วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 23:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2022, 10:17 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อจิตไม่ดี ชีวิตก็เสียเปล่า
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)

รูปภาพ

พึงพากันตั้งใจ ตั้งสติสำรวมใจของตนให้แน่วแน่
เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาที่มารวมกันอยู่ที่ศาลาการเปรียญ
ก็เพื่อที่จะฝึกกาย ฝึกจิตนี้ให้สงบระงับ
กายก็นั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติง ไม่ให้ง่วงเหงาหาวนอน เมื่อกายนิ่งได้ ก็ทำจิตให้นิ่งต่อไป
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ แปลว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”
บรรดาความสุขในโลกนี้ เช่น ผลไม้สุกมันก็มีรสหวานดี
แต่มันก็หวานชั่วระยะปลายลิ้นเท่านั้นแหละ
เมื่อผ่านลงไปสู่กระเพาะแล้ว ความหวานนี่มันก็หายไป
ความสุขอันเกิดจากการกินอาหารอิ่มหนำสำราญ
การได้นอนหลับสนิท สบายดี การมีเงินใช้สอยไม่ขัดสน
มีเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ครบตามกระบวนการของโลกสมัยปัจจุบัน
หมู่นี้ก็เป็นความสุขชั่วคราวทั้งนั้น
บุคคลมาติดอยู่ในความสุขเหล่านี้แหละ จึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้
สุขเหล่านี้เป็นเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์

ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้พึงเข้าใจกัน
เหตุดังนั้นการฝึกการอบรมกัน จึงต้องฝึกให้ตื่นดึก ลุกเช้า
ต้องทำข้อวัตรปฏิบัติตรงตามเวลา
หมู่นี้มันก็ล้วนแต่ฝึกให้คนเรานั้นมีจิตใจตั้งมั่นต่อความดี
มีสติสัมปชัญญะเตือนใจของตนให้ตื่นตัวอยู่เสมอว่า
ความตายนั้น มันไม่มีกำหนดหมายเลย บทมันจะตายปุ๊บปั๊บ มันเอาไปเลยก็มี
ชีวิตนี้มันฝากไว้กับความตาย ไม่ใช่เป็นของเราอะไรจริงจัง
ดวงจิตนี้มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง
ชั่วระยะบุญกรรมที่อุปถัมภ์บำรุงอยู่เท่านั้น
เมื่อหมดบุญหมดกรรมอันนี้ลงไปแล้ว รูปร่างอันนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้เลย

ดังนั้นผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่านจึงไม่นิ่งนอนใจ จึงรีบเร่งทำความเพียร
ละกิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ในสังสารวัฏนี้ ไม่รู้จักจบจักสิ้น
จึงเพียรละความโลภด้วยการให้ การบริจาคทาน
เพียรละความโกรธด้วยการเจริญเมตตากรุณาเสมอๆ
จนกระทั่งว่าจิตใจมองเห็นสัตว์ทั้งหลาย
ว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน
ไม่ควรที่จะไปเบียดเบียนมันหรือเขา เจริญเมตตา
ให้มองเห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างว่านั้นแหละ
แล้วมันก็จะได้งดเว้นจากการเบียดเบียน สมาทานมั่นในศีลได้อย่างมั่นคง
ถ้าไม่มีเมตตาธรรม กรุณาธรรมนี้แล้ว ศีลก็รักษาให้บริสุทธิ์ไม่ได้
ไม่มีคุณธรรมสนับสนุนแล้วอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ศีลจะบริสุทธิ์ไม่ได้

เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงแนะอุบายแนวทาง
กำจัดกิเลสฝ่ายอธรรมออกจากจิตใจอย่างนี้แล้ว
เราจะปล่อยให้วันเวลาล่วงไปเสียเปล่านั้น มันก็ไม่สมควรเลย
เพราะว่ากิเลสเหล่านั้นเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จริงๆ
อย่างความโกรธนี้ เมื่อมันโกรธขึ้นมาแล้ว
มันก็จะแสดงกิริยา กาย วาจา อันชั่วหยาบออกไป
มันก็เป็นบาปเป็นกรรมเป็นเวรติดตัวแล้วนั้นแล
แต่คนเรามันไม่รู้หรอกว่ากรรมเวรอันนั้นมันติดตัวไป
เหตุดังนั้นมันถึงไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอน มันจะไม่ห้ามจิตใจตัวเอง
เวลามันอยากโกรธขึ้นมา มันก็ปล่อยให้โกรธซะเต็มที่
เป็นเช่นนี้แล้วมันจะไม่ให้กรรมเวรติดตามไปสนองให้เป็นทุกข์อย่างไรได้เล่า
ก็ตัวเองนั่น ไปสร้างกรรมสร้างเวรขึ้นให้แก่ตัวเอง

ดังนั้นจึงควรพินิจพิจารณาให้เห็นคุณานุภาพแห่งข้อปฏิบัติเหล่านี้ด้วยตนเอง
ให้เห็นอานุภาพแห่งการภาวนา
ว่าการภาวนานี้ มันทำใจให้สงบระงับจากกิเลสเหล่านั้นแหละ
ไม่ใช่อย่างอื่นใด เราก็พยายามทำใจสงบ ก็เพื่อไม่ให้มันปรุงแต่งกิเลส
คือ ความโลภ ความโกรธ ให้เกิดขึ้นในใจนี้เอง
พยายามใช้ปัญญาสอนใจนี้ให้เห็นโทษแห่งความโลภ ความโกรธเหล่านี้
เห็นโทษแห่งความหลง ความเข้าใจผิดต่างๆ นี้ มันทำให้คนเราเดินทางผิด
เพราะว่า กาย วาจา นี้ มันมีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน
ถ้าใจเห็นผิดแล้ว มันก็ใช้กาย ใช้วาจา ทำผิด
พูดผิดจากทำนองคลองธรรมไป อันนี้แหละ

เช่นบางคนก็เห็นว่า การฆ่าสัตว์นี้ไม่เป็นบาปหรอก
แต่ว่าฆ่าสัตว์ที่เป็นอาหารนะ สัตว์อันใดที่ไม่เป็นอาหารอย่าไปฆ่ามัน
เพราะว่าชีวิตของมนุษย์เรา มันอยู่ด้วยกับเนื้อสัตว์
ถ้าไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์แล้ว มันจะอยู่ไม่ได้
ของมึนเมาต่างๆ มีสุราเมรัยหมู่นี้ก็เป็นของประดับโลก
ถ้าไม่มีน้ำพวกนี้ คนเราก็หงอยเหงาเศร้าใจ หาความสุขสบายไม่ได้
เมื่อมีน้ำพวกนี้หล่อเลี้ยงเข้าไปแล้ว มีความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจดี
หรือว่าได้ไปเล่นชู้กับเมียของคนอื่นหรือผัวคนอื่น
หมู่นี้เห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุกสนานดี
อันหมู่นี้ล้วนแต่เป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้นเลย
ถ้าบุคคลเข้าใจถูกต้องแล้ว จะไม่ทำเด็ดขาดเลย

เช่นอย่างข้อที่หนึ่งนั้น สัตว์ทั้งหลายมันขันอาสาเป็นอาหารของมนุษย์หรือไม่
มันประกาศเมื่อไร มันไม่มีใครจะตอบได้เลยตอนนี้ มันว่ากันเฉยๆ
สัตว์ทั้งหลายย่อมกลัวตายรักชีวิตของตนเหมือนกันหมดทุกชนิดเลย
ใครๆ ก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายตน มาเบียดเบียนตน
แม้ตัวของตัวเองก็ลองคิดดู ก็รักชีวิตของตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเลย
อย่าว่าแต่ตบตีเลย แม้แต่ด่าว่าด้วยวาจาก็เจ็บใจเต็มทีอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้ใดไปเบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น
จึงชื่อว่าเป็นผู้เอาเปรียบบุคคลอื่นและสัตว์อื่น
เห็นว่าตนมีอำนาจเหนือเขาก็ทำได้ทำเอา
เมื่อทีเขามาทำตน ตนก็ไม่ปรารถนาให้เขาทำ หาทางต่อสู้
หมู่นี้มันควรคิดควรพิจารณาให้รู้ให้เห็น
การต่อสู้การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน มันก็เป็นกรรมเป็นเวร
ตามสนองกันไปชาติแล้วชาติเล่า

ดังเราจะเห็นได้ในปัจจุบันนี้แหละ ทำไมคนถึงฆ่ากันนักหนา
ไม่ใช่ว่ามันฆ่ากันโดยไม่มีเหตุปัจจัย
มันมีเหตุในหนหลัง มาสมทบกับเหตุในปัจจุบันด้วย
เหตุในปัจจุบัน ต่างคนต่างไม่มีศีล ไม่สำรวมกาย วาจา
พูดกระทบกระทั่งกันเข้า แสดงกิริยาหยาบคายต่อกันและกัน
ประกอบกับกรรมเก่าที่ได้ทำมาแต่ก่อนนู้น เคยได้เบียดเบียนกันมา
ก็เลยหนุนส่งให้มีความโกรธ ความพยาบาทขึ้นอย่างรุนแรง
อย่างกับได้ลงมือประหัตประหารกัน ใครดีก็อยู่ ใครไม่ดีก็ตายไป
บางทีมันก็ลอบกัดเอาโดยเจ้าตัวไม่รู้เลย
อันหมู่นี้มันไม่ใช่ว่าอาศัยแต่เหตุปัจจุบันนะ อาศัยเหตุในอดีตที่ล่วงแล้วมา
แต่ก่อนผู้ที่ถูกเขาฆ่าตาย ผู้นั้นก็คงไปฆ่าเขามาแต่ก่อนนะ
กรรมนั้นก็ติดสอยห้อยตามมา มาถึงในชาตินี้
มันถึงเวลาให้ผลเวลาใด ก็ดลบันดาลให้คนอื่นมาฆ่าตัวเองตายเสีย

ก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละ บุคคลผู้ไม่มีศีล ไม่สำรวมในศีลแล้ว
มันก็มีแต่การเบียดเบียนซึ่งกันและกันอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ายังตรัสว่า
อัพยาปัชฌัง สุขัง โลเก ปาณะ ภูเตสุ สัญญะโม
“ความสำรวมในสัตว์คือความไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันเป็นสุขในโลก”
สุขา วิราคะตา โลเก กามานัง สะมะติกะโม
“ความสิ้นไปแห่งราคะ คือ ความล่วงกามเสียได้ เป็นสุขในโลก”
นี่พูดถึงสุขที่พระบรมศาสดาทรงตรัสไว้ ให้พิจารณาดู

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่า บุคคลผู้ใด ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่นนั้น
ผู้นั้นย่อมเป็นสุขสบายมาก แม้ยังจะไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ต่อไป
มันก็ไม่มีกรรมชั่วเวรชั่วติดตามสนองให้เป็นทุกข์ต่อไป
เกิดชาติใดก็มีอายุยืนยาวนานไป จนตลอดถึงอายุขัยจึงค่อยตาย
เพราะไม่มีกรรมชั่วมาตัดรอนชีวิตในระหว่างทาง
แต่บุคคลผู้พากเพียรพยายามละความกำหนัดยินดี
ให้เบาบางออกไปจากจิตใจได้เท่าไร
ความไม่พัวพันในกามคุณ หรือว่ากิเลสกรรม ได้แก่เรื่องผัวๆ เมียๆ นั่นแหละ
กามคุณทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ หมู่นี้
ได้เอากายออกห่าง เอาใจออกห่าง เอาวาจาออกห่างได้ ผู้นั้นเป็นสุขในโลก

พระศาสดาทรงตรัสไว้นะ และเป็นความจริง
จะไม่จริงอย่างไรล่ะ บุคคลผู้ละราคะความกำหนัดยินดีได้
โทสะก็ไม่เกิด โมหะความหลงก็ไม่เกิด
เพราะความกำหนัดยินดี ทำให้คนเราหลงมัวเมาไปในทางที่ผิดศีลผิดธรรม
ทำให้เกิดการแย่งชิงกัน โกรธกัน ประหัตประหารกัน
หมู่นี้มันก็ล้วนแต่เกิดจากราคะความกำหนัดยินดีนี้ทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ครองเรือนแล้วควรบรรเทาลง
ถึงละไม่ขาดหมด ก็ให้มันบรรเทาเบาบางลง
อย่าให้ประพฤติผิดศีลข้อที่ ๓ ก็แล้วกัน
ก็ยังนับว่าเป็นความดีความชอบของผู้ครองเรือน
แต่สำหรับผู้เป็นนักบวชแล้ว
ต้องเว้นทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจโดยประการทั้งปวง
กายก็ไม่แสดงมารยาสาไถยในเชิงรักเชิงใคร่
การพูดจาปราศรัยอะไร ก็ไม่แสดงบทมารยาสาไถยออกไปต่อเพศตรงข้าม
ภายในจิตใจก็สำรวมระวังอย่าให้ความกำหนัดครอบงำจิตใจได้
โดยมาพิจารณาเห็นร่างกายทุกกระเบียดนิ้ว ล้วนแต่เป็นของไม่มีอะไรสวยงาม
อาศัยหนังหุ้มห่ออยู่เท่านั้นเอง สิ่งโสโครกจึงไม่ปรากฏออกมา

ถ้าสมมติว่าลอกหนังนี้ออกลองดูซิ น่าดูหรือ
รูปร่างอันนี้ ไม่มีอะไรน่าดูสักอย่างเดียวเลย
มันพอน่าดูอยู่ได้นี่เพราะว่าอาศัยหนังหุ้มอยู่เท่านั้นเอง
และก็มีเลือดวิ่งพล่านตามเนื้อตามหนังอันนี้
ทำให้เกิดผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นมา เห็นเข้าแล้วก็ชอบใจ
ที่แท้สีของเลือดต่างหาก เลือดมันวิ่งไปตามร่างกายนี้นะ
ทำให้มีน้ำมีนวลขึ้นมา แต่ที่จริงนั้นธาตุน้ำนั้นแหละ ก็คือเลือด
เลือดแดงก็มี เลือดสีเหลืองก็มี เลือดขาวก็มี มันซึมซาบอยู่ในร่างกายทุกส่วนนี้
ถ้าหากว่าผู้ใดเป็นโรคเลือดจางเข้าไปแล้ว
ผิวพรรณก็ซูบซีดไม่เปล่งปลั่งเลย กำลังวังชานั้นก็ลดน้อยถอยลงไป
คนผู้นั้นไม่น่าดู ไม่น่าปรารถนาอย่างนี้แหละ ลองพิจารณาดู

ถ้าผู้ใดมาเพ่งพิจารณาร่างกายสังขารนี้ ให้เห็นตามสภาพความจริงอย่างว่ามานี้
ถ้าเป็นนักบวชก็คลายความกำหนัดยินดีออกไปเรื่อยๆ ไม่ต้องการ ไม่ปรารถนามัน
ผู้ใดเห็นร่างกายสังขารตามความเป็นจริงอยู่เสมอๆ
ผู้นั้นย่อมประพฤติพรหมจรรย์ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ถึงแม้ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร
แต่ความรู้สึกในใจนั้นไม่ปรารถนาเรื่องกลิ่นรสเครื่องสัมผัสเลย
เพราะมองเห็นแล้วว่า ไม่มีชิ้นส่วนตรงไหนสวยงาม หรือว่าเที่ยง ยั่งยืน ไม่มีเลย
เป็นนักบวชต้องบำรุงความรู้ความเห็นดังกล่าวมานี้ ให้เกิดขึ้นมีในใจอยู่เสมอๆ ไป
อย่าไปเห็นตามความนิยมสมมติของชาวโลก
ชาวโลกผู้ที่หมกมุ่นอยู่ด้วยราคะตัณหา มันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นแหละ
ว่ารูปนั้นสวยงามดี รูปนี้ขี้เหร่ เสียงนั้นไพเราะดี เสียงนี้ไม่ไพเราะ อะไรทำนองนี้
มันก็เลือกคัดจัดสรรกันไปอย่างนั้นแล ตามความนิยมสมมติของโลก
แต่แล้วทั้งรูปสวยและรูปไม่สวย เมื่อพูดถึงความจริงแล้ว ก็มีสภาวะอันเดียวกัน
คือมันเกิดขึ้นมาแล้วก็แปรปรวน แตกดับสลายลง เหมือนกันหมดเลย
ไม่มีรูปใดที่จะสวยสดงดงามตลอดเวลา ที่จะเที่ยง ยั่งยืนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเลย

ถ้าเป็นนักบวชแล้ว จำเป็นต้องพิจารณาให้เข้าถึงความจริงอยู่อย่างนี้เสมอไป
อย่าพิจารณาให้เห็นว่าเป็นความสวยความงามอย่างนั้น
มันเป็นการยั่วให้เกิดราคะตัณหา มันไม่เหมาะสมกับเพศสมณะ
มันเป็นคฤหัสถ์ มันจึงเหมาะสมแบบนั้น
เมื่อกำหนัดยินดีมา ก็แสวงหามันไป ไม่มีวินัยห้าม
แต่สำหรับนักบวชนี่มีวินัยห้ามเลย แม้แต่คิดในใจก็ปรับอาบัติได้
เช่นไปคิดสรรเสริญรูปร่างของเพศตรงข้าม
ว่าตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไปว่าตรงนั้นสวย ตรงนี้งาม อะไรต่ออะไรขึ้นมา
เกิดความกำหนัดยินดีขึ้น ปรับอาบัติอยู่ในใจ
ตั้งแต่บั้นเอวลงไปปรับอาบัติทุกกฎ
มันเป็นอย่างนั้น อย่าไปเข้าใจว่าอาบัติทางใจไม่มีอยู่

เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ เราต้องเข้าใจความเป็นนักบวชของตน
ผู้เป็นคฤหัสถ์ก็เหมือนกันนะ สำนึกว่าเราเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า
เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า
เราต้องปฏิบัติตามวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด
เราจึงจะพ้นจากนรกอบายภูมิ นี่ก็ต้องสอนตนเข้าไปอย่างนี้แหละ
เป็นคฤหัสถ์ก็ดี ไม่ใช่ว่าเป็นคฤหัสถ์ก็แล้วจะทำอะไรก็ทำได้ ไม่เหมือนนักบวช
ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องเลือกทำ 
เพราะว่าของในโลกอันนี้ ลองสังเกตดู มีทั้งของดี มีทั้งของเลว
ไม่ใช่ว่าดีทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเลวทั้งหมด ปนเปกันอยู่ทั้งสองอย่าง
ฉันใดก็ฉันนั้น อย่างนั้นแล ความประพฤติของคนเรา มันมีใจเป็นประธาน
คราวใดใจเป็นอกุศล มันก็แสดงออกทางกายทางวาจา
ไปในทางเบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น
นี่เรียกว่าจิตเป็นอกุศลนำ เป็นอย่างนั้น
คราวใดจิตเป็นกุศล เปี่ยมไปด้วยเมตตา
มันก็แสดงออกซึ่งความช่วยเหลือเกื้อกูลแก่บุคคลอื่นและสัตว์อื่น
ไม่เบียดเบียนกัน มันเป็นอย่างนี้

ชีวิตของคนเรานี่นะ ไม่ว่าพูดถึงดวงจิตโดยตรง มันมีทั้งดีมีทั้งชั่วอยู่ในดวงจิตอันนี้
ดังนั้น พระศาสดาจึงได้ทรงสอนให้ภาวนาคัดเลือกอารมณ์ของจิตนี้
อันใดที่เป็นความคิดความเห็นที่เป็นไปทางบาปอกุศลแล้ว
กำหนดละทิ้งไปเลย ไม่คิดไม่ปรุงแต่งมันต่อไป
หรือว่าความคิดอันใด มันเป็นไปเพื่อความรัก ความใคร่
ความโกรธ ความพยาบาทต่างๆ หมู่นี้นะ เป็นความคิดที่เป็นอกุศล
เราต้องพยายามกำหนดใจละเรื่อยไป แล้วก็ไม่สร้างมันขึ้นมาต่อไปอีก
ความคิดอันใดซึ่งประกอบไปด้วยเมตตากรุณา
คิดช่วยเหลือเกื้อกูลตนเองด้วย ผู้อื่นด้วยให้พ้นจากทุกข์จากภัยในสงสาร
ไม่คิดล้างผลาญ เบียดเบียนใคร อย่างนี้เป็นความคิดที่เป็นกุศล

และคิดอีกอย่างหนึ่งเป็นความดำริที่ว่า
ทำไฉนหนอ เราจึงจะพ้นอำนาจแห่งกามตัณหาอันนี้ไปได้
ทำไฉนหนอ เราจึงจะพ้นจากรูปตัณหาต่างๆ หมู่นี้ ดำริเข้าไป
เพราะรูปกายอันนี้ มันเป็นของไม่เที่ยง
ถ้าจิตยังผูกพันมันอยู่ตราบใดแล้ว มันก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ
อย่างปัจจุบันนี้เองนะ เรามาอาศัยอยู่ในของไม่เที่ยง
มันก็เป็นทุกข์ทนทรมานอยู่อย่างนี้แหละ
ต้องได้เลี้ยงต้องได้ปรนเปรอมัน
ถึงจะเลี้ยงหรือปรนเปรอมันเท่าไหร่มันก็ยังไม่เที่ยงอยู่นั่นแหละ
มันยังแปรปรวนไปอยู่ ดังนั้นมันถึงได้เป็นทุกข์

ดวงจิตดวงนี้ก็เพราะมาอาศัยอยู่ในของไม่เที่ยงนี้แหละ
ต้องเพ่งดูพิจารณาดูรูปกายอันนี้ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย
พระองค์ทรงสั่งสอนให้พวกเรานั้นพิจารณาจนเกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย
ไม่ได้ทรงสั่งสอนให้มีความยินดีอยู่ในโลกอันนี้
ให้เข้าใจความหมายแห่งคำสอน
ถ้าบุคคลไม่เบื่อไม่หน่ายตราบใดแล้ว ผู้นั้นก็พ้นจากทุกข์ไปไม่ได้
ต้องเที่ยวมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่อย่างนี้แหละ
เที่ยวมาหวงสมบัติในโลกอันนี้ หวงไว้แล้วแต่เอาติดตัวไปไม่ได้
มันเป็นความหลงของดวงจิตต่างหาก
หวงในสิ่งที่ไม่เที่ยง หวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวของตน
อย่างนี้แล มันเป็นความหลงจริงๆ นะ
ลองพิจารณาดูว่าเมื่อตายแล้ว ตนก็เอาติดตัวไปไม่ได้แม้แต่น้อยเดียว
อย่าว่าแต่สมบัติภายนอกเลย แม้แต่ร่างกายทุกกระเบียดนิ้วก็ไม่ได้เอาติดตัวไป
และอย่างนี้แล้ว ทำไมถึงมาหลงกันนักหนา ทำไมจึงเมากันเกินประมาณ

ก็ควรมีสติเตือนใจตนเองเสมอไป
ก็เมื่อความจริงมันเป็นอยู่อย่างนี้ ทำไมเล่าเราจึงไม่เบื่อหน่าย
ที่มันไม่เบื่อหน่าย ก็เพราะว่ามันไม่ละราคะ ปลงกำหนัดยินดี
กิเลสตัวนี้สำคัญมากนะ
ปล่อยให้ราคะครอบงำจิตใจเกิดความกำหนัดยินดีอย่างแรง
เมื่อมันกำหนัดยินดีมากเข้าไปแล้ว
มันก็เห็นของไม่สวยงามว่าเป็นของสวยงาม
มันก็เห็นว่าของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนว่าเป็นของเที่ยงยั่งยืน
เมื่อราคะมันย้อมใจหนาแน่นเข้าไปแล้ว
มันเห็นขาวเป็นดำ เห็นดำเป็นขาวไป อย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้นมันถึงได้คิด ถึงได้ข้องกันอย่างนี้

ถ้าผู้ใดบรรเทาราคะตัณหานี้ลงไป ออกไปจากจิตใจเราอย่างนี้
มันจะมองเห็นรูปเห็นนามต่างๆ หมู่นี้ ไม่น่ารักน่าใคร่ ไม่น่าพอใจอะไรเลย
เพราะว่ามองไปตรงไหนก็มีแต่ของไม่เที่ยง
ถ้าผ่านการประดับตกแต่งซะแล้วอย่างนี้ ยิ่งขี้เหร่เลย ยิ่งไม่มีอะไรสวยงาม
พอสวยงาม พอดูได้อยู่ เพราะอาศัยการประดับตกแต่งเท่านั้นเอง
พอเห็นการประดับตกแต่งเครื่องประดับต่ออะไรเข้าไปแล้ว
เอาแล้วเห็นเข้าแล้วสวยจัง เกิดความกำหนัดยินดีขึ้นมาแล้ว ก็อย่างนี้แหละ

คนหลงให้พิจารณาเอา แม้ตัวเองเป็นอย่างนั้น ตัวเองก็เป็นคนหลง
หลงในของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง หลงในของไม่สวยไม่งามว่าเป็นของสวยของงาม
เมื่อเราเพ่งพิจารณาดูด้วยปัญญาแล้ว มันไม่เห็นมีตรงไหนน่ารักน่าใคร่ น่ายินดีพอใจ
เครื่องประดับต่างๆ หมู่นี้ มันก็เป็นธาตุดิน มันไม่มีอะไร
แก้ว แหวน ทับทิมอะไรที่เขาว่าเป็นของมีค่ามหาศาล ที่จริงก็ธาตุดินนั่นแหละ
แต่มันเป็นธาตุอันประณีตเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเอามาจากที่ไหนล่ะ
ทองคำธรรมชาติหมู่นั้น มันก็ธาตุดิน แต่มันเป็นธาตุอันประณีตเท่านั้นหรอก
เราพิจารณาอะไรให้มันลงไปถึงความจริงทุกอย่างได้อย่างนี้
มันก็ทำให้คลายความกำหนัดยินดีลงไปได้
ถึงจะไม่หมดก็เรียกว่าเบาบางลงไปจากจิตใจ

เราไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะว่าทุกคนตกเป็นทาสราคะตัณหามานับชาติไม่ถ้วน
แล้วก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้เลย เกิดมาในชาตินี้ก็ยังจะยอมตนเป็นทาสแห่งราคะตัณหาอีก
กิเลสเหล่านี้บังคับให้ทำงานทนฝนทนแดด หาเงินหาทอง สร้างบ้านสร้างเรือน
บางคนบุญน้อย เลยสร้างบ้านอันถาวรให้ตัวเองอยู่ก็ไม่ได้ ได้อยู่กระท่อมไป
หากินอย่างแสนยากแสนลำบาก
นี่ล่ะ โทษแห่งราคะตัณหาให้พิจารณาดู ไม่ได้สร้างบุญกุศลอะไร
บางคนบุญน้อยมัวแต่ไปทำมาหากิน
ถ้างดไปทำการทำงานวันไหน ก็อดแล้วในวันต่อไป
บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเกิดมาเสียเปล่าเกิดมาแล้วไม่ได้สร้างบุญกุศลความดีอะไร
มัวเมาประมาทตกเป็นทาสแห่งราคะตัณหา

ให้สังเกตดูซิ ผู้ครองเรือน โอกาสที่จะได้ทำความดีมีน้อยเต็มที
จิตใจก็มีแต่ฝักใฝ่อยู่ในความได้ความเสีย วิตกวิจารณ์อยู่แต่ความรวยความจน
คนรวยก็วิตกกลัวว่าสมบัติอันมหาศาลนี้มันจะสูญเสียไป ก็วิตกวิจารณ์อยู่นั่นแหละ
คนจนก็วิตกวิจารณ์ว่าอันนั้นก็ไม่มี อันนี้ก็ไม่มี เรานี้ล่ะจนเอาเสียจริงๆ
ชีวิตนี้นับว่าน้อยเต็มที นึกเท่าไหร่ก็น้อยเนื้อต่ำใจลงไป
บางคนก็ยิงลูกตายหมดแล้ว ก็ยิงตัวตายจากโลกนี้ไปเสีย
นั่นล่ะโทษแห่งราคะตัณหา เขาลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆ
ก็เพราะมันจนตรอก มันไม่มีอันจะกิน
คนอัดอั้นตันปัญญา คนมีบุญน้อย ฆ่าตัวเอง ฆ่าผู้อื่น
ไม่ใช่เป็นของสนุกสบายอะไร เป็นกรรมเป็นเวรติดตัวไป
เกิดไปชาติหน้าก็ไปฆ่าตัวเองตายอีกอยู่นั่นแหละ
นี้แหละ โทษแห่งราคะตัณหา พิจารณาดูให้ดี

ผู้ใดไม่เป็นทาสแห่งราคะตัณหาแล้ว ก็ค่อยยังชั่วหน่อย
เช่นไม่เป็นคนเจ้าชู้หลายใจ มีผัวเดียวเมียเดียว
ก้มหน้าทำการทำงาน ไม่ประพฤติตนเป็นนักเลงเจ้าชู้
นักเลงสุรา นักเลงเล่นการพนัน ไม่ไปเที่ยวคบคนชั่วเป็นมิตร
ตั้งหน้าทำการทำงานที่ตนชำนาญในหน้าที่การงานนั้นๆ
มันก็พอมีเงินทองข้าวของพอมาเลี้ยงตัวและครอบครัวได้
คนไม่มัวเมาในราคะตัณหาเกินขอบเขต มันเป็นอย่างนั้น
เมื่อมีเงินมีทองข้าวของเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
เหลือใช้เหลือจ่าย มันก็ได้ทำบุญทำทาน
ได้รักษาศีล ได้เข้าวัดได้ทะนุบำรุงวัดศาสนา
ก็เป็นบุญบารมีติดสอยห้อยตามไป สะสมบุญบารมีเรื่อยไป

เกิดมาชาติหนึ่ง คนไม่หลง ไม่เมา มันเป็นอย่างนั้น
เกิดมาชาติหนึ่งก็สะสมบุญบารมี ให้เต็มความสามารถแล้วตายไป
บุญกุศลก็นำให้ไปเกิดในที่สุขสบายต่อไป
คนมัวเมาประมาทแล้ว อย่างว่านั้นแหละ ทนทุกข์
ยิ่งไม่ทำความดี ยิ่งไม่ทำบุญทำทาน
อาจจะว่าตนทนทุกข์ทนยากจนอยู่อย่างนั้น เลยไม่ได้ทำบุญทำทานเลย
ชีวิตในชาตินี้ก็เป็นโมฆะ หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ตายไปเสียเปล่าๆ
นี่แหละ ชีวิตของบุคคลผู้มัวเมาประมาท มีแต่ตกต่ำเรื่อยไป ดังแสดงมา



:b8: :b8: :b8: หนังสือ ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๖
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี
วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
หัวข้อ เมื่อจิตไม่ดี ชีวิตก็เสียเปล่า (หน้า ๓๐-๔๘)
จากซีดี แผ่นที่ ๒๐ ลำดับที่ ๑๘


:b45: รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b49: :b50: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์ของ
“พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร