ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

บทกวี...ท้องนา
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=8&t=24741
หน้า 7 จากทั้งหมด 9

เจ้าของ:  คนไร้สาระ [ 16 ต.ค. 2009, 06:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

cool คนที่ไกลไม่น่าเป็นห่วง.... น่าเป็นห่วง.....
คนที่เป็นห่วงมากกว่า :b16:

:b4: ดีจ๊ะ คุณฟ้า.. เอาหัวใจมาให้หาคำที่อยู่ในใจ
แต่อาจตาลายได้ค่ะ หวัดดีกัลยาณมิตรทุกท่าน
ลองมาหาคำที่อยู่ในหัวใจ กันดูว่าได้กี่คำ คนไร้สาระ
ก็ยังไม่ได้หาเหมือนกัน :b12: แบบว่า :b23:

ไฟล์แนป:
20090508_love-poem.jpg
20090508_love-poem.jpg [ 73.82 KiB | เปิดดู 8687 ครั้ง ]

เจ้าของ:  บุหลัน..เลื่อนลอย [ 17 ต.ค. 2009, 00:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

เพื่อนซี้

เรื่องเล่าว่า.... มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน..มากกกกกกกกกกกกกก..
ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน...
ระหว่างทาง... เกิดโต้เถียงขัดแย้ง ไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ..ตบหน้าอีกฝ่าย

คนถูกทำร้าย...
เจ็บปวด... แต่ไม่เอ่ยวาจา...
กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า "วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"
พวกเขายังคงเดินทางต่อ...

กระทั่งถึงแหล่งน้ำ
พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...
พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...
เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้าช่วยชีวิต

คนรอดตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา..กลับสลักลงไปบนหินใหญ่...
"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"
อีกคนไม่เข้าใจ...ถามว่า...

"เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอเขียนลงทราย...แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน"

อีกคนยิ้มพราย... กล่าวตอบ
"เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย
ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ

แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย.. บังเกิด
เราควรสลักไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ...
ซึ่งจะไม่มีสายลมแรงเพียงใด... ลบล้างทำลาย...."


ไฟล์แนป:
20077vm6.jpg
20077vm6.jpg [ 22.32 KiB | เปิดดู 8666 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 19 ต.ค. 2009, 13:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

รูปภาพ

เจ้าของ:  ปลายฟ้า...ค่ะ [ 19 ต.ค. 2009, 22:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

เพลงใบไม้ไหวแว่วแผ่วเพรียกผ่าน
ว่าหวิวหวานชื่นใจให้สุขแสน
ท่วงทำนองพ้องไกลในดินแดน
ทั่วเขตแคว้นแผ่นดินถิ่นทุ่งนา

ลมหวีดหวิวทิวแถวแนวรวงข้าว
แยกโยกราวเริงระบำทำท่วงท่า
ตามทำนองท้องทุ่งคุ้งคลองครา-
ลมแผ่วมาพัดผสานผ่านเป็นเพลง

ยังนกน้อยคอยเพรียกเรียกเซ็งแซ่
กบเขียดแค่พ้องคำทำนองเก่ง
หรีดหริ่งเล่าเคล้าระคนจนบรรเลง-
ให้ครื้นเครงเหนือคณาพารื่นรมย์

ลมแผ่วลู่กู่ก้องผองเพลงพร่ำ
เยี่ยงน้ำคำแห่งกวีที่สวยสม
อันเรียงร้อยถ้อยพยางค์อย่างชื่นชม
แฝงความคมสาธยายหมายบ่งความ

ยิ่งเย็นฉ่ำล้ำเลอเผลอใฝ่ฝัน
คีตะสวรรค์บรรเลงมิกรงขาม
สรรพสำเนียงเสียงใสให้ติดตาม
วิจิตรยามเยือนถิ่นทุ่งดินแดน

สูดไอดินกลิ่นตมชมท้องทุ่ง
เห็นผักบุ้งดอกสล้างช่างสวยแสน
ผองบัวผันพรรณพิไลไหวคลอนแคลน
บัวเผื่อนแม้นต่างสีนี้สมกัน

แมงมุมน้ำถลำลอยคล้อยเคลื่อนย้าย
มีหลากหลายรูปร่างอย่างหุนหัน-
พลันแล่นล่องท้องนทีนี้อัศจรรย์
สุดเสกสรรค์ท่วงทีนาฏลีลา

สุขสมใจได้ชมภิรมย์รื่น
สุดสดชื่นด้วยประจักษ์เป็นนักหนา
ครั้นคำนึงถึงถิ่นดินคุ้นตา
นำอุราให้สุขทุกวันวาน

ขอบคุณFriends' bloggang :จังงัง:ชนบท

คิดถึงบ้านจัง...


ไฟล์แนป:
Creative_design_summer_dreamland.jpg
Creative_design_summer_dreamland.jpg [ 256.01 KiB | เปิดดู 8653 ครั้ง ]

เจ้าของ:  บุหลัน..เลื่อนลอย [ 21 ต.ค. 2009, 01:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

ทำไมเวลาที่ฝนตก เรามักจะคิดถึงคนที่เรารัก

ทำไมเวลาที่ฝนตก เรามักจะคิดถึงคนที่เรารัก เราผูกพันและบางครั้งก็รู้สึก เหงาด้วย

เมื่อ ก่อนนี้ ท้องฟ้า แผ่นดิน และผืนน้ำ เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสามอยู่ใกล้ชิดติดกัน จนกระทั่งโลกได้กำเนิดพืชและสัตว์ขึ้น แผ่นดินและผืนน้ำก็มัวแต่ดูแลเอาใจใส่พืชและสัตว์ จนละเลยและไม่สนใจท้องฟ้า ท้องฟ้าก็เริ่มรู้สึกน้อยใจ และถอยตัวห่างออกไป ห่างออกไปทุกที ทุกที จนถึงวันที่มีนกตัวแรกออกโบยบิน แผ่นดินและผืนน้ำจึงได้รู้ว่าท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล แผ่นดินและ ผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมาก เลยไม่ได้ยิน

นก ตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกกับท้องฟ้า นกก็บินขึ้นสูง สูงขึ้น สูงขึ้น และส่งเสียงเรียก แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป ไปไม่ถึงท้องฟ้า แต่นกก็สัญญาว่า ต่อไปนี้นกทุกตัวจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อนำข่าวจากแผ่นดินและผืนน้ำไปบอก ผืนน้ำและแผ่นดินรู้สึกเศร้าใจที่เพื่อนได้ห่างออกไปไกล และคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน ผืนน้ำพยายามที่จะม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นดินพยายามยกตัวสูงจนตั้งตระหง่าน แต่นั่นก็ยังสูงไม่พอ ยังไม่ใกล้ท้องฟ้า

พระอาทิตย์ซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาโดยตลอด ก็บอกกับทั้งสองว่า "เราอาจจะช่วยพวกเจ้าได้" พระอาทิตย์จึงอาสาช่วย โดยการส่องแสงลงมายังผืนน้ำและแผ่นดิน ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ ลอยขึ้นไปบอกข่าวแก่ท้องฟ้า เล่าเรื่องราวต่าง ๆ เป็นรูปตามที่แผ่นดินและผืนน้ำได้พบเจอมา และบอกว่าแผ่นดินและผืนน้ำคิดถึงมาก อยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือนเมื่อก่อน

ท้องฟ้าได้รับรู้ เรื่องราว ก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็กลับลงไปไม่ได้ "ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเติบโตขึ้น และอยู่สูงเกินไป ลงไปไม่ได้แล้ว ฉันได้แผ่ขยายตัวเองจนกว้างขวาง ที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกลๆ และโอบกอดแผ่นดินและผืนน้ำไว้อย่างอ่อนโยนเท่านั้น และถึงแม้จะมีนกบินมาส่งข่าว แต่ฉันก็ยังคิดถึงแผ่นดินและผืนน้ำ และอยากจะบอกกับทั้งสองว่า ฉันเองคิดถึงเพื่อนมากมายเพียงใด

ก้อนเมฆก็ตอบว่า "อยู่บนนี้นานๆ ก็เหงาเหมือนกัน บางทีก็อยากกลับลงไปข้างล่างบ้าง"

ท้อง ฟ้าเลยบอกว่า "ฉันก็เหงาเหมือนกัน แต่ว่าฉันกลับลงไปไม่ได้ แต่เจ้าลงไปได้นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งเจ้ากลับลงไป และความคิดถึงของฉันก็หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า"

จาก นั้นก้อนเมฆทั้งหมดก็รวมตัวกัน และรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้า แล้วตกลงมาเป็นหยาดฝน ส่งผ่านความรัก ความคิดถึงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ จึงไม่แปลก ถ้าเมื่อใดที่ฝนตก แล้วเราจะรู้สึกคิดถึงคนที่เรารักคนที่เรา ผูกพัน และบางครั้ง ท้องฟ้าก็ส่งความเหงาลงมาด้วย


ไฟล์แนป:
rain-181.gif
rain-181.gif [ 457.35 KiB | เปิดดู 8832 ครั้ง ]

เจ้าของ:  แมวขาวมณี [ 23 ต.ค. 2009, 20:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

คนไร้สาระ เขียน:
cool คนที่ไกลไม่น่าเป็นห่วง.... น่าเป็นห่วง.....
คนที่เป็นห่วงมากกว่า :b16:

:b4: ดีจ๊ะ คุณฟ้า.. เอาหัวใจมาให้หาคำที่อยู่ในใจ
แต่อาจตาลายได้ค่ะ หวัดดีกัลยาณมิตรทุกท่าน
ลองมาหาคำที่อยู่ในหัวใจ กันดูว่าได้กี่คำ คนไร้สาระ
ก็ยังไม่ได้หาเหมือนกัน :b12: แบบว่า :b23:



หวานใจจ๋า....
ฝาก กอด..มากับสายลมหนาว
ที่รัก...อย่าราน..ร้าว...
แม้หนาว...เพียงกาย...
ใจอุ่นอยู่...คู่ใจจำ
....

ไฟล์แนป:
sweetheart.JPG
sweetheart.JPG [ 67.28 KiB | เปิดดู 8626 ครั้ง ]

เจ้าของ:  COMA! [ 24 ต.ค. 2009, 10:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

ป่ากาเรียนบนยอดเขาหัวควาย
เห็นเถาวัลย์พันป่ายไพรพฤกษา
งามวิไลเหมือนลอยเหนือนภา
ทางช้างเผือกละออตาติดวิหาร
"ส่องตะเกียง" ไม่เว้นวันหรือคืน
ทองคำปูพื้นธรรมส่องสืบสานบุญ
เลิกกร่างเป็นมารร้ายคราบนักบุญ
มุ่งปลดปล่อยละวางเพลิงเผาตนฯ


ไฟล์แนป:
11-monk.jpg
11-monk.jpg [ 74.43 KiB | เปิดดู 8612 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ปลายฟ้า...ค่ะ [ 24 ต.ค. 2009, 21:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

คัมภีร์แห่งชีวิตนั้นไร้อักษร
ไม่มีหนังสือตำราใด
ที่จักสั่งสอนคนให้รู้จักชีวิตได้ลึกซึ้ง
เท่ากับการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
โดยอ่านจากขุนเขาอันสงบล้ำ
ธารน้ำสะอาดใส
ทิ้วไม้ที่ไหวเอนนสายลมบางเบา
บทเพลงของหมู่วิหค
และร่องรอยผุกร่อนของชะง่อนผา
นั่นคือยอดแห่งตำรา
ที่บรรจุถ้อยคำสัจธรรมแห่งชีวิต
ซึ่งไร้อักษร


ไฟล์แนป:
0k10d09b022.gif
0k10d09b022.gif [ 282.85 KiB | เปิดดู 8617 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงมะตูม [ 25 ต.ค. 2009, 22:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

รูปภาพ

จิตเอ๋ยจิตเขลา นอนในกายเน่า เฝ้าสมบัติดิน กินอสุจิ ตริไม่เห็นเลย หลงเชยชมงาม เดินตามทางรก

มุ่นหมกเพศบ้า อวดกล้าสู้ตาย ไม่หน่ายหนีโลก นั่งโงกงมแก่ เหลียวแลว่าคน รูปตนคือผี เห็นดีสิ่งใด

ภายในเหม็นนัก หลงรักจูบกอด ตาบอดใจบ้า เป็นข้าความรัก เหนื่อยนักไม่รู้ หลงอยู่ช้านาน

สมภารไม่บอก เชื่อหลอกหมู่มาร สังขารเขาลวง หาห่วงผูกคอ ใครหนอทำให้ ตัวใบ้ใจบ้า หันหน้ามาดู

พระครูบอกบ้าง อย่าหลงทางเดิน อย่าเมินเหยียบขวาก อย่าลากเรียวหนาม เดินตามพระไป

ไกลพระจักโง่ มักโอ่เสียของ เอาทองแต่ลิง อวดจริงแก่บ้า อวดกล้าแก่ผี อวดมีแก่ดิน

อวดกินแก่ขี้ อวดดีแก่ตาย อวดสบายแก่โรค ทุกข์โศกเสียเปล่า อย่าเดาผิดผิด อย่าคิดโดยโง่

อย่าโตแต่เปลือก อย่าเสือกหาทุกข์ อย่าสุขในบาป อย่าคาบเหล็กแดง อย่าแต่งแผ่นดิน

อย่ากินของร้อน อย่านอนในไฟ เป็นไปอย่างแร้ง แสวงหาบริสุทธิ์ ให้หยุดเหมือนหิน ให้ละความโง่

ให้โตเต็มโลก ข้ามโอฆสงสาร นิพพานไม่ไกล หาสุขสำราญ เถิดนะมิตรทั้งหลาย

ท่าน ก. เขาสวนหลวง

เจ้าของ:  เพลิง. [ 27 ต.ค. 2009, 13:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

"โลกนี้มิอยู่ด้วยมณีเดียวนา ทรายและสิ่งอื่นมีส่วนสร้าง
ปวงธาตุ ต่ำ กลาง ดี ดุลยภาพ ภาคจักรพาลมิร้างเพราะน้ำแรงใหน
ภพนี้มิใช่หล้าหงส์ทองเดียว กาก็เจ้าของครองชีพด้วย
เมาสมบัติจองหองหินชาติ น้ำมิตรแล้งโลกม้วยหมดสิ้นสุขศานต์"


ไฟล์แนป:
skl_att570005003.jpg
skl_att570005003.jpg [ 104.27 KiB | เปิดดู 8602 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กระบี่ไร้เงา [ 28 ต.ค. 2009, 15:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

:b41: :b48: :b41: :b48: :b48: :b41: :b48: :b48: :b41: :b48: :b48: :b48: tongue


:b41: อ่านโคลงคุณเพลิง :b47: ไพเราะยิ่ง
จึ่งมิอาจผ่านทิ้ง :b47: :b47: :b47: ไปได้
ขออนุญาตนำมาอิง :b47: :b47: รูปแบบ โคลงนอ
เพื่ออรรถธรรมงามไซร้ :b47: ยิ่งแท้เนื้อความ


เพลิง เขียน:

โลกนี้มิอยู่ด้วย :b47: :b47: :b47: มณี เดียวนา
ทรายและสิ่งอื่นมี :b47: :b47: ส่วนสร้าง
ปวงธาตุ ต่ำ กลาง ดี :b47: ดุลยภาพ
ภาคจักรพาลมิร้าง :b47: :b47: เพราะน้ำแรงใหน

ภพนี้มิใช่หล้า :b47: :b47: :b47: หงส์ทอง เดียว
กาก็เจ้าของครอง :b47: :b47: ชีพด้วย
เมาสมบัติจองหอง :b47: :b47: หินชาติ
น้ำมิตรแล้งโลกม้วย :b47: :b47: หมดสิ้นสุขศานต์"



รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ไฟล์แนป:
Earth[1].jpg
Earth[1].jpg [ 43.61 KiB | เปิดดู 8599 ครั้ง ]

เจ้าของ:  มหาราชันย์ [ 28 ต.ค. 2009, 16:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

:b41: ภพเอยมีจิตเจ้า :b42: :b42: ยึดครอง
มิเบื่อมุ่งหมายปอง :b42: :b42: :b42: ยึดซ้ำ
ตัณหาอุปาทานจอง :b42: :b42: :b42: ยึดก่อ :b42: ภพนา
ภพนั่นจักพาช้ำ :b42: :b42: :b42: ภพแล้วภพเฮย


:b42: บัณฑิตละจิตข้อง :b42: :b42: ภพพาล
มัคคก่อธัมมะญาณ :b42: :b42: :b42: แจ่มจ้า
ดวงจิตผ่องตระการ :b42: :b42: :b42: เพราะดับ :b42: อุปาทาน
ภพดับจิตดับหล้า :b42: :b42: :b42: บ่ ได้ยึดครอง



ทุกข์อันไม่น่ายินดี
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ายินดี

ทุกข์อันไม่น่ารัก
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก

ทุกข์อันเร่าร้อน
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท โดยความเป็นสุข


เจริญในธรรมครับ

เจ้าของ:  ปลายฟ้า...ค่ะ [ 29 ต.ค. 2009, 12:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

กลางป่าต้นไม้นับพันพัน
มนุษย์หนึ่งเดียวอยู่ท่ามกลาง
กิ่งใบกำลังไกวแกว่ง
ลำธารน้อยกู่เรียก
แลดวงตาเหม่อสู่ฟากฟ้า
รอยยิ้มแลเห็นได้บนทุกทุกใบ
แค่จิตสัมผัสได้กับมวลแมกไม้
เหมือนสวมชุดใหม่สีเขียวแล้ว

สายแดดคือใบไม้
ใบไม้คือสายแดด
สายแดดไม่แผกผิดใบไม้
ใบไม้ไม่ต่างจากสายแดด
รูปและเสียงอื่นอื่นทั้งหมด
ก็ล้วนธรรมชาติเดียวกัน แก่นแท้แห่งธรรม


ไฟล์แนป:
99v4x8ib10.jpg
99v4x8ib10.jpg [ 152.33 KiB | เปิดดู 8552 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ป่าอ้อ [ 30 ต.ค. 2009, 22:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

ชีวิตนั้นอยู่ยาก...

ในขณะที่โลกกำลังวิกฤติ ใจของเราต้องหนักแน่นไม่วิกฤติตามไปด้วย ต้องรู้จักอยู่อย่างพอเพียงและแบ่งปันน้ำใจแก่กัน เพราะหากขาดเมตตาแล้ว ความร้อนระอุก็จะแผดเผาทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะส่งผลให้ความวิกฤตแผ่ขยายมากขึ้น

วันนี้ไม่ค่อยสบาย แต่ก่อนที่จะเกิดความหงุดหงิดใจ ได้ใช้กุศโลบายให้จิตมีงานทำในกุศล มีการสวดมนต์ การเจริญอยู่ในกรรมฐาน และการเสวนาธรรม ซึ่งเป็นการใช้ธรรมโอสถมารักษาใจให้คลายฟุ้งซ่าน และมีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ถ้าใครมีธรรมะหรือรู้จักธรรมะพอสมควรแล้ว ก็จะสามารถนำธรรมะนั้นมารักษาตนเองได้

อย่าปล่อยให้ใจป่วยตามร่างกายไปนะคะ เพราะเมื่อใจป่วยแล้วก็จะรักษาหายยาก อาการของโรคก็คือมีความท้อแท้และท้อถอย เบื่อและบ่น พยายามนึกหาสิ่งที่ดีมาบำรุงใจให้ได้นะคะ เช่น ความยิ่งใหญ่ ความดี ความกล้าหาญ หรือการต่อสู้ของบุคคลที่เรารัก ได้แก่ พ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณต่างๆ แล้วก็ตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตไปสู่ความสำเร็จเยี่ยงเดียวกัน

อย่างเช่นตนเองนั้น นึกถึงรอยเท้าของพ่ออยู่เสมอ คุณพ่อได้ทิ้งรอยเท้าที่ย้ำไปบนรอยทางแห่งพระธรรมไว้ ณ ที่นี้ ท่านได้ดำเนินไปแล้วบนเส้นทางแห่งความดี ถ้าเรามัวมานึกท้อถอยไม่ก้าวเดินไปตามรอยเท้าของพ่อ เราก็จะไม่ประสบความสำเร็จเลย

พระบรมศาสดาได้ทิ้งรอยธรรมไว้ แต่เรามัวไปเดินออกนอกเส้นทางหรือเกียจคร้าน จึงไม่เคยเดินตามท่านทัน และไม่เคยพบท่านสักครั้งด้วยดวงตาแห่งปัญญา

โดยเฉพาะได้เตือนตนเองว่า ถ้าเผื่อท้อก็เหงา ถ้าเผื่อถอยก็แพ้ ถ้าเผื่อท้อแท้จิตใจก็ยิ่งว้าเหว่ เช่น การคบหากับคนบางกลุ่มแล้วไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ ความท้อที่จะคบคน

ความท้อที่จะทำงานก็จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เลยต้องปลีกตัวออกจากกลุ่มที่คบ ก็เลยทำให้เหงาเศร้าสร้อยในอารมณ์ จินตนาการไปอย่างฟุ้งซ่านในอคติ ๔

จึงเตือนตัวเองเสมอว่า
"ถอยเมื่อไรเราก็แพ้ คือ แพ้อารมณ์ตัวเอง เมื่อเราแพ้อารมณ์ตัวเองแล้ว เป้าหมายของชีวิตก็จะหายไป"

๏ บุษกร เมธางกูร๏


ไฟล์แนป:
.psd.jpg
.psd.jpg [ 40.66 KiB | เปิดดู 8539 ครั้ง ]

เจ้าของ:  เพลิง. [ 04 พ.ย. 2009, 14:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บทกวี...ท้องนา

ค ว า ม พ อ ...... ดี

ธรรมะของพระพุทธเจ้าในบางครั้งก็เห็นยาก เพราะต้องอาศัยความพอดีจริงๆ

เราปล่อยมากไปก็ไม่เห็น ยึดมากเกินไปก็ไม่เห็น เร่งความเพียรเกินไปก็ไม่เห็น ขี้เกียจก็ไม่เห็น

เราคิดไตร่ตรองมากเกินไปก็ฟุ้งซ่าน ไม่ใช้ความคิดเลยก็โง่ทึบ ความพอดีเป็นหลักที่เราต้องใส่ใจ

ความพอดีในการภาวนา ความพอดีในการประพฤติ ความพอดีในการกระทำ มันเป็นส่วนที่เราต้องอาศัยกันอยู่

ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าท่านเคยเปรียบเทียบ กับคนที่อยากข้ามแม่น้ำ ก็ต้องหาไม้หาถวัลย์มามัดทำเป็นแพ
และด้วยการใช้กำลังของตัวเอง ก็ทำให้ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งได้

และเมื่อเราไปถึงพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า
มีอยู่ ๒ อย่างที่จะจัดการกับแพ คือลากขึ้นฝั่งไว้ หรือปล่อยไว้ในน้ำ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องแบกแพ

บางครั้งในการปฏิบัติของเราคนส่วนหนึ่งไม่ขยันทำแพเลยจมอยู่ในน้ำกัน

หรือขยันทำแพ แต่พอไปถึงอีกฝั่งแล้ว ก็ยังแบกแพเอาไว้อีก ก็ไม่พอดี ไม่อิสระ

เราต้องรู้จักใช้ธรรมะ และเราก็ต้องรู้จักวางธรรมะ เราต้องรู้จักคิด และต้องรู้จักหยุดคิด

รู้จักทำสงบ รู้จักพิจารณาวางความสงบไว้ เพื่อจะนำไปพิจารณา

นี่เป็นส่วนหนึ่งของการหาความพอดี

ความพอดีอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่จุดที่เราสามารถปล่อยเรื่องที่ปรุงจิตของเรา


ไฟล์แนป:
IMG_7537.jpg
IMG_7537.jpg [ 44.1 KiB | เปิดดู 8485 ครั้ง ]

หน้า 7 จากทั้งหมด 9 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/