วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 06:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2022, 10:17 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมนาวา
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)

รูปภาพ

ตั้งใจนะ ตั้งใจทุกคน สำรวมจิตใจของตนให้ดี
กิเลสตัณหานี่เหมือนกับห้วงน้ำในมหาสมุทรทะเล
บุคคลผู้ใดไม่มีความพากเพียรพยายาม
มันก็เหมือนกับบุคคลตกลงไปสู่ห้วงทะเล มหาสมุทร
แล้วไม่พยายามแหวกว่ายก็จมน้ำตาย
ฉันใดก็อย่างนั้นแล กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
มันเหมือนกับน้ำที่ท่วมหัวใจของคนอยู่
ผู้ใดไม่พากเพียรพยายามแหวกว่ายกิเลสเหล่านั้นออกจากจิตใจ ผู้นั้นก็จมอยู่ในทุกข์
เหมือนอย่างบุคคลตกไปในทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นแหละ
ย่อมไม่มีทางเอาตัวรอดได้
ผู้ใดชอบปล่อยใจของตนให้กิเลสเหล่านี้ครอบงำแล้ว
ก็เอาตัวรอดจากทุกข์ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น อย่าพากันประมาท

เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
ได้มาพบพระพุทธศาสนา พบคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งชี้บอกอุบายกำจัดกิเลสตัณหาเหล่านี้ไว้อย่างถูกต้อง
เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังแล้ว
ก็จะทำให้กิเลสเหล่านี้เบาบางออกไปจากจิตใจอย่างแท้จริง
การที่บุคคลพยายามฝึกฝนจิตก็ดี ฝึกฝนกายก็ดี ฝึกฝนวาจาก็ดี
ให้ตรงต่อศีล สมาธิ ปัญญา นั้น
นั่นว่าอุปมาอย่างกับบุคคลต่อเรือที่กำลังจะข้ามไปสู่ฝั่งโน้น
การที่เรามาปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา นี่ เรียกว่าเราพยายามต่อเรือ
เรืออันนี้เรียกว่าประกอบด้วยธรรมะ ไม่ใช่ประกอบด้วยไม้ ด้วยเหล็ก
เอาธรรมะต่างๆ มารวมกันเข้า
เห็นลำเรือสำหรับให้ดวงจิตนี้ได้อาศัยข้ามจากโอฆะแห่งแก่งกันดาร
คือความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือว่าราคะตัณหาพวกนี้

บุคคลจะพ้นจากโอฆะเหล่านี้ไปได้ ก็เมื่อมาปฏิบัติตาม ศีล สมาธิ ปัญญานี้เอง
ไม่ใช่ปฏิบัติไปอย่างอื่นแล้วมันจะพ้นไปได้ ไม่มี
ข้อปฏิบัติใดๆ ในโลกนี้ นอกเหนือไปจาก ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว
ไม่มีข้อปฏิบัติใดที่จะมากำจัดกิเลสดังกล่าวมานี้
ให้น้อยเบาบางหรือหมดสิ้นไปจากจิตใจนี้ได้ ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นให้พากันพยายามอย่าท้อถอย
เรามันถูกห้วงน้ำ คือกิเลสเหล่านี้ท่วมท้นจิตใจมานับไม่ถ้วนแล้ว
เราลอยคออยู่กลางมหาสมุทรทะเล คือราคะ โทสะ โมหะ เหล่านี้นะ
จิตใจมันล่องลอยอยู่ในกิเลสเหล่านี้มานับชาติไม่ถ้วนแล้วนะ คิดให้ดี

แต่เราระลึกชาติหนหลังไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงระลึกชาติหนหลังได้
พระองค์จึงเบื่อหน่ายในการเกิด ในความเป็นมาของพระองค์
และเพราะความเบื่อหน่ายนั่นแหละ จึงคลายความกำหนัดยินดีในขันธ์ทั้ง ๕ นี้เสียได้
พระองค์จึงไม่ถูกห้วงน้ำคือกิเลสดังกล่าวมานั้นท่วมท้นต่อไป
ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ออกบวชแล้ว
พระองค์ไม่หวนกลับไปครองราชสมบัติอีกเลย
นั่นแสดงว่าพระองค์พ้นจากห้วงน้ำเหล่านั้นไปแล้วจริงๆ
แล้วพระองค์ก็ไม่ได้สะสมสมบัติอะไรในโลก
ที่มีพุทธบริษัทบริจาคทานนับไม่ถ้วน ทั้งปัจจัยเครื่องอาศัยต่างๆ
พระองค์ก็ไม่สะสมเลย ทรงแจกแก่ภิกษุสามเณรไปหมด

ดังจะเห็นได้จากช่วงใกล้ที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระองค์ไม่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเชตวันวนารามเลย
ซึ่งตามปกติแล้ว พระองค์จะประทับอยู่ที่นี่
แต่ในปีนั้นพระองค์เสด็จไปจำพรรษาอยู่บ้านเวฬุคาม
ตำบลน้อยๆ ตำบลหนึ่งใกล้กับเมืองเวสาลี
แล้วทรงอนุญาตให้ภิกษุไปเที่ยวจำพรรษาอยู่กับมิตรสหาย
นั่นหมายความว่า ภิกษุไปคุ้นเคยกับญาติโยมหมู่บ้านใด ที่เขานับถือเลื่อมใส
ก็ให้ไปจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านนั้น ซึ่งไม่ห่างจากพระพุทธองค์สักเท่าไร
เพราะถ้าจะจำพรรษาอยู่กับพระองค์นั้น คงบิณฑบาตไม่พอฉัน
(คำว่าบ้านน้อยๆ ในตำราท่านกล่าวไว้ คงจะมีภิกษุไม่กี่รูป รวมทั้งพระอานนท์ด้วย)

ในพรรษานั้นทรงพระประชวรด้วยพระโรคาพาธต่างๆ
แต่ก็ทรงบำบัดโรคภัยไข้เจ็บนั้นด้วยอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔
โดยทรงรำพึงว่าเวลานี้ยังไม่สมควรจะปรินิพพาน
หมอโกมารภัจจ์ซึ่งเป็นหมอประจำพระองค์ ก็ไม่ปรากฏว่าได้ไปรักษาพระองค์เลย
เพราะว่าหมอโกมารภัจจ์นี่ อยู่เมืองสาวัตถีนู้น
ในขณะที่พระศาสดาเสด็จไปจำพรรษาอยู่เมืองเวสาลี
พระองค์ทรงบำบัดโรคาพาธด้วยการเจริญภาวนา เจริญอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔
ขับไล่อาพาธนั้นออกไป เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
โรคภัยก็ถอยออกไป พระองค์ก็อยู่ไปได้ตลอดพรรษา

เมื่อออกพรรษาแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับอยู่ที่พระเจดีย์แห่งหนึ่ง ใกล้เมืองเวสาลี
แล้วก็เสด็จไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลีนั้นกับพระอานนท์
พระองค์ประทับอยู่ ณ เจดีย์นั้น ซึ่งเป็นเจดีย์ของชาวเมืองเวสาลีสร้างไว้
สำหรับบรรจุอัฐิธาตุของบรรพบุรุษของกษัตริย์ อะไรทำนองนั้นแหละ
แต่พระองค์ก็ไปอาศัยอยู่ที่นั้น จนถึงวันเพ็ญเดือน ๓
พญามารก็มาอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
โดยพญามารอ้างว่า บัดนี้ พระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนบริษัทสี่เหล่า
ให้ได้มรรคได้ผลเจริญรุ่งเรืองมาเต็มอัตราแล้ว
ร่างกายของพระองค์ก็เข้าสู่วัยชราทรุดโทรมแล้ว
สมควรที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานได้แล้ว
ขอพระองค์จงรับอาราธนาของข้าพระองค์ด้วยเถิด

ก่อนหน้านี้ พระศาสดาได้ทรงแสดงโอภาสนิมิตให้แก่พระอานนท์ฟังว่า
ดูก่อนอานนท์ บุคคลใด เมื่อมาเจริญอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔ ให้มาก
ให้แก่กล้าเต็มที่แล้ว ปรารถนาจะมีอายุยั่งยืนนานไปตลอดกัปตลอดกัลป์ก็อยู่ได้

พระองค์ทรงแสดงอุบายอันนี้ถึงสามครั้ง พระอานนท์ก็ระลึกไม่ได้เลย
ไม่ได้ทูลอาราธนาพระองค์ให้เจริญอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔
เพื่อให้ทรงมีพระชนมายุยั่งยืนนานตลอดไป
เพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ในตำราท่านกล่าวไว้ว่า ทั้งนี้ก็เพราะมารเข้าดลใจพระอานนท์
เนื่องจากว่าพระอานนท์นั้นเป็นเสขบุคคล ยังไม่สำเร็จอรหัตตผล
ได้บรรลุเพียงโสดาบันเท่านั้น กิเลสยังมีอยู่ ดังนั้น มารจึงเข้าดลใจได้
ถ้าหากพระอานนท์สำเร็จพระอรหันต์แล้ว มารจะเข้าดลใจพระอานนท์ไม่ได้เลย
มารเข้าดลใจเป็นเหตุให้พระอานนท์นึกไม่ออก
นึกไม่ถึงอุบายที่พระองค์ทรงตรัสโอวาทดังกล่าวมานั้น

ดังนั้น พระองค์จึงทรงรับสั่งให้พระอานนท์ไปพักผ่อนอยู่ร่มไม้แห่งอื่น
พระอานนท์ก็กราบลาพระองค์ไปนั่งสมาธิอยู่ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง
ซึ่งไม่ไกลจากพระศาสดาเท่าไรนัก
มารได้โอกาสจึงเข้าไปกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
พระองค์จึงตรัสแก่พญามารว่า ดูก่อน มารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด
ตั้งแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน เราตถาคตจะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ท่านจงรับรู้ไว้เถิด
พญามารก็สาธุการ แล้วหายตัวไป ทันใดนั้นพระศาสดาก็ทรงปลงพระชนมายุสังขาร
โดยอธิษฐานว่าตั้งแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวง
พระองค์จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน

วันนั้น เมื่อทรงพระอธิษฐานแล้วก็เกิดแผ่นดินไหวสะเทือนสะท้าน
พระอานนท์รู้สึกแปลกใจ จึงเข้าไปทูลถามพระองค์
พระองค์ทรงรับสั่งว่า พระองค์ได้ปลงพระชนมายุสังขารเสียแล้ว
พญามารได้มาทูลอาราธนาพระองค์เมื่อสักครู่นี้
แล้วพระอานนท์ก็ได้กราบทูลอาราธนาพระองค์ ขอให้เจริญอิทธิบาทธรรม
ดังที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้น เพื่อทรงพระชนมายุยั่งยืนนานต่อไป
พระองค์ก็ทรงตรัสห้าม ดูก่อนอานนท์ บัดนี้ไม่ใช่กาลแล้ว
มิใช่เป็นกาลที่ท่านจะมานิมนต์อาราธนาเราตถาคตแล้ว
แต่ก่อนนี้ยังเป็นกาลเวลาอยู่ เราแสดงนิมิตโอภาสถึงสองครั้งสามครั้ง
ท่านก็ยังนึกไม่ได้เลย ไม่อาราธนาตถาคต
ถ้าหากว่าอานนท์อาราธนาสักหน่อยเดียว ตถาคตก็จะปฏิเสธครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒
ครั้นเมื่ออาราธนาครั้งที่ ๓ นี้เราตถาคตก็จะรับอาราธนาพระอานนท์แน่นอน
แต่นี้พระอานนท์นิ่งเฉย ไม่อาราธนาเลย ก็เป็นโทษของพระอานนท์เอง
บัดนี้เราตถาคตได้ปลงพระชนมายุสังขารแล้ว จะกลับคำไม่ได้

“สจฺจํ เว อมตา วาจา” การกล่าวคำสัตย์ เป็นธรรมอันไม่ตาย
เป็นอันว่า พระองค์ก็ได้ปลงพระชนมายุสังขารในวันเพ็ญเดือน ๓ พระจันทร์เต็มดวง
ต่อจากนั้นก็ทรงเสด็จไปเมืองกุสินารา พักไปตามหมู่บ้านรายทาง แสดงธรรมเรื่อยไป
เมื่อไปถึงเมืองปาวาที่ติดกับเมืองกุสินารา ก็ไปพักอยู่ที่ร่มมะม่วง
สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมาละบุตร ลูกของช่างทอง
เมื่อนายจุนทะทราบก็ไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง
นายจุนทะก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
ได้ปฏิญาณตนเป็นอุบาสก ผู้นับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
และได้อาราธนาพระพุทธองค์ และพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป
ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น

ในวันนั้น นายจุนทะจัดตกแต่งภัตตาหารอย่างขวนขวายเต็มที่
เพื่อจะเลี้ยงพระทั้ง ๕๐๐ รูป
รุ่งเช้าพระองค์ก็เสด็จมา เมื่อมาถึงบ้านแล้ว
พระองค์ทรงรู้ว่าอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสุกรอ่อนๆ นั้น
เทพยดาได้เอาอาหารทิพย์ผสมเข้าไป
ด้วยหวังว่าจะถวายทำบุญ ถวายทานพระองค์ในวาระสุดท้าย
พระองค์ทรงรู้เช่นนั้นแล้ว
และทรงรู้ว่าไม่มีพระสงฆ์องค์ใดจะฉันอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสุกรอ่อนนั้น
แล้วทำให้ไฟธาตุย่อยได้ ไม่มี
แม้คนในโลกนี้ทั้งโลกก็ไม่มีใครจะรับประทานแล้วย่อยได้ ไม่มี
มีแต่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
ดังนั้นพระองค์จึงทรงสั่งให้นายจุนทะเอาอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสุกรอ่อนนั้น
มาถวายพระองค์เท่านั้น ไม่ให้ไปถวายภิกษุอื่น
แล้วให้เอาอาหารอย่างอื่นไปถวายภิกษุทั้งหลาย
เมื่อพระองค์รับมาเสร็จแล้ว
ที่เหลือนอกนั้นก็ทรงรับสั่งให้เอาอาหารนั้นไปฝังให้มิดชิด
แล้วพระองค์ก็ฉันพร้อมด้วยพระสงฆ์
และเมื่อพระองค์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว
ก็ทรงพระประชวรด้วยพระโรคาพาธโดยถ่ายเป็นพระโลหิตออกมา

จากนั้นพระองค์ก็ร่ำลานายจุนทะ
ออกเดินทางไปเมืองกุสินารา ทรงพักถ่ายไปตามทาง
เมื่อถึงเมืองกุสินาราแล้ว พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้พระอานนท์และภิกษุทั้งหลาย
ชำระเตียงนอนของพวกมัลละกษัตริย์เหล่านั้น
ให้หันศีรษะไปเบื้องตะวันตก ให้ตั้งอยู่ระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง
แล้วพระองค์ก็ทรงรับสั่งให้พับผ้าสังฆาฏิ เป็น ๔ ชั้น ปูราบลงไป
พระองค์ห่มจีวรเรียบร้อยแล้วก็ประทับสีหไสยาสน์บรรทมหรือนอนตะแคงขวา
พระองค์ประทับนอน จะไม่ลุกขึ้นอีกแล้ว เรียกว่า “อนุฏฐานไสยา”

จากนั้นพระอานนท์ก็ไปบอกแก่พวกมัลละกษัตริย์ในเมืองกุสินาราให้ทรงทราบ
ชาวเมืองก็ดีใจ พวกมัลละกษัตริย์เหล่านั้น
ก็นำดอกไม้ธูปเทียนมาถวายบูชาพระศาสดา
ได้ประกาศตนโดยกราบทูลให้ทรงทราบว่าได้มากราบมาเฝ้า
หลังจากนั้นก็ทรงให้บวชสุภัททปริพาชกที่เป็นคนแก่ที่มาทูลถามปัญหาพระองค์
พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้พระอานนท์บวชให้
เสร็จแล้วพระภิกษุสุภัททะก็ทำความเพียรตลอดคืน ในที่สุดก็ได้สำเร็จอรหัตตผล
ก่อนที่พระพุทธองค์จะดับขันธปรินิพพาน ก็ปลงสังขารลงไปได้

นี่แหละเป็นปัจฉิมพุทธสาวกของพระศาสดา
ชื่อสุภัททปริพาชก ท่านบวชเมื่อแก่
ประโยชน์พุทธกิจที่พระองค์ทรงบำเพ็ญในวันดับขันธปรินิพพาน
คือได้แสดงธรรมโปรดสุภัททปริพาชก
ซึ่งนับถือลัทธิอื่นแต่มีบุญวาสนาสั่งสมมาเต็มแล้ว
จึงดลบันดาลให้มาเฝ้าพระพุทธองค์ในวาระสุดท้ายแห่งมัจฉิมมาชีพ
แล้วท่านก็ได้บรรลุมรรคผล เข้าสู่พระนิพพานตามพระศาสดา

ดังนั้นให้พากันจำเรื่องราวเหล่านี้ไว้
เพื่อเจริญศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส
ของเหล่าผู้เป็นนักบวชหรือเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม
เราจะได้ตั้งใจทำความดีไป ละกิเลสตัณหาให้น้อยเบาบางไป
ดังอธิบายให้ฟังมาตอนต้น ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้



:b8: :b8: :b8: หนังสือ ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๖
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี
วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
หัวข้อ ธรรมนาวา (หน้า ๖-๑๗) จากซีดี แผ่นที่ ๒๐ ลำดับที่ ๑๖


:b45: รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b49: :b50: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์ของ
“พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080

•• นายจุนทะถวาย “สูกรมัททวะ” ภัตตาหารมื้อสุดท้าย
แด่พระพุทธองค์ ในเช้าวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48447


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร