วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 16:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2009, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 19:21
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหล็กกายสิทธิ์
เปรี้ยง.....เฟี้ยว....บึ้ม สวบ.....สามเณรผู้ทำหน้าที่เตรียมภัตตาหารเพล เกิดอาการช๊อค ตาค้างเติ่ง สติเตลิดเปิดเปิงหายไปในบัดเดี๋ยวนั้น ฉับพลัน..เมื่อพระรูปที่สองผู้รับหน้าที่ตัดเหล็กอาถรรพ์ เงื้อมีดลงอาคมวาววับที่เตรียมมายกขึ้นสุดแขน แล้วฟันฉับลงไปที่ลำตัวของสายแร่เหล็กผีสิงนั้น หวังให้ขาดสะบั้นด้วยมีดเดียว และสายแร่เหล็กมหัศจรรย์ที่พันรอบอยู่ที่ต้นไม้นี้ มีน้ำหนักนับหลายร้อยกิโล หากนำออกไปแลกเป็นเงินแล้วคงจะเป็นจำนวนเงินนับแสนล้านเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติของมันใคร ๆ ก็แสวงหาอยากได้ไว้ครอบครอง
เมื่อคมมีดอาคมกระทบกับลำตัวของเหล็กกายสิทธิ์ พลันก็เกิดเสียงกัมปนาทสะท้านไปทั่วหุบเขาอันสลับซับซ้อน สะท้อนสะเทือนเหมือนเทือกภูเขาที่ยืนทะมึนซับซ้อนนั้นจะถล่มทะลายเป็นจุนมหาจุน ก่อนที่สติของเณรน้อยผู้เป็นอุปัฏฐากเหล่าภิกษุจอมเวทมนต์ทั้งห้าจะเตลิดเปิดเปิงได้เห็นแสงสีประหลบาดปรากฏเจิดจ้า
หน้า 5
ไปทั่วป่าทึบ มันฟาดเปรี้ยงลงมายังจุดกระทำพิธีนั้น มันเหมือนสายฟ้าขนาดยักษ์ฟาดลงมาจากเบื้องนภากาศ ฝุ่นผงสีขาวขุ่นปนสีแดงฉานปลิวคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ สิ้นเสียงแผดก้องกัมปนาทนั้นสิ่งที่เห็นเต็มตา ทำให้เณรน้อยผู้อุปัฎฐากเกือบจะเป็นบ้า เศษเนื้อ เศษจีวรกระจัดกระจาย และที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น และ อีกมากมายที่ขึ้นหนาแน่นอยู่บริเวณหน้าถ้ำใหญ่ กลับไม่มีอันตรายใดๆ ทุกต้นยังยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิมทั้งๆ ที่เสียงระเบิดกัมปนาทไม่ผิดกับการทิ้งระเบิดในสงครามที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบินเพื่อฆ่ามนุษย์ด้วยกันที่เรียกว่าศัตรูนับหลายๆ ตัน มีแต่หยดเลือดสดๆ ที่สาดกระจายทั้งในพื้นดินและบนต้นไม้ใบไม้ของห้าภิกษุผู้ละโมบ ไหลหยดติ๋งๆ ลงมาจากต้นและใบไม้ เศษเนื้อติดมันและเลือดสด ตับไตไส้ปอดกระจุยกระจายห้อยต่องแต่งอยู่ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ ที่ขึ้นหนาแน่นในบริเวณสถานที่ๆ ประกอบพิธีตัดเหล็กมรณะนั้น เสียงดัง..สวบ..กังวานสะท้านถ้ำนั้น มันคือเสียงหดตัวกลับเข้าสู่คูหาถ้ำของสายแร่เหล็กอาถรรพ์นั้นเอง
สามเหล่ากอหน่อพุทธวงศ์ผู้สำเร็จแล้วซึ้ง “วิชาสาม” วิชาว่าด้วย “หูทิพย์” “ตาทิพย์”และ “วิชารู้ใจผู้อื่น” ได้ยกมือพนมขึ้นพร้อมกัน เพื่อสวดมนต์บทพระธัมมะสังคินี หรือพระอภิธรรมเจ็ดบท แล้วปิดท้ายด้วยบังสุกุล และอุทิศบุญส่งดวงวิญญาณห้าภิกษุ ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นผีเปรตเดินวนเวียนด้วยความทุกข์เวทนา อยู่ตรงสถานที่แห่งนั้นเอง “ไปสู่สุคติโลกสวรรค์เถิด เจ้าผีเปรตผู้ละโมบเอย พวกเราขออุทิศบุญให้ จงพากันอนุโมทนาเอาเถิด พวกเราขอปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากความเป็นผีเปรต ณ บัดนี้”
สิ้นเสียงสวดมนต์ และคำแผ่เมตตาของสามอริยะ ก็เกิดลมผันผวนหมุนขึ้นมาในบัดดลนั้น ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น พัดสะบัดใบโยกต้นไปมาเกิดเสียงเสียดสีกัน เป็นเสียงหวีดหวิวโหยหวนคล้ายเสียงของผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกขเวทนาอันแสนสาหัส แล้วพลันก็เปลี่ยนเป็นเสียงระเริงคล้ายเสียงของคนที่เพิ่งพ้นจากความทุกข์อันแสบร้อน แล้วพลันได้พบกับความสุขอันน่าพึงใจที่สู้เฝ้ารอคอยมาแสนนาน เพียงชั่วไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เข้าสู่สภาวะปกติ กลิ่นดอกไม้ป่าในฤดูเหมันต์ที่ขึ้นดาษดื่นหลากสีหลากสายพันธุ์ มีมากมาย ทั่วบริเวณขุนเขาอันสลับซับซ้อนและลึกลับ โชยเคลียเคล้ามากับสายลมอ่อนยามตะวันเริ่มคล้อยบ่าย อากาศช่างปลอดโปร่ง บริสุทธิ์ ดีเหลือเกิน เสียงวิหคนกป่านาๆ ชนิด ร้องประสานเสียงใบไม้ที่โยกไปมาเสียดสีกันยามต้องสายลม ฟังแล้วแสนไพเราะ บางครั้งก็ฟังคล้ายเสียงของหมู่มนุษย์มากมายพูดคุยกัน ระหว่างมาคอยต้อนรับแขกพิเศษสุดที่มาจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อให้สิ่งของที่มีค่าที่สุดที่พวกตนอยากได้และเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 11 ก.ย. 2009, 15:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2009, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: ชื่อของท่าน "พนมฉัตร" คล้ายจะเป็นนามปากกาใช่หรือไม่คะ ดิฉันคิดว่าเรื่องที่ท่านนำมาลงนั้นคงจะมีเป็นหนังสืออ่าน ถ้าอย่างไรดิฉันจะไปหามาอ่านค่ะ :b41: :b41: :b41:

:b44: อนุโมทนาค่ะ :b44:
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2009, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 23:03
โพสต์: 17

แนวปฏิบัติ: พุทโธ
งานอดิเรก: แต่งเพลง
ชื่อเล่น: เล็ก
อายุ: 0
ที่อยู่: 66/104 หมู่5 หมู่บ้านเฟื่องฟ้า ซ.ศรีสมิตร ถ.เทพารักษ์ ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


จะรออ่านตอน ต่อไปนะครับอาจารย์
ตื่นเต้นดีครับ...เนื้อเรื่องชวนติดตาม
เขียนจากเรื่องจริงหรือเปล่าครับ...


:b8: จากลูกศิษย์รุ่นพิเศษ....เล็ก อจินไตย :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 19:21
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นเรื่องจริงวครับคุณเล็ก อจินไตย เรื่องจะตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ อย่างลืมติดตามละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 19:21
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[size=150]บทที่ 2
“ตอนพนมฉัตรนคร”
ริมทะเลสาบกลางขุนเขา
ท่ามกลางหมู่เทือกเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนและยาวเหยียดนับเป็นแสนๆ กิโลเมตร เป็นม่านฉากกั้นระหว่างประเทศเวียดนามและประเทศลาวนั้น มีขุนเขาลูกใหญ่มหึมาสูงทะมึนเสียดฟ้านอนทอดกายสงบนิ่งมาเป็นเวลานานนับล้านๆ ปี มันแวดล้อมไปด้วยป่าไม้ดงดิบหนาทึบทั้งน้อยและใหญ่ แมกไม้นาๆ พันธุ์ ดอกไม้ กล้วยไม้ป่า นับล้านๆ ชนิดดารดาษงดงามเกินจะเอ่ยถ้อยคำใดๆบรรยาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเหล่าสิงสาราสัตว์ป่าดงดิบ อาทิ หมูเขี้ยวตันตัวเท่าลูกช้างมากมายหนาแน่นอยู่กันเป็นโขลงๆ ช้างป่า เสือทุกชนิด อีกทั้งเสือสมิงจอมอาถรรพ์ อสรพิษใหญ่ยักษ์มากมาย เก้ง กวาง วัวกระทิง ลิง ค้าง บ่าง ชะนี และสัตว์ต่างๆ ที่หมู่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ในเมืองและในโลกยังไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักอีกมากมาย ทั้งยังมีฝูงผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ผีกองกอย ผีโพลง ผีกระสือ ผียักษ์ อาถรรพ์ลี้ลับอีกมากมายเกินจะคณานับ ธรรมชาติช่างมีฝีในการมือในการผสานผสมอาถรรพ์หฤโหดความอ่อนโยนสวยงามต่างๆ หมู่แมกไม้ ขุนเขาทะมึน ป่าดิบดงทึบ น้ำตก ดอกไม้ สัตว์ป่า สัตว์ร้าย ผีร้าย เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ กลมกลืนสมานฉันท์หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้อย่างลงตัวไร้ปัญหา มีเพียงประติมากรรมชิ้นเดียวเท่านั้นที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นแล้วควบคุมมันไม่ได้ ซ้ำมันยังหันกลับไปเล่นงานผู้สร้างมันขึ้นมาเองเสียอีก ปติมากรรมที่แสนจะเลวร้ายและเนรคุณชิ้นนี้ก็คือ “ฅ. คน” นี้เอง
แดนดินถิ่นอาถรรพ์ดิบ ธรรมชาติที่งดงามดั่งเมืองเนรมิตที่ผมกำลังเขียนบรรยายอยู่นี้ มันคือเทือก “ภูเขาควาย”ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความอัศจรรย์พันลึก ความตาย ความเป็นอมตะ และความลึกลับต่างๆ เกินที่หมู่มวลมนุษย์ผู้ล้นเหลือด้วยกิเลสจะเกิดความเชื่อได้ แต่มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นมานานนับล้านๆ ปีแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครจะไปเปลี่ยนสภาวะอาถรรพ์ดิบนี้ได้ นอกจากจะเอาชีวิตไปเซ่นสังเวยความโหดดิบเท่านั้น
หน้า 10
“เอาหละ...เราพักปักกลดกันที่ตรงนี้ก็แล้วกันคืนนี้” หลวงปู่แพงตาผู้เป็นหัวหน้าคณะและเป็นพระอาจารย์ของสองสมณะผู้ติดตามเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ เมื่อสำรวจเดินสำรวจดูทิศทางของน้ำป่า ทางของสัตว์ป่า เห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว สามหน่อพุทธวงศ์ก็โดยมีพระสองรูป สามเณรวัยสิบเจ็ดหนึ่งรูป ก็แยกย้ายกันไปกำหนดหาที่ปักกลดโดยหลวงปู่แพงตาผู้อาจารย์แนะนำทิศทางให้ หลวงปู่แพงตาขณะที่ท่องธุดงค์ ณ ถิ่นดินแดนลี้ลับนั้น ท่านมีอายุอยู่ราวๆ 50 ปี หลวงปู่คำตาซึ่งเป็นพระอาจารย์ของผมเอง ท่านมีอายุอยู่ที่ 45 ปี สามเณรน้อยผู้ติดตาม (ผมไม่รู้จักท่านจึงไม่บอกชขื่อ) มีอายุสิบเจ็ดปี สถานที่พักปักกลดคืนนี้อยู่บริเวณน้ำตกใหญ่สวยงามมาก มีชั้นหมู่หินใหญ่น้อยสลับซับซ้อนไต่ตัวลงมาจากยอดเขาสูงชันเสียดฟ้า ซึ่งเป็นทางมาแห่งสายน้ำตกอันสวยงามอลังการ ธารน้ำตกสาดสายกระแทกโขดหินซับซ้อนดังซ่าๆ โซ่ๆ สนั่นป่าดิบ เคล้าคลอด้วยเสียงนกป่าและสัตว์ป่านาๆ ชนิด ที่กู่ร้องหากันในยามใกล้อัศดงคต ผสมผสานเสียงพระพายยามสนธยาพัดโชยสะบัดกิ่งไม้ยางยูงที่ทอดตัวสูงเสียดเมฆา ฟังแล้วชวนคะนึงถึงเสียงเพลงและเสียงทิพยดนตรีของเหล่าคนธรรพ์ที่บรรเลงเพลงสรรเสริญหมู่เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ ชวนให้ดวงจิตเคลิบเคลิ้มระคนเคว้งคว้างวังเวงขนตามตัวชูชันลุกซู่อย่างประหลาด กลิ่นดอกไม่ป่านาๆ พันธุ์ที่ขึ้นดารดาษอยู่ทั่วบริเวณโชยกลิ่นมาตามสายลมอ่อน กระทบจมูกหอมเย็นระรื่นใจ ลำแสงสุดท้ายของดวงสุริยาส่องลอดช่องว่างของค่าคบไม้ สาดลงมากระทบสายธารน้ำตกที่ไหลซ่าไปทางทิศคะวันตก มองเห็นเป็นแสงระยิบระยับ ดุจเทพยุดานำเอาเกล็ดเพชรนิลจินดามาโปรยบูชาผืนแผ่นแม่พระคงคา ธรรมชาติยามนี้ช่างแสนสวยงามดั่งนั่งอยู่ท่ามกลางเมืองแมนแดนสวรรค์ สามสมณะหน่อพระไตรรัตน์แก้ว นั่งล้อมวงฉันน้ำร้อนดับเวทนาที่เกิดจากการหิวกระหาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการบุกป่าฝ่าดงดิบมาตั้งแต่เพลาเช้า สร่างซาลงแล้วก่อนจะแยกย้ายกันเข้ากลดที่ปักห่างกันชั่วเรียกกันถึง หลวงปู่แพงตาผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้เอ่ยเตือนสติสองศิษย์ที่มีอายุต่างกันกันด้วยเสียงเรียบๆ ขึ้นว่า “ท่านคำตา และ ลูกเณรเอ๋ย การอยู่ป่าดงดิบนั้นทุกก้าวและลมหายเข้าออก ล้วนแต่อันตราย ศีลที่บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเราไว้ได้ โดยเฉพาะเหล่ากอหน่อสมณะอย่างพวกเรา อาวุธสำคัญที่มี พะลานุภาพสูงที่สุดมีอยู่สองอย่างคือ ศีล และ สติ เท่านั้น จงรักษาศีลและเจริญสติให้มากๆ ภัยใดๆ ก็จะกล้ำกรายไม่ได้”

เส้นทางสู่นครพนมฉัตร
เสียงไก่ป่าส่งเสียงขันประสานรับกันทอดยาวเป็นคำรบที่สาม บ่งบอกถึงเวลาสว่างแล้ว ลมยามอรุณรุ่งสางโชยสะบัดน้ำค้างจากหมู่ใบไม้หลุดร่วงพรูลงกระทบหลังคากลดดังซ่า.... เหล่าวิหกนกไพรส่งเสียงกู่หากันเพื่อถามกันว่าราตรีนี้หลับสบายดีกันไหม ปลอดภัยกันหรือเปล่า ยังอยู่กันครบกันหรือไม่ วันนี้จะไปหาอาหารกันที่ไหนกันดี เสียงเสือสมิงดังสะท้านป่าเป็นระยะๆ เสียงแปร๋นๆ ของช้างหัวหน้าโขลง ร้องให้สัญญาณแก่
หน้า 11
พลพรรคว่าตะวันจะขึ้นแล้ว สัตว์ป่ากลางวันทยอยส่งเสียร้องหากันอึงคะนึงไปทั่วป่าดิบไพรหนาค่อยๆกลบเสียงสัตว์กลางคืนให้ห่างจางไป เหล่ามวลบุผาแสนงามก็ไม่น้อยหน้าพากันแย้มกลีบบาน ปล่อยกลิ่นหอมรัญจวนใจตลบไปทั่วผืนป่าริมสายธารน้ำตกอันใสเย็นยะเยือกนั้น แม้เวลาอรุณจะแก่กล้าดวงสุริยะเทพปรากฏกายขึ้นเหนือยอดเขาอันสูงชันเสียดฟ้าแล้วก็ตาม แต่ลำแสงอันทรงพะลานุภาพแห่งสุริยะขัยก็ยังไม่อาสามารถแหวกม่านหมอกอันหนาทึบที่แผ่ปกคลุมผืนป่านั้นได้เต็มที่ บรรยากาศทั่วบริเวณยังสลัวมัวครึ้มยังกับว่าเพิ่งจะเริ่มตีห้า แต่สมณะผู้ช้ำชองธุดงควัตรอย่างหลวงปู่แพงตา ก็กำหนดรู้เวลาอันควรแก่การลุกขึ้นทำกิจแห่งการเจริญสมณะธรรม ท่านส่งเสียงกระแอมไอและเรียกสองศิษย์สมณะผู้ติดตาม ไถ่ถามถึงการพักผ่อนในรัตติกาลที่ผ่านมา เมื่อทราบว่าศิษย์ทั้งสองยังสุขสบายดี ก็สั่งสำทับให้ลุกขึ้นทำกิจแห่งธุดงควัตรให้ถึงพร้อมเพื่อความไม่ประมาทและผิดข้อวัตรปฏิบัติแห่งเหล่ากอผู้เคร่งวินัย
เสียงน้ำตกยังคงส่งเสียงโซ่ซ่ารักษาหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง ละอองฟองฝอยของมันปลิวกระจายสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่มวลพฤกษานาๆ พันธุ์ เป็นอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานแสนนานมาแล้ว แผ่เมตตา ถอนฌานสมาธิแล้ว ก็ออกจากลดพากันเดินมุ่งสู่สายธารน้ำตกอันกว้างใหญ่คล้ายทะเลสาบกลางขุนเขาป่าใหญ่ดงดิบ เพื่อชำระรูปกายที่คายของโสโครกออกมาท่วมสรีระตลอดราตรีกาล
ชำระความเหม็นของผิวกายอันเน่าเปื่อยอยู่ตลอดเวลาด้วยธารน้ำใสจากธรรมชาติ สดชื่นอิ่มเอิบด้วยอากาศที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้มลภาวะ ห่มดองครองจีวรเป็นปริมณฑลดีแล้วก็เดินกลับสู่สถานที่ๆ ปักกลด ปลดบาตรที่แขวนบนกิ่งไม้ลงมา เทน้ำที่กรองดีแล้วลงในบาตร ล้วงมือลงในบาตรคนไปมา แล้วก็ยกขึ้นฉัน รู้สึกสดชื่นอิ่มเอมประดุจได้รับรสแห่งอาหารทิพย์จากเหล่าเทพยุดา ความหิวโหยหายไปในบัดดล ความกระปี้กระเป่ากระฉับกระเฉงบังเกิดขึ้นอย่างมากมาย
“เทวดาจะมาอุปัฏฐากถวายอาหารทิพย์ให้พระธุดงค์ ที่มีศีลดี ศีลบริสุทธิ์ เทวดาเขาอยากได้บุญมากๆ เพราะบุญคือของวิเศษของพวกเทวดา” พระธุดงค์ที่เคร่งครัดและบรรลุธรรมจากการออกเดินธุดงค์จะพูดเหมือนกันอย่างนี้ การพักปักกลดท่ามกลางขุนเขาอันลึกลับสลับซับซ้อน ได้ผ่านไปอย่างปลอดภัย รอยตีนเสือรอยใหญ่ๆ เดินขวักไขว่ไปมา วนไปกลดนั้นทีกลดนี้ที รอยงูใหญ่เท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่สองรอยเลื้อยวนใกล้ๆ กลดทั้งสามหลัง
“เมื่อคืนเป็นยังไงกันบ้าง เห็นเพื่อนๆ เจ้าถิ่นมาเยี่ยมเยียนกันบ้างไหมละ หึๆๆ ?” เสียงพระผู้เป็นอาจารย์ใหญ่เอ่ยถามศิษย์ผู้ติดตามทั้งสอง หลังจากฉันเพลเสร็จแล้ว สมณะทั้งสามนั่งพักรับภัตตาหารที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กระท่อมของชาวบ้านป่าที่เป็นเจ้าภาพอาหารเพลวันนี้ หมู่บ้านป่าแห่งนี้อยู่ระหว่างเส้นทางธุดงค์เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านจะคุ้นเคยกับพระธุดงค์ดี
หน้า 12
“ผมกลัวเกือบขาดใจตายเลยละครับหลวงพ่อ เสืออะไร งูอะไรก็ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ตัวมโหฬารขนาดนั้น อึ๋ย..น่ากลัวจริงๆ ผมเกือบจะลืมคำสั่งของหลวงพ่อแล้วตอนที่เห็นพวกมันมา” สามเณรหนุ่มน้อยให้คำตอบและเล่าความรู้สึกในขณะที่เผชิญหน้าจอมสมิงร้าย และเจ้าแห่งอสรพิษตัวมหึมา ที่มาวนเวียนอยู่รอบกลดและยืนจ้องมองเข้ามาในกลด ซึ่งขณะนั้นสามเณรเพิ่งลืมตาจากสมาธิ กำลังจะเอนตัวลงนอน เจ้าถิ่นทั้งสามตัวไม่รู้ว่ามาจากทิศไหน โดยเฉพาะเจ้าสมิงยักษ์เดินวนเสร็จมันก็ยืนถลึงตามองเข้ามาในมุ้งกลด ขนาดอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล ยังมองเห็นดวงตาอันเขียวปัดของมันชัดเจน เสียงขู่คำรามของมันทำเอาผู้ฟังแทบจะคลั่งตายให้ได้ มันเป็นเสือจริงงูจริงหรือเปล่าขอรับหลวงพ่อ ผู้เป็นพระอาจารย์ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแก้ข้อสงสัยอะไร ได้แต่บอกลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “จงรักษาศีลให้ดี ตั้งสติอย่าให้เผลอ เห็นอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่ารูป เสียงอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่าเสียง ในป่าดงดิบมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยอาถรรพ์อันตราย อย่าทำอะไรคิดอะไรนอกเหนือจากคำสั่งของหลวงพ่อก็แล้วกัน บุญตาเจ้าแล้วที่ได้เห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายไม่เห็น และหนทางต่อจากนี้ไปจะยิ่งกว่านี้นะเจ้าเณรเอ๋ย หึๆๆ” เหตุที่หลวงปู่ผู้เป็นหัวหน้าเพิ่งจะเอ่ยถามถึงเรื่องราวการพักค้างคืนที่ริมทะเลสาบน้ำตกใหญ่กลางป่าอาถรรพ์เมื่อคืนนี้ ก็เพราะท่ามกลางป่าดงดิบอาถรรพ์มืดนั้นมันมีกฎกติกาของมัน

อาถรรพ์ว่านป่าดิบ
อีกไม่กึงชั่วโมง ความมืดดำของราตรีกาลก็จะแผ่ปกคลุมผืนป่าและเทือกเขาควายอันสลับซับซ้อนและอาถรรพ์แล้ว บนผืนฟ้าอันเวิ้งว้างมองเห็นเมฆสีดำปนแดงแผ่กระจายไปทั่ว หมู่วิหคนกไพรนาๆ ชนิด กำลังเกาะกลุ่มกันบินมุ่งหน้าสู่รวงรัง มันส่งเสียงร้องทักทายกันเสียงเจี้ยวจ้าว เสียงหมู่สัตว์ป่าที่เตรียมจะออกหากินกลางคืนส่งเสียงทักทายหมู่เพื่อนสัตว์ป่าที่กำลังจะพักผ่อนในค่ำคืน ก้องกังวานสะท้อนไปตามซอกผาเขา ลมยามสนธยาในเหมันตฤดู พัดผ่านกระทบกายสามหน่อเนื้อเชื้อพุทธวงศ์ รู้สึกหนาวสะท้านไปถึงขั้วใจ “ข้างหน้าโพ้น จะมีหมู่บ้านของชาวข่า พวกเราจะไปพักกันที่นั่น อดทนอีกหน่อยนะท่านคำตาและลูกเณร เพราะที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การปักกลดของพวกเรา”
ป่าที่คณะสามสมณะผู้เคร่งในศีลกำลังจาริกผ่านไปนั้น มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายคนโอบยืนตระหง่านมากมายหนาแน่นผสมผสานป่าโปร่งเป็นบางช่วง หนทางคดเคี้ยวด้วยเป็นภูเขาที่สลับซับซ้อน ขณะนี้คณะผู้เดินทางมุ่งหน้าสู่มหานครลี้ลับกำลังเดินอยู่บนเนินเขาที่ค่อนข้างสูงชันมากจึงต้องค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง หลวงปู่ผู้นำทางดูท่านจะเหมือนรู้เส้นทางดีทั้งๆ ที่นี้คือครั้งแรกที่ท่านนำคณะผู้ติดตาม บุกป่าฝ่าขุนเขาอันสูงชันเข้ามาในดินแดนที่ไม่เคยรู้จัก คงเป็นธรรมดาของผู้ที่เข้าถึงซึ่งวิชาตาทิพย์แล้ว เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลอาบ
หน้า 13
ใบหน้าของเหล่ากอสามสมณะ ผ้าจีวรเปียกชุ่มด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่อากาศในหุบเขาวันนี้มันหนาวยะเยือกจนจับขั้วหัวใจดวงสุริยะขัยลาลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุมขุนเขาผืนป่าอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว ดวงตะวันไม่ยอมทิ้งแสงสุดท้ายให้เห็นในผืนป่าใหญ่เช่นนี้ ชาวข่าดูจะคุ้นเคยกับพระหรือจะเป็นด้วยบารมีของครูบาอาจารย์ พวกเขาดูช่างมีน้ำใจไมตรีอันดี หัวหน้าเผ่านิมนต์ให้สามสมณะธุดงค์พักจำวัตรที่เรือนของตนเอง โดยบ้านในหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ใช้ไม้ไผ่ทั้งลำๆ มัดติดกันเป็นแถวเป็นฝาเรือน เสาใช้ไม้จริงทั้งต้นๆ เท่าท่อนขา พื้นดินคือพื้นเรือนใช้วิธียกแคร่เฉพาะจะใช้เป็นที่นอน หลังมุงด้วยหญ้าชนิดหนึ่งคล้ายๆ หญ้าคาแต่มีใบหนาและใหญ่กว่าวางเป็นตับๆ แล้วใช้ไม้ไผ่ทั้งลำวางทับแล้วมัดด้วยเถาวัลย์ก็ดูแข็งแรงแน่นหนาดี ตรงกลางเรือนเป็นเตาไฟและกองไฟ โดยเฉพาะกองไฟนั้นจะสุมไว้ทั้งคืนเพื่อขับไล่ความหนาวเหน็บที่แสนโหดในฤดูหนาว
[/size]


แก้ไขล่าสุดโดย พนมฉัตร เมื่อ 12 ก.ย. 2009, 11:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: อ่านแล้วคิดว่าคงจะต้องปรับในเรื่องภาษาที่ใช้ค่ะ อยากให้เพิ่มความสละสลวยอีกนิด ที่สำคัญคือสะกดผิดก็มากนะคะ เนื้อเรื่องชวนติดตามค่ะ ขออภัยนะคะที่ติชมตามตรง..ชอบค่ะ :b35:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2009, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 19:21
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับคุณเจ้านางที่ติมา ผมจะพยายามแก้ไขสำนวนให้ดีกว่านี้ ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับเพราะเป็นมือใหม่หัดเขียน..และจะตรวจทานให้ถี่ถ้วนขึ้น ขอบคุณมากๆอีกครั้งครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2009, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: เป็นกำลังใจให้นะคะ :b4: :b4:

:b41: :b44: :b41: :b44: :b41: :b44: :b41: :b44:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


แก้ไขล่าสุดโดย เจ้านาง เมื่อ 13 ก.ย. 2009, 13:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 15:01
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขอโทษนักอ่านทุกท่านที่คอยติดตามอาถรรพ์ ตอนนี้กำลังเร่งเขียนและแก้ไขสำนวนต่างๆ ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานาน ต้องใช้เวลาในการรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ
ขอบคุณเจ้านางด้วยที่คอยซื้อหนังสือขอบคุณครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: pinit และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร