วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2021, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


:b45: :b45:

ไม่เหมือนคฤหัสถ์เขาน่ะ เราเป็นนักบวชถ้าไม่ขยันพากเพียรอบรมตนนี้นะ ไม่ทราบว่าจะทำอะไรอะ เหมือนกับบวชเข้ามาเสียเปล่าซิ ไม่ได้ประโยชน์อะไร เรามาบวชนี่เราเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตนน่ะก่อนอื่นทั้งหมด ประโยชน์ผู้อื่นไว้อย่างหลัง เมื่อตนมั่นคงดี มันก็สามารถทำประโยชน์ผู้อื่นได้ ถ้าฝึกฝนตนให้มั่นคงไม่ได้มันก็ฝึกผู้อื่นไม่ได้ ก็ชื่อว่าเป็นคนเสียเปล่า เกิดมาเปล่าจากประโยชน์ อยู่ไปนานปีนานเดือนไป ร่างกายก็ทรุดโทรมไป ทรุดโทรมไป ไม่ควรจะประมาท มันจะแต่งตัวสวยงามเท่าไรก็ตาม ประดับด้วยทองเหลืองทั่วตัวก็ตามนะ ไอ้ร่างกายนี้มันก็ไม่หนุ่มไม่สาวคืนหลังไปได้ มีแต่ชำรุดทรุดโทรมไปเรื่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท ควรทำชีวิตให้เป็นแก่นสาร

ถึงของไม่เที่ยงก็จริงร่างกายอันนี้นะ แต่มันก็พอทำประโยชน์ได้ พอช่วยตัวเองให้พ้นจากทุกข์ไปได้ หมายความว่าร่างกายอันนี้มันก็เป็นเรือนร่างที่อาศัยของดวงจิต ตัวสำคัญแท้ๆ คือ “ตัวจิต” แต่ว่าจิตนี้ถ้าไม่ได้อาศัยร่างกายอันนี้ก็ทำประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ เพราะดวงจิตนี้ไม่มีรูปร่างอะไร มันมีแต่ธรรมชาติรู้เฉยๆ รู้อันนี้แหละมันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความรู้นี้แหละ ให้พากันสันนิษฐานดูให้ดี ถ้าไม่มีความรู้นี้ร่างกายมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เหมือนท่อนไม้ท่อนกล้วยที่เขาตัดแล้วทิ้งไว้บนดิน มันก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทุกขเวทนาอะไรเลย มีแต่จะเน่าเปื่อยผุพังไปเท่านั้นเอง แต่ว่าจิตดวงนี้นะมันหากมองไม่เห็นตัวมัน มันจึงยากที่บุคคลจะฝึกตนให้หลุดพ้นไปจากวัฏสงสารนี้ได้ เนื่องจากว่า มันไม่มีรูปร่างอะไร มีแต่คำว่า “ธาตุรู้” อย่างเดียว ก็รู้อันนี้ก็ไม่เป็นสองเป็นสาม เป็น “หนึ่ง” เพราะฉะนั้นจึงว่ามันยากที่จะจับจิตดวงนี้ได้ เพราะมันเป็นหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสอง ที่จับได้ก็เพราะ “การเพ่ง” การทำความเพียรเพ่งพินิจ เพ่งอยู่ด้วยความรู้อันนั้น

ไอ้ความเพ่งนี่มันมีอำนาจ การปล่อยจิตให้เลื่อนลอยอยู่เฉยๆ ไม่เพ่ง ไม่มีอำนาจเลย อ่อนแอ เพราะฉะนั้นทุกคนให้เข้าใจคำว่า “ฌานัง” แปลว่า ความเพ่ง แปลเป็นภาษาไทยเราเรียกว่า ความเพ่ง ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ฌาน คำว่าเข้าฌาน ก็คือเพ่งจิตนี้เข้าไปโดยลำดับ ถ้าผู้ใดอดทนไม่ไหว หน่อยก็จิตถอนออกมา ความเพ่งไม่มีกำลัง มันก็ถอนออกมา มันถอนออกมาแล้วมันก็มาคิดมาปรุงแต่งเรื่องอะไรต่ออะไรต่อไปอีก แต่ถ้าหากว่าผู้ที่เพ่งจิตนี้จนชำนิชำนาญ เพ่งให้หยุดคิด มันก็หยุดคิดไปเลย ไม่คิดต่อ

เพ่งอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “เพ่งคิค” เพ่งเช่นอย่างว่า ไอ้เรื่องนี้มันอะไรน้อ เมื่อเพ่งจิตอยู่แล้วก็ดำริ เรื่องนี้ความจริงมันเป็นอย่างไรน้อ ถ้าหากว่าจิตมันแน่วแน่จริงๆ พอเราเพ่งแล้ววิตกอย่างนี้ ไอ้เรื่องนั้นมันก็โผล่ออกมาให้รู้ อ๋อ เรื่องนี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น อย่างนี้ ความจริงหมายความว่า เรารู้ความจริง ไม่ใช่รู้ปลอม รู้ด้วยการเพ่งด้วยปัญญา เรียกว่ารู้ความจริงของสิ่งนั้นๆ ความเพ่งมันมีสองอย่าง ให้เข้าใจ


:b44: :b44:

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
“การฝึกจิตให้มีอำนาจ”


:: ประวัติ ปฏิปทา และคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร