วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 04:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2009, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 16:30
โพสต์: 133

อายุ: 0
ที่อยู่: Uttaradit

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน

ที่สุดของเราก็เท่านี้
เห็นเพียงมีกายกับจิตสถิตอยู่

จิตเป็นนายคอยกำกับการรับรู้
ผ่านตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย

ความรู้สึก สวย – ทรามยามตาเห็น
หอมหรือเหม็นกระทบถูกจมูกหมาย

เพราะ – ไม่เพราะ สัมผัสหูมิรู้คลาย
ลิ้นน้ำลายรับรสโอชโอชา

กายกระทบเย็นร้อนอ่อนหรือแข็ง
ล้วนปรุงแต่งจากจิตคิดสรรหา

เป็นรัก โลภ โกรธ หลง ล้วนมายา
จิตจึงพาเวียนว่ายในบ่วงมาร

ให้หลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง
คิดว่าเที่ยงลวงให้เห็นเป็นแก่นสาร

ชอบก็เสาะแสวงไว้ครองให้นาน
ชังก็ต้านผลักใสไม่อยากชิด

จะดับเหตุแห่งทุกข์หรือสุขสิ้น
ต้องดับถิ่นกำเนิดเกิดจากจิต

มิให้ฟุ้งปรุงแต่งเป็นแรงพิษ
คุมความคิดความเห็นไว้เป็นกลาง

เมื่อจิตนิ่งผ่องใสใจสงบ
ก็จะพบความสะอาดความว่าง

ทุกสิ่งสรรพพลันกระทบก็ปล่อยวาง
เหมือนน้ำค้างกลิ้งหล่นบนใบบัว

จะทำจิตอิสระประภัสสร
ละนิวรณ์ละกามละความชั่ว

ต้องคุมจิตเอาไว้ภายในตัว
อย่าเผลอมัวหลงใหลในอบาย

หมั่นคุมจิตเอาไว้ให้รวมศูนย์
เพียรเพิ่มพูนสติมั่นสำคัญหมาย

เจริญศีลสมาธิมิให้คลาย
ดวงปัญญาก็จะฉายแววเรืองรอง

จนเกิดเป็นปัญญาจ้ากระจ่าง
จะพบทางสัจธรรมชี้นำส่อง

ดับความมืดอวิชชาที่คร่าครอง
ความถูกต้องนำจิตสู่ทิศทาง

จิตจะละความโลภความโกรธหลง
จะปลดปลงทุกข์สุขสิ้นทุกอย่าง

ดับกิเลสดับเชื้อที่เจือจาง
สู่ความว่างความเป็นทิพย์สู่นิพาน



ที่มา :: อาจารย์ชาญชัย ลวิตรังสิมา
จากหนังสือ รู้อย่างนี้เป็นคนดีตั้งนานแล้ว 2 รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม

.....................................................
" สติปัญญา เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิต มีคุณค่าอย่างเหลือที่จะประมาณ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2009, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ ลุงชู ผมอนุโมทนาสาธุกาลด้วยครับ... นึกถึงคำว่าอินทรีย์สังวรศีลขึ้น
มาทันที:b8:

จังหวัดที่ลุงอยู่เป็นเมืองลับแล หรือ.."เมืองบังบด"ใช่ป่าว เคยเจอชาวลับแลหรือ"ผีบังบด" บ้างไหมครับ

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2009, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 16:30
โพสต์: 133

อายุ: 0
ที่อยู่: Uttaradit

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ฟังแต่ตำนานเล่าสืบกันมาเรื่องชาวลับแล เมืองบังมดครับ พบแต่ชาวลับแลทั่วๆไป ส่วนเมืองลับแลหรือเมืองบังมดที่ซ้อนอยู่ในภพของโลกมนุษย์ยังไม่เจอครับ

***เมืองลับแล เมืองบังมด***
คือภพอีกภพหนึ่ง ที่ซ้อนอยู่ในภพของโลกมนุษย์ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามถ้ำ ตามป่าเขา มีถ้ำและต้นไม้ใหญ่ อายุเป็นร้อยเป็นพันปี เป็นประตูเมืองและเข้าออก เหมือนประตูค่าย ผู้ที่อยู่ในเมืองนั้นต้องมีศีลบริสุทธิ์ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีความเป็นอยู่อาศัยอย่างธรรมชาติรักษาธรรมชาติ ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะไม่ได้ทำบาป ไม่มีคนแก่ พอหมดบุญก็จะออกจากเมืองลับแลและไปเกิดเป็นมนุษย์ อายุไม่แน่นอน แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งครับ........

ตำนานเมืองลับแล อุตรดิตถ์

เมืองลับแลนั้นเป็นอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เดิมคงเป็นเมืองที่การเดินทางไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับแล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล

ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือขอติดตามนางไปด้วย เพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน

วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้ว ๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด

ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียด รวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้ แต่เขาทิ้งไปเกือบหมดเหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดุก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม

....ด้วยความเคารพ

.....................................................
" สติปัญญา เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิต มีคุณค่าอย่างเหลือที่จะประมาณ "


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร