วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 18:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

สมบัติอันพึงหวังของมนุษย์

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี


โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวด ชีวิตกับธรรมะ
กระทู้ 14195 โดย: milkyway 19 ก.พ. 48


:b8: :b8: :b8:

ญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์
วันนี้เป็นวันพระ เราท่านทั้งหลายก็มาบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนา
มาเจริญธรรมมาเจริญกุศลภาวนา เพื่อแก้ปัญหาชีวิต แก้ปัญหาทุกข์
เพื่อขอความสุขความเจริญให้แก่ชีวิต


:b48: ชีวิตในร่มเงาแห่งพระรัตนตรัย

ในวันพระเช่นนี้ วันนี้ญาติโยมทั้งหลายต่างก็มาบำเพ็ญบุญ
รักษาอุโบสถศีลไม่ขาด ตั้งใจสวดมนต์เจริญกุศลภาวนาร่วมกัน ณ หอประชุม
ตั้งใจว่า จะต้องเข้าสู่พระรัตนตรัย

การเจริญพระกรรมฐานเป็นการรักษาอุโบสถ
มีกำหนดจิตให้ซึ้งเข้าให้ถึงภายใน มีทั้งความคิด มีทั้งทุกข์โศกโรคภัย
มีทั้งเสนียดจัญไรอยู่ในตัวเราครบ เราไม่สามารถจะทราบได้ว่า
ความสุขความทุกข์อยู่กับเราจะแก้ไขปัญหาได้ประการใด เรายังไม่ทราบ
และเราก็ยังไม่สามารถจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้

การเจริญพระกรรมฐาน เจริญสติปัฏฐานสี่
เป็นการดีทั้งชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม
เป็นการสร้างกิจกรรมที่ทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นแก่ตัวท่านเอง



:b48: สมบัติมนุษย์

โดยเฉพาะคำว่า “สร้างประโยชน์” นี้
อัตตาสมบัติที่จะพึงมีกับท่านทั้งหลาย เรียกว่า “สมบัติมนุษย์”
แล้วมาสร้าง “สมบัติให้เกิดขึ้นด้วยธรรมะ”
เพื่อต้องการให้เกิดผลโดยปกติ
เพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกันกับบุคคล และประชาชน
ญาติพี่น้องจึงได้มาบำเพ็ญกุศลสร้างบุญให้แก่ตนด้วยการเจริญพระกรรมฐาน

การเจริญพระกรรมฐานเป็นโจทก์จำเลยฟ้องกับตัวเองว่า
เราควรจะแก้ไขชีวิตอย่างไรเมื่ออับปางแล้ว
สายทางเดินของชีวิตเพื่อเป็นการปฏิบัติธรรม
เพื่อเป็นแกนนำของชีวิตที่ดี ต้องการจะมีความสุข ต้องการจะมีความเจริญ
ต้องการจะแก้ปัญหาชีวิตของท่านเองที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ไม่มีอะไรจะดีได้เท่ากับการเจริญพระกรรมฐาน
เพราะการทำให้ฐานะดี จิตใจดีเป็นมหากุศล
ทำอะไรเริ่มต้นชีวิตในคราวนี้ก็จะไม่แร้นแค้น
จะมีแบบแปลนและแผนผังที่แน่นอน
ทำให้เกิดฐานะ ทำให้สร้างกำไรชีวิต เดินทางไม่พลาดผิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ฐานชีวิตที่ไม่ผิดพลาดในอนาคต

ท่านพุทธศาสนิกชน ท่านอุบาสกและอุบาสิกาทุกท่าน
เราท่านทั้งหลายต้องการจะสร้างฐานะชีวิตที่ไม่พลาดผิดในอนาคต
จะเป็นท่านหญิงท่านชาย เกิดมาอย่าให้ไร้ความหมาย
เกิดมาให้ชีวิตมีค่า มีราคา เพราะฉะนั้นทางพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าสอนแนวทางของชีวิตเพื่อให้ชีวิตของเราแจ่มใส
เดินทางด้วยความถูกต้อง
กำชะตากรรมของเราไว้ให้ได้จากการกระทำของเรา
ดีชั่วประการใดนั้นขึ้นอยู่กับเราทั้งนั้น
จะดีชั่วประการใดนั้นมันอยู่ที่ตัวเรา

ความดีเป็นเรื่องธรรมชาติ ความชั่วก็เป็นธรรมชาติ


:b48: ผู้มีจิตใจดี มีปัญญา พึงแสวงหาแต่สิ่งดี

ธรรมชาตินั้นนั่นคืออะไร คนเราในสากลโลก
ทั้งโยมหญิงโยมชาย โดยธรรมชาติ
คนไหนที่มีจิตใจดีมีปัญญาจะแสวงหาแต่ของดี
คนที่มีจิตใจที่ไม่ดีแปรสภาพธรรมชาติเป็นของไม่ดี
ชอบแสวงหาของไม่ดีตลอดรายการเดินทางไร้สาระ
ที่เข้าใจว่าตัวเองถูกต้อง ข้อเท็จจริงมันไม่ถูกต้องสำหรับในแนวทางชีวิตนั้น


:b48: สิ่งที่ทำให้ชีวิตแตกต่างกัน

เพราะฉะนั้นวันนี้ท่านทั้งหลาย เรามาสร้างบุญสร้างกุศลทางจิตใจ
ให้เราเจริญรุ่งเรืองอยู่ในจิตใจอันนี้ ต้องสร้างต้องทำด้วยของใครของมัน

จะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าที่ลามาบวชหรือมาบวชเป็นนวกะ
หรือบวชเก่าก็ตามเหมือนกันไม่ได้ นานาจิตตัง
จิตก็ไม่เหมือนกัน กุศล อกุศลเหมือนกันไม่ได้
บางคนวาระก็ไม่เหมือนกัน เวลาไม่เท่ากัน
จิตใจเปรี้ยวหวานมันเค็มไม่เหมือนกัน
บางคนก็ชอบเปรี้ยว ชอบหวาน บางคนก็ชอบขม
แต่บางคนก็ชอบเค็ม เท่านี้ยังแตกต่างกันไปแล้วเพียงแต่รสอาหาร
ไหนเลยจิตใจจะเหมือนกันทุกคนเล่า

แต่เหมือนกันโดยธรรมชาติ อันนี้เป็นที่ทราบดีทั่วกันว่า
ทำได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทุกคนรู้ตัวอยู่แล้ว มีความเข้าใจด้วยกันทุกคน

เมื่อค้าขายก็อยากได้กำไรไม่ต้องการขาดทุน
ทำงานอันใดก็อยากให้การงานนั้นสำเร็จ
จะคิดอะไรก็อยากใช้เวลาคิดให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตคนเหมือนกันทุกคน
ไม่ต้องกล่าวว่าความคิดนั้นจะเหมือนกัน
นานาจิตตัง จิตคิดไม่เหมือนกัน ความเข้าใจก็ไม่เหมือนกัน
แต่ว่าทุกชีวิตต่างก็คิดเหมือนกันในความต้องการสิ่งดี ๆ ให้เกิดแก่ตนทั้งนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: สิ่งที่ติดตามเราไปทุกหนแห่ง

ท่านทั้งหลายที่ได้มาในวันนี้ ก็ต้องการสร้างบุญสร้างกุศลกันทั้งนั้น
เนื่องจากท่านต้องการสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นมงคล เป็นการสร้างความดี
สะสมความดีไว้เป็นสมบัติแก่ตัวท่านเอง
อันเป็นที่รู้ทั่วกันดีแล้วว่า บุญกุศลคุณงามความดีเท่านั้น
ที่จะเป็นสมบัติติดตามตัวเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง

บุญ คือ ความสุข การสร้างบุญนั้นก็คือการสร้างความดี สะสมความดี
อันจะนำมาซึ่งความสุขที่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างแท้จริง
เป็นความสุขที่เกิดจากการชำระจิตใจให้ปกติ
ส่วนความสุขที่เกิดจากอบายมุขนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงนะ
เพราะความสุขประเภทนี้เจือปนด้วยความทุกข์

เป็นความสุขที่ได้ชั่วคราว
บางคนติดสุรายาเมาถึงเวลาก็ต้องไปเข้าวงสุรา
เขาถือว่าเป็นความสุขที่แท้จริงซึ่งเกิดจากการดื่มสุรา ก็ถูกต้องของเขา
แต่ถ้าพิจารณาโดยปัญญาแล้ว
ก็จะพบว่ามีแต่การเพิ่มทุกข์เท่านั้น หาเป็นความสุขที่แท้จริงไม่


:b48: ความสุขจากการเจริญพระกรรมฐาน

ความสุขที่เกิดจากการที่เราสร้างบุญสร้างกุศลนั้น
ไม่ได้หมายความว่า เราเอาเงินมาทำบุญนะ
ถ้าอย่างนี้เรียกว่า การบำเพ็ญทาน บริจาคทาน
การอุทิศนี้ยังไม่ใช่ความสุขที่แน่นอนนะ

ความสุขที่แท้จริงจะได้จากการที่เรามาบำเพ็ญกุศลเจริญภาวนา
ทำใจของเราให้สบาย ชำระจิตใจของเราให้สะอาด
มีสติสัมปชัญญะไว้ที่จิต กำหนดจิตพระกรรมฐานเพื่อบำเพ็ญจิต
เป็นบัณฑิตผู้มีความฉลาดสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตได้

ความสุขที่แท้ต้องได้จากการเจริญพระกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
การกระทำให้ฐานดี ฐานเกาะอยู่ที่งาน อย่าทิ้งงานและหน้าที่
โปรดกรุณารับผิดชอบตัวเอง พึ่งตัวเอง ช่วยตัวเอง สอนตัวเองให้ได้
ฐานของท่านจะดี ท่านจะมีปัญญา
นี่ตรงนี้เรียกว่ากรรมฐานเป็นการสร้างผลงานให้แก่ชีวิตของท่านเอง
มิใช่คนอื่นทำให้ ไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ปัญญาเป็นแสงสว่างของชีวิต

หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นแนวทางที่ถูกต้อง
ทรงสอนให้พวกเราทั้งหลายเดินทางด้วยความถูกต้อง
ด้วยการบำเพ็ญจิต หรือที่เรียกกันว่าการพัฒนาจิต
เพื่อให้จิตใจเข้มแข็งและอดทน
ทำให้เกิดแสงสว่างสร้างปัญญาให้แก่ตนเอง

การที่ท่านทั้งหลายมาเจริญกรรมฐาน
ขอสรุปย่อท่านต้องการสร้างปัญญาให้แก่ตัวเอง
คนเรามีปัญญาไม่เท่ากัน สมองก็ไม่เหมือนกัน
ไม่จำต้องกล่าวถึงว่าอย่างอื่น ฐานะที่เราอยู่ก็ไม่เท่ากัน
เหตุการณ์ของชีวิตก็ไม่เท่ากัน บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
ตระกูลวงศ์ ก็มาไม่เหมือนกัน แตกต่างกันมากนัก
จะเป็นประเภทใดก็ตาม ถ้าขยันหมั่นเพียร มีสติปัญญาในตัวแล้ว
รับรองเหมือนกับเกิดมีแสงสว่างขึ้นในตัว
จะไปไหนก็ไปรอดปลอดภัย ไม่มีเสนียดจัญไรแต่ประการใด
ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ไปที่ไหนก็ร่ำรวยที่นั่น มีแต่กุศล
มีแต่ผลบุญ เพราะเป็นความจริงในสิ่งของเขา



:b48: ธรรมชาติของจิต ผ่องใสยิ่งนัก

ท่านสาธุชนทั้งหลาย เราเกิดมาในสากลโลกนี้
ประภัสสรจิตผ่องใสมาแล้ว แต่เรามาคลุกฝุ่นกัน มาย่ำยีปู้ยี่ปู้ยำ
หาโอกาสที่ไร้สาระเข้ามาผสมผสานในจิตใจ จิตใจจึงฟุ้งซ่าน
จิตใจจึงกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา
หาความสุขสบายในจิตใจไม่ได้เลย เนื่องจากเราไปหาความทุกข์มาเอง


ข้อเท็จจริงนั้น จิตใจเราทุกคนเป็นปกติธรรมชาติเหมือนกันในชีวิตทุกคนที่ผ่านมา
แต่ไม่มีใครเลยที่จะรักษาความเป็นธรรมชาติเข้าไว้ให้มันอยู่คงที่
มั่นคงด้วยสมาธิ จึงไม่ได้รักษาความเป็นมนุษย์เข้าไว้
ทำให้ความเป็นมนุษย์ตกต่ำและด้อยถอยหลังลงคลอง
จนกลายสภาพของมนุษย์หมดไป และธรรมชาติก็ไม่มีอีก
ธรรมชาตินั้นก็เปลี่ยนแปลง สภาวะจิตใจคนเราจึงต่ำสูงไม่เท่ากัน
บางคนมีจิตใจดำ บางคนมีจิตใจดี มีปัญญาไม่เหมือนกัน
บางคนก็ร้อนรุ่มกลุ้มใจเพราะเอาทุกข์นอกตัวเข้ามาหาในตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: สร้างปัญญาด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี่

คนที่มีปัญญาในตัวก็คือ คนเจริญกรรมฐานให้มีสติปัญญาในตัวเกิดขึ้น
ในเมื่อมีปัญญาในตัวเกิดขึ้นแล้วเช่นนี้ ท่านถึงจะแก้ไขปัญหา
จะไม่เอาทุกข์ร้อนเข้ามาในสมองดลบันดาลไว้ในจิตใจตลอดไป
ความทุกข์ยากลำบาก ก็จะไม่มีแก่ผู้มีปัญญาในตัว


การเจริญกรรมฐาน การเจริญสติปัฏฐานสี่นั้น
ต้องการสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นในตัวเอง
ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะทำได้เหมือนกันหมด
อันนี้มันอยู่ที่บุญวาสนา
บางคนที่ไร้บุญวาสนาจะทำไม่ได้เลยและก็ไม่สนใจที่จะทำ
ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าที่มาบวช
บางองค์ก็ไม่สนใจพอนานไปก็เลือนราง
ทำให้ห่างไกลจากความดีไป นี่มีเหมือนกัน


สำหรับพระคุณเจ้าบางองค์นั้น ท่านใช้ชีวิตเป็นกลาง วางอยู่ในจิตว่าง
แต่ท่านไม่ว่างงานในการปฏิบัติของท่านด้วยการประพฤติดีปฏิบัติชอบแล้ว
สอนตนเองได้แล้ว ก็ต้องขยันสอนคนอื่น
นี่เรียกว่าพระสาวกผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบแล้ว
นั่นแหละเรียกว่าสุปฏิปันโนที่ทำให้พระสงฆ์แตกต่างกันไป


:b48: บุญอยู่ที่ใจ

ญาติโยมสาธุชนทั้งหลาย ถ้าจะบำเพ็ญบุญกุศลไม่ต้องไปเรียกหาพระตามที่กล่าว
ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์ในหมู่นั้น ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ
ถ้าไปมัวหาอยู่ท่านจะไม่ได้บุญ ท่านจะหาโอกาสทำบุญได้ยาก
จะเป็นพระนุ่งเหลืองห่มเหลืองชนิดใดก็ตาม
ขอให้ทำไปเถอะ บุญมันอยู่ที่ใจ โยม
ไม่ได้อยู่ที่พระองค์นั้น ไม่ใช่ที่ทำไปกับพระองค์นั้น


ข้าพเจ้าไหว้หมู่สงฆ์ ผู้ทรงสังวรศีล ผู้ทรงพระธรรมวินัย
เป็นลูกศิษย์ตถาคต สังฆัง นะมามิ
ข้าพเจ้าไหว้หมู่สงฆ์ในหมู่นั้น ถ้าสงฆ์ในหมู่นั้นประพฤติดี ก็ถูกหมู่
ถ้าสงฆ์หมู่นั้นประพฤติไม่ดี ปฏิบัติไม่ชอบ มันก็จะเลยข้ามไป ไม่เป็นไร

พระมาบิณฑบาตหน้าบ้าน ใกล้วัดหรือห่างวัด
เราจะชอบหรือไม่ชอบ อย่าไปคิดอย่างนั้น
คิดว่าเราทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ใส่บาตรไปเถอะ
ใส่บาตรไปแล้ว โยมก็ได้บุญครบเต็มที่ร้อยเปอร์เซนต์
ไม่ต้องแสวงหาพระสุปฏิปันโนที่ไหนหรอก

สาวกของพระพุทธเจ้าต้องประพฤติดี ปฏิบัติชอบ
เจริญกรรมฐาน สอนประชาชน เสียสละให้แก่กิจการของพระสงฆ์
เป็นประโยชน์แก่ประชาชน แล้วประโยชน์นั้นแหละถึงจะเรียกได้ว่า
พระสงฆ์ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมตลอดรายการ
คอยช่วยเหลือประชาชนที่นำอาหารและบิณฑบาต
มาถวายทดแทนด้วยการสอน
เป็นระเบียบการของพระพุทธเจ้าก่อนมาช้านานอย่างนี้เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: การเจริญกรรมฐาน สร้างปัญญาในตัวทำให้จิตใจใสสะอาด

การเจริญกรรมฐานเป็นการสร้างเสริมปัญญาให้แก่ตัวท่านเอง
ท่านทั้งหลายถ้าไม่ได้เจริญกรรมฐานเป็นจิตตภาวนา
ปัญญาของท่านจะไม่เกิดในตัว
ท่านอาจจะมีปัญญาในทางเรียนหนังสือ ทางวิชาการ หรือว่าประสบการณ์เท่านั้น

ปัญญาในตัวจะผุดขึ้นมาในดวงใจ ทำให้จิตใจใสสะอาด
ปราศจากมลทินและความเศร้าหมอง แล้วชีวิตของท่านจะปรองดอง
ท่านจะไม่ผูกพยาบาท อิจฉา ริษยา ท่านจะมีแต่เมตตาตลอดกาล
จะไม่มีอคติหายนะต่อผู้ใด อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญาในตัว



:b48: ชีวิตแจ่มใสได้ด้วยการเจริญกรรมฐาน

คนที่มีปัญญาในตัวเกิดจากการเจริญกรรมฐาน
ผู้นั้นจะมีแต่เมตตา อยากจะให้ อยากจะช่วย
อยากจะสงเคราะห์คนนั้นให้เขาได้พ้นออกจากทุกข์
เหมือนอย่างที่เราพ้นทุกข์มาแล้ว


แต่ถ้าเรายังมีทุกข์ร้อนอกร้อนใจ ร้อนนอกร้อนในอยู่ตลอดรายการ
เพราะเราขาดปัญญาในตัวจึงแก้ไขทุกข์อันนี้ไม่ได้
หาความสุขในชีวิตในครอบครัวไม่ได้เลย มีแต่ความหายนะ
มีแต่ความทุกข์ทั้งวันทั้งคืน ทำให้ขาดความอบอุ่นมาก

การเจริญกรรมฐานต้องการให้เกิดความอบอุ่น
ผู้ใดมีปัญญาในตัว ผู้นั้นอบอุ่น เหมือนมีกระแสไฟในตัว
มันจะอบอุ่นอยู่เสมอ มันจะไม่ไร้สาระ อบอุ่นใจ

คนที่อบอุ่นใจมีร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นที่พึ่ง คือ สมาธิมีสติแก้ปัญหาได้
ยากดีมีจนประการใดก็มีสุขตลอดไป จะหาเช้ากินค่ำ
หาค่ำกินเช้าก็ยังมีความสุขนอนกับดินกินกับทราย ก็ยังมีความสุข
เพราะมีความสงบในจิตใจ จิตใจไม่เลวร้าย จิตใจก็ไม่เป็นอกุศล
จิตใจไม่เป็นหายนะแต่ประการใด ชีวิตท่านจะแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: การเจริญกรรมฐานกับบุญกุศลที่ติดตัวมา

การเจริญกรรมฐานนั้นไม่ใช่ของง่าย และไม่ใช่ของยาก
ท่านต้องมีบุญมีวาสนา ถึงมาเจริญกรรมฐานกัน
ถ้าท่านไร้บุญวาสนา ท่านไม่ต้องมา ดูหน้าก็รู้ว่าทำไม่ได้

บางคนไม่เคยเลื่อมใสศรัทธามาก่อน ภรรยาเข้ามาก็ว่าภรรยา
ภรรยามีศรัทธามากแต่ขาดสติ ขาดวิริยะ ไม่ค่อยสนใจปฏิบัติ
มีศรัทธาอยากทำแต่ไม่มีความเพียร
ขาดบารมีอันหนึ่งก็ไม่ได้ ขาดตกบกพร่อง

สามีมาเห็นเข้าก็มาดูดีนี่นา พระท่านก็สอนดี
ถ้าใครทำกรรมฐานได้ก็จะดี สามีไม่เคยศรัทธามาก่อน
ไม่เคยเลื่อมใสมาก่อน ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย เพราะไม่เคยเข้าวัด
ไม่เคยปฏิบัติธรรมแต่ประการใด
เข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมเป็นการเบียดเบียน เป็นการเรี่ยไร
หลงเข้าใจผิด ตัวเองก็ลองปฏิบัติดูบ้างโดยไม่มีครูอาจารย์
นั่งเข้าแล้วเกิดแสง เกิดสติปัญญา
เกิดศรัทธาเกิดความเลื่อมใสได้ทันที
สนใจในการปฏิบัติขึ้นมาโดยที่ไม่เคยศรัทธามาก่อนเลย
ก็ไปก่อน ได้ผลดีกว่าภรรยา

ภรรยามีศรัทธามานาน แต่ว่าขาดความเพียร ขาดวิริยะตั้งใจ
อยากได้บุญแต่ไม่ทำบุญ อยากได้ข้าวแต่ไม่ทำนา
อยากได้เงินตราแต่ไม่ค้าขาย เหนื่อยยากไม่เอา ขาดความเพียร
เรียกว่า ขาดบารมี ความเพียร รับรองว่าไม่ได้ผล
ต้องสร้างบารมีด้วยความเพียร
อย่างนี้ต้องเจริญกรรมฐานตลอดไปให้เสมอต้นเสมอปลาย

บางคนทำได้ก็เข้าใจว่า ตัวเองได้ก็สอนคนอื่นได้
ตัวเองก็ไม่ได้อะไรอีก เกียจคร้านต่อหน้าที่
ดูวิธีปฏิบัติของเขาก็ไม่ได้ผล ปัญญาในตัวก็ริบหรี่ลง
ปัญญาในตัวหายไป เป็นปัญญาเข้าข้างตัว ไม่ใช่ปัญญาในตัว

ปัญญาเข้าข้างตัว ก็คือเอาแต่ใจของตน นี่เรียกว่า ปัญญาเข้าข้างตัว
คิดอะไรถูกหมด ตัวเองถูกหมดโดยที่ผิดพลาดอย่างน่าเสียดาย
คนที่มีปัญญาในตัวแล้วจะคิดมีเหตุผล ทำอะไรมีข้างขึ้นข้างแรม
มีต้นมีปลาย มีหลักมีฐาน ทำอะไรหาเหตุหาผลตลอดรายการ
แก้ไขปัญหาได้ทุกเวลา ปัญญานอกตัวแก้ไม่ได้หรอก
คนไร้ปัญญา ขาดวาสนา ไม่มีบารมี
ต้องไปสร้างบารมีคือความเพียรให้มากที่สุดเสียก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: การเจริญสติปัฏฐาน ๔

บารมีสร้างแล้วก็ต้องมีวิริยะ ตั้งสติด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔
ในเมื่อเรามีสติกำหนดจิตได้ มันก็ครบเครื่องเรียกว่า
บารมีเกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น สติก็ดี สมาธิก็เกิด
การแก้ปัญหาก็เกิดปัญญาในตัวขึ้นมาให้แก่ตัวเอง เป็นต้น
บางคนทำได้ สอนเขา แต่ตัวเองนั้นไม่เคยทำ
ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่อันนั้นแต่ประการใด เช่นนี้
บารมีก็โรยราและห่างไกล สติก็หมดไป สมาธิไม่มั่นคง
จิตใจจะอยู่ที่ไม่ได้ เลือนรางไปตามลำดับ
ท่านจะไม่ได้อะไรเลยตรงนี้ฝากนักกรรมฐานไว้ด้วย



:b48: ตั้งสติพิจารณากาย

การยืนหนอ ๕ ครั้ง อาตมาพูดอยู่เสมอ ไม่มีใครทำได้
ให้สติอยู่กับจิต ยืนหนอ สาธิตให้ดูหลายครั้ง
สำรวมจากปลายเท้ายืนขึ้น พาศีรษะให้มันได้จังหวะให้สติกับจิตมันอยู่ที่นั้น
จิตไม่โลเล รับรองจะรู้วาระจิตได้อย่างแน่นอน เห็นคนเดินมาจะรู้
วิญญาณมันจะเกิดสัมผัสจะเกิด จิตจะมีข้อคิด
เรียกว่า ปัญญาในตัวมันเกิด แล้วทุกอย่างทำได้หมด
จะเดินจงกรมก็ได้จังหวะจะโคน ทำอะไรก็คล่องแคล่วว่องไว
รวดเร็วทันใจหมด ถูกต้อง เป็นธรรม เกิดขึ้นในตัวท่านเอง


:b48: มีสติรู้ชัดในเวทนา

บางท่านไม่เอาก็ไม่เป็นไร เราก็รู้ได้ว่าบางคนไม่มีความเพียรไม่ตั้งสติอยู่กับจิต
ปัญญาไม่เกิดขึ้นในตัวเอง ปัญหาก็แก้ไม่ได้ แถมไปสร้างแต่ปัญหาอีก
ไปเอาทุกข์ข้างนอกมาไว้ข้างใน
ทุกข์ในก็เต็มเปา เต็มกระเป๋าอยู่แล้ว จะไปเอาทุกข์ข้างนอกมาทำไม


ทุกข์จร โทมนัสหลักก็มีอยู่แล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็มี
แต่เอาความทุกข์ของผู้อื่นทุกคน ทั้งพี่ทั้งน้อง ของลูกของหลาน
เอามาเก็บเอาไปคิด เลยโทมนัส โสมนัสเลิก
ดีใจแล้วก็โทมนัส ดีใจแล้วก็เสียใจ เสียใจแล้วก็ดีใจ
แล้วเหตุการณ์ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อดทนไม่ได้
ไม่มีการอดทนต่อเหตุผล ไม่มี
ไหนเลยท่านจะทนต่อเวทนาที่กำหนดไว้ ท่านก็จะทำไม่ได้

นี่แหละจะไร้บุญก็ตรงนี้ ในเมื่อไม่มีเหตุผลแล้วก็จะเป็นอกุศลกรรม
เวลามันปวดมันจะได้ผลถ้าท่านนั่งกำหนดไม่ได้จังหวะ
แต่บางทีท่านเพลินนั่งได้ตั้งหลายชั่วโมงไม่รู้จักปวดเมื่อย
แล้วจิตไม่ออก ท่านคิดว่านั่งดีไม่ได้ผล ครูไม่สอน ไม่มีใครสอน
ถ้าครูมาสอนมันจะปวดนั่นปวดนี่ เขาก็แก้ไขที่ครูเขาสอนมา
จะพูดขึ้นมาเอง ปวดหนอ ๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ปวดนั้นจะหายไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: มีสติกำหนดรับรู้จิตของตน

ท่านทั้งหลาย! ยิ่งปวดยิงดี ยิ่งจิตฟุ้งซ่านยิ่งดี
เราก็ได้สติใช้ต่อการงานและหน้าที่ เราจะได้รู้ว่าจิตมันกำหนดไม่ได้
ถ้าเรานั่งมีแต่สบาย ๆ มีสมาธิ ขาดสติ มันก็ไม่ได้ผล
จิตมันออกไปถึง จะรู้ได้ว่ากำหนดจิต จิตหนอ จิตจะกลับมา
นั่นแหละตำราปัญญาในตัวไม่ใช่ปัญญานอกตัว
ปัญญาตัวนี้ไม่ใช่ปัญญาที่ได้จากคนอื่น
คนที่มีปัญญาในตัว มันจะเกิดอย่างนี้เอง
ปัญญานอกตัวจะเข้าข้างตัว ไม่มีปัญญาในตัว
มีปัญญานอกตัวมันก็เข้าข้างตัวเอง
เข้าข้างตัวเองไม่มีทางจะแก้ไขได้เลย เรียกว่า ทิฏฐินั่นเอง


ทิฏฐิมานะของคนเราเกิดขึ้น ใครจะพูดอะไร โกรธ
ว่าคนอื่นพูดไม่ถูกต้อง ตัวเองถูกต้องเสมอไป มันเป็นอย่างนี้แหละหนอ
คนไร้ปัญญาก็เป็นอย่างนี้ เข้าข้างตัวเองตลอดรายการ
กำหนดดีไม่ได้ อดทนก็ไม่ได้ มีความอดทน
การกำหนดจะได้ผล ผลมันจะปรากฏชัดขึ้นมา
เช่น เราปวดตรงนั้น เราปวดตรงนี้ ยิ่งปวดหนัก
กำหนดยิ่งปวดหนัก กดเข้าไปปวดหนัก
ปวดหนัก กำหนดได้ พอเวลาเลิกนั่งมันจะหายทันที



:b48: ตั้งสติกำหนดพิจารณาให้เห็นความจริง

ท่านสาธุชนทั้งหลาย ยกตัวอย่างให้เห็นท่านเคยหาหมอนวดไหม
หมอนวดพอจับนิดเดียวก็ปวดแล้ว
โอ๊ยๆๆๆ แต่หมดขยำจับเส้นไม่ถูก มันไม่ปวด เพลินอยากจะหลับ
แหม! สบายดีแต่ไม่หายโรค บีบยังไงก็ไม่หาย
ถ้าหมอที่จับเส้นเป็น เขาไม่ค่อยบีบ ไม่บีบแรง
พอเอามือกดไปโอย โอย ปวด โอย พอเลิกบีบแล้วหายเลย
การนั่งกรรมฐานก็เช่นเดียวกัน
ถ้ามันปวดมากหรืออะไรต่ออะไรนั่นแหละมันถูกแบบล่ะ
เราก็ตั้งสติเหมือนหมอนวดจับเส้นให้ถูก
ถ้ายิ่งถูกมันก็ยิ่งปวด ยิ่งถูกมันก็เสียใจ มีการกำหนดจิต
ท่านถึงจะรู้ว่าปัญญาในตัวเป็นอย่างไร

บางทีนั่งสัก ๓๐ นาทีไม่ได้ ทนต่อไป ตายให้มันตาย
เดี๋ยวนั่งได้เป็นชั่วโมงเหมือนหมอนวดมาจับเส้น
มันปวดจริง ๆ นะ หมอเข้าใจ จับเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ปวด
หมอขยำ สมาธิเพลิดเพลินแล้ว อยากจะหลับ มันไม่หายโรคภัยไข้เจ็บ

ถ้าเรากำหนด มันปวดเหลือเกินหนึ่งชั่วโมงจะตาย อดทนต่อไป
ขันติธรรม ทนตรากตรำ ทนลำบาก เจ็บหนักเข้า
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วพอเราเลิกทำกรรมฐานเลยคล่องแคล่ว
ปวดนั้นก็จะไม่เป็นอีก มานั่งอยู่ก็ไม่ปวดตรงนั้น
ถึงจะปวดก็น้อยลงไป นี่ถูกต้องปวดแล้วเลิกเลย


มันก็เหมือนหมอนวดจะบีบให้ จับเส้นให้หน่อย
พอจับหน่อยโอยเลย เส้นก็ตึงตามเดิม ก็ไม่หายปวด
หนักเข้ากดลงไป ๆ คลายเข้าไป โอย ๆๆ ทนหน่อย ๆๆ พอเส้นหย่อน
ทำอะไรมันก็สบาย มันก็หายปวดไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ทำความดีต้องมีอุปสรรค

ฉันใดก็ฉันนั้น ทำความดีต้องมีอุปสรรคเสมอไป
ท่านทั้งหลาย ผู้ทำบางคนไม่อดทน พอปวดเมื่อยหน่อย
เลิกแล้ว ทนไม่ได้ เลิก ตามใจตัวเอง
ในเมื่อตามใจตัวเองเช่นนี้ท่านจะไม่ได้ผลจากการปฏิบัติ
ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสก็ตาม พระสงฆ์องค์เจ้าก็ตาม ไม่ได้แน่
ไม่ได้อะไรเป็นหลักปฏิบัติ นั่งก็ทนไม่ไหว
เดินจงกรมก็ทนไม่ไหว กำหนดก็ทนไม่ไหว
ตั้งสติไว้ไม่ได้ ปัญญาในตัวจะไม่เกิดขึ้น
จะมองไม่เห็น เลยกลายเป็นคนทิฏฐิสูง



:b48: ปัญญาไม่เกิด ความเห็นผิดก็ครอบงำ

ในเมื่อทิฏฐิมากขึ้นแล้วท่านจะทำอย่างไร
ท่านไม่สามารถทราบเองว่าเราคิดถูกหรือไม่
ไม่ถูกต้องตามครรลองแต่ประการใด
คนที่กำหนดได้ เหมือนกับหมอรักษาโรคหาย
เพราะรู้สมุฏฐานของโรค ว่าเรานั่งไปแล้ว สมุฏฐาน
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การยืน เดิน นั่ง นอน
เหลียวซ้ายแลขวา คู้ขาเหยียดขา
ตั้งสติไว้ให้เป็นสมุฏฐานของรูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ รูปก็เป็นธรรมดา เป็นตัวนามธรรม
ปวด เวทนาก็เป็นนามธรรม มีทั้งรูปทั้งนามมาอาศัย
รูปเกิดถึงปวดขา นั่นแหละรูป ปวดหนอ ตายให้มันตาย
เสร็จแล้วเลิกนั่งสบายมาก คล่องแคล่วว่องไวเส้นหย่อนลงไปอีก
มานั่งก็ไม่เป็นอย่างนั้นอีก

ท่านสาธุชนทั้งหลายจับจุดถูกแล้ว กลุ้มใจเหลือเกิน
พอกลุ้มใจแล้วเลิก กลุ้มใจแล้วเลิก เสียใจ
เวลาอารมณ์ดีก็มานั่งปฏิบัติ ท่านจึงไม่รู้ว่าความกลุ้มมันแก้อย่างไร
ทั้งเรื่องรัก เรื่องหลง เรื่องหึง มันเกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่อยากหาธรรมะ
อยากจะฆ่าอยากจะแกงกัน อยากจะด่ากัน
ไม่หันเข้าหาธรรมะ มันก็เลยทะเลาะวิวาทกัน

ทีนี้ถ้าเกิดขึ้นอย่างนั้น เข้าหาธรรมะปฏิบัติธรรม
ถึงจะรู้ของจริงว่าไม่สมควรเลยที่เราไปด่ากัน ทะเลาะกัน มันเสียเวลา
นี่แหละปัญญาในตัวมันจะออกบอกได้
แต่เราก็ไม่เอามันถึงได้ขัดคอทะเลาะกัน

ผู้มีปัญญาแก้ปัญหาทุกอย่างได้


ท่านสาธุชนทั้งหลาย ถ้าเจริญกรรมฐานได้จริง
ท่านจะรู้ว่า พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก
อาตามาพูดอยู่เสมอ บางทีพูดดี สอนดีถึงจะเข้าใจ
พูดร้ายด้วยกันมันจะเข้าใจไหม


ถ้าเรามีสติดี คิดหนอ ๆ เจ็บใจหนอ ๆ หรือว่าโกรธหนอ ๆ
ทั้งที่มันด่าเรา พูดร้าย ให้ร้ายป้ายสีเรา แต่เรากำหนดต่อสู้ โกรธหนอ
ถ้าจิตสู่ภาวะความเป็นปกติมีปัญญาในตัวแล้ว
ความโกรธก็จะหายไป จะไม่เอาความโกรธไว้ในใจ
จะไม่เก็บเอามาไว้ในจิตใจอีกต่อไป นี่ถึง เรียกปัญญาในตัว
บางทีใครมาว่าเรา โกรธเลย โกรธหามรุ่งหามค่ำ ไม่รู้กำหนดเวลา
สามีภรรยาโกรธกันเป็นเดือน ๆ ไม่ได้นอนด้วยกัน
กินข้าวก็ไม่อยากจะกินรวมกันเป็นเดือนเพราะอะไร
เพราะสามีภรรยาคู่นี้ไม่มีปัญญาในตัว ไม่มีความอดทน
โกรธแล้วไม่อยากมองหน้า ปัญญานอกตัว มันเลว ทำให้เสียงาน


สามีภรรยาโกรธกันเป็นเดือน มีตัวอย่างให้เห็นชัด งานการไม่เดิน
เขาเป็นเจ้าของโรงแรม โรงแรมเกิดมีปัญหา
สามีภรรยาไม่ต้องปรึกษากัน เพราะไม่พูดกัน ปัญญานอกตัว มีทิฏฐิมานะต่อกัน

ถ้ามีการเจริญกรรมฐาน อดทนได้ จะได้รู้ว่าเรามาโกรธกันทำไม
โรงแรมกิจการจะดีแต่กลับซบเซา เจ้าหน้าที่โรงแรมก็ซบเซา
เพราะว่าเจ้าของโรงแรมมาทะเลาะกัน
ถ้าเจ้าของโรงแรม สามี ภรรยา และลูก ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส
คนงานโรงแรมนั้นก็ดีใจตั้งใจทำงาน คิดแล้วคิดอีก
คิดแล้วกำหนดไปเรื่อย ๆ หนักเข้า ๆ
มันจับจุดเหมือนหมอนวดจับเส้นค่อย ๆ เท่านั้นแหละ
แหม! ปวดแทบดิ้น แล้วมันก็หายจริง ๆ มันหายจริง ๆ

เหมือนอย่างกับเรากินของหวาน มันชื่นใจ
แต่เป็นยาพิษที่กินเข้าไป มันหวานขณะกิน
เดี๋ยวมันจะไปทำพิษ ทำลาย ตับ ปอด ไต
ให้โรคภัยมาเบียดเบียนได้ภายหลัง กินของขม ไม่อยากกินเลย
โบราณท่านว่าไว้ ขื่นอม ขมกลืนก็ตาม หวานเป็นขนม ขมเป็นยาก็ตาม
มันก็แบบเดียวกัน ตัวเขาปวดเมื่อยตรงไหน
หมอเขาจับเข้ามันจะหาย ถ้าบีบไม่ถูกเส้น ไม่มีทางหาย


เรานั่งปวดตรงไหน กำหนดตรงนั้น ปัญญาในตัวก็จะเกิดขึ้น
ท่านจะไม่ปวดเมื่อยต่อไป ต้องทน ต้องสู้
ถ้ามานี่ไม่เคยประสบความเวทนา ไม่เคยประสบความทุกข์ยากจิต
ออกไปท่านไปโดนขึ้น..ท่านจะโบ้ยเลยนะ
ท่านจะโบ้ยไม่ออก ทนแน่นอน โดนหนัก ๆ โบ้ยเลย
ขอเจริญพรอย่างนั้น บางคนไม่เอาเหนือไม่เอาใต้
มีความหมายอย่างนี้แน่นอน ไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ผู้เจริญกรรมฐานมองปัญหาได้ถูกต้อง

คนเรานั้นต้องขยันเฉพาะในหน้าที่การงานของตนเอง
คนไหนขยันนอกหน้าที่นอกการงานที่ไม่ใช่งานของตน
รับรองเพี้ยนทุกราย ไม่ได้ดิบได้ดีหรอก

ตรงนี้สำคัญ การเจริญกรรมฐานเราต้องขยันในหน้าที่การงาน
รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบครอบครัวรับผิดชอบระหว่างสามีภรรยา
พูดกันรู้เรื่อง จะพูดกับลูก ลูกก็เข้าง่าย ลูกจะพูดกับพ่อแม่
ก็เห็นใจลูกเขา ลูกเขาก็มีปัญหา เราก็มีปัญหาคนละอย่าง
เราเป็นผู้ใหญ่เป็นพ่อเป็นแม่ ปัญหาของเราก็มี
ลูกเราเป็นเด็กชอบซุกซน เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ชอบเที่ยวเป็นธรรมดาก็มี

ปัญหาหนุ่มสาวเราก็จะต้องให้เขาบ้างบางอย่าง
จะไปกักลูกซะหมดเลย จะทำให้ลูกลำบาก
ทำให้กดดัน ทำให้เครียด อย่าไปกักลูกมากนัก
ต้องรู้ใจลูกบ้าง นี่คือกรรมฐาน
กรรมฐานทำให้เรารู้ใจลูก ลูกไปเสียหายไปไหม
เขาไปกับเพื่อนหญิงเพื่อนชาย จะดีชั่วประการใด
เราเป็นพ่อแม่เขา ต้องรู้ด้วยปัญญาในตัว ไม่ใช่ตามใจลูก
จะไปไหนก็ไปตามอัธยาศัย อย่างนั้นก็ไม่ได้ กักไว้ก็ไม่ได้
ทำให้ลูกกดดัน ทำให้ลูกเป็นโรคประสาท

ขอฝากท่านไปเลย จริงเท็จประการใดท่านไปตีความหมายได้
เราไปกักลูกกักหลาน กำลังจะรุ่นกระทงรุ่นหนุ่มสาว
ไม่ให้ดูเดือนดูตะวันเลย รับรองว่าลูกหลานท่านจะเป็นโรคประสาท
เป็นโรคเครียด เป็นโรคกลัวเป็นโรคขลาด
เราอย่าไปกัก อย่าไปกดดันลูกหลานนัก นี่แหละกรรมฐาน
ไม่ใช่กดดัน ที่เรามานั่งกรรมฐานอยู่เราก็กำหนดอยู่เช่น
คิดหนอ ๆ ตั้งสติไว้คิดในเวลาเดียวกันหลายเรื่อง
อย่าคิดในเวลาเดียว คิดเป็นเรื่อง ๆ สติก็ดีขึ้น
ความคิดก็แจ่มใส เห็นลู่เห็นทาง เปิดฉากก็เห็นอเมริกา
เปิดฉากมาเห็นโน้นเห็นนี่ทุกอย่าง บางทีเปิดฉากมาแล้ว
มองไม่เห็นมันมือแปดด้านเลย



:b48: ปัญญาเปรียบประดุจอาวุธ

ญาติโยมทั้งหลาย คนเข้าป่าต้องเตรียมมีดพร้าขวาน
ไปตัดขวากหนามที่มันมาขวางไปถากถาง
ท่านทั้งหลายเข้าป่า ขวากหนามมันมาก
อุปสรรคมันเยอะเหลือเกินต้องเตรียมมีดเตรียมขวาน
เจริญกรรมฐานต้องเตรียมหามีดพร้าเป็นอาวุธ คือ ปัญญา
ท่านก็จะได้มีปัญญาประจำตัว เอาไปแก้ปัญหา

การเจริญกรรมฐานนั้น ต้องการมีอาวุธประจำตัวเหมือนท่านเข้าป่า
ไม่มีมีดพร้า ท่านจะไปไม่รอด ท่านจะสร้างบ้านสักหลังหนึ่งต้องไปบุกเบิกก่อน
ต้องไปตัดต้นหมากรากไม้ พรวนดิน
ดูหน้าดิน ดูอะไรเสียก่อน จึงจะปลูกเรือนได้
ถ้าท่านมีปัญญาในตัวแล้ว ท่านจะใช้ปัญญาไปบุกเบิกจะไปทางไหนก็ประเสริฐ
คิดอะไรก็เงินไหลนอง ทองไหลมา จะคิดค้าขายก็ได้กำไร
จะคิดรับราชการก็ได้ตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ก็ได้อาจารย์ ๓ อาจารย์ ๒
อาจารย์ ๓ ระดับ ๗ ระดับ ๘ ก็ว่าไประดับ ๙
ไปตามขั้นตอนที่มีปัญญาของตนนั่นเอง
เรามาเจริญกรรมฐานต้องการมาหาอาวุธติดตัว


:b48: ศีล สมาธิ ปัญญา อาวุธของนักกรรมฐาน

อาวุธนี้เป็นการแก้ไขปัญหาฝ่าอุปสรรค คือ กิเลสนานาประการ
เอาความดีเข้าไปแก้กลับร้ายให้กลายดี มีปัญญานั่นคือ มีอาวุธ
ต้องเตรียมการเสียแต่บัดนี้ ถ้าไม่เตรียมการเสียแต่บัดนี้
ท่านจะไปเอาอาวุธที่ไหน ท่านจะเสียใจเมื่อตอนแก่ มันจะแย่เท่งทึง


มีลูกมีหลาน ขอเจริญพร อย่าไปกดดันลูกนัก
อย่าไปกักให้มันเกินไป ให้โอกาสลูกหลานบ้าง
ให้ลูกหลานลืมตาอ้าปากดูเหตุการณ์ของโลกมนุษย์ยุคใหม่
สมัยนี้ดูบ้าง แต่ก็อย่าให้มันเหลิง อย่าให้มันระเริง
อย่าให้หลงไปนอกลู่นอกทาง ดูแลเท่านี้ก็พอ
เราเป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย
แผ่เมตตาให้ลูกให้หลานรับรองไปรอดได้
ลูกหลานจะไปเหนือมาใต้ก็ต้องกลับบ้าน จะไม่ผิดหวังในชีวิต

อาวุธนี้เป็นอาวุธของพระพุทธเจ้ามอบหมายมา
เราเอาไปทิ้งทำไมเล่า คือ ศีล สมาธิ ปัญญา น่าเสียดายมาก
มีอาวุธก็ไปทิ้ง แล้วท่านจะใช้อาวุธอะไรเล่า?

นี่แหละอาวุธการเจริญกรรมฐาน การสร้างอาวุธให้มีประจำตัว
เหาะเหินเดินอากาศก็ใช้อาวุธอันนี้
จะได้รู้ว่าควรทะเลาะกันหรือเปล่า
เสียเวลาเหลือเกิน ไปนั่งทะเลาะกันทำไม
นึกถึงความรักกัน นึกถึงความดีซึ่งกันและกัน จะไม่ทะเลาะกันเลย


ท่านพี่น้องทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
โกรธใครขอจงอย่าโกรธหมด เกลียดใครอย่าเกลียดหมด
เอาไว้รักกันภายหน้า จะได้มองหน้ากันได้
เราไปโกรธไปเกลียดเขาทั้งหมดร้อยเปอร์เซนต์
ถ้าเกิดไปรักเขาอีก ก็วางหน้าไม่สนิท
ขอฝากไว้ ถ้าเรารักกันจนหมดตัว เอาตัวพัวพันอยู่ในกิเลส
เกิดเกลียดเกิดแตกแยกกันไป ก็จะวางหน้าไม่สนิท
ควรจะเอาแต่ครึ่งเดียว จะคิดทำอะไรอย่าให้มันหละหลวมเกินไป



:b48: สมบัติอันพึงหวังของมนุษย์

การเจริญกรรมฐานเป็นการสร้างฐานะ เป็นการสร้างเหตุผล
ต้องการให้มีปัญญาแก้ไขปัญหา
นี่แหละสมบัติมนุษย์ สมบัติอันพึงหวังของมนุษย์


มนุษย์สมบัติประการที่สอง การเจริญกรรมฐานต้องปิดประตูอบาย
ไม่ให้เราไปนรก เป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานอีกต่อไป ปิดประตูได้
ไม่ต้องไปนรกแน่นอนท่านทั้งหลาย
ไปเกิดในแห่งหนที่ใดประการใด ท่านจะไปเกิดในบ้านเศรษฐี มั่งมีศรีสุข

มนุษย์สมบัติประการที่สาม นั่งกรรมฐานเจริญกุศลมีปัญญา
ท่านจะไปเกิดแห่งหนตำบลใด จะไปเกิดในบ้านแสนสุข
สนุกสนานมีแต่คนเป็นบัณฑิต มีความคิดสูง
มีญาติพี่น้องเป็นปราชญ์เป็นผู้มีปัญญาทั้งหมด
ไปเกิดแห่งหนตำบลใดมีแพทย์ศาสตร์ ปฐมพยาบาล

มนุษย์สมบัติประการที่สี่ ไปเกิดแห่งหนตำบลใด
เกิดโดยที่ใกล้มหาวิทยาลัย ให้ลูกหลานเรียนได้ใกล้ชิด

มนุษย์สมบัติประการที่ห้า
ไปเกิดแห่งหนตำบลใดจะไม่ไปเกิดในบ้านทุรกันดาร
จะไปเกิดในบ้านที่พัฒนาดีแล้ว บ้านเมืองเจริญแล้ว
เราก็ไปอยู่ในบ้านเมืองที่เจริญ มีถนนหนทาง มีน้ำ
มีไฟให้ความสะดวกสบายทุกประการ ดังกล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นสมบัติที่ทุกท่านพึงหวังได้ หากท่านเจริญกรรมฐาน


:b48: ครรลองชีวิตของนักกรรมฐาน

การเจริญกรรมฐานเบื้องต้น ถ้าท่านมีสติกำหนดได้จากโลกมนุษย์ไป
ท่านจะได้ไปสวรรค์อย่างต่ำ กลับมาเกิดในอนาคต
ท่านก็จะไปเกิดในบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มีลูกหลานเป็นคนดี
สามีภรรยาเหมือนสามีเป็นเทพบุตรวัฒนาสถาพร
ภรรยาเป็นเทพธิดา อยู่ด้วยความรักใคร่ สมัครสมานตลอดมา
ไม่ทะเลาะวิวาทกัน นี่แหละคือคู่เทวดาอยู่ในเมืองมนุษย์


การเจริญกรรมฐาน เป็นสิ่งสุดที่สุดในพระพุทธศาสนา
จึงไม่ใช่ของง่ายและไม่ใช่ของยาก
คนที่ปฏิบัติกรรมฐานจะไม่มีทิฏฐิมานะ จะไม่มีการแหนงแคลงใจ
จะไม่มีนินทาสรรเสริญกัน มีแต่อนุโมทนาสาธุ สาธุ
จะไม่มีแข่งดีแข่งชั่วกัน มีแต่อนุโมทนา มีแต่ให้อภัยซึ่งกันและกัน
มีแต่ความเมตตา อยากจะช่วยคนนั้นช่วยคนนี้
อยากจะให้คนนั้นให้คนนี้ นี่คือนักกรรมฐาน


ชีวิตนี้ต่อสู้แล้ว ชีวิตนี้อดทนแล้ว
ท่านจะได้เป็นทองคำ ต่อสู้ไปได้ทุกชนิด สู้น้ำกรดได้
กิเลสทั้งหลายไม่ต้องกลัว ถ้าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้องสู้ลม
ลมจะพัดแรงอย่างไรไม่มีหัก ต้องสู้ลมตลอดรายการ
นั้นก็คือขันติธรรม อดทน ใครจะด่าจะว่าอย่างไรก็ไม่สนใจ
หวังจะเหน็บแนมแกมประชด จะหยิกเล็บ จะเจ็บเนื้อ
จะเหลือวิสัยก็ตาม จะไม่โกรธ
ไม่เหน็บแนมท่านผู้ใด จะไม่เสียดสีท่านผู้ใดอีก
ไม่ปากว่าตาขยิบ จะไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ
จะไม่หยิกเล็บเจ็บเนื้ออีกต่อไปในโอกาสข้างหน้า
นั้นคือนักกรรมฐาน มีบทความดังที่ได้ชี้แจงแสดงมา


อาตมาภาพขออนุโมทนาแก่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
ขอให้จงเจริญธรรม เจริญกิจการที่สร้างแต่กุศลกรรม
การเจริญกรรมฐาน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ให้ได้ผลสมค่าสมปรารถนา
มีธรรมะปฏิบัติธรรมะ ที่เจริญศีล เจริญภาวนา
ปัญญาของท่านจะเกินล้ำเลิศทุกสิ่งทุกประการ
ไปไหนมีแต่ความสุขมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพร
มีแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สงสารสรรพสัตว์ทั้งหลาย
รู้วาระจิตของสัตว์ที่จะเกิดจะตาย รู้วาระจิต
และได้แผ่เมตตาอนุโมทนาสาธุการตลอดกาลโดยทั่วหน้ากัน

ขอทุกท่านจงเจริญในธรรม
ปฏิบัติกรรมฐานโดยทั่วกันทุกคนเถิด


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
เต็มอิ่มจริงๆ หลวงพ่อเทศน์ได้เห็นแจ้งใจ

อนุโมทนาสาธุค่ะคุณลูกโป่ง

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 16:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ค่ะคุณลูกโป่ง อ่านแล้วอยากปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนให้ได้จังเลยค่ะ :b20:
แค่อ่านก็อิ่มบุญแทนคุณลูกโป่ง แล้วค่ะ :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร