนั้น

แล้วการที่เราบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติมา
เช่นอย่างถ้าเป็นทายกทายิกา ก็ได้ให้ทาน ได้รักษาศีล
ได้ฟังธรรม ได้ไหว้พระ นั่งสมาธิภาวนา มาจนตลอด
จึงได้มาเจริญสมถะ วิปัสสนาอย่างว่านี้แหละ
อันนี้ได้ชื่อว่าเป็นแนวทางข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เมื่อได้บำเพ็ญกุศลดังกล่าวมาเนี่ย
เมื่อรวมกำลังแห่งบุญกุศลต่างๆ เหล่านั้น
มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในจิตใจแล้ว ใจก็มีกำลังเข้มแข็ง

สามารถที่จะกำหนดละตัณหาดังกล่าวนั้นได้
นี่แหละท่านจึงเรียกว่ามรรค คือข้อปฏิบัติ
มรรคอันมีองค์ ๘ คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ทางใจได้จริงๆ
แต่ถ้าหากมันดับทุกข์ได้ พร้อมทั้งเหตุปัจจัยจริงๆ แล้ว
อย่างนี้มันจะเกิดญาณความรู้ขึ้นมา
เกิดญาณความรู้ขึ้นว่ากิเลสเหล่านี้ ตนได้ละมันขาดไปแล้ว
อย่างนี้นะ ก็รู้ชัดเห็นแจ้ง ด้วยประจักษ์ด้วยตนเองได้อย่างนี้แหละ

ขึ้นชื่อว่าธรรมของจริง ไม่มีใครมารู้ให้ได้ ใครทำใครย่อมรู้ย่อมเห็นได้ด้วยตนเอง
เพราะว่าฉะนั้นแหละ เมื่อพุทธบริษัทได้สดับฟังอนุปุพพิกถา
ดังที่แสดงมาให้ฟังโดยสังเขปโดยลำดับนี้แล้ว ก็พากันพินิจพิจารณาจดจำ
แล้วน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติตามด้วยความไม่ประมาท
ถ้าเมื่อลงมือปฏิบัติโดยความไม่ประมาทแล้ว
ก็ต้องได้รับอานิสงส์ผลอย่างแน่นอนทีเดียว
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษในปัจจุบันชาตินี้
ก็จะได้เป็นอุปนิสัยปัจจัยอย่างแรงกล้าติดตามตนไป เป็นอย่างนั้น
แต่ในสมัยครั้งพระพุทธเจ้านั้น
ถ้าหากว่าพระองค์พิจารณาดูคนที่มานั่งอยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์เหล่านั้น
ไม่มีอุปนิสัยที่จะบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษแล้ว
พระองค์จะไม่แสดงอนุปุพพิกถา ๕ ประการในสมาคมนั้นเลย
พระองค์จะแสดงธรรมไปอย่างอื่น
เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ของผู้ฟังทั้งหลายให้แก่กล้าไปโดยลำดับ

เช่นอย่างทรงแสดงเรื่องธรรมสังเวชอย่างนี้แหละ
อย่างเช่นควรพิจารณาทุกวันๆ ว่าเรามีความแก่
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลย
เราจักพลัดพรากจากของรักชอบใจทั้งสิ้น
เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ดี ชั่วก็ดี ก็จักได้รับผลของกรรมอันนั้นสืบไป
การที่พระองค์เจ้าทรงแสดงธรรมสังเวชอย่างนี้
ก็เพื่อที่จะให้ผู้ฟังทั้งหลายนั้นได้พิจารณาถึงตัวเอง แล้วให้เกิดความสังเวชสลดใจ
ในการที่ตนได้มาอาศัยอยู่ในสังขารอันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนนี้
เต็มไปด้วยทุกข์ทนทรมานต่างๆ นี่
แล้วเบื่อหน่ายในการที่จะมารักใคร่ มาผูกพันกับของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเหล่านี้
เพราะว่าไปรักใคร่กับสิ่งอันไม่เที่ยงเช่นนั้น
เมื่อเวลามันแปรปรวนหวั่นไหวไป แตกดับไป ก็เป็นทุกข์โศกเพราะอาลัยมาก
ดังนั้นแหละก็ขอให้สำรวมใจให้ดีดังแสดงมา


ที่มา : หนังสือ ธรรมโอวาทหลวงปู่เหรียญ
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
เรื่อง อนุปุพพิกถา หน้า ๑๖-๒๖
:b8: :b8: :b8:

:b45: อนุปุพพิกถา คืออะไร ?
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=42446

:b45: รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b49: :b50: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์ของ
“พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2021, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2022, 11:41 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร