วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 07:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2009, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 19:21
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บทที่1
“ตอนเหล็กไหล”
ถ้ำมรณะ
อากาศยามเช้าของฤดูหนาววันนี้ มันช่างหนาวเย็นยะเยือกทะลวงไปจับขั้วหัวใจ ละอองหมอกสีขาวนวลปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน ที่ลานบ้านของผมมีพ่อแม่เพื่อน ๆ และเพื่อนบ้านอีกหลายคน มานั่งล้อมกองไฟเพื่อเอาความอบอุ่น แม้เดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบเขาขึ้นมามากแล้ว ความหนาวเหน็บในปีนั้นก็ดูจะยังไม่สร่างซาลง กลิ่นจากกระบอกข้าวหลามที่ตั้งเผาอิงอยู่ข้างกองไฟ ส่งกลิ่นหอมยวนยั่วน้ำย่อยในกระเพาะให้ไหลออกมา กลิ่นข้าวหลามเผาทำให้ผมหวนคิดไปถึงเรื่องราวอาถรรพ์มรณะ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำใหญ่แห่งภูเขาควาย ที่ยืนทะมึนเสียดฟ้าท้าแดด ท้าลม ท้าหนาว ท้าฝน ท้าแล้ง มานานนับพัน ๆ ปี อยู่ ณ แดนดินถิ่นล้านช้างโพ้น ซึ่งมองจากหมู่บ้านของผมไปเห็นชัดเจนเหมือนมันอยู่ที่ชายหมู่บ้านนี้เอง
ภาพเหตุการณ์เรื่องราวอาถรรพ์ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง มันผุดขึ้นมาชัดเจนในมโนสำนึกของผม สามเณรอายุประมาณสัก 18 ปีเนื้อตัวมอมแมม ตามใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยคราบเหงื่อ ตามผ้าจีวรที่ห่มกายยับยู่ยี้ไม่เป็นระเบียบนั้น เต็มไปด้วยคราบด่างดวงของเลือดมนุษย์ ในมือทั้งสองของเณรน้อยถือห่อผ้าจีวรขาดๆ มาสองห่อ หน่อเนื้อเชื้อศาสนามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นัยตาทั้งสองเหมือนคนสติไม่สมบูรณ์มันเหม่อลอยและหวาดหวั่น ท่านเดินโซซัดโซเซมาจากทิศทางของภูเขาควาย ภูเขาที่ผู้คนทั้งหลายเลื่องลือถึงเรื่องอาถรรพ์ดิบทั้งหลาย
“เอ้า.นั่นเณรน้อยเจ้าไปไหนมานะ และในมือของเจ้ามันห่ออีหยัง (ห่ออะไร) ละหือ?” พระที่ดูมีอายุมากกว่าเอ่ยทักถามเณรน้อย ที่กำลังเดินกระหืดกระหอบก้มหน้าก้มตา แทบจะเดินชนกับคณะพระธุดงค์สามรูปที่กำลังเดินสวนทางมุ่งหน้า ไปยังทิศทางเดียวกันกับที่เณรน้อยกำลังเดินจากมา ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยพลังแห่งเมตตา ทำให้เชื้อพระศาสนาตัวน้อยหยุดชะงัก “โอ...หลวงพ่อขอรับ ชะ..ช่วยผมด้วย” สามเณรผู้มีใบหน้าซีดเผือดเหมือนเพิ่งได้สติ พูดละล่ำลักพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“ไหน..ๆ ค่อย ๆ ตั้งสติให้ดีสิ๊ลูกเณร เจ้าจะให้พวกหลวงพ่อเนี้ย ช่วยอะไรเจ้า เจ้ามาจากไหน และ เป็นอะไรกันแน่ ดูท่าทางเจ้าจะตกใจเอามาก ๆ เลยทีเดียว” นักรบแห่งกองทัพธรรมที่มีอายุอ่อนกว่าองค์แรก เอ่ยถามเณรน้อย ต่างรอฟังคำตอบที่ดูว่าน่าจะมีอะไรที่นำความตื่นตระหนกตกใจมาสู่สามเณรแน่
เป็นไปตามความคาดคิดจริง ๆ เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวค่อย ๆ ไหลพรั่งพรูออกจากปากอันสั่นระริกของลูกเณร “เอาละ ๆ เณรน้อยเอ๋ย เจ้าหายกลัวได้แล้วเน้อ ตอนนี้เจ้านะ กำลังอยู่ต่อหน้าเฮาหลวงพ่อเสาร์ หลวงพ่อมั่น หลวงพ่อสิงห์ แล้ว เจ้าฮู้จักหลวงพ่อทั้งสามมั๊ยละหื้อ ?” จบคำปลอบประโลมและแนะนำตัว
หน้า 3
ของพระผู้เป็นหัวหน้าและยังเป็นพระอาจารย์ของพระอีกสององค์ เณรน้อยก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมใจ อาการหวาดกลัวและตื่นตระหนกเหมือนคนจะเป็นบ้าเมื่อสักครู่ ได้มลายหายเป็นปลิดทิ้ง หน่อเนื้อเชื้อพระพุทโธยิ้มทั้งน้ำตา ก้มลงกราบแทบเท้าพระอริยะเจ้าทั้งสามอย่างไม่ต้องคิดอะไรอีก
“เออนี้ เจ้าเณรน้อย เจ้ายังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่า ในห่อผ้านั้นนะมันคืออะไร หือ?” มันคือเศษผ้าจีวร เศษรองเท้า และก็ใบสุทธิของหลวงพี่ทั้งห้าองค์ที่มรณะไปแล้วนั่นแหละขอรับ ผมกำลังจะเอาไปให้ญาติโยมของท่านเพื่อเป็นหลักฐานขอรับหลวงพ่อ” “อืม..เอายังงี้ หนทางที่เจ้ากำลังจะเดินต่อไปข้างหน้านั้นมันยังอีกไกลนา เจ้าซ่อนห่อผ้าเอาไว้แถวนี้ก่อนเถอะนะ แล้วเจ้าก็นำทางหลวงพ่อกลับไปที่ถ้ำเหล็กไหลอีกครั้งก่อน” สามเณรน้อยมีอาการหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้น แต่เมื่อถูกปลอบใจก็คลายความหวาดหวั่นลง แล้วออกเดินนำทางคณะอริยะธุดงค์ตามคำสั่งของหลวงปู่เสาร์ผู้เป็นหัวหน้าคณะ เหตุผลทราบภายหลังว่า “ถ้าให้เณรน้อยกลับบ้านเพียงลำพังจะตายด้วยเป็นเหยื่อของเสือร้าย ให้เดินตามหลังก็มีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน และครูบาอาจารย์ทั้งสามก็เล็งแลเห็นด้วยอนาคะตังสะญาณว่า เฌรตัวน้อยๆ รูปนี้จะเป็นขุนศึกแห่งกองทัพธรรมอีกรูปหนึ่งในโลกพระบวรพุทธศาสนา”

สู่แดนอาถรรพ์
คืนนั้นสี่เชื้อพุทธวงศ์ต้องปักกลดค้างคืนที่ท้ายหมู่บ้านป่าที่อยู่ระหว่างหนทาง หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ ก็รีบออกเดินทางด้วยหนทางข้างหน้านั้นต้องป่ายปีนเขาเป็นช่วงๆ และเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยตัวทาก ขวากหนามต้นไม้น้อยใหญ่เครือเขาเถาวัลย์อันหนาทึบ ขุนเขาทะมึนที่ยืนตระหง่านเสียดฟ้าอยู่เบื้องหน้านั้น มองดูด้วยสายตาเปล่ามันเหมือนอยู่ห่างเพียงชั่วไก่บินตก แต่ความจริงแล้วต้องใช้เวลาในการเดินทางนับจากหมู่บ้านนี้ไป และในช่วงเพลาดวงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นเหลี่ยมเขาเพียงไม่กี่อึดใจ จะถึงจุดหมายปลายทางอย่างเร็วก็ช่วงก่อนเพลนิดหน่อย
สี่หน่อพุทธางกูร มาถึงจุดหมายปลายทางตอนตะวันตรงศีรษะพอดี ช้ากว่าคาดคะเนหนทางด้วยสายตา ภาพเหตุการณ์ที่พรั่งพรูออกจากปากของสามเณรน้อยเมื่อวานนี้ ได้ปรากฏชัดขึ้นในทิพย์จักขุของสามหน่ออริยะเจ้า พระหนุ่มวัยประมาณ สัก 30 เศษ ๆ ถึง 40 ปี จำนวน 5 รูป กำลังเดินออกจากถ้ำ เสียงสวดมนต์บทพุทธคุณต่าง ๆ สลับกับสวดคาถาภาษาแปลก ๆ ดังก้องกังวานสะท้านป่า พระรูปที่เดินนำหน้าในมือถือขันบรรจุน้ำผึ้งป่า ปากก็สวดคาถาไปด้วย รูปที่สอง ถือมีดหมอยาวประมาณเกือบศอกขาววาววับเมื่อต้องแสงวตะวันยามใกล้เที่ยง อีกสามรูปที่เดินตามหลังก็พนมมือสวดพุทธมนต์และคาถาเสียงก้องกังวานสะท้อนหุบเขา ฟังแล้วชวนขนพองสยองเกล้า แต่สิ่งที่น่าตื่นตะลึงและน่าขนพองยิ่งกว่าก็คือ สายแร่เหล็กสีดำ
หน้า 4
ปนเขียวปีกแมลงทับมันแวววาวพราวพรายระยับยามต้องแสงตะวัน ที่สาดแสงส่องลอดกิ่งไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนา แน่นอยู่ที่บริเวณปากถ้ำ มันยืดตัวออกมาจากถ้ำตามดูดกินน้ำผึ้งในขันที่พระถืออยู่ในมือ มันมีลักษณะลำตัวกลมเกลี้ยงเหมือนลำตัวของอสรพิษยักษ์ที่มีขนาดลำตัวเท่ากับต้นตาลต้นใหญ่ที่สุด แต่ไม่มีสีสันอื่นๆ เหมือนงู มันไม่มีลูกนัยน์ตาแต่มันสามารถยืดตัวตามแหล่งอาหาร ที่พระผู้ปรารถนาในตัวของมันถือเดินล่อออกมาจากในถ้ำได้อย่างไร น่าแปลกประหลาดนัก หัวของมันจุ่มลงในขันน้ำผึ้งเหยื่อล่อโดยไม่ยอมถอน สมดังพุทธภาษิตที่ว่า “ผู้ที่ตกเป็นทาสของความอยาก ย่อมพินาศทั้งในโลกนี้แหละโลกหน้า”
พระจอมขมังเวทย์ทั้งห้า เดินออกห่างจากปากถ้ำราว ๆ สัก 30 วา ก็เดินวนรอบต้นไม้ใหญ่ขนาด 5 คนโอบต้นหนึ่ง เดินวนอยู่หลายรอบ สายแร่เหล็กอาถรรพ์ที่หลงใหลในรสชาติอันโอขะของน้ำผึ้งป่า ได้พันโอบรอบต้นไม้ใหญ่นั้น ดั่งพญางูเหลือมยักษ์กำลังพันรอบรัดเหยื่อตัวมหึมาฉะนั้นแล
เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ภิกษุผู้เรืองเวทย์ทั้งห้าก็หยุดเดิน เพื่อกระทำสุดยอดพิธีช่วงสุดท้ายให้เสร็จทันฉันเพล มุมหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดประกอบพิธีกรรมอาถรรพ์ประมาณสัก 20 วา เณรน้อยรูปหนึ่งกำลังนั่งเผาข้าวหลามตามคำบัญชาของพระอาจารย์ทั้งห้า ข้าวหลามที่อิงผิงเปลวไฟอยู่ขณะนี้มันคืออาหารมื้อเพลในวันนี้ เณรน้อยเบิกตาโพลงตะลึงค้างเป็นเวลาหลายนาทีแล้ว ตั้งแต่กลุ่มหลวงพ่อหลวงพี่เดินสวดมนต์สวดคาถาพาสายเหล็กสีดำมะเมื่อมออกมาจากถ้ำ ขนาดไฟโหมลุกไหม้กระบอกข้าวหลามที่กำลังหอมกรุ่นกำลังได้ที่ดีแล้ว เจ้าเณรก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย ก็ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเพียงชั่วไม่กี่วาชีวิตทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่สามารถจะหาดูได้ที่ไหนแน่นอน มันน่าตื่นเต้นน่าสะพรึงกลัว น่าขนพองสยองเกล้าเกินจะคณาได้

เหล็กกายสิทธิ์
เปรี้ยง.....เฟี้ยว....บึ้ม สวบ.....สามเณรผู้ทำหน้าที่เตรียมภัตตาหารเพล เกิดอาการช๊อค ตาค้างเติ่ง สติเตลิดเปิดเปิงหายไปในบัดเดี๋ยวนั้น ฉับพลัน..เมื่อพระรูปที่สองผู้รับหน้าที่ตัดเหล็กอาถรรพ์ เงื้อมีดลงอาคมวาววับที่เตรียมมายกขึ้นสุดแขน แล้วฟันฉับลงไปที่ลำตัวของสายแร่เหล็กผีสิงนั้น หวังให้ขาดสะบั้นด้วยมีดเดียว และสายแร่เหล็กมหัศจรรย์ที่พันรอบอยู่ที่ต้นไม้นี้ มีน้ำหนักนับหลายร้อยกิโล หากนำออกไปแลกเป็นเงินแล้วคงจะเป็นจำนวนเงินนับแสนล้านเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติของมันใคร ๆ ก็แสวงหาอยากได้ไว้ครอบครอง
เมื่อคมมีดอาคมกระทบกับลำตัวของเหล็กกายสิทธิ์ พลันก็เกิดเสียงกัมปนาทสะท้านไปทั่วขุนเขาอันสลับซับซ้อน สะท้อนสะเทือนเหมือนเทือกภูเขาที่ยืนทะมึนซับซ้อนนั้นจะถล่มทะลายเป็นจุนมหาจุน ก่อนที่สติของเณรน้อยผู้เป็นอุปัฏฐากเหล่าภิกษุจอมเวทมนต์จะเตลิดเปิดเปิง ได้มองเห็นแสงสีประหลาดปรากฏเจิดจ้า
หน้า 5
ไปทั่วผืนป่าทึบ มันฟาดเปรี้ยงลงมายังจุดกระทำพิธีนั้น มันเหมือนสายฟ้าขนาดยักษ์ฟาดลงมาจากเบื้องบนนภากาศ ฝุ่นผงสีขาวขุ่นปนสีแดงฉานปลิวคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ สิ้นเสียงแผดก้องกัมปนาทนั้นสิ่งที่เห็นเต็มตา ทำให้เณรน้อยผู้อุปัฎฐากเกือบจะเป็นบ้าตาย เศษเนื้อ เศษจีวรกระจัดกระจาย และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นและอีกมากมายที่ขึ้นหนาแน่นอยู่บริเวณหน้าถ้ำใหญ่นั้น กลับไม่มีอันตรายใดๆ ทุกต้นยังยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เสียงระเบิดกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านป่าไม่ผิดอะไรกับเสียงระเบิดนับหมื่นๆ ตัน ในมหาสงครามโลกที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบินเพื่อถล่มทลายมวลมนุษย์ด้วยกัน มีแต่หยดเลือดสดๆ ที่สาดกระจายตามพื้นดินและบนต้นไม้ เลือดสดๆ ของห้าภิกษุผู้ละโมบไหลรินหยดติ๋งๆ ลงมาจากใบไม้อาบนองพื้นแม่พระธรณี เศษเนื้อติดมันและเลือดสด ตับไตไส้ปอดกระจุยกระจายห้อยต่องแต่งอยู่ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ เสียงดัง..สวบ..เฟี้ยว...กังวานสะท้านถ้ำนั้นคือเสียงหดตัวกลับเข้าสู่คูหาถ้ำของสายแร่เหล็กจอมมรณะนั้นเอง
สามเหล่ากอหน่อพุทธวงศ์ผู้สำเร็จแล้วซึ้ง “วิชาสาม” วิชาว่าด้วย “หูทิพย์” “ตาทิพย์”และ “วิชารู้ใจผู้อื่น” ได้ยกมือพนมขึ้นพร้อมกัน เพื่อสวดมนต์บทพระธัมมะสังคินี หรือพระอภิธรรมเจ็ดบท แล้วปิดท้ายด้วยบังสุกุล และอุทิศบุญส่งดวงวิญญาณห้าภิกษุ ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นผีเปรตเดินวนเวียนด้วยความทุกข์เวทนา อยู่ตรงสถานที่แห่งนั้นเอง “ไปสู่สุคติโลกสวรรค์เถิด เจ้าผีเปรตผู้ละโมบเอย พวกเราขออุทิศบุญให้ จงพากันอนุโมทนาเอาเถิด พวกเราขอปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากความเป็นผีเปรต ณ บัดนี้”
สิ้นเสียงสวดมนต์ และคำแผ่เมตตาของสามอริยะ ก็เกิดลมผันผวนหมุนขึ้นมาในบัดดลนั้น ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น พัดสะบัดใบและโยกต้นไปมาจนเกิดเสียงเสียดสีกัน ฟังเป็นเสียงหวีดหวิวโหยหวนคล้ายเสียงของผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกขเวทนาอันแสนสาหัส แล้วพลันก็เปลี่ยนเป็นเสียงระเริงคล้ายเสียงของคนที่เพิ่งพ้นจากความทุกข์อันแสบร้อน แล้วพลันได้พบกับความสุขอันน่าพึงใจที่สู้เฝ้ารอคอยมาแสนนาน เพียงชั่วไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เข้าสู่สภาวะปกติ กลิ่นดอกไม้ป่าในฤดูเหมันต์ที่ขึ้นดาษดื่นหลากสีหลากสายพันธุ์มีมากมาย โชยกลิ่นหอมกรุ่นเคลียเคล้ามากับสายลมอ่อนยามตะวันบ่าย ทั่วบริเวณกลางหมู่ขุนเขาอันสูงชันและลึกลับซับซ้อน อากาศช่างปลอดโปร่งบริสุทธิ์ดีเหลือเกิน เสียงวิหคนกป่านาๆ ชนิด ร้องประสานเสียง กิ่งไม้โยกไปมาใบเสียดสีกันยามต้องสายลมฟังแล้วแสนไพเราะดุจเสียงดุริยางค์แห่งแมนสรวง บางครั้งก็ฟังคล้ายเสียงของหมู่มนุษย์มากมายพูดคุยกันทักทายกัน ระหว่างมาคอยต้อนรับแขกพิเศษสุดที่มาจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อให้สิ่งของที่มีค่าที่สุดที่พวกตนอยากได้และเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน
ตัดเหล็กไหล
หลังจากบอกกล่าวเหล่าเทพาอารักษ์ที่ปกปักรักษาถ้ำอาถรรพ์เสร็จแล้ว พระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นอาจารย์
หน้า 6
ใหญ่ก็บัญชามอบหมายหน้าที่ต่างๆให้เหล่าอริยะศิษย์ พระอาจารย์สิงห์รับหน้าที่ถือขันบรรจุน้ำผึ้ง พระอาจารย์มั่นรับหน้าที่เป็นผู้ตัดเหล็กกายสิทธิ์ เณรน้อยผู้ติดตามดูแลเทียนไม่ให้ดับ พระอาจารย์ใหญ่เริ่มกล่าวสัคเคอัญเชิญเทวดามาร่วมประชุมฟังพระธรรม แล้วจากนั้นก็เริ่มสาธยายพุทธมนต์บทต่างๆ เป็นลำดับๆ ไป จากน้ำเสียงและท่วงทำนองที่เรียบๆ เบาๆ ก็ค่อยๆ ดังขึ้นๆ แล้วสลับเป็นเสียงหนักเสียงเบา เสียงสวดนั้นดังก้องกังวานสะท้อนสะเทือนไปทั่วถ้ำ ฟังแล้วชวนให้ขนพองสยองเกล้า เสียงสวดของหลวงพ่อช่างมีพลังมีความขลังอย่างน่าพิศวง
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ชวนให้ขนลุกชูชัน บนผนังถ้ำที่แสงเทียนส่องกระทบมองเห็นหัวตะปุ่มตะป่ำคล้ายผนังถ้ำมันเป็นโรคขึ้นตุ่มตาเต็มไปทั่วผิวมีมากมายมหาศาล เป็นพืดกระจายเต็มไปทั่วบริเวณผนังถ้ำที่อยู่เบื้องหน้ามันลามเข้าไปในถ้ำชั้นในสุดสายตาที่มองเห็น ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้นแน่ มันส่องประกายแพรวพรายมะเมื่อม มันค่อยๆ ขยับตัวเคลื่อนไหวดูน่าสะพรึงกลัวจับขั้วหัวใจ เณรน้อยรู้สึกกระสับกระส่ายหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด หวาดหวั่นพรั่นพรึงจนแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลอาบหน้าและเปียกชุ่มจีวรไปทั้งตัว อากาศภายในถ้ำมันทั้งอบทั้งอ้าวเหม็นกลิ่นสาบสางแทบจะสำลักตาย เจ้าเณรน้อยรู้สึกหนาวสะท้านเหมือนจะเป็นไข้ ขากรรไกรกระทบกันเบาๆ ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้เกิดเสียงดังเกรงจะรบกวนการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ใจหนึ่งก็กลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนวันก่อน ใจหนึ่งก็มั่นใจในกิตติศัพท์ชื่อเสียงของหลวงพ่อทั้งสาม พระอาจารย์ใหญ่ผู้รู้สภาวะหันไปยิ้มปลอบโยน พร้อมยกมือขึ้นตบศีรษะเณรหนุ่มน้อยเบาๆ ทำให้กำลังใจกลับคืนมาเกือบเต็มร้อย แต่ก็ยังหวาดๆ กับภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาในขณะนี้
ตุ่มแร่เหล็กมรณะอันใหญ่ที่สุดกว่าเพื่อนดูท่าจะเป็นหัวหน้า มันส่ายหัวไปมาแล้วก็ค่อยๆ ยืดตัวออกจากผนังถ้ำมองดูลักษณะไม่ผิดไปจากลำตัวและหัวของอสรพิษร้ายเลย มันส่ายหัวไปมาเพื่อมองหาเหยื่อ กลัวมันจะฉกพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์สิงห์ก็ปานนั้น เพราะท่านทั้งสองนั่งอยู่ใกล้ๆพวกกองทัพแร่เหล็กอาถรรพ์อันน่าขยะแขยงนั้นห่างสักสองวา เสียงสวดพุทธมนต์กังวานขึ้นกว่าเก่า มันช่างมีพลังอย่างประหลาดลึกล้ำยิ่งนัก ทันใดนั้นเจ้าแร่เหล็กมีชีวิตก็พุ่งหัวลงมาที่ขันน้ำผึ้ง ที่พระอาจารย์สิงห์ถืออยู่ในมือ มันเริ่มดูดกินน้ำผึ้งป่าซึงเป็นอาหารจานโปรดของมันอย่างเอร็ดอร่อยจนเกิดเสียงดังจวบๆลั่นถ้ำ พอได้จังหวะอันควรแล้ว พระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ก็พยักหน้าให้สัญญาณพระผู้เป็นศิษย์เอกให้ลงมือทำการได้ พระอาจารย์มั่นจ่อคมหญ้าคาที่เตรียมมาหนึ่งใบลงบนตำแหน่งคอของแร่เหล็กกายสิทธิ์นั้น ถึงเวลานี้เณรน้อยผู้เป็นศิษย์ทั้งหวาดหวั่นทั้งงุนงง “ขนาดมีดหมอเล่มเบ้อเริ่มเทิ่มแถมยังคมกริบ ยังจัดการกับเหล็กผีสิงนี้ไม่ได้ ประสาอะไรกับหญ้าคาต้นเล็กๆ คมทื่อๆ จะจัดการกับความแข็งแกร่งของเหล็กอาถรรพ์นี้ได้รึ” พระอาจารย์ผู้รับหน้าที่เฉือนคอเหล็กมรณะหันมายิ้มน้อยๆ ให้กับลูกเณรผู้สงสัย การรู้วาระจิตของผู้อื่นเป็นเรื่อง
หน้า 7
ธรรมดาของท่านอยู่แล้ว พระผู้เป็นอริยะกดคมหญ้าคาลงบนสายแร่เหล็กอาถรรพ์นั้นเบาๆ “เพล้ง....” ขันลงหินที่บรรจุน้ำผึ้งจนเต็ม ร่วงหลุดจากมือของพระอาจารย์สิงห์ลงกระทบกับพื้นถ้ำ อันเป็นหินศิลาเนื้อแข็งแกร่ง น่าประหลาดยิ่งนัก ธรรมดาอันว่าขันลงหินนี้ หากร่วงหล่นลงสู่พื้นที่แข็งแกร่งป่านนี้ ขันนี้ก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที แต่นี่น่าประหลาดเป็นนักหนา ไม่เพียงแต่จะไม่แตกหรือบิ่นแล้ว น้ำผึ้งที่บรรจุอยู่เต็มเกือบล้นในขันนั้น ยังกลับไม่หกหรือกระฉอกออกมาจากขันแม้เพียงสักหยดเดียว
พระอาจารย์มั่น ล้วงมือลงในขันน้ำผึ้งนั้นหยิบเอาวัตถุสีดำมะเมื่อมออกมา มันมีลักษณะกลมเกลี้ยงเหมือนลูกแก้วที่เด็กโยนเล่น ขนาดก็ประมาณเท่าๆนั้นเช่นกัน ความแปลกประหลาดไม่เพียงแต่คมหญ้าคาจะตัดเหล็กมรณะจอมหนังเหนียวได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นๆกับตาก็คือหลวงพ่อมั่นท่านตัดเหล็กอาถรรพ์นั้นมีความยาวเกือบศอก และก็เป็นท่อนกลมๆ คล้ายกระบอกข้าวหลาม แต่ไฉนพอขาดออกจากกันแล้วกลับกลายเป็นก้อนกลมเกลี้ยงแถมมีขนาดเล็กเหลือเพียงเท่ามะขามป้อมหรือลูกแก้วของเล่นเด็กๆไปได้ นี้แหละหนออาถรรพ์ของธรรมชาติมันเกินที่มนุษย์ปุถุชนคนมีกิเลสหนาจะเข้าใจและเข้าถึงได้

ล้างอาถรรพ์
พิธีกรรมเฉือนคอโคตรเหล็กจอมอิทธิฤทธิ์ดำเนินการต่อไป และทุกครั้งที่ท่านพระอาจารย์มั่นตัดเหล็กไหลมรณะเหตุการณ์ก็จะเหมือนกันทุกครั้งไป คือขันน้ำผึ้งจะร่วงหลุดจากมือของท่านพระอาจารย์สิงห์ มันคงจะหนักมากสินะจึงไม่สามารถจะต้านทานความหนักหน่วงนั้นได้ เหล็กกายสิทธิ์ที่หมู่มนุษย์ผู้ละโมบใฝ่หาอยากได้ครอบครอง จนต้องพากันเอาชีวิตมาเซ่นสังเวย ณ ที่แห่งนี้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนนับแต่อดีตจวบจนวันที่สามพระอริยะมาปรากฏกายขึ้น ณ แดนอาถรรพ์แห่งนี้ ถูกหลวงพ่อมั่นตัดแจกจนครบทุกรูปรวมถึงตัวท่านเองด้วย
เอาหละพิธีก็สิ้นสุดลงเท่านี้ ต่อจากนี้พวกเรามาสวดส่งผีเปรตทั้งหลายที่อยู่หนาแน่นเต็มไปหมดทั้งในถ้ำและนอกถ้ำแห่งนี้เถิด หลวงพ่อเสาร์ผู้เป็นพระอาจารย์เอ่ยขึ้นเมื่อสิ้นสุดพิธีศักดิ์สิทธิ์ลง ผีเปรตที่พระอาจารย์ใหญ่พูดถึงนั้นก็คือ ดวงจิตวิญญาณของทั้งพระทั้งคน ที่พากันเดินทางเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ด้วยหวังจะมาเอาเหล็กกายสิทธิ์ไปครอบครองและขายให้พวกมหาเศรษฐี ด้วยใครๆ ก็รู้ว่า “เหล็กไหล” มันคือแร่ธาตุที่มีอานุภาพและอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้ผู้ทีเป็นเจ้าของมัน จะประสบแต่ความสมหวังในชีวิตทุกประการ อาวุธใดๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ฐานะการเงินการงานก็มีแต่ดีขึ้นๆ รวยขึ้นๆ มันเป็นเหล็กสารพัดนึกหรือแก้วสารพัดนึกนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั้งหลายจึงพร้อมที่จะเสี่ยงความตายเพื่อจะให้ได้มาซึ่งของวิเศษอันนี้
สามมหาสมณะผู้เข้าถึงแดนมรรคธรรมขั้นสูงแล้ว เริ่มพิธีสวดแผ่เมตตาและบังสุกุลส่งเหล่าดวงจิต
หน้า 8
วิญญาณแห่งผีเปรตทั้งหลาย ที่ทนทุกข์ทรมานมานานแสนนาน ให้หลุดพ้นจากความเป็นเปรตร้าย และให้ไปผุดไปเกิดในอัตภาพที่ดีกว่า เวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูปพิธีปลดปล่อยดวงจิตวิญญาณฝูงผีร้ายที่ทนทุกข์ทรมานมาชั่วกาลนานก็สิ้นสุดลง บรรยากาศที่แสนอึดอัดเหมือนมีคนนับแสนๆ ล้านๆ มาแออัดยัดเยียดแย่งอากาศกันหายใจอยู่ในห้องเดียวกัน ก็ค่อยๆ ปลอดโปร่งโล่งขึ้น สายลมเย็นพัดโชยแผ่วๆ แล้วค่อยๆ แรงขึ้นๆ จับทิศทางไม่ได้ว่ามาจากทิศทางไหนแต่มันพัดมาจากภายในถ้ำแล้วผ่านผิวกายสี่สมณะศิษย์พระตถาคตเจ้า ออกไปสู่ปากถ้ำที่อยู่ห่างออกไปประมาณสักห้าสิบวา คงจะมีปล่องอากาศขนาดใหญ่อยู่จุดใดจุดหนึ่งของถ้ำ ความจริงแล้วภายในคูหาถ้ำแห่งนี้มันดูลึกลับสลับซับซ้อนมาก มีตรอกซอกถ้ำเป็นคูหาคล้ายๆห้องนอนมากมาย แต่ละห้องๆอาจสามารถบรรจุคนได้ห้องละเป็นร้อยๆคน และถ้ำอาถรรพ์นี้มีขนาดกว้างใหญ่มากคงบรรจุคนได้นับเป็นพันคนหรือมากกว่านั้น มีหมู่หินย้อยเป็นพวงระย้ายามต้องแสงไฟจากเปลวเทียนแพรวพรายระยับละลานตา สุดสวยงามดุจดั่งโคมไฟระย้าประดับเพชรในเวียงวัง บรรยากาศรอบๆ กายของสี่สมณะเจ้าบัดนี้ปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างแปลกประหลาด ผิดกับช่วงเวลาที่ผ่านมามันอึดอัดเหม็นอับสาบสาง จนหายใจแทบจะไม่ออก กลิ่นดอกไม้ป่าหลากหลายสายพันธุ์โชยเคลียเคล้ามากับสายลมยามบ่าย หอมชื่นใจคลายความตึงเครียด เสียงหวีดหวิวโหยหวนแล้วกลับกลายคล้ายเสียงผู้คนมากมายสาธุการแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข เสียงนั้นอื้ออึงแล้วค่อยๆลอยจางห่างไกลออกไปทางปากถ้ำตามกระแสสายลม ที่กำลังพัดพลิ้วโชยผ่านไป
จากนั้นสามอริยะเจ้าก็หันไปสวดพุทธมนต์อัญเชิญกลุ่มมหาเหล็กไหลให้พากันอพยพ หลบลี้คนผู้ลโมบไปอยู่ในถ้ำที่ห่างไกลใจกลางป่าทึบดงดิบอันไกลโพ้น ณ ที่แห่งนั้นแม้นใครจะเก่งกล้าปานใดก็ไปไม่ถึง “พวกเจ้าจงไปอยู่ในถ้ำที่อยู่ห่างไกลเมืองคนที่สุด จงพากันไปอยู่ในถ้ำแก้วเมืองพนมฉัตรของชาวบังบดโพ้นเถิด จะเป็นที่อยู่ที่เหมาะสมของพวกเจ้า ความตายความหายนะของหมู่มนุษย์ผู้โลภมากทั้งหลายก็จะได้ยุติสิ้นสุดหยุดลงเสียที” เสียงเรียบๆ ยะเยือกเย็นแต่ดังกังวานสะท้านถ้ำมหาอาถรรพ์ของพระอาจารย์เสาร์จบลง ก็เกิดภาพอัศจรรย์พันลึกขึ้นในทันใด ณ บริเวณเพดานถ้ำที่เต็มไปด้วยหัวตะปุ่มตะป่ำดำมะเมื่อมของหมู่แร่เหล็กกายสิทธิ์ เกิดภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าขึ้น เกิดการขยับตัวและเคลื่อนไหวของหมู่แร่เหล็กมรณะ คราวนี้เห็นกับตาว่ามันมีมากมายมหาศาลดูยุบยับเต็มไปหมดชวนให้ขนลุกซู่ชูชันขยะแขยงเกินคำบรรยาย หลวงพ่อมั่นพูดขึ้นมาลอยๆ ดั่งรู้ถึงความคิดของเณรน้อย “ไม่ใช้เป็นแสนดอก เป็นล้านๆ ตัวเลยละ หึๆๆ” พูดพร้อมกับหันมาทางเณรน้อยลูกศิษย์ใหม่พร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ เล่นเอาหน่อเนื้อพุทธางกูรตัวน้อยสะดุ้งโหยง พระอาจารย์ชั่งรู้ใจจริงๆ มันตรงกับความคิดของตนในขณะเลย ท่านเฉลยข้อสงสัยแก่เณรน้อยแล้ว เสียงเฟี้ยว...เคว้ง..ดังอึงคะนึงสะท้อนสะท้านไปตามซอกคูหาหินและหินย้อยระย้า ดังกังวานสะท้านดั่งระฆังพันๆใบถูกเคาะพร้อมๆกัน ฟังแล้วชั่งสะท้อนสะเทือนไปสุดขั้วหัวใจจนเกิดอาการหนาวสะท้านไปทั้งตัวขากรรไกรของสามเณรผู้ศิษย์ใหม่สั่นกระทบกันดังแก็กๆๆ ลั่นถ้ำ แข่งกับเสียงการเคลื่อนทัพของหมู่มหาเหล็กอาถรรพ์
หน้า 9
ส่วนสามพระอาจารย์ท่านอยู่ในอาการสงบหลับตาแน่วนิ่งกำหนดพลังจิต ส่งกองทัพมหาเหล็กกายสิทธิ์ไปสู่ดินแดนอันอยู่แสนไกล
เรื่องราวเหล็กอาถรรพ์แร่มรณะ ความตายของผู้ปรารถนาจะครอบครองมัน ถึงเวลาปิดฉากลงเสียที เหล็กไหลเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่และเป็นผู้ไม่มีความโลภเท่านั้นจึงจะได้เป็นเจ้าของ และที่สำคัญคือ เหล็กไหลเป็นของคู่บารมีเฉพาะผู้มีบุญบางคนเท่านั้น เลิกคิดที่จะแสวงหาต่อไปอีกเลยสูเจ้าทั้งหลายเอ๋ย ถ้าสูเจ้ามีบุญคู่ควรกับเหล็กไหล เหล็กไหลก็จะมาหามาอยู่กับสูเจ้าเอง เงินสักกี่แสนกี่ล้านหรือหมดทั้งโลกนี้รวมกันมา ก็ซื้อเหล็กกายสิทธิ์ไม่ได้แม้แต่สักก้อนเท่านิ้วก้อย ดอก หึๆๆ สาธุ

บทที่ 2
“ตอนพนมฉัตรนคร”
ริมทะเลสาบกลางขุนเขา
ท่ามกลางหมู่เทือกเขาน้อยใหญ่อันสลับซับซ้อนและยาวเหยียดนับเป็นแสนๆ กิโลเมตร เป็นม่านฉากกั้นระหว่างประเทศเวียดนามและประเทศลาวนั้น มีขุนเขาลูกหนึ่งใหญ่มหึมาสูงทะมึนเสียดฟ้านอนทอดกายสงบนิ่งมาเป็นเวลานานนับล้านๆ ปี มันแวดล้อมไปด้วยป่าไม้ดงดิบหนาทึบทั้งน้อยและใหญ่ แมกไม้นาๆ พันธุ์ ดอกไม้ กล้วยไม้ป่า นับล้านๆ ชนิดดารดาษงดงามเกินจะเอ่ยถ้อยคำใดๆบรรยาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเหล่าสัตว์ป่าดงดิบ อาทิ หมูเขี้ยวตันตัวเท่าลูกช้างมากมายหนาแน่นอยู่กันเป็นโขลงๆ ช้างป่า เสือทุกชนิด อีกทั้งเสือสมิงจอมอาถรรพ์ อสรพิษใหญ่ยักษ์มากมาย เก้ง กวาง วัวกระทิง ลิง ค้าง บ่าง ชะนี และสัตว์ต่างๆ ที่หมู่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ในถิ่นเจริญยังไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักอีกมากมาย ทั้งยังมีฝูงผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ผีกองกอย ผีโพลง ผีกระสือ ผียักษ์ อาถรรพ์ลี้ลับอีกมากมายเกินจะคณานับ ธรรมชาติช่างมีฝีมือในการผสานผสมกันระหว่าง อาถรรพ์หฤโหดและความอ่อนโยนสวยงามต่างๆ เช่น มวลหมู่แมกไม้ ขุนเขาทะมึนเสียดฟ้า ป่าดิบดงทึบ สายน้ำตก ดอกไม้ สัตว์ป่าอ่อนโยน สัตว์โหด ผีร้าย เหล่ายักษ์ทมิฬ เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ กลมกลืนสมานฉันท์หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้อย่างลงตัวไร้ปัญหา มีเพียงประติมากรรมชิ้นเดียวเท่านั้นที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นแล้วควบคุมมันไม่ได้ ซ้ำมันยังหันกลับไปเล่นงานผู้สร้างมันขึ้นมาเองเสียอีก ปติมากรรมที่แสนจะเลวร้ายและเนรคุณชิ้นนี้ก็คือ “ฅ. คน” นี้เอง
แดนดินถิ่นอาถรรพ์ดิบ ธรรมชาติที่งดงามดั่งเมืองเนรมิตที่ผมกำลังเขียนบรรยายอยู่นี้ มันคือเทือก “ภูเขาควาย”ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความอัศจรรย์พันลึก ความตาย ความเป็นอมตะ และความลึกลับต่างๆ เกิน
หน้า 10
ที่หมู่มวลมนุษย์ผู้ล้นเหลือด้วยกิเลสจะเกิดความเชื่อได้ แต่มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นมานานนับล้านๆ ปีแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครจะไปเปลี่ยนสภาวะอาถรรพ์ดิบนี้ได้ นอกจากจะเอาชีวิตไปเซ่นสังเวยความโหดดิบเท่านั้น
“เอาหละ...เราพักปักกลดกันที่ตรงนี้ก็แล้วกันคืนนี้” หลวงปู่แพงตาผู้เป็นหัวหน้าคณะและเป็นพระอาจารย์ของสองสมณะผู้ติดตามเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ เมื่อเดินสำรวจดูทิศทางของน้ำป่า ทางเดินของสัตว์ป่า เห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว สามหน่อพุทธวงศ์ก็โดยมีพระสองรูป สามเณรวัยสิบเจ็ดหนึ่งรูป ก็แยกย้ายกันไปกำหนดหาที่ปักกลดโดยหลวงปู่แพงตาผู้อาจารย์แนะนำทิศทางให้ หลวงปู่แพงตาขณะนั้นท่านมีอายุอยู่ราวๆ สัก 50 ปี หลวงปู่คำตาซึ่งเป็นพระอาจารย์ของผมเอง ท่านมีอายุ 45 ปี สามเณรน้อยผู้ติดตาม (ผมไม่รู้จักท่านจึงไม่บอกชขื่อ) มีอายุสิบเจ็ดปี สถานที่พักปักกลดคืนนี้อยู่บริเวณริมน้ำตกใหญ่สวยงามมาก มีชั้นหมู่หินใหญ่น้อยสลับซับซ้อนไต่ตัวลงมาจากยอดเขาสูงชันเสียดฟ้า ซึ่งเป็นทางมาแห่งสายน้ำตกอันสวยงามอลังการนั้น ธารน้ำตกสาดสายกระแทกโขดหินซับซ้อนดังซ่าๆ โซ่ๆ สนั่นป่าดิบ เคล้าคลอด้วยเสียงนกป่าและสัตว์ป่านาๆ ชนิด ที่กู่ร้องหากันในยามใกล้อัสดงผสมผสานเสียงพระพายยามสนธยาพัดโชยสะบัดกิ่งไม้ยางยูงที่ทอดตัวสูงเสียดเมฆา ฟังแล้วชวนคะนึงถึงเสียงเพลงและเสียงทิพยดนตรีของเหล่าคนธรรพ์ที่บรรเลงเพลงสรรเสริญหมู่เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ ชวนให้ดวงจิตเคลิบเคลิ้มระคนเคว้งคว้างวังเวงขนตามตัวชูชันลุกซู่อย่างประหลาด กลิ่นดอกไม่ป่านาๆ พันธุ์ที่ขึ้นดารดาษอยู่ทั่วบริเวณโชยกลิ่นมาตามสายลมอ่อน กระทบจมูกหอมเย็นระรื่นใจ ลำแสงสุดท้ายของดวงสุริยาส่องลอดช่องว่างของค่าคบไม้ สาดลงมากระทบสายธารน้ำตกที่ไหลซ่าไปทางทิศคะวันตก มองเห็นเป็นแสงระยิบระยับ ดุจเทพยุดานำเอาเกล็ดเพชรนิลจินดามาโปรยบูชาผืนแผ่นแม่พระคงคา ธรรมชาติยามนี้ช่างแสนสวยงามดั่งนั่งอยู่ท่ามกลางเมืองแมนแดนสวรรค์ สามสมณะหน่อพระไตรรัตน์แก้ว นั่งล้อมวงฉันน้ำร้อนดับเวทนาที่เกิดจากการหิวกระหาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการบุกป่าฝ่าดงดิบมาตั้งแต่เพลาเช้า สร่างซาลงแล้วก่อนจะแยกย้ายกันเข้ากลดที่ปักห่างกันชั่วเรียกกันถึง หลวงปู่แพงตาผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้เอ่ยเตือนสติสองศิษย์ที่มีอายุต่างกันกันด้วยเสียงเรียบๆ ขึ้นว่า “ท่านคำตา และ ลูกเณรเอ๋ย การอยู่ป่าดงดิบนั้นทุกก้าวและลมหายใจเข้าออก ล้วนแต่อันตราย ศีลที่บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเราไว้ได้ โดยเฉพาะเหล่ากอหน่อสมณะอย่างพวกเรา อาวุธสำคัญที่มีพะลานุภาพสูงที่สุดมีอยู่สองอย่างคือ ศีล และ สติ เท่านั้น จงรักษาศีลและเจริญสติให้มากๆ ภัยใดๆ ก็จะกล้ำกรายไม่ได้”

เส้นทางสู่นครพนมฉัตร
เสียงไก่ป่าส่งเสียงขันประสานรับกันทอดยาวเป็นคำรบที่สาม บ่งบอกถึงเวลาสว่างแล้ว ลมยามอรุณรุ่งสางโชยสะบัดน้ำค้างจากหมู่ใบไม้หลุดร่วงพรูลงกระทบหลังคากลดดังซ่า.. .เหล่าวิหกนกไพรส่งเสียงกู่หากัน
หน้า 11
เพื่อถามไถ่กันว่าราตรีนี้หลับสบายดีกันไหม ปลอดภัยกันหรือเปล่า ยังอยู่กันครบกันหรือไม่ วันนี้จะไปหาอาหารกันที่ไหนกันดี เสียงเสือสมิงดังสะท้านป่าเป็นระยะๆ เสียงแปร๋นๆ ของช้างป่าหัวหน้าโขลง ร้องให้สัญญาณแก่พลพรรคว่าตะวันจะขึ้นแล้ว สัตว์ป่ากลางวันทยอยส่งเสียร้องหากันอึงคะนึงไปทั่วป่าดิบไพรหนาค่อยๆกลบเสียงสัตว์กลางคืนให้ห่างจางไป เหล่ามวลบุปผาป่าที่แสนงามก็ไม่น้อยหน้าพากันแย้มกลีบบาน ปล่อยกลิ่นหอมรัญจวนใจคลุ้งไปทั่วผืนป่าริมสายธารน้ำตกอันใสเย็นยะเยือกนั้น แม้เวลาอรุณจะแก่กล้าดวงสุริยะเทพปรากฏกายขึ้นเหนือยอดเขาอันสูงชันเสียดฟ้าแล้วก็ตาม แต่ลำแสงอันทรงพะลานุภาพแห่งสุริยะขัยก็ยังไม่อาสามารถแหวกม่านหมอกอันหนาทึบที่แผ่ปกคลุมผืนป่านั้นได้เต็มที่ บรรยากาศทั่วบริเวณยังสลัวมัวครึ้มยังกับว่าเพิ่งจะตีห้า แต่สมณะผู้ช้ำชองป่าดิบอย่างหลวงปู่แพงตา ก็กำหนดรู้เวลาอันควรแก่การลุกขึ้นทำกิจแห่งการเจริญสมณะธรรม ท่านส่งเสียงกระแอมไอให้สัญญาณปลุกสองศิษย์สมณะผู้ติดตาม ไถ่ถามถึงการพักผ่อนในรัตติกาลที่ผ่านมา เมื่อทราบว่าศิษย์ทั้งสองยังสุขสบายดี ก็สั่งสำทับให้ลุกขึ้นทำกิจแห่งธุดงควัตรให้ถึงพร้อมเพื่อความไม่ประมาทและผิดข้อวัตรปฏิบัติแห่งเหล่ากอผู้เคร่งธรรม
เสียงน้ำตกยังคงส่งเสียงโซ่ซ่ารักษาหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง ละอองฟองฝอยของมันปลิวกระจายสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่มวลนาๆพฤกษาที่อยู่ล้อมรอบมัน เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนานมาแล้ว แผ่เมตตา ถอนฌานสมาธิแล้ว ก็ออกจากลดพากันเดินมุ่งสู่สายธารน้ำตกอันกว้างใหญ่คล้ายทะเลสาบกลางขุนเขาป่าใหญ่ดงดิบ เพื่อชำระรูปกายที่คายของโสโครกออกมาท่วมสรีระตลอดราตรีกาล
ชำระความเหม็นของผิวกายอันเน่าเปื่อยอยู่ตลอดเวลาด้วยธารน้ำใสจากธรรมชาติ สดชื่นอิ่มเอิบด้วยอากาศที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้มลภาวะ ห่มดองครองจีวรเป็นปริมณฑลดีแล้วก็เดินกลับสู่สถานที่ๆ ปักกลด ปลดบาตรที่แขวนบนกิ่งไม้ลงมา เทน้ำที่กรองดีแล้วลงในบาตร ล้วงมือลงในบาตรคนไปมา แล้วก็ยกขึ้นฉัน รู้สึกสดชื่นอิ่มเอมประดุจได้รับรสแห่งอาหารทิพย์จากเหล่าเทพยุดา ความหิวโหยหายไปในบัดดล ความกระปี้กระเป่ากระฉับกระเฉงบังเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์
“เทวดาจะมาอุปัฏฐากถวายอาหารทิพย์ให้พระธุดงค์ ที่มีศีลดี ศีลบริสุทธิ์ เทวดาเขาอยากได้บุญมากๆ เพราะบุญคือของวิเศษของพวกเทวดา” หลวงปู่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมแล้วจะบอกตรงกันอย่างนี้ การพักปักกลดท่ามกลางผืนป่าดิบขุนเขาซับซ้อนห่างวไกลบ้านเมือง ได้ผ่านไปอย่างปลอดภัย รอยตีนเสือรอยใหญ่ๆ เดินขวักไขว่ไปมา วนไปกลดนั้นทีกลดนี้ที รอยงูใหญ่เท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่สองรอยเลื้อยวนใกล้ๆ กลดทั้งสามหลัง
“เมื่อคืนเป็นยังไงกันบ้าง เห็นเพื่อนๆ เจ้าถิ่นมาเยี่ยมเยียนกันบ้างไหมละ หึๆๆ ?” เสียงพระผู้เป็นอาจารย์ใหญ่เอ่ยถามศิษย์ผู้ติดตามทั้งสอง หลังจากฉันเพลเสร็จแล้ว สมณะทั้งสามนั่งพักรับภัตตาหารที่ใต้
หน้า 12
ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กระท่อมของชาวบ้านป่าที่เป็นเจ้าภาพอาหารเพลวันนี้ หมู่บ้านป่าแห่งนี้อยู่ระหว่างเส้นทางธุดงค์เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านจะคุ้นเคยกับพระธุดงค์ดี
“ผมกลัวเกือบขาดใจตายเลยละครับหลวงพ่อ เสืออะไร งูอะไรก็ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ตัวมโหฬารขนาดนั้น อึ๋ย..น่ากลัวจริงๆ ผมเกือบจะลืมคำสั่งของหลวงพ่อแล้วตอนที่เห็นพวกมันมา” สามเณรหนุ่มน้อยให้คำตอบและเล่าความรู้สึกในขณะที่เผชิญหน้าจอมสมิงร้าย และเจ้าแห่งอสรพิษตัวมหึมา ที่มาวนเวียนอยู่รอบกลดและยืนจ้องมองเข้ามาในกลดโดยไม่พูดไม่จาอะไร ซึ่งขณะนั้นสามเณรเพิ่งลืมตาจากสมาธิ กำลังจะเอนตัวลงนอน เจ้าถิ่นทั้งสามตัวไม่รู้ว่ามาจากทิศไหน โดยเฉพาะเจ้าสมิงยักษ์เดินวนเสร็จมันดันยืนถลึงตามองเข้ามาในมุ้งกลด ขนาดอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล ยังมองเห็นดวงตาอันเขียวปัดของมันชัดเจน เสียงขู่คำรามของมันเล่นเอาผู้ถูกทักทายแทบจะคลั่งตายให้ได้ “มันเป็นเสือจริงงูจริงหรือเปล่าขอรับหลวงพ่อ” สามเณรเอ่ยถามผู้เป็นพระอาจารย์ขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังแสดงถึงความหวั่นหวาดอยู่ ผู้เป็นพระอาจารย์ทั้งสองหันหน้าสบตากันกันแล้วยิ้มน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแก้ข้อสงสัยอะไร ได้แต่บอกลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “จงรักษาศีลให้ดี ตั้งสติอย่าให้เผลอ เห็นอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่ารูป เสียงอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่าเสียง ในป่าดงดิบมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยอาถรรพ์อันตราย อย่าทำอะไรคิดอะไรนอกเหนือจากคำสั่งของหลวงพ่อก็แล้วกัน เป็นบุญตาของเจ้าแล้วที่ได้เห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายยังไม่เห็น และหนทางต่อจากนี้ไปจะยิ่งกว่านี้นะเจ้าเณรเอ๋ย หึๆๆ” ศิษย์ตัวน้อยสะดุ้งโหกยงแค่ที่เห็นเมื่อคืนก็เล่นเอาปัสสาวะชุ่มจีวรแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เหมือนหลวงพ่อรู้ใจท่านยกมือตบหัวศิษย์รักอย่างปลอบใจ “ไม่ไรดอกลูกเณรเอ้ย..เดินตามหลวงพ่อเจ้าปลอดภัยอยู่แล้ว หึๆๆ”
เหตุที่หลวงปู่ผู้เป็นหัวหน้ามาเอ่ยถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืนเอาตรงนี้ ก็เพราะท่ามกลางป่าดงดิบแดนอาถรรพ์นั้นมันมีกฎกติกาของมันอยู่ บางแห่งพูดกันได้บางแห่งต้องออกนอกบริเวณเสียก่อนจึงจะสนทนานั้นเรื่องนั้นๆได้ อยากจะพูดอะไรกันตรงไหนก็พูดเลยไม่ได้ มันผิดกฎของป่าดงดิบเขา

อาถรรพ์ว่านป่าดิบ
อีกชั่วหนึ่งก้านธูปดับ ราตรีกาลก็จะสาดสีดำอาบทาผืนป่าอาถรรพ์เทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อนแล้ว บนผืนฟ้าอันเวิ้งว้างมองเห็นเมฆสีดำปนแดงฉานคล้ายเลือดมนุษย์แผ่กระจายไปทั่ว หมู่วิหคนกไพรนาๆ ชนิด กำลังเกาะกลุ่มกันบินมุ่งหน้าสู่รวงรัง มันส่งเสียงร้องทักทายกันเสียงเจี้ยวจ้าว เสียงหมู่สัตว์ป่าที่เตรียมจะออกหากินกลางคืนส่งเสียงทักทายหมู่เพื่อนสัตว์ป่าที่กำลังจะพักผ่อนในค่ำคืน ก้องกังวานสะท้อนไปตามซอกภูผา ฟังคล้ายเสียงโหยหวนเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนที่ถูกจองจำทรมาน ฟังแล้วรู้สึกหนาวสะท้านไปจับขั้วใจอย่าง ประหลาด “ข้างหน้าโพ้น จะมีหมู่บ้านของชาวข่า พวกเราจะไปพักกันที่นั่น อดทนอีกหน่อยนะพวกเรา
หน้า 13
ที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การปักกลดของพวกเรา” สภาพของป่าที่คณะสามสมณะผู้เคร่งในศีลกำลังจาริกผ่านไปนั้น มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายคนโอบยืนตระหง่านมากมายหนาแน่นมีป่าโปร่งเป็นบางช่วง หนทางคดเคี้ยวด้วยเป็นภูเขาที่สลับซับซ้อน ขณะนี้คณะผู้เดินทางมุ่งหน้าสู่มหานครลี้ลับกำลังเดินอยู่บนเนินเขาที่ค่อนข้างสูงชันมากจึงต้องค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง หลวงปู่ผู้นำทางดูท่านจะเหมือนรู้เส้นทางดีทั้งๆ ที่นี้คือครั้งแรกที่ท่านนำคณะผู้ติดตาม บุกป่าฝ่าขุนเขาอันสูงชันเข้ามาในดินแดนที่ไม่เคยรู้จัก คงเป็นธรรมดาของผู้ที่เข้าถึงซึ่งวิชาตาทิพย์แล้วกระมัง เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลอาบใบหน้าของเหล่ากอสามสมณะ ผ้าจีวรเปียกชุ่มด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่อากาศในหุบเขาวันนี้มันหนาวสะท้านเข้าขั้วหัวใจอย่างประหลาด
ดวงสุริยะขัยลาลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุมขุนเขาผืนป่าอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว ดวงตะวันไม่ยอมทิ้งแสงสุดท้ายให้เห็นในผืนป่าใหญ่เช่นนี้ ชาวข่าดูจะคุ้นเคยกับพระหรือจะเป็นด้วยบารมีของครูบาอาจารย์ พวกเขาดูช่างมีน้ำใจไมตรีอันดี หัวหน้าเผ่านิมนต์ให้สามสมณะธุดงค์พักจำวัตรที่เรือนของตนเอง โดยบ้านในหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ใช้ไม้ไผ่ทั้งลำๆ มัดติดกันเป็นแถวเป็นฝาเรือน เสาใช้ไม้จริงทั้งต้นๆใหญ่เท่าท่อนขา พื้นดินคือพื้นเรือนใช้วิธียกแคร่เฉพาะจะใช้เป็นที่นอน หลังคามุงด้วยหญ้าชนิดหนึ่งคล้ายๆ หญ้าคาแต่มีใบหนาและใหญ่กว่าวางเป็นตับๆ แล้วใช้ไม้ไผ่ทั้งลำวางทับแล้วมัดเข้าด้วยเถาวัลย์ ดูก็แข็งแรงแน่นหนาดี ตรงกลางเรือนเป็นเตาไฟ ก่อกองไฟสุมไว้ทั้งคืนเพื่อขับไล่ความหนาวเหน็บที่แสนหฤโหดในต้นฤดูเหมนต์
คืนนั้น ทั้งสามพุทธวงศ์ได้ที่พักเป็นแคร่ขนาดใหญ่คนสิบคนนอนได้สบาย พื้นของแคร่ยกสูงจากพื้นดินประมาณสักหนึ่งวามีบันไดไต่ขึ้นสามขั้น แคร่ที่พักนี้เจ้าของเรือนทำไว้สำหรับผู้มาเยือน นี้คือความสวยงามและความเจริญทางด้านจิตใจที่ยังเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวของหมู่มนุษย์ ที่อยู่ในท่ามกลางอ้อมกอดของธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ความจริงแล้วความเจริญด้านวัตถุที่หมู่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาอย่างไม่ยับยั้งนั้นมันคือความหายนะของหมู่มนุษย์เอง
ค่ำคืนนี้ ตรงกลางลานหน้าบ้านของหัวหน้าเผ่า มีการสุมกองไฟกองใหญ่มหึมาเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสวไปเกือบทั่วหมู่บ้านเล็กๆ นี้ เสียงประทุของเปลวไฟดังปุ่ๆ เป็นระยะๆ ดังได้ยินไปไกล เหล่าชายฉกรรจ์จำนวนสักยี่สิบกว่าคนนั่งล้อมกองไฟอาศัยความอบอุ่นจากแม่พระเพลิง มีผู้หญิงวัยชราอายุราวๆ สักเจ็ดถึงแปดสิบปีห้าคนนั่งหน้าเศร้ารวมอยู่ด้วย หญิงผู้เฒ่าเหล่านั้นมือสองข้างถูกมัดรวบติดกัน ขาก็ถูกมัดเช่นกัน เธอผู้มีวัยใกล้กองฟอนเหล่านั้นทำผิดอะไรหนอ จึงมีสภาพว่ากำลังรอการพิพากษาจากผู้นำของเผ่าชนเช่นนั้น
เวลาล่วงสองทุ่มไปแล้ว แต่บรรยากาศบ้านป่าดงทึบเช่นนี้เหมือนว่าเวลาสักสี่ห้าทุ่มแล้ว หัวหน้าเผ่า
หน้า 14
ก็เดินออกจากเรือนของตนตรงไปยังกองไฟหน้าบ้าน เพื่อสมทบกับลูกบ้านที่มาพร้อมกันแล้ว เขาเริ่มสั่งการลูกบ้านเป็นภาษาข่าฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อคำสั่งจบลงชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาคนแก่ทั้งห้าที่นั่งหน้าเศร้าและร้องไห้เบาๆ อยู่ หญิงแก่เหล่านั้นมีท่าทางจะดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่มากนัก เหมือนรู้ว่ายังไงก็ต้องยอมให้ชายกลุ่มนั้นกระทำบางอย่างแก่ตน เห็นชายเหล่านั้นยัดอะไรบางอย่างเข้าปากของหญิงชราทั้งห้า ได้ยินเสียงบังคับให้เคี้ยวและกลืนกินสิ่งนั้น สีหน้าของชายผู้เป็นหัวหน้าเผ่าและคนอื่นๆดูสลดเล็กน้อย ไม่กี่ชั่วอึดใจภาพที่เห็นในตำแหน่งที่คนวัยใกล้ฝั่งทั้งห้านั่งอยู่เมื่อสักครู่ บัดนี้มีหมูตัวขนาดสักเกือบร้อยกิโลกรัมนอนดิ้นคลุกๆ ส่งเสียงร้องกรี๊ดๆทุรนทุรายไปมาจนฝุ่นผงฟุ้งกระจาย ชายจำนวนสิบคนเหมือนรู้หน้าที่ นำไม้คานหามเข้ามาสอดใส่ระหว่างขาหมูที่ถูกมัดรวบไว้ แล้วหามเดินไปอีกมุมหนึ่งของลานบ้าน ซึ่งห่างจากที่ชุมนุมไปสักสิบกว่าวา คนทั้งหมดลุกเดินตามกันไปในมือถือขี้ใต้ที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง เสียงร้องกรี๊ดๆของหมูเคล้าระคนโหยหวนชวนสยองเกล้าดังแข่งกันขึ้น เสียงไชโยตีเกราะเคาะไม้เป็นจังหวะรัวเร็วเร้าร้อน ดังขึ้นแข่งกับเสียงกรีดร้องของนักโทษประหารที่ไม่รู้ว่าผิดเรื่องอะไร สุนัขป่าประสานเสียงหอนโหยหวนดังแว่วมาจากหุบเขาที่ยืนตระหง่านล้อมรอบหมู่บ้าน เสียงมันโหยหอนยาวรับประสานกันใกล้เข้ามาใกล้เข้ามา สุนัขบ้านก็พลันเห่าหอนรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฟังแล้วมันยิ่งเพิ่มความสะดุ้งขนพองสยองเกล้ามากขึ้นเป็นทวี อาศัยดวงจิตผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชนจึงสามารถประคองเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นแล้วสามเณรน้อยผู้อาคันตุกะคงจะบ้าตายเป็นแน่
เสียงกรีดร้องโหยหวนของเหยื่อประหารและเสียงตีเกราะเคาะไม้ จางหายไปกับความมืดของรัตติกาลแห่งขุนเขาแล้ว เสียงหอนโหยหวนของเหล่าสุนัขบ้านสุนัขป่ายังคงเห่าหอนกันเป็นระยะๆ เสียงสัตว์กลางคืนที่แสนดุดันคืนนี้กลับแผ่วเบาผิดวิสัยของพวกมันยังกับว่ามันหวาดหวั่นอะไรบางอย่าง ในรัตติกาลอันไร้แสงจันทร์ กองเพลิงที่สุมอยู่ลานหน้าบ้านของหัวหน้าเผ่ายังคงลุกโชติช่วงอยู่ดังเดิม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาส่วนหนึ่งกำลังคัดแยกเนื้อหมูสดๆ ที่ผ่านตะแลงแกงมาเมื่อสักครู่ บางส่วนก็นั่งคุยกันสูบยาใบตองพ่นควันโขมง ภายในกระท่อมใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้าน สามอาคันตุกะผู้ทรงศีลสังวร ยังคงนั่งหลับตาเจริญจิตภาวนาอยู่ ภายในห้วงจิตอันบริสุทธิ์ของสามหน่อเนื้อเชื้อไตรรัตน์แก้วนั้นกำลังแผ่ข่ายจิตอุทิศบุญกุศลให้เหล่าสุกรห้าผู้น่าสงสาร ที่เพิ่งถูกประหารไปเมื่อสักครู่และดวงจิตวิญาณที่สิงวนเวียนด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มานานแสนนานอีกมากมายให้ไปผุดไปเกิดในที่สุคติ เวลาล่วงไปเกือบยามสองแล้วหลวงปู่ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่จึงให้สัญญาณด้วยโทรจิต อนุญาตให้ศิษย์ผู้ติดตามถอนฌานสมาธิและให้พักผ่อนได้
ดวงสุริโยไขแสงส่อง ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกค่อยๆเปิดม่านสว่างขึ้น แสงอรุณรุ่งสาดแสงผ่านม่านหมอกอันหนาแน่นบนยอดแห่งขุนเขาที่ยืนตระหง่านสลับซับซ้อน มองเห็นเป็นสีสันต่างๆงามประหลาดนัก
หน้า 15
ปรากฏการณ์เช่นนี้มีให้เห็นเฉพาะในดินแดนแห่งหุบเขาป่าดิบดงทึบเท่านั้น ไก่ป่ามากมายหลายสายพันธุ์ ยังคงส่งเสียงขันปลุกเร้าทุกชีวิตในผืนป่าให้ตื่นขึ้น สัตว์ป่ากลางคืนส่งเสียงอำลารัตติกาล เหล่ามฤคสีหราช นาๆสัตว์ไพรที่ออกหากินกลางวันก็ส่งเสียงทักทายอรุณรุ่งสาง
อาหารบรรจุในภาชนะใบตองป่าใบใหญ่ยักษ์ และในกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งซีกที่ทำขึ้นแทนถ้วยชาม ถูกลำเรียงเข้ามาวางเฉพาะหน้าของสามเหล่ากอพุทธวงศ์ ภัตตาหารเช้าวันนี้มีเผือกและมันป่าเผาใช้ฉันแทนข้าว อาหารกับก็มีจำพวกเนื้อสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น กระต่ายย่าง ไก่ป่าย่าง ลิงย่าง งูย่าง ทั้งหมดนี้แขกผู้ที่ได้รับ
เกียรติจากชนเผ่าข่าเห็นแล้วก็ถึงกับเกิดมวนปั่นป่วนในท้อง เหล่าสัตว์ผู้ที่ได้รับเกียรติมานอนอยู่ในภาชนะอาหารเหล่านี้ ก่อนหมดชีวิตอย่างไรก็มีสภาพเดิมๆ อย่างนั้น ต่างแต่ถูกเผาย่างจนขนไหม้เกรียนแล้วเท่านั้น ส่วนความสุกนั้นอยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เลือดยังเยิ้มอยู่ตามรอยแผลที่ถูกทุบด้วยของแข็ง แต่ยังมีอาหารอีกเมนูหนึ่งที่หัวหน้าเผ่าแนะนำและชวนชิมด้วยความภาคภูมิใจซึ่งมันเป็นเมนูเด็ดของอาหารเช้ามื้อนั้น “นี่เป็นอาหารชั้นเลิศ ที่ปีหนึ่งจึงจะมีให้กิน พวกเราจะทำอาหารชนิดนี้ในปีใหม่ บูชาเทพแห่งความหนาวเพื่อจะได้ไม่ลงโทษพวกเรา พวกสูเจ้ามาสู่หมู่บ้านของพวกเราได้จังหวะที่ดี ดังนั้นจึงขอเชิญกินอาหารอันวิเศษนี้เถิด” หัวหน้าเผ่ารายงานและเชิญชวนให้ชิมเป็นภาษาข่า หลวงปู่แพงตา และหลวงปู่คำตาฟังออก “อาหารที่สูเจ้าพูดนี้ทำมาจากเนื้ออะไรรึ” หลวงปู่แพงตาถามพร้อมกับชี้มือไปที่อาหารดังกล่าว ที่อยู่ในภาชนะกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งซีกขนาดเท่าท่อนขา “หึๆๆ..มันมาจากเนื้อหมูที่พวกเราทำพิธีฆ่าเมื่อคืนนี้เอง” ผู้นำเผานั่งยองๆ ยกมือข้างหนึ่งเกาหัวแกร็กๆจนขี้หัวร่วงพรูจากผมยาวที่ยุ่งเหยิงปีหนึ่งจะสระครั้งหนึ่ง พร้อมหัวเราะหึๆด้วยความภูมิใจอย่างไร้เดียงสา ดีใจที่ได้นำเสนออาหารจานเด็ดแก่ผู้มาเยือน “หมูป่าเรอะสูเจ้า” สั่นหัวก่อนตอบโดยไม่ต้องคิดอะไร “หมูคนไม่ใช่หมูป่า” ตอบห้วนๆเสียงดังฟังชัดตามประสาชาวป่า
อาหารเช้าที่หมู่บ้านชาวข่าผู้อารี คณะธุดงค์ขอฉลองศรัทธาเฉพาะเผือกมันเผาก็พอ โดยเลี่ยงไปว่าการเดินป่าของคนเผ่าศีรษะโล้นนั้นมีข้อห้ามไม่ให้ฉันเนื้อระหว่างเดินป่า มิเช่นนั้นผีปู่ผีตาจะลงโทษให้ถึงตาย พวกเขาก็ไม่ขัดข้อง เลยยกออกไปล้อมวงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย “หมูคนที่ว่าก็คือ” ในชนเผ่าข่าแห่งนี้ เวลามีงานสำคัญๆ เช่น งานแต่งงานของคนสำคัญในเผ่า งานไหว้ผีปู่ผีตา งานไหว้เทวดาแห่งความหนาว (ต้นฤดูหนาว) พวกเขาก็จะทำการฆ่าหมูคนครั้งหนึ่ง “หมูคนก็คือคนที่กลายเป็นหมู” ในป่าดงดิบกลางขุนเขาอันห่างไกลจากดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุของหมู่มนุษย์ยุดไฮเทค ยังเต็มไปด้วยความลี้ลับและอาถรรพ์ดิบเกินที่คนในเมืองจะเชื่อได้ แต่มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้ นอกเสียจากความเจริญที่แสนจะโง่เขลาของคนเมือง
“ว่านหมู” คือประติมากรรมชิ้นหนึ่งจากธรรมชาติ ชนเผ่าข่าแห่งนี้มีประเพณีแปรรูปเนื้อคนให้เป็นเนื้อ
หน้า 16
หมูโดยพวกเขาจะนำเอาคนแก่ที่ไม่สามารถจะประกอบการงานอะไรได้แล้วมาแปรรูปให้เป็นหมูรสโอชะ โดยให้กินว่านอาถรรพ์มรณะนี้เข้าไป พวกเขาไม่เลือกว่าคนแก่คนนั้นจะเป็นใครญาติของใคร หนึ่งในหมูห้าตัวที่ถูกฆ่าบูชาเทวดาในปีนี้ก็มีแม่ของหัวหน้าเผ่ารวมอยู่ด้วย “มันเป็นวงเวียนแห่งบาปกรรมของชาวบ้านป่าผู้อยู่ห่างไกลอารยะธรรมมนุษย์ไฮเทค” พวกมนุษย์ป่าเหล่านี้เกิดมาร่วมกันพบกันเพื่อฆ่ากันกินกัน มันจะเป็นไปอย่างนี้ตราบนานแสนนาน จนกว่าพระศรีอาริยะเมตรัยจะเสด็จมาโปรดจึงจะสิ้นโทษหมดบาปเวรกัน”
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้หลวงปู่คำตาไม่ฉันเนื้อหมูตลอดชีวิต ท่านคือศิษย์เอกผู้น้องของหลวงปู่แพงตาผู้พ้นโลกสงสารแล้ว...แล
พิภพอสูร
เทพแห่งแสงสว่างเคลื่อนราชรถมาตรงศีรษะสามเนื้อนาบุญพอดี แม้อากาศจะไม่ร้อนนักด้วยเป็นช่วงฤดูหนาว แต่เหงื่อเม็ดโป้งๆก็ไหลอาบใบหน้าและโซมกาย ตั้งแต่เช้าตรู่สามสมณะยังเดินบุกป่าฝ่าดงทึบ ขุนเขาอันสูงชัน หนทางบางช่วงก็คดเคี้ยวไปมา บางแห่งก็เดินสบาย แต่บางแห่งก็แสนจะทุระกันดาน จีวร แขน ขา เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากหนามของเถาวัลย์บ้าง หนามไผ่ป่าเกาะเกี่ยวบ้าง เชื้อพระพุทธองค์ที่มีจิตใจตั้งมั่นในการเดินทางสู่มหานครลี้ลับก็ไม่รู้สึกท้อถอยแม้แต่น้อย เหมือนเทวดารู้ใจ ขณะนี้สามหน่อพุทธวงศ์กำลังเกิดเวทนาจากการกระหายน้ำเป็นอย่างยิ่ง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเหมือนมารกลั่นแกล้ง น้ำก็หมดจากกระบอกที่เตรียมมา แหล่งน้ำก็ไม่เจอแม้แต่หนองน้ำเล็กๆ แต่บัดนี้...บึงใหญ่มีน้ำใสไหลเย็นปรากฏอยู่ข้างหน้านั้นแล้ว บึงใหญ่ที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าของคณะธุดงค์นี้ มีความกว้างใหญ่สุดลูกหูกตามองดูคล้ายปากอ่าวทะเลหรือทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ที่ไม่เคยเห็นในโลกภายนอก มีหมู่โขดหินสลับซับซ้อนโผล่เหนือแผ่นน้ำเป็นหมู่ๆ เป็นเกาะแก่งเป็นแถวเป็นแนวได้ระเบียบสวยงามตระการตาดั่งมีนักแต่งสวนหินมือหนึ่งของโลกมาจัดแต่งเอาไว้ บางเกาะแก่งก็มีลานหินเอาไว้นั่งหรือนอนเล่นดูสะอาดสะอ้านมาก และแผ่นลานหินที่อยู่ล้อมรอบบึงใหญ่นี้ก็มีขนาดกว้างใหญ่ยังกับสนามฟุตบอล สะอาดสวยงามพื้นหินมีสีเหลืองทองดุจปานว่าปูด้วยแผ่นทองคำฉะนั้นแล ทั่วบริเวณกลางบึงอันกว้างไพศาลนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเหล่าดอกบัวหลากสีสายพันธุ์แปลกๆมากมาย ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยในชีวิต บางสายพันธุ์ก็มีดอกขนาดใหญ่กว่ากะด้งฝัดข้าวดอกสีขาวล้วนก็มี สีขาวปนแดง ชมพูปนแดง เหลืองปนขาว ขาวสลับเขียว แดงล้วนๆ ชมพูล้วนๆ เป็นต้น ดอกบัวบางกลุ่มก็กำลังโผล่ปริ่มผิวน้ำ บางกลุ่มก็กำลังเบ่งบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอนรัญจวนใจ หมู่ภมรผึ้งป่านาๆหลากหลายสายพันธุ์ต่างพากันบินมาเคล้าเคลียดื่มดูดเอาน้ำหวาน เสียงปีกหมู่แมลงหลากหลายดังอื้ออึงประสานเสียงน่าฟังนัก ฝูงปลาหน้าตาแปลกๆมีมากมายดำผุดดำว่ายหยอกเย้ากันไปมาน่าดูน่าทัศนา ธารน้ำใสไหลทอดสายมาจากทิศเหนือไหลตามไหลลงมาตามไหลเขาที่ทอดสูงชันเสียดเมฆ มองดูเหมือนว่าสายน้ำอันกว้างใหญ่นี้ไหลลงมาจากแดนสวรรค์อย่างนั้นแหละ มีเกาะแก่งหินโผล่ตามลำธารสลับกันเป็นแถวเป็นชั้น
หน้า 17
เป็นเชิงสวยงามยิ่งนัก สายมหาลำธารไหลผ่านบึงใหญ่ไปทางทิศตะวันตกไหลเอื่อยๆมุ่งหน้าสู่มหานทีสีทันดร (แม่น้ำโขง) อันไกลโพ้น เสียงนกป่าหลากสีสันหลายสายพันธุ์แสนสวยงาม พากันส่งเสียงประสานกันไพเราะดั่งสรรพเสียงสำเนียงแห่งนางเทพธิดา กำลังขับขานบทเพลงแห่งเมืองแมนแสนไพเราะจับใจพาให้เคลิบเคลิ้ม ดอกไม้ป่ามากมายสายพันธุ์ ดอกมะลิซ้อนมีดอกเท่าบาตรพระสีดอกขาวโพลนออกดอกเต็มต้น มีต้นเท่ากับต้นพิกุลทอง มีอยู่มากมายขึ้นดารดาษนับไม่ถ้วน มีทั้งจำปี จำปา เบญจมาศ ดอกแก้ว ดาวเรือง ยี่โถ ชงโค ดอกโมกข์ ดอกตะเคียนทอง ดอกว่าน กล้วยไม้หลายหลากสายพันธุ์ ห้อยพวงระย้าเกาะตามกิ่งค่าคบไม้ใหญ่ ออกดอกสะพรั่งหลากสีสลับกัน ยังมีหมู่มวลมาลาทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักมีอีกมากมายจนคำนวณไม่ถ้วน สีสันของดอกไม้ทั้งหลายในป่าแห่งนี้มีสีแปลกๆทั้งสุดสวยงามทั้งแฝงเร้นด้วยความลี้ลับอาถรรพ์ ที่ดอกมีสีแดงก็แดงเหมือนเลือดมนุษย์สดๆ หลวงพ่อพระอาจารย์ใหญ่สั่งห้ามผู้ติดตามอย่าเข้าใกล้พวกมันเด็ดขาด ท่านบอกว่าเลือดสดๆคืออาหารโปรดของมัน แต่มีดอกไม้บางสายพันธุ์มีสีสันของดอกเป็นสีน้ำเงินสดสวยงามมาก บางพันธุ์ก็เป็นสีม่วงสด สีดำสด บางพันธุ์ก็มีเจ็ดสีในดอกเดียวกัน ดอกไม้เกือบทุกชนิดมีขนาดของดอกใหญ่เท่าบาตรของพระในสมัยโบราณ ใหญ่กว่านั้นก็มี เล็กกว่าก็มี แต่ดอกเท่าในบ้านเมืองของเราไม่มีให้เห็นแม้แต่ดอกเดียว น่าอัศจรรย์จริงๆ และยังมีดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่มองดูแล้วรู้สึกขนลุกชูชันขึ้นทั้งตัว มันเป็นดอกว่านที่แทงดอกโผล่ขึ้นมาจากเดินมันไม่มีต้นมีกออะไรมีแต่ดอกล้วนๆ สีของดอกเป็นสีดำสนิทปนสีแดงเลือดสด “มันคือว่านผีปอบ มันมีดวงจิตวิญญาณร้ายสิงสถิตอยู่ เมื่อใดมีใครไปดึงหรือขุดเอาพวกมันขึ้นมาจากพื้นดิน เมื่อนั้นผืนพงป่าแห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยความตาย” หลวงพ่อใหญ่เอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ถึงอย่างไรดอกว่านชนิดนี้ก็มีความงดงามจับใจดึงดูดอารมณ์ของคนที่ทัศนาให้เคลิบเคลิ้มงวยงงดั่งถูกมนต์ดำสะกด”
เหล่ามวลมาลาโอนก้านกิ่งไหวสะบัดกลีบดอกพลิ้วล้อเล่นลม ดุจดั่งเทพยะอัปสรกรีดนิ้วฟ้อนรำไปตามจังหวะคีตดนตรีแห่งสิขีเทพบุตร โปรยพรมกลิ่นหอมเย็นที่แสนประหลาดไปทั่วผืนไพร เสียงเก้งกวางแลสรรพสัตว์ป่าระเริงร้องเสียงก้องกังวานประสานกันเป็นระยะๆ บนท้องนภากาศหมู่เมฆสีขาวนวลเกาะกลุ่มล่องลอยไปตามสายลมบนอย่างสบายใจโดยมีผืนฟ้าสีครามสดใสกางกั้นเป็นม่านฉากหลัง ห้วงเวหาหาวเหล่าวิหคนกน้อยใหญ่บินฉวัดเฉวียนล้อเล่นลมกับหมู่แมลงปอ ผีเสื้อปีกใหญ่แสนสวยมากมายหลายสายพันธุ์ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่สีปีกบางตัวก็งดงามอย่างประหลาดมีสีเลื่อมพรายระยับดุจเส้นไหม บ้างก็บินระเริงลมและเหย้าหยอกกัน บ้างก็แวะเวียนบินโฉบดูดกินน้ำหวานจากกลีบมาลาที่แย้มกลีบบานท้าทาย ไม่มีจิตรและนักศิลปะใดๆในโลกในโลกไหนๆอีกแล้วที่จะเก่งไปกว่านักออกแบบและนักสร้างสรรค์ที่มีนามกรว่า “ธรรมชาติ”
น้ำใสยิ่งกว่ากระจกเงาในบึงใหญ่กลางขุนเขา ช่างเย็นฉ่ำหวานชื่นใจดุจดั่งน้ำทิพย์ ความเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางขึ้นเขาลงเนินหนทางอันคดเคี้ยว เหือดหายราวปลิดทิ้ง มันชุ่มฉ่ำสดชื่นมีพลังเหมือนได้เสพน้ำทิพย์แห่งสรวงสวรรค์ สามหน่อเนื้อเชื้อโพธิญาณหลังลงสรงสนานรูปกายอันชุ่มเหงื่อมาหลายวัน
หน้า 18
แล้ว ก็พากันขึ้นมานั่งพักผ่อนชื่นชมธรรมชาติอันสวยงามตระการตานั้น เพื่อประทับภาพความงดงามที่แสนประหลาดมหัศจรรย์พันลึก ที่หาทัศนาที่ไหนมิได้อีกแล้วในโลก เพื่อเก็บเอาภาพที่สุดงามแสนพิสดารนั้นลงไว้ในความทรงจำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะได้นำมาเล่าสู่ให้ลูกหลานที่อยู่ในโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายความเฟ้อฟุ้งปรุงแต่งฟังได้ฟังเป็นบุญใจ และจะได้ซาบซึ้งถึงความมีบุญคุณของธรรมชาติ จะได้เกิดความรักความหวงแหนสิ่งต่างๆที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาให้แก่โลก รวมถึงตัวของชาวโลกเองด้วย ความงดงามอันมหัศจรรย์เช่นนี้มีอยู่เฉพาะในผืนป่าดงดิบเท่านั้น
ในขณะที่ หนึ่งพระอาจารย์กับสองลูกศิษย์กำลังเพลิดเพลินกับความงามต่างๆของธรรมชาติรอบตัวที่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงดังหึ่งๆๆ มาจากเบื้องบนท้องฟ้า ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงบินของฝูงผึ้งป่าฝูงใหญ่ยักษ์หรือฝูงนกยักษ์ เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาใกล้เข้ามา สามสมณะเงยหน้าแหงนมองไปยังทิศทางที่เกิดเสียงนั้น ดวงสุริยันพลันมืดมัวไปชั่วขณะเมื่อกลุ่มฝูงบินอะไรบางอย่างบินผ่านลำแสง พวกมันบินดิ่งลอยต่ำลงมายังกลางบึงใหญ่ที่คณะธุดงค์นั่งพักผ่อนอยู่ สายลมเกิดปั่นป่วนขึ้นในฉับพลัน ใบไม้โบกใบสะบัดกระทบกันดังเกรียวกราว หมู่วิหคนกกาแลผีเสื้อป่าพากันตระหนกตกใจบินแตกฮือไปคนละทิศละทาง
ภาพที่เห็นจะๆปรากฏต่อสายตาหกดวงของสามผู้ทรงศีล มันเป็นมนุษย์ตัวล่ำสันใหญ่โต ผิวดำเป็นเงามันมะเมื่อม สวมใส่เครื่องแต่งกายคล้ายๆตัวยักษ์ในรามเกียรติสีของเครื่องแต่งกายมีสีสันแตกต่างกันไป บ้างเป็นชุดสีดำ บ้างชุดเขียว บ้างชุดแดง สวมเครื่องประดับด้วยเพชรนิลจินดาแพรวพราย สวมกำไลข้อแขนข้อเท้า ใส่ต่างหูเป็นวงกลมใหญ่ล้อมด้วยเพชรพลอยแวววับ ใส่สร้อยคอเส้นใหญ่เป็นทองคำร้อยด้วยเพชรเม็ดโตๆ ผมดำหยิกม้วนเป็นเกลียว ดวงตากลมใหญ่เหลือกถลน จมูกโด่งบานใหญ่ ตามแขน ขา ลำตัวมีขนขึ้นดกหนาคล้ายคิงคอง ในมือถืออาวุธครบทุกตน อาวุธที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นขวานเล่มโตมหึมา และเป็นหอกสามง่าม โตมร ดาบง้าวประดับเพชรสีประกายรุ้งพราวระยับยามต้องแสงตะวัน
พอพวกมันเหาะลอยลงมาถึงกลางบึง ก็พากันเนรมิตกายที่ใหญ่โตเล็กลงเหลือตัวเท่าเด็กทารกแรกคลอด แล้วพากันมุดหายเข้าไปในใจกลางดอกบัวดอกมหึมาที่บานสะพรั่งหลากสีหลากพันธุ์ มากมายมหาศาลที่ผุดเต็มท้องน้ำแห่งบึงใหญ่กลางมหานครขุนเขาอันลี้ลับ ตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์อันระทึกนั้นเป็นเวลาเกือบชั่วโมง แล้วทุกสิ่งก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ “มันเป็นพวกอสูรแตกทัพ พวกอสูรเหล่านี้มันสู้รบกับพวกเทวดามาเป็นเวลาล้านๆปีมาแล้ว พวกมันไม่เคยรบชนะพวกเทวดาแม้สักครั้งเดียวเลย น่าสงสารจริงๆ” หลวงปู่แพงตาเริ่มไขข้อสงสัยแก่ศิษย์ทั้งสอง “อ้าว..ไม่เคยชนะเลย แล้วจะไปสู้กับพวกเขาทำไมกันละขอรับหลวงพ่อ แล้วมันเรื่องอะไรกัน พวกอสูรจึงต้องพยายามไปเปิดสนามรบกับพวกเทวดาโดยไม่ยอมเลิกราอยู่อย่างนั้น” สามเณรน้อยเอ่ยถามหลวงพ่อผู้เป็นพระอาจารย์ด้วยความสงสัยเต็มกำลัง หลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตามองหน้า
หน้า 19
ศิษย์ตัวน้อยด้วยความเอ็นดู ยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มกังวานราบเรียบเล่าเรื่องย้อนหลัง
น้ำอำมฤต
“ย้อนเวลาถอยหลังไปสักหนึ่งพุทธันดร โลกขณะนั้นยังว่างจากพระพุทธเจ้า ในเมืองแห่งหนึ่งมีชายหนุ่มจำนวนสามสิบคนเป็นเพื่อนรักร่วมน้ำสาบานกัน และ สามสิบสหายนี้เป็นคนที่ชอบสร้างสาธารณะกุศลเช่น ชอบสร้างถนนหนทาง สร้างศาลาพักร้อนแก่คนเดินทาง สร้างสวนสาธารณะ โดยสหายทั้งสามสิบคนนี้เป็นมหาเศรษฐีของเมือง มีทรัพย์เทียบเท่ากัน เมื่อสร้างสาธารณะกุศลอะไรๆ จึงไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครมาร่วม พวกเขามีพาหนะเครื่องทุ่นแรงแทนรถแมคโครก็คือช้างหนึ่งเชือก ช้างตัวนี้เป็นช้างตัวใหญ่มีพละกำลังมาก ต้นไม้สิบคนโอบมันก็ดันให้ล้มลงได้ภายในพริบตา จะลากจะหามน้ำหนักเป็นสิบตันมันทำได้สบายๆ ช้างเชือกนี้มีชื่อว่าเอราวัณมันเป็นช้างเผือกเสียด้วย หัวหน้าแห่งสหายทั้งสามสิบคน เขามีภรรยาแสนสวยสี่คน เมียคนที่หนึ่ง คนที่สอง และคนที่สามชอบทำบุญเหมือนสามี ส่วนเมียน้องนุชคนสุดท้ายวัยรุ่นกว่าเพื่อน ขอแต่งตัวรอผัวอยู่บ้าน เมียทั้งสี่ของมาณพผู้เป็นพี่ใหญ่นี้พวกเธอรักและสามัคคีกันดีร้อยวันพันปี ไม่มีคำว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นที่ชื่นสำราญใจแก่มาณพหนุ่มผู้เป็นสามีเป็นนักหนา
วันเวลาผ่านพ้นไป สามสิบสหาย ช้างหนึ่งเชือกและภรรยาทั้งสี่ก็สิ้นชีพตักษัยไปตามกฎพระไตรลักษณ์ ด้วยอำนาจแห่งบุญใหญ่ที่พวกเขาได้ทำกันไว้ ก็ดึงดูดนำพาดวงวิญาณอันเปี่ยมด้วยบุญของพวกเขาพร้อมด้วยบริวารที่เกิดจากบุญอีกมากมายนับเป็นแสนๆโกฏิ (โกฏิหนึ่งมีจำนวนเท่ากับสิบล้าน) ไปปรากฏกายทิพย์ยังเทวะโลกชั้นที่สอง แต่ทว่าในดินเดนแมนสรวงแห่งนี้มีเจ้าของเดิมครอบครองอยู่ก่อนแล้ว จะทำไฉนดีหละ ครั้นจะพากันเลยขึ้นไปอยู่สวรรค์ที่สามอำนาจบุญก็มีไม่พอ ครั้นจะย้อนถอยลงไปยังสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง อำนาจแห่งบุญของพวกตนก็มีมาก หากขืนลงไปเหยียบย่างบนแผ่นดินของสวรรค์ชั้นนี้ ก็จะทำให้ผืนแผ่นพิภพถล่มทลายเป็นจุนมหาจุนเดือดร้อนกันไปทั่งสามโลกธาตุ
ย้อนกลับไปพิจารณา สภาพการเป็นอยู่แลการปกครองของเจ้าของถิ่นเดิมที่ปกครองพื้นพิภพแห่งนี้อยู่ในขณะนี้ก็เห็นขัดเจนว่า เทพเจ้าเหล่านี้มีนิสัยชอบดื่มเมรัยอำมฤต ดื่มแล้วก็พากันมึนเมาไร้สติ ไม่สนใจที่จะดูแลช่วยหมู่มนุษย์ตามหน้าที่แห่งตน แถมยังลงไปสิงสู่หมู่มนุษย์ในพาหมู่มนุษย์ให้หลงใหลมัวเมาในสิ่งมึนเมาเสพติดต่างๆ เกิดความเสียหายเสียศีลผิดธรรม เดือดร้อนวุ่นวายในครอบครัวในสังคมทุกหย่อมหญ้า พากันไม่ประกอบสัมมาอาชีวะอะไรๆ วันๆก็หาแต่เรื่องดื่มเรื่องเมาเรื่องเสพ อย่ากระนั้นเลยเหมาะแล้วที่พวกเราชาวเทพใหม่ ควรจะหาที่อยู่ใหม่ให้แก่เทพอสูรเหล่านี้ เมื่อที่ประชุนลงมติเห็นพ้องกันเช่นนั้นแล้ว เทพผู้เป็นหัวหน้าก็เข้าไปเจรจาประเล้าประโลม จอมเทพอสูรผู้เป็นใหญ่ ให้จัดพิธีกวนน้ำอำมฤตขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองการเกิดของเทพหมู่ใหญ่ จอมอสูรไม่ขัดข้องเพราะงานสนุกสนานรื่นเริงและการดื่มกินนี้ เป็นของโปรดของพวก
หน้า 20
ตนอยู่แล้ว และอีกอย่างหนึ่งอีกเดือนข้างนี้ก็จะถึงวันจัดพิธีกวนน้ำอำมฤตประจำปีอยู่ล้า จึงเป็นความโชคดีของเหล่าทวยเทพใหม่ที่กำลังแสวงหาแผ่นดินอยู่
พิธีกวนมหาน้ำเมาเสร็จสิ้นลงแล้ว ราชันแห่งอสูรเทพมีรับสั่งให้จัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริกใหญ่มโหฬารกว่าทุกปี เพื่อฉลองการเกิดใหม่ในแดนเทพของหมู่มนุษย์ผู้ใจบุญเหล่านี้ ในที่สุดหมู่อสูรเทพทั้งหลายผู้ตกเป็นทาสน้ำเมา ก็ถูกทวยเทพอาคันตุกะประเล้าประโลมมอมเหล้า จนเกิดอาการมึนเมาสลบไสลไร้สติสัมปชัญญะกันถ้วนหน้า เมื่อเหล่าเทพผู้เจ้าของนครล้มพับหลับสนิทกันหมดแล้ว เทพหัวหน้าก็มีเทวะบัญชา ให้เทพบริวารทั้งหลายพากันจับเอาเหล่าเทพอสูรทั้งหมดโยนลงจากสวรรค์ ไปตกยังแผ่นดินใต้เขาพระสุเมรุราชซึ่งเป็นแกนกลางของโลก อันว่าพื้นพิภพใหม่ที่พวกอสูรเทพตกลงมานี้ ภูมิประเทศต่างๆ มีลักษณะสภาวะแวดล้อมภูมิศาสตร์อะไรๆไม่ผิดเพี้ยนอะไรกับพื้นพิภพของสรวงสวรรค์ชั้นเดิมแม้แต่น้อย จึงไม่ทำพวกอสูรรู้สึกผิดปกติอะไร
เมื่อจัดการเนรเทศเจ้าของเดิมออกไปหมดสิ้นแล้ว เหล่าทวยเทพทั้งปวงก็ทำการสถาปนามาฆะมาณพเทพผู้เป็นหัวหน้า ให้ขึ้นเป็นองค์มหาราชจอมจักรพรรดิแห่งสวรรค์ ถวายพระนามว่า “ท้าวสักกะเทวะราช” เนรมิตปราสาทสูงร้อยโยชน์ขึ้น (โยชน์หนึ่งเท่ากับสิบหกกิโลเมตร) เป็นที่ประทับของพระอินทร์ ถวายชื่อปราสาทว่า “ไพชยนต์มหาปราสาท” สว่างไสวด้วยเพชรนิลจินดา แก้วประพาฬ แก้วมณีโชติ เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่ว่า “ตาวะติงสา หรือดาวดึงส์สวรรค์” ตาวะติงสาแปลว่าสามสิบ หมายถึงมีพระอินทร์สามสิบองค์นั้นเอง ช้างพาหนะประจำทีมงานก็เกิดเป็นเทพบุตรมีนามกรว่า “มาตุลีเทพบุตร” มีหน้าที่ขับราชรถให้พระอินทร์ แต่บางครั้งก็แปลงกายเป็นช้างหรือกุญชรเพบุตรมีเจ็ดเศียรบ้าง สามเศียรบ้างมีนามว่า “เอราวัณเทพบุตร” ส่วนเมียสามคนก็เกิดเป็นนางฟ้ากินตำแหน่งพระมเหสีของท้าวสักเทวะราชเหมือนเดิม เหลือแต่น้องนุชเมียสุดท้ายมัวแต่แต่งตัวยั่วผัวหลงความงามตนเองอยู่แต่บ้านก็เลยไปเกิดเป็นนกกะยางขาว หากินอยู่ตามลำห้วยกลางป่าใหญ่แต่ลำพังเพียงเดียวดายน่าสสาร ร้อนถึงอดีตสามีก็ต้องลงมาจากทิพยะบัลลังก์ มาช่วยบอกทางหาวิธีให้อดีตเมียสุดที่รัก ไปเกิดในสรวงสวรรค์ไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนตอนเป็นมนุษย์ นางนกกะยางขาวก็ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของสามี โดยย่อท้อโดยรักษาศีลห้างดอาหารที่ยังมีชีวิต ให้กินแต่ปลาที่ตายแล้ว เจ็ดวันมาแล้วที่นางนกกะยางผู้ถือศีลอดงดเว้นการฆ่า หาปลาตายกินไม่ได้เลย พอเข้าวันที่แปดก็โชคดีมีปลาตายตัวเบ้อเร่อลอยตุบป่องๆตามน้ำมา นางสุดแสนจะดีใจ รีบอ้าปากงับเอาปลาตัวนั้นขึ้นมาหกมายจะกลืนกินให้อร่อย แต่พอปลาตัวนั้นจะไหลลงรูคอ มันก็กลับดิ้นขลุกขลักๆ นางนกน้อยตกใจรีบคายออกจากปาก เกิดอาการเสียใจสุดประมาณเกรงจะผิดศีลก็ปานนั้น ท้องหรือหิวเจียนไส้จะขาดแล้ว ในที่สุดนางนกกะยางขาวอดีตเมียสาวแสนงามของพระอินทร์ ก็ขาดใจตายในบัดนั้นร่างอันผอมกะหร่องก่องของนางนกก็ลอยล่องไปกับสายน้ำนั้นเพียงเดียวดายไร้ใครเหลียวแล
หน้า 21
ย้อนกล่าวถึงเหล่าเทพอสูรผู้หลงกล น้ำอำมฤตออกฤทธิ์เมามายสลบไสลถึงสามเดือน พอสร่างเมาเหล่าอสูรก็ยังคิดว่ายังอยู่ในบ้านเมืองของตน จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ฤดูกาลเปลี่ยนเครื่องทรงเครื่องประดับใหม่ พวกเทพผู้นิยมเมาทั้งหลายก็พากันไปยังต้นไม้ทิพย์ประจำพิภพ เพื่ออธิษฐานเปลี่ยนผ้าทิพย์กันตามประเพณี เมื่อเหล่าเทพผู้มีรูปร่างอันใหญ่โตมาพร้อมหน้ากันแล้ว จอมอสูรมหาราชาก็นำหมู่บริวารตั้งจิตอธิษฐาน ขอเครื่องทรงอันเป็นทิพย์เครื่องประดับอันเพริดพรายอลังการ แต่แล้วเหตุการณ์ก็ทำให้จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่พร้อมมวลอสูระนิกรตื่นตะลึงเป็นนักหนา จบคำประกาศิตอธิษฐานทุกครา ผ้าทิพย์และเครื่องประดับอันสวยงามก็จะปรากฏแขวนห้อยระย้าอยู่บนกิ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้นทันที แต่บัดนี้สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคู่กลับกลายเป็นดอกแคฝอยไร้ค่า ออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้นแทนผ้าทิพย์และเครื่องประดับอันงดงามล้ำค่า
ครั้นเมื่อเล็งแลด้วยทิพย์จักขุญาณ ก็ทราบถึงสาเหตุอาเพศนั้น ไฟโทสะก็ลุกพลุ่งโพลงขึ้นดั่งจะเผาผลาญจักรภพให้วอดวายเป็นมหาจุนไปในบัดนั้น “ชิชะ..ไอ้พวกเทพขี้โกง มันหลอกมอมเหล้าพวกเราจนเมามาย แล้วพวกมันก็หักหลังจับพวกเราโยนลงมาให้อยู่ที่นี้ นับแต่นี้ต่อไปข้าขอประกาศเป็นศัตรูกับพวกมันตลอดไป และข้าจะพาพวกเจ้าชิงเอาพิภพเมืองสวรรค์ของพวกเราคืนมาให้จงได้”

แค้นอสูร
ย้อนกล่าวถึงองค์อัมรินปิ่นสวรรค์ หลังจากเสด็จลงไปช่วยบอกหนทางขึ้นสวรรค์ ให้แก่อดีตภรรยาที่ไปเกิดเป็นนกกะยางแล้ว พระองค์ก็ตั้งตารอคอยวันที่อดีตเมียรักจะขึ้นมาเกิดนางฟ้าและมาอยู่ร่วมหอเดียวกัน รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอๆ นานจนผิดสังเกตจำต้องสอดส่องทิพยะเนตรอันแสนวิเศษ ตรวจดูว่านางนกกะยางตัวน้อยตอนนี้ ณ อยู่ที่ไหน ก็ทราบด้วยเทวะฤทธิ์ว่า บัดนี้นางผู้เป็นที่รักได้ตายจากสภาพความเป็นนกไปแล้ว และขณะนี้ได้ไปเกิดเป็นลูกสาวผู้เลอโฉมของจอมอสูรเทพคู่แค้นคู่อาฆาตจากสาเหตุ ที่พระองค์และพรรคพวกมอมเหล้าแล้วแอบหักหลัง แล้วจับโยนเจ้าของถิ่นทิ้งลงไปอยู่ยังแดนดินใต้ภูเขาพระสุเมรุราช แลชิงเอาบ้านเมือง
กล่าวถึงแดนอสูรยักษ์ ขณะนี้เนืองแน่นไปด้วยอสูรหนุ่มและแก่ พากันมายืนแออัดยัดเยียดกันเต็มท้องพระลานหลวงในเขตพระราชฐาน ข้างหน้าของเหล่าเทวะอสูรยักษ์คือเวทีเสี่ยงมาลัยหาคู่ของพระราชิดาแสนสวยองค์เล็กวัยสิบหกของจอมอสูร เมื่อได้เวลาฤกษ์งามดีแล้ว พิธีเสี่ยงทายก็เริ่มขึ้น เสียงไชโยโห่ร้องทักทายและชื่นชมความงดงามของพระราชธิดาก็อื้ออึงไปทั่ว เทพอสูรทั้งแก่ทั้งหนุ่มผู้กระหายจะได้เจ้าหญิงน้อยมาครอบครอง ต่างก็ยกมือกันขวักไขว่หวังให้พวงมาลัยเสี่ยงทายลอยละลิ่วตกลงมาคล้องข้อมือตน วันนี้เจ้าหญิงราชธิดาแห่งจอมอสูร แต่งองค์ทรงเครื่องงดงามอลังการด้วยเครื่องประดับที่ล้วนแล้วด้วยทองคำ
หน้า 22
ประดับด้วยพวงเพชรนิลจินดาแลมหาดวงแก้วมณีโชติรส ส่องประกายพราวพรายระยับยามต้องแสงสุริยะขัยยามบ่าย ขับสีผิวขาวผ่องนวลใยให้โดดเด่นและงดงามเกินหญิงใดในโลกหล้า วงพักตร์เอิบอิ่มพวงปรางสีเลือดฝาดชมพูระเรื่อ ริมโอฐรูปกระจับอิ่มเต็มดังกลีบกุหลาบแดงแรกแย้ม ดวงตากลมโตสีนิลส่งประกายแวววาว ผ้าทิพย์ที่สวมใส่สีทองอร่ามขับสีผิวขาวเป็นยองใยงดงามยิ่งนางเทพอัปสร นางธิดาแห่งจอมเทพอสูร อุบัติจากบุญแห่งศีลห้าโดยแท้ จึงมีรูปโฉมโนมพรรณผิดแผกแตกต่างไปจากวงศ์ตระกูลโดยสิ้นเชิง
ได้เวลาแห่งการเสี่ยงทายแล้ว นางเทพธิดาอสูรก็เยื้องย้ายกายออกมาหน้าเวที ยืนสอดส่ายสายพระเนตร มองหาชายหนุ่มที่จะมาเป็นพระสวามีที่รักแห่งตน เบื้องล่างแห่งเวทีนั้นเหล่าอสูรหนุ่มแก่ ต่างก็ยื้อแย่งยกมือยกแขนกันชุลมุนชุลเก ส่งเสียงอื้ออึงร้องเรียกความสนใจและให้เจ้าหญิงผู้เฉิดโฉมโยนพวงมาลัยมาคล้องมือตน สรรพเสียงสำเนียงฟังไม่ได้ศัพท์ และแล้วนาทีที่ใครๆรอคอยก็ก็มาถึง นางเทพอสูรผู้มีความงามเป็นเลิศค่อยๆยกพวงมาลัยขึ้นแล้วโยนออกไปเบื้องหน้า พวงมาลัยนั้นลอยละลิ่วข้ามศีรษะและมือของหนุ่มอสูรทั้งหลายที่ต่างก็ยกมือไขว่คว้ายื้อแย่งสิ่งที่ปรารถนา ต่างแย่งกันกระโดดสุดตัวกระแทกกันจนล้มลุกคลุกคลานเหยียบหัวเหยียบเท้ากันร้องลั่นกันอึงมี่ด้วยความเจ็บปวด แข้งขา หัวเหอถลอกปอกเปิกช้ำบวม แต่ก็ไม่ยอมท้อถอยตะเกียกตะกายชุลมุนวุ่นวายวิ่งคว้าไขว้มาลัยรัก จนฝุ่นคลุ้งกระจายตลบไปทั่วพะลานหลวง อนิจจานี่แหละหนากามกิเลสมันไม่เคยลดราวาศอกให้แก่ใคร แม้ตัวจะตายก็ยอมหวังให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
มาลัยเสี่ยงทายรักพวงงาม หมุนลอยคว้างไปกลางอากาศแล้วลดต่ำลงเหมือนดั่งรู้ใจเจ้าของ แลแล้วก็หมุนวนลงไปสวมข้อมือของอสูรแก่หลังโกงหน้าตาอัปลักษณ์เนื้อตัวมอมแมน ที่ยืนอยู่ห่างจากเวทีไปสักสิบวา สร้างความไม่พอใจให้เหล่าอสูรหนุ่มแก่ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ต่างพากันหันหน้ามุ่งมาทางอสูรเฒ่าผู้โชคดี หมายจะพากันเข้าแย่งชิงเอาพวงมาลัยเสน่หานั้น ก่อนที่ใครจะคาดคิดอสูรชราผู้มีทีท่าว่าจะหมดแรง ก็พลันกระโดดจากวงล้อมขึ้นไปบนเวทีไม่รู้เอาแรงมหาศาลนั้นมาจากไหน อุ้มเอาราชธิดาผู้เลอโฉมแห่งจอมอสูรทะยานเหาะลอยละลิ่วสู่ท้องนภากาศ พลันกลับกลายสภาพจากอสูรผู้เฒ่าเป็นองค์อัมรินปิ่นสวรรค์ อุ้มนางอดีตมัยรักคนสุดท้องครั้งเกิดเป็นมนุษย์ บ่ายหน้าสู่ไพชยนต์มหาปราสาทแห่งตน ณ เมืองแมนแดนสวรรค์
ฝ่ายมหาเทพอสูรผู้เรืองฤทธิ์หายจากงงงัน พลันไฟโทสะที่ลุกโชติช่วงไม่เคยดับก็โหมลกกระพือขึ้นมากทวี ดุจดั่งจะผลาญเผาปฐพีให้วอดวายเป็นมหาจุน เปล่งเสียงตะโกนลั่นก้องสะท้านไปทั่วแผ่นดินอสูร “ชะๆช้าไอ้พระอินทร์ตัวแสบ ทำข้าแสบอีกแล้ว เอ้าเห้ยเหวยหว๋า...ไอ้พวกทหารของข้าทั้งหลาย อีกเหล่าพลเมืองผู้เรืองฤทธิไกร พวกสูเจ้าจะมัวช้าอยู่ใยจงรีบตามไอ้เทวดาจอมขี้โกงนั้นไปให้ทัน ไปเอาลูกสาวของข้าคืนมาให้ได้ มันผู้ใดสามารถเอาลูกข้ากลับมาแลกุดหัวไอ้เพื่อนทรยศของข้า มาให้ข้าได้มันผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของลูกสาวสุดที่รักของข้า พอสิ้นสุระเสียงประกาศิตอันกึกก้องหมู่อสูรผู้หลงกามทั้งหลาย ก็รวบรวมพะละกำลังที่ใกล้จะสิ้นพากันทะยานเหาะขึ้นสู่ฟ้า ด้วยหัวใจเร้าร้อนกระวนกระวายคลั่งไคล้ในนางผู้เฉิดโฉม
หน้า 23
บนท้องฟ้าที่กว้างไพศาลและแจ่มใสกระจ่าง บัดนี้มืดมัวคลาคล่ำไปด้วยหมู่อสูรจอมอิทธิฤทธิ์ ผู้ที่กำลังหื่นกระหายในทาสแห่งกามเสน่หา เสียงร้องตะโกนให้คืนนางราชธิดาระคนเคล้าเสียงผรุสวาทก่นด่าด้วยความแค้นเคือง ดังก้องกัมปนาทไปทั่วเวหาหาว แต่แล้วกองทัพอสูรก็ต้องล่าถอย เมื่อกองทัพหมู่เทพนิกรที่มีทั้งกำลังพลและกำลังอิทธิฤทธิ์ที่เหนือกว่า ยกกองทัพออกมาสกัดกั้น กองทัพแห่งสวรรค์ได้ยกพลตราทัพมาดักรออารักขาจอมเทพแห่งตนอยู่ ณ เขตแดนวิมานฉิมพลีของหมู่พญาครุฑ อันว่าวิมานฉิมพลีของหมู่นกกายสิทธิ์นี้ จะตั้งอยู่บนค่าคบของต้นงิ้วใหญ่ ต้นงิ้วที่ว่านี้มีลำต้นที่ใหญ่โตมโหฬาร กิ่งที่ออกจากค่าคบกิ่งหนึ่งๆจะมีความยาวกิ่งละร้อยโยชน์ (โยชน์หนึ่งเท่ากับสิบหกกิโลเมตร) กิ่งก้านสาขายาวกิ่งละห้าสิบโยชน์ ลำต้นสูงจากพื้นดินขึ้นไปห้าร้อยโยชน์ ต้นงิ้วนี้ทั้งต้น ใบ ดอก ผล ล้วนเป็นทองคำ และต้นงิ้วทองคำอันเป็นที่สถิตแห่งเหล่านกครุฑนี้ ตั้งอยู่กึ่งกลางแห่งภูเขาพระสุเมรุราชขุนเขาอันเป็นแกนกลางแห่งจักรภพ
สองบาดแผลอันฉกาจฉกรรจ์นี้แหละ ที่ทำให้ชาวอสูรทั้งหลายโกรธแค้นอาฆาตเหล่าพระอินทร์และเทพบริวารแห่งดาวดึงส์สวรรค์มาจวบเท่ากาลบัดนี้ ทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถแก้แค้นและชิงสวรรค์ถิ่นเดิมกลับมาได้ ทางนั้นก็คือต้องเพิ่มกองกำลังให้ได้มากกว่าชาวสวรรค์ เล็งเห็นอย่างนั้นแล้วจอมอสูรเทพก็มีอสูรบัญชารับสั่งให้บริวารลงไปเกิดเป็นคนในแดนมนุษย์ภูมิบ้าง ให้ไปสิงสู่ในร่างกายของหมู่มนุษย์ผู้ไม่ศรัทธาในพระศาสนาบ้าง ที่ได้ไปเกิดเป็นคนก็ไปทำหน้าที่ผลิตสุรา ยาเมาต่างๆ ชักชวนให้หมู่มนุษย์ผู้โง่เขลา ให้ดื่มและเสพ ให้หลงในรสการเสพสิ่งเมามายนั้นบ้าง พวกที่ทำหน้าที่สิงก็บันดาลใจให้หมู่มนุษย์ให้เสพให้ดื่ม วันๆไม่เป็นทำอะไร และนับวันดูทีท่าว่าเหล่าอสูรร้ายจะชนะเสียด้วยสิ มองดูทุกมุมของโลกภูมิบัดนี้ ไม่มีคนในประเทศไหนๆจะไม่เมาไม่เสพ คงอีกไม่นานดอกลูกเณรเอ๋ย หมู่อสูรก็จะชนะหมู่เทวดาแล้ว เฮ้อ...เวทนาจริงๆ” “นี่ก็แสดงว่า...พวกที่ติดเหล้า เมายาเสพ ตายไปถ้ายังไม่ไปตกขุมนรกก็จะไปเกิดเป็นบริวารของพวกอสูรยักษ์ใช่ไหมขอรับหลวงพ่อ?” “หึๆๆ..ความเข้าใจของเจ้าถูกต้องแล้วลูกเณรเอ๋ย ต่อไปเมื่ออสูรครองสวรรค์หมู่มนุษย์ก็จะมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย ความอดอยากนาๆจะแผ่ไปทั่วพื้นพิภพ ฝนฟ้าจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวมนุษย์ในแดนมนุษย์ก็จะพากันหลงมัวเมาในอบายมุขกันถ้วนหน้า พ่อก็จะมองเห็นลูกสาวเป็นเมีย ลูกชายแลแม่เสพสมกันเป็นผัวเมีย นัวเนียหลงกามกันในหมู่ญาติสายโลหิตไม่ผิดอะไรกับเหล่าสัตว์เดรัจฉาน ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของมนต์มารพญาอสูรร้ายบันดาลให้เป็นไปฉะนี้แล”

ขวานอสูร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2009, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 19:21
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากได้คำติ และคำชมมากๆ จะได้แก้ไข ผู้อ่านคือครูของผม
ขอบคุณทุกคำติ และ คำชม ผมยังมีงานอีกหลายชิ้น ให้ท่านได้อ่าน รอผลจากเรื่องนี้ก่อนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2009, 12:27
โพสต์: 21

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดีมากครับขอบคุณครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร