วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 08:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2015, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๕

เป็นอย่างไรการดำเนินปฏิปทาของครูบาอาจารย์ แม้เราไม่เห็นครั้งพุทธกาลคือพระพุทธเจ้าและสาวกที่ทรงพาดำเนินและดำเนินมาก็ตาม ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีท่านพระอาจารย์มั่นเป็นต้น ก็ควรเป็นตัวอย่างแล้วอย่างสมบูรณ์ เราไม่มีที่สงสัยในปฏิปทาของท่านและท่านดำเนินอย่างไร จึงได้นำปฏิปทาของท่านมาแสดงให้เราทั้งหลายผู้ไม่เห็นองค์ท่าน ไม่เห็นปฏิปทาของท่าน ได้ยึดได้ถือได้เป็นคติเครื่องเตือนใจ

เช่น ความเป็นอยู่ปูบาย ท่านอยู่อย่างง่ายๆ อยู่อย่างสบายมากทีเดียว ไม่เป็นกังวลวุ่นวายกับจตุปัจจัยไทยทานคือปัจจัยทั้งสี่ จีวร บิณฑบาตได้อะไรมาฉันเท่านั้นแหละ ไม่เป็นกังวลอะไรเลย แล้วอาหารหวานคาวส่วนมากตามปกติของบ้านของเมืองเขา อยู่ในป่าอาหารก็เป็นอาหารป่า อยู่ที่ไหนอาหารเป็นประเภทนั้น ๆ ขึ้นมา ท่านไม่ตื่นเต้น ท่านไม่สนใจ เพราะท่านรู้รอบหมดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องเยียวยาเท่านั้น ให้ได้ยังอัตภาพครองชีวิตไปด้วยความพากเพียรอันราบรื่นดีงาม

จึงต้องมีความอดความอิ่มบ้างสำหรับนักปฏิบัติ หากจะมีแต่ความเหลือเฟือเลยดังที่เห็นอยู่นี้นั้น หาทางที่เกิดธรรมได้ยาก เพราะเราก็ไม่เคยได้ปรากฏธรรมในขณะหรือในเวลาหรือสถานที่ที่สมบูรณ์พูนผลไปด้วยจตุปัจจัยไทยทานทั้งสี้นี่เลย ส่วนมากต่อมากมีแต่เจริญทางด้านจิตใจไม่ว่าสมาธิไม่ว่าปัญญา ไม่ว่าขั้นใด ๆ แห่งธรรมด้วยความอดอยากขาดแคลนไปทั้งนั้น บิณฑบาตมาไม่ได้อะไรมีแต่ข้าวเปล่า ๆ ฉันลงไปแล้วเป็นยังไง พอยังชีวิตให้เป็นไป ก็เราเสาะแสวงหาที่เช่นนั้นเพื่อการดัดสันดานตัวเอง

เพราะมันลิ้นยาวท้องใหญ่ท้องโต มีมากกินมาก กินไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ เลยกลายเป็นเรื่องกินด้วยกิเลสตัณหาเอร็ดอร่อย ให้รสแห่งอาหารเหยียบย่ำทำลายแหลกหมด ธรรมไม่มีเหลือภายในจิตใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องทราบวิธีนั้น เปลี่ยนแปลงวิธีใหม่อยู่เรื่อย ๆ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จึงชื่อว่าการปฏิบัติธรรมด้วยสติปัญญา เมื่อมีแต่อาหารเปล่า ๆ กินแล้วเป็นยังไง ตัวก็เบานั่งสมาธิตรงแน่วไม่มีความง่วงเหงาหาวนอน เดินจงกรมก็ตัวปลิวไปเลย

ไม่ใช่ว่าจะมีข้าวเปล่า ๆ อยู่งั้นตลอดไป มีสับมีเปลี่ยนมีอดมีอยากขาดแคลนสมบูรณ์บ้างเป็นธรรมดา แต่ส่วนมากขาดแคลน เพราะหาที่เช่นนั้นนี่ผู้ปฏิบัติ และจิตใจมีความเจริญเพราะที่เช่นนั้น อาหารประเภทนั้น เพราะความอดอยากขาดแคลนเช่นนั้น จิตใจมีความเจริญ หมุนไปทางสมาธิก็ลงอย่างสงบแน่วละเอียดมากผิดกัน หมุนไปทางปัญญาก็คล่องตัว ความง่วงเหงาหาวนอนนี้ไม่มี ท่านผู้ได้อดอาหารแล้วรู้เอง

เพียงแต่อาหารไม่สมบูรณ์เท่านั้นก็ไม่โงกง่วงแล้ว ยิ่งอดอาหารไปถึงสองสามวันไปแล้วความโงกง่วงมันจะมาจากไหน นอนหลับงีบเดียวเท่านั้น ตื่นขึ้นมาก็มีแต่เวลาประกอบความพากเพียร สติก็ดีปัญญาก็คล่องตัวทันกับเหตุการณ์ นี่คือสถานที่เหมาะสม ปัจจัยที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส ไม่ใช่เพื่อผู้สั่งสมกิเลสพอที่จะมาพอกพูนสิ่งเหล่านี้ให้เต็มพุง แต่ธรรมนั้นแห้งผากภายในจิตใจ ใช้ไม่ได้เลย เราทั้งหลายจงพินิจพิจารณาไว้

รูปภาพ
ครูบาอาจารย์พระป่ากรรมฐาน สานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
จากซ้าย : หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ, พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร, ไม่ทราบนามฉายา,
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ,
พระครูทัศนปรีชาญาณ (หลวงปู่ชม โฆสโก) วัดป่าสามัคคีธรรม อ.เมือง จ.อุดรธานี,
ไม่ทราบนามฉายา, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=42605


---------------------------------------

ลูกศิษย์ตถาคตท่านเดินอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีกุฎุมพีพ่อค้าประชาชนตลอดคนธรรมดา เมื่อท่านออกจากสกุลของท่านแล้วจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ท่านไม่คำนึงเพราะท่านเคยแล้วกับสิ่งเหล่านั้นอันเป็นเรื่องโลกล้วน ๆ เข้าสู่ธรรม แดนของธรรมท่านเป็นอย่างไร พาดำเนินอย่างไร ท่านยินดีดำเนินตามแดนแห่งธรรมนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานขึ้นมา เป็นสรณะของพวกเราทั้งหลายให้กราบไหว้บูชานี้ ไม่ใช่ท่านผู้เหลือเฟือ แต่ท่านสมบูรณ์เต็มที่ในปฏิปทาของท่าน ไม่ใช่ท่านสมบูรณ์ด้วยจตุปัจจัยไทยทานทั้งสี่แล้วได้ธรรมมาสั่งสอนพวกเรา ให้พากันคิดตรงนี้ไว้ให้มาก

อย่าตื่นเต้นกับสิ่งใดๆในโลกนี้เพียงเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น หลักใหญ่คือธรรม แทงลงไป กิเลสมันจะทนหอกทนหลาวทนศาสตราอาวุธคือธรรมประเภทต่าง ๆ ได้เหรอ ให้เรารู้ ครั้งศาสดานั้นธรรมาวุธปราบปรามกิเลสแหลกแตกกระจายไปหมด พระพุทธเจ้าก็ดีสาวกก็ดี มาครั้งนี้ธรรมเป็นธรรมประเภทเดียวกัน ทำไมจึงทำลายกิเลสไม่ลง ไม่ใช่แบกธรรมไว้ให้หนักตัวเฉย ๆ เหรอ ถ้านำมาใช้ ธรรมต้องเป็นประโยชน์เป็นอาวุธที่จะต่อสู้กิเลสได้อย่างทันสมัยเช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล

คำว่ามัชฌิมาก็เคยได้พูดให้ฟังแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน มัชฌิมาประเภทใดกับกิเลสประเภทใดจะเหมาะสมกัน กิเลสประเภทที่ผาดโผนที่ดื้อด้านที่สุด ต้องเอามัชฌิมาประเภทที่ทรหดอดทนต่อสู้กัน ฟัดเหวี่ยงกันด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร ความอุตส่าห์พยายาม เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถึงคราวเข้าตะลุมบอนแล้วถอยไม่ได้ ฟัดกันลงให้กิเลสไม่หงาย เอาเราจะหงายก็หงาย เมื่อตายอยู่ในเวที ตายอยู่ในสงครามแล้วไม่เสียหายอะไร ตายเพราะกิเลสเหยียบย่ำทำลายเผาศพอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ทั้ง ๆ ที่ชีวิตยังมีอยู่นี้ซิมันน่าอับอายตัวเอง

เอาให้จริงนักปฏิบัติ เอาให้เห็นซิคลังแห่งธรรม พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้แล้วอย่างแท้จริง ธรรมแต่ละบทละบาทที่ทรงสอนไว้นั้นเหมือนพระองค์ประทานด้วยพระโอษฐ์เองจริง ๆ ไม่สงสัย นี่ไม่สงสัยเลย แต่ก่อนเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในทุกวันนี้มีความรู้สึกอย่างนี้ ใครจะว่าบ้าก็ฟังแต่ไม่ยอมแก้ไข บ้าแบบนี้เอาเป็นไปเถอะว่างั้น ที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่าธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาแทนเราตถาคตเมื่อเราได้ผ่านไปแล้ว แหม ถึงใจทีเดียว ให้เดินตามนั้น นี่น่ะๆ เหมือนพระองค์ชี้บอกอย่างนี้น่ะๆ วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ นั่นเหมือนว่าคนพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียรหนา ไม่ใช่พ้นทุกข์เพราะความเกียจคร้านความอ่อนแอหนา ความท้อแท้เหลวไหลไม่เป็นประโยชน์อันนั้นเป็นเรื่องของกิเลสหนา เหมือนพระองค์บอกอย่างนี้ชัด ๆ อย่างนี้

ความเพียรในทางที่ชอบเท่านั้น ความอุตส่าห์พยายาม ความบึกบึน ความอดความทน ความมีสติตั้งตัวอยู่เสมอเพื่อระวังกับกิเลสต่อสู้กับกิเลส พินิจพิจารณาอยู่ด้วยปัญญา กำจัดกิเลสอยู่ด้วยสติปัญญา นี่หนาเป็นทางหลุดพ้นจากกิเลส กิเลสจะตายด้วยความเพียรเหล่านี้ ตายด้วยธรรมเหล่านี้ ไม่ได้ตายด้วยสิ่งอื่นซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส เช่น ความขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอท้อแท้เหลวไหล เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล อย่านำมาใช้ในวงของผู้จะฆ่ากิเลสจะขัดกันกับธรรม เอาให้จริงให้จังนักปฏิบัติ



ที่มา : http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 53&CatID=3

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2015, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุค่ะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร