วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2012, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

จังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อวานเขาก็จะก่อเจดีย์ขึ้นที่นั่น แล้วเอาครูอาจารย์องค์สำคัญมาไว้ที่นั่น วัตถุภายนอกมันทำง่ายนะ วัตถุภายนอกทำได้ง่ายๆ สร้างนั้นสร้างนี้สร้างได้ง่าย แต่สร้างหัวใจให้เป็นธรรมทั้งแท่งนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ ที่เลิศอยู่ตรงนี้ อันนี้มันยากมาก กิเลสอยู่ภายใน พอโผล่หน้าออกไปมันตีหน้าผากเอาหงาย กิเลสอยู่ข้างใน พอโผล่หน้าออกไปมันตีหน้าผากหงายๆ ไปหาเกานั้นเกานี้ไป

นี่ฟัดกับมันมาแล้วนะถึงได้พูด ไม่ได้มาพูดแบบด้นๆ เดาๆ โห มันของเล่นเมื่อไรกิเลส มันจะไม่ให้เข้าไปหามัน มันเป็นไฟทั้งกองอยู่ในหัวใจ จะเอาน้ำไปดับไฟคือความพากเพียร ชำระมันออกนี้โถ มันฟาดเอาหงายไปๆ งานในโลกธาตุนี้ไม่มีงานใดหนักยิ่งกว่างานรบกับกิเลส พระพุทธเจ้ารบชนะแล้วเลิศ สาวกทั้งหลายรบชนะแล้วเลิศ นอกนั้นไม่เรียกว่าเลิศ ถ้าเอากิเลสให้ขาดสะบั้นไปจากหัวใจ ไม่บอกว่าเลิศก็เลิศ หากรู้อยู่ในตัวเอง

โลกจะพ้นเงื้อมมือมันไปได้ง่ายๆเหรอกิเลส ถ้าใครพ้นได้ละเลิศ ใครพ้นได้เลิศทั้งนั้น ไม่บอกว่าเลิศก็เลิศ หากเป็นอยู่ในหัวใจ มีกิเลสเท่านั้นครอบหัวใจเป็นเจ้าอำนาจ พอธรรมได้ตีกิเลสขาดสะบั้น ธรรมครองหัวใจจ้าหมดเลย มันต่างกันนะ กิเลสครองหัวใจมันตีบตันอั้นตู้ ขณะนี้ดี ขณะนั้นเลว ใจดวงเดียวมันหากคิดหากวาดภาพหลอกเจ้าของ ได้รับความสุขความทุกข์อยู่ในเจ้าของคนเดียวแหละ มันคิดมันปรุงเรื่องอะไรเชื่อมัน เชื่อสังขารที่มันปรุงออกมา

ตัวหลอกลวงจริงๆ ก็อวิชชา ปรุงออกมาปั๊บหลงแล้วๆ เวลากิเลสขาดสะบั้นออกจากใจหมดแล้ว ก็มีแต่สังขารละที่นี่ แต่ก่อนสังขารเป็นเครื่องมือของกิเลสสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ออกเป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น พออวิชชาดับขาดสะบั้นลงไปแล้วสังขารเหล่านี้ก็เป็นประจำขันธ์ เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีพิษมีภัย เหมือนมีดเล่มนี้เอาไปฟันแตงโมมากินก็ได้ เอาไปฟันหัวคนก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้จับมีด ขึ้นอยู่กับเจ้าของ เจ้าของบริสุทธิ์แล้วอาการอะไรแสดงออกไปก็บริสุทธิ์ไปหมด

โถ อำนาจกิเลสไม่ใช่เล่นๆ นะ โธ่ๆ พิลึกจริงๆ ขึ้นครอบโลกธาตุให้สัตว์ทั้งหลายเกิดแก่เจ็บตายอยู่นี้มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น กิเลสเป็นเจ้าอำนาจ พอกิเลสขาดออกแล้วโล่งหมดเลย ไม่มีอะไรมาขวางใจ มีกิเลสเท่านั้นชี้นิ้วได้เลย มีกิเลสเท่านั้นมาขวาง ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ขวาง กิเลสเท่านั้นขวางหัวใจสัตว์โลก เป็นก้างขวางคอตลอดเวลา เอาให้มันเต็มเหนี่ยวให้ได้มาพูดซิ พูดเฉยๆ พูดลมๆ แล้งๆ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาลมๆ แล้งๆ รู้จริงเห็นจริงทุกอย่าง สอนตรงไหนไม่ผิดๆ เลย วิธีสอนการแก้กิเลสก็ถูกต้องทุกอย่าง เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบๆ

เวลาจะประกอบความเพียรกิเลสรุมเข้าไปแล้ว พอเราจะประกอบความเพียรชำระกิเลส กิเลสรุมเข้าไปแล้ว ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอเข้ามาพร้อมกันหมดเลย ฟาดลงหมอนหัวฟัดหมอนดังครอกๆ ตายทั้งเป็นพวกนี้ พวกตายทั้งเป็น กิเลสฟัดเอาๆ มันเป็นแต่อย่างนั้น เอาให้มันถึงพริกถึงขิงถึงเป็นถึงตายถึงกิเลสหงายมันถึงพูดได้เต็มปาก ถ้ากิเลสยังไม่หงายพูดไม่ได้นะมันตีปากเอา ถ้ากิเลสหงายแล้วตีปากกิเลสไปพร้อมๆ หมด ทีนี้พูดได้ พระพุทธเจ้าพูดได้ สามโลกธาตุสอนได้หมด นั่น เปิดหัวใจออกแล้วเปิดปากออกพร้อม เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม

เอ้อ มันแปลกประหลาดยังไงก็ไม่รู้ เมื่อวานได้พูดอยู่ ได้สองสามคืนผ่านมานี้ มันแปลก ไม่ใช่นั่งภาวนานะ เราหลับ ปรากฏว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน ฝันนะไม่ใช่นั่งภาวนา เรานอนหลับฝัน ฝันว่าท้าวสักกเทวราชลงมา เป็นหัวหน้าบริษัทบริวารลงมา คำฝันมันชัดเจนมากนะ แต่ฝันไม่ใช่ภาวนา มาขอฟันเราไปกราบไหว้บูชา ให้ทวยเทพทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา นี่คำฝันนะ ถ้าคำฝันโกหกเราก็โกหกด้วย เพราะฝันอย่างนั้นจริงๆ ถึงท้าวสักกเทวราช แต่ในใจของเราก็ปลงใจให้นะ ปลงใจให้ฟัน มันมีฟันอันหนึ่งที่มันโยกคลอนอยู่ยังไม่ถอน ปล่อยมันไว้นั้นละ

พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน เราในความรู้สึกในความฝันว่าได้ปลงใจให้ท้าวสักกเทวราช ฟันซี่นี้นะ พอตื่นเช้ามาฟันนี้หายเลย อันนี้เราก็อัศจรรย์เหมือนกัน ฟันที่ว่านี้มันโยกคลอนหายเลย ไม่ทราบหายไปไหน หลังจากฝันมาแล้วหายเลย นี่เป็นเองนะ เราเป็นเอง ฝันเองจริงๆ ท้าวสักกเทวราชมาขอฟันนั้น คำฝันไม่ใช่ภาวนา มาขอฟันเราก็ปลงใจให้ท้าวสักกเทวราช พอตื่นนอนขึ้นมาฟันซี่นั้นหายจริงๆ ไม่มีเหลือเลย ที่มันโยกคลอนมันจะหลุดอยู่ จะปล่อยให้มันหลุดเองเราว่างั้น พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอไป คำฝันก็สดๆ ร้อนๆ พอตื่นขึ้นมาฟันหาย หายจริงๆ

มันก็แปลกนะ เป็นจริงๆ ก็มันเป็นกับเราเอง เราไม่ได้โกหกใคร โฮ้ เป็นอย่างนี้ก็เป็น พอตื่นนอนขึ้นมาฟันนี้หายแล้วไม่ทราบหายไปไหน คงเป็นท้าวสักกเทวราชเอาไป เอ้า ผิดก็ผิดผิดในคำฝันเป็นอะไรไป เราไม่ได้โกหก มันฝันว่างั้นเราก็พูดตามความฝัน พอท้าวสักกเทวราชมาขอฟันเราปลงใจให้นะ พอตื่นนอนขึ้นมาฟันซี่นี้หายเลย ที่มันโยกคลอนหาย หายเงียบเลย ได้สองสามวันนี้ เอ้อ อันนี้ก็แปลกอยู่

มันแปลกเราก็บอกว่าแปลก มันฝันไปอย่างนั้น ฝันว่าท้าวสักกเทวราชพร้อมกับบริษัทบริวารมา ไม่ใช่เรานั่งภาวนานะ ปรากฏมาจริงๆ คล้ายกับภาวนา แต่เวลานั้นมันฝันไม่ใช่ภาวนา มาขอฟัน พอตื่นนอนขึ้นมาฟันซี่นี้หายเลย หายเงียบ แต่คืนวันนั้นละ ไม่ทราบหายไปไหน คงไปแล้วละในคำฝันเรา ถ้าคำฝันโกหกเราก็โกหก พวกนี้ก็หูโกหกไปด้วยกันหมด มันแปลกอยู่นะ ตกลงฟันเราก็หายแต่คืนนั้นละ หายเงียบเลย ไม่ทราบไปไหน ("งั้นเข้าใจแล้วเจ้าค่ะว่าที่พระพุทธเจ้าขึ้นไปจำพรรษาบนดาวดึงส์ได้ ที่มีอยู่พรรษาหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไปโปรดพุทธมารดาบนดาวดึงส์") พูดกับคนหูหนวกมันไม่ได้เรื่องนะ มันต้องเอาแบบเณรน้อยกับหลวงตานั่นซีมันถึงจะเข้าใจ เณรน้อยองค์นี้มันก็ดื้อเหมือนกัน

วัดนั้นเลี้ยงเณรน้อยไว้องค์หนึ่ง เป็นเณรน้อยดื้อด้วยนะ พอมีหลวงตาองค์หนึ่งขึ้นมาบนศาลา เณรน้อยอยู่กุฏิมองไปเห็นก็ลงไปถาม ว่ามาเยี่ยมหลวงพ่อนี่แหละ เณรก็ไปกระซิบ นี่ๆ หลวงพ่อองค์นี้ท่านหูหนวกนะ เวลาพูดกับท่านต้องพูดเสียงดังๆ ท่านถึงจะได้ยิน ท่านหูหนวก บอกพระอาคันตุกะที่มา ว่าหลวงตาองค์นี้หูหนวก เวลาพูดกับท่านต้องพูดเสียงดังๆ พอออกจากนั้นปั๊บก็มากระซิบองค์นี้อีก หลวงตาองค์ที่มาหูหนวก ต้องพูดเสียงดังๆ ถึงจะได้ยิน พอหลวงตามาหากันก็ สบายดีเหรอ ขึ้นเลย เพราะนัดไว้แล้วเตรียมท่าใส่กัน เสียงลั่นจนเขานึกว่าพระทะเลาะกัน โยมมาดูที่ไหนได้พระสวัสดีกัน หลวงตาสวัสดีกัน มันก็เป็นอย่างนั้นละ เณรตัวมันดื้อมันดื้อนะ มากระซิบองค์นี้ว่าหลวงตาองค์นี้หูหนวก ครั้นไปนู้นก็บอกหลวงตาองค์นี้หูหนวก ตกลงก็สบายดีเหรอขึ้นเลย เป็นอย่างนั้น วันนี้ก็ไม่มีอะไรพูดมากละ เมื่อวานไปทั้งวันเหนื่อย ๒-๓ วันนี้เราเหนื่อยมาก

("ที่ท้าวสักกเทวราชมาขอฟันหลวงตาน่ะ ว่าเอาขึ้นไปให้ทวยเทพเขากราบไหว้บูชา ถ้าให้มนุษย์แล้วมันยุ่งก็เลยขอ") คำฝันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็พูดอย่างนั้น ท้าวสักกเทวราชว่าถ้าให้มนุษย์มันยุ่ง ("พวกหนูไม่ยุ่งแล้ว แต่ขอขันธ์หลวงตาเอาไว้กับพวกหนู") เราพูดตามความฝัน คำฝันว่าไงเราก็พูดว่างั้น ไม่ใช่เป็นความรู้ทางด้านภาวนา มันฝัน แต่ว่าฟันซี่นี้หายจริงๆ นะ มันฝันอะไรก็ไม่รู้หายเงียบเลย ("ท้าวสักกเทวราชสงสารพวกเรามวลมนุษย์ก็เลยเอาแต่ฟันไป ขอหลวงตาอยู่") แล้วตื่นขึ้นมาฟันหายเลย หายจริงๆ ก็พอดีกับที่เราปลงใจให้นะ ในคำฝันว่าปลงใจให้ พอตื่นขึ้นมาฟันซี่นั้นหายเลย

มันโยกคลอนเราปล่อยให้มันหลุดเอง ถ้าจะไปถอนมันเกิดเรื่อง ให้มันหลุดเองเราก็เก็บไว้เลย เราคิดว่างั้น พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอเลยหายเงียบไปเลยนี่ก็ดี เอ้อ มันมีหลายแบบนะ อันนี้เป็นคำฝัน แต่อันนี้มันหายจริงๆ คำฝันฝันว่าอย่างนั้น แล้วฟันซี่นี้ก็หายไปจริงๆ ด้วย เอ๊ แปลกอยู่ ("ชาวอำเภอเทพสถิตขอถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ประจำจังหวัดชัยภูมิแห่งที่สอง รับสัญญาณจากวิทยุเสียงธรรมบ้านตาดร้อยเปอร์เซ็นต์ สถานีตั้งอยู่ที่วัดป่าประดู่งาม ตำบลบ้านห้วยยายจิ๋ว อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิครับ")

ที่มา : http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 38&CatID=2

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวหอม เขียน:
... พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน เราในความรู้สึกในความฝันว่าได้ปลงใจให้ท้าวสักกเทวราช ฟันซี่นี้นะ พอตื่นเช้ามาฟันนี้หายเลย อันนี้เราก็อัศจรรย์เหมือนกัน ...

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 11:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


มาอ่านเสียงดังจัง

:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 13:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ในลานมีแต่คุยกันเสียงดังจังเร้ยยยยยวุ้ย huh

เอามาฝาก

เช่นนั้น เขียน:
เมื่อ จิตปรุงแต่ง ด้วยธรรมอันเป็นสิ่งปรุงแต่งคืออริยมรรคมีองค์ 8 อันสมบูรณ์
จิตนั้น เรียกว่า สัมมาญาณะทัสสนะประกอบด้วยวิชชา อวิชชาย่อมดับลง
จิตนั้น บรรลุความหลุดพ้น อันเรียกสภาวะนั้นว่า สัมมาวิมุตติ อันไม่ปรุงแต่งด้วยกิเลสต่อไป
จิตนั้นจึงหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะความสิ้นเหตุปัจจัยอันก่อให้เกิดอาสวะ เรียกสภาวะนั้นว่า หลุดพ้นด้วยสอุปทิเสสนิพพานธาตุ
เพราะยังมีวิบากแห่งขันธ์เหลืออยู่จิตจึงเพียงดำเนินไปตามวิบากแห่งขันธ์ที่เหลืออยู่ จนกระทั่งหมดอายุขัย
จิตนั้นจึงทำหน้าทีสุดท้ายคือเคลื่อนไปและ ไม่ก่อปฏิสนธิอีกเพราะความสิ้นเหตุปัจจัย คือเคลื่อนไปดับไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
จิตจะมีก็ไม่ใช่ จะไม่มีก็ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นธรรมธาตุหนึ่งที่ เนื่องด้วยเหตุปัจจัย
.....

จิต จะกล่าวว่าเจือกับจิตก็ไม่ได้ ว่าไม่เจือกับจิตก็ไม่ได้
เพราะจิตเป็นธรรมธาตุที่รู้ แลเนื่องด้วยเหตุปัจจัย
เพราะสังขารเป็นเหตุปัจจัย ความปรากฏแห่งจิตจึงปรากฏ
จึงกล่าวได้ว่า เจือกับจิตก็ไม่ได้ ไม่เจือกับจิตก็ไม่ได้ ...เพราะด้วยเหตุด้วยปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เอามาฝาก

ออกเค็มและเปรี้ยวหน่อย ๆ .. ใส่หวานเพิ่ม เติมพริกอีกนิดนะ .. อิอิ :b32: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร