วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 19:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: อันหนทาง ชีวิต คิดดูเถิด
เมื่อเราเกิด แล้วต้องแก่ แน่ใช่ไหม
หนีไม่พ้น เจ็บไข้ กายและใจ
จะแก้ไข อย่างไร ให้ทุกข์คลาย

เป็นโรคกาย หมอยา รักษาโรค
ถูกโฉลก ถูกเหตุผล ดลให้หาย
เป็นโรคใจ ภัยรุมเร้า เศร้าปางตาย
ทุกข์มลาย เมื่อรู้ใช้ "โอสถธรรม"

เติมธรรมะ ใช้ชีวิต พิชิตโรค
ดับทุกข์โศก ดับปัญหา อย่าถลำ
ดับกิเลส โลภ-โกรธ-หลง จงหมั่นจำ
ยึดพระธรรม พระศาสดา เป็นยาใจ
:b41: :b53: :b53: :b53: :b41:
คัดลอกจากหนังสือสวดมนต์ ได้รับแจกจากวัดอัมพวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




A050.jpg
A050.jpg [ 39.25 KiB | เปิดดู 9328 ครั้ง ]
:b41:อบรมจิต :b42: สละวาง :b42: ห่างนิวรณ์
จิตย่อมถอน :b42: กามสัญญา :b42: ที่มากั้น
มีสัญญา :b42: สมาธิ :b42: ที่ปัจจุบัน
กุศลนั้น :b42: เป็นโอสถ :b42: รสเลิศเลอ

:b41: ละวิตก :b42: ละวิจาร :b42: เข้าฌานสอง
จิตผุดผ่อง :b42: ทรงสติ :b42: มิพลั้งเผลอ
ปีติแผ่ :b42: ทั่วกาย :b42: ได้พบเจอ
สุขจริงเออ :b42: สมาธินี้ :b42: ช่างดีจริง

:b41: ละปีติ :b42: มีสุขใจ :b42: ในฌานสาม
จิตผ่องงาม :b42: อุเบกขา :b42: พาสุขยิ่ง
เบาสบาย :b42: กายใจ :b42: แจ่มใสจริง
ทั้งชายหญิง :b42: บรรลุได้ :b42: สบายแฮ

:b41: ละสุขทุกข์ :b42: เสียได้ :b42: ด้วยตบะ
เพราะจิตละ :b42: โสมนัส :b42: สงัดแท้
อีกละได้ :b42: โทมนัสร้อน :b42: แต่ก่อนแล
จิตแน่วแน่ :b42: อุเบกขา :b42: เอกคตารมณ์

:b41: ละสักกายะ :b42: ทิฏฐิ :b42: มีในใจ
ละสงสัย :b42: ลังเลจิต :b42: พิษสั่งสม
ละประมาท :b42: ในศีลบาป :b42: ฉาบระทม
บัณฑิตชม :b42: สู่กระแส :b42: แน่นิพพาน

:b41: อีกไม่เกิน :b42: เจ็ดชาติ :b42: เด็ดขาดนัก
ท่านก็จัก :b42: หลุดพ้นไป :b42: ในสังสาร
ลุอรหันต์ :b42: ดับขันธ์ :b42: ปรินิพพาน
สาธุท่าน :b42: ผู้เสพรส :b42: โอสถธรรม


เจริญในธรรมครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


สวัสดีครับ..คุณจินตนา..ลุงมีหนังสือมาฝากครับ
ผู้จัดทำได้เล็งความสำคัญในการสวดมนต์ การทำสมาธิ และการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
จึงได้รวบรวมเอาวิธีปฏิบัติเบื้องต้น เรื่องเล่า และบทความเกี่ยวกับการรักษาโรค ที่เกิดจากการสวดมนต์
การทำสมาธิ และการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งในแง่พุทธศาสตร์ และเชิงวิทยาศาสตร์
โดยหวังว่า หนังสือ ธรรมะโอสถเล่มนี้ จะเป็นยาขนานเอกที่เยี่ยวยารักษากาย และใจของท่านผู้อ่านทุกท่าน
สมดังพุทธสุภาษิตที่ว่า" การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ "

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ต.ค. 2009, 18:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

โอสถใด ๆ ในโลก

ไม่วิเศษเท่า "ธรรมโอสถ"


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2009, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
สวัสดีค่ะ คุณลุงมะตูม และกัลยาณมิตรทุกๆท่าน
ขอขอบพระคุณค่ะ คุณลุง หน้าปกหนังสือสวยจัง อยากได้นะเนี่ย :b27: :b6: :b12:
จริงค่ะ คุณวรานนท์"ธรรมโอสถ"วิเศษจริงๆ รักษามาแล้วค่ะ :b16:
ท่านมหาราชันย์แต่งกลอนได้เพราะจริงๆค่ะ :b35:
มีรูปน่ารักมาฝากค่ะ สงสัยรักษาด้วย"ธรรมโอสถ"แน่ๆเลย ดูมีความสุข แจ่มใส :b12: :b12:
:b48: ธรรมะสวัสดีค่ะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2009, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




147wt7.gif
147wt7.gif [ 129.71 KiB | เปิดดู 9259 ครั้ง ]
ธรรมชาติคือ ธรรมโอสถ
ขันธ์ 5 อย่ายึดติด ทำชีวิต ให้สดใส
นิวรณ์ 5 อย่าข้องใจ ตัดให้ได้ ไร้กังวล
พละ 5 อย่าหลบหนี สร้างชีวี มีเหตุผล
ศีล 5 อย่าวกวน รีบสร้างตน ให้พ้นภัย

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2009, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




03.jpg
03.jpg [ 36.73 KiB | เปิดดู 9249 ครั้ง ]
:b41: กิเลสเครื่องกังวลใดมีอยู่ในกาลก่อน
เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น
ให้เหือดแห้งหายไป
กิเลสเครื่องกังวลใด
จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง

ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ในท่ามกลาง
ก็จักเป็นมุนีผู้สงบระงับแล้วเที่ยวไป....ดังนี้



:b41: มุนีที่หลีกเร้น :b42: :b42: โลกีย์
ฝึกจิตบ่มอินทรีย์ :b42: :b42: :b42: ค่ำเช้า
ขันธ์ดับละยินดี :b42: :b42: :b42: หมกมุ่น :b42: กามา
อรหัตตมัคคเข้า :b42: :b42: :b42: จิตนี้ดวงเดียว

:b42: อรหัตตผลจิตนี้ :b42: :b42: จรไป
เกิดดับขณะใด :b42: :b42: :b42: ขณะนั้น
วิมุติสุขแห่งใจ :b42: :b42: :b42: บานเบ่ง :b42: บริบูรณ์
ธรรมรสโอสถนั้น :b42: :b42: :b42: ชนะแท้รสธรรม



เจริญในธรรมครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




phoenix.jpg
phoenix.jpg [ 37.38 KiB | เปิดดู 9203 ครั้ง ]
:b41: :b48: :b41: :b48: :b48: :b41: :b48: :b48: :b41: :b48: :b48: :b48: :b41: :b48: :b48: :b48: tongue


:b48: ความเร่าร้อน ด้วยพยาธิโรคนั้น
บังเกิดพลัน แก่สรรพสัตว์ มิหมดสิ้น
ทั้งร้อนเร่า เผากายา เป็นอาจิณ
จนชีวิน จะล่วงลับ ดับชีวา

:b48: ทั้งความร้อน ที่ลนเผา ดั่งไฟราญ
พลุ่งเผาผลาญ จิตที่เปี่ยม ด้วยตัณหา
ด้วยกิเลส ที่พอกสุม คลุมจินตนา
ไม่มียา พาพ้นภัย จากไข้กาฬ

:b48: ธรรมโอสถ ขนาดเลิศ ประเสริฐยิ่ง
ที่สามารถ ดับไข้สิง มหาศาล
ชำระรด หมดจด จากดวงมาน
จิตสราญ ผ่องแผ้ว ดุจแก้วเจียร์

:b48: หมู่บัณฑิต ผู้สิ้นสุด การเดินทาง
มิย่อท้อ ในท่ามกลาง ให้ใจเสีย
กิเลสสุม ตัณหาเคล้า เข้าโลมเลีย
ท่านกำจัด ขจัดเขี่ย ไปจากใจ

:b48: ด้วยธรรมรส โอสถ ขนาดเลิศ
ที่ประเสริฐ เลิศหล้ากว่าสิ่งไหน
ดับทุกข์เข็ญ ที่ลำเค็ญ หมักหมมใจ
ด้วยพระธรรม อันอำไพ ของศาสดา

:b48: มาเถิดท่าน รับโอสถ อันบริสุทธิ์
ผ่องพิสุทธิ์ พุทธศาสน์ ปราศตัณหา
นำชำระ ชะจิตให้ ปราศโรคา
สรรพภยา ทิ้งวัฏฏา สุดทางไกล

:b47: ขออำนาจ บุญ บารมี ผองเราท่าน
ผนึกผสาน เป็นพลัง อันผ่องใส
ตบะมั่น หมั่นฝึกจิต พิชิตชัย
ก้าวพ้นภัย บ่วงพาลา พานิพพาน

Quote Tipitaka:

คตทฺธิโน วิโสกสฺส
วิปฺปมุตฺตสฺส สพฺพธิ
สพฺพคนฺถปฺปหีนสฺส
ปริฬาโห น วิชฺชติ.

ความเร่าร้อน ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่มีทางไกลอันถึงแล้ว
ผู้ปราศจากความโศก
ผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง
ผู้ละกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงได้แล้ว



รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระพุทธเจ้าทรงเป็น
นายแพทย์ผู้เยียวยาโรคทั้งหลายของสัตว์โลกทั้งปวง
ทรงประทานธรรมโอสถเพื่อความมีจิตปรกติ
ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ยาวิเศษ
ซึ่งจะช่วยรักษา แก้ไข และป้องกันโรคทั้งปวง

ถ้าจิตปรกติแล้ว โรคทางกาย โรคทางจิต และโรคทางวิญญาณ จะไม่เกิดขึ้น
โรคกระเพาะ โรคประสาท นอนไม่หลับจะไม่มีถามหา
ทั้งจะไม่เกิดอุบัติเหตุให้เจ็บตัว
เช่น จะไม่ทำมีดบาดมือ ไม่เดินตกร่อง ไม่ขับรถชนใคร เป็นต้น

ที่สูงกว่านั้นคือจะพ้นจากอารมณ์ร้ายที่มาบีบคั้นจิตใจ
ปลอดภัยจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ความประหม่าตื่นเต้น
ความกลัว ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ และความเคร่งเครียด ฯลฯ

ซึ่งเป็นต้นเหตุที่มาของโรคมะเร็งร้ายทางหนึ่งด้วย
การมีจิตปรกตินี่แหละคือ ยาวิเศษที่ประเสริฐสุด

พุทธทาสภิกขุ

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 29 ต.ค. 2009, 17:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ยาเสน่ห์ ขนานเอก

การให้..เป็นธรรมโอสถ...
เป็นยาเสน่ห์ขนานเอกนั้น เพราะ...

การให้อภัย ชนะการให้ทั้งปวง
การให้อภัย เป็น ธรรมชั้นสูง น่ายกย่อง
การให้อภัย เป็น งานชั้นเยี่ยมของชีวิต
การให้อภัย คือ การทำบุญให้ตนเอง
ผู้ให้อภัย เป็นผู้ชนะ และเป็นสุข .....

อันแผลกายง่ายนักเมื่อรักษา
หมั่นทายาเช้าเย็น ก็เห็นผล
แต่แผลใจเจ็บหนักยากทานทน
ขาดสติก็เสียคน ไปจนตาย ...... กวี นิรนาม
บางคนก็เหมือนตายทั้งเป็น
หลายๆครั้งเกิดการทะเลาะกัน บาดหมางกัน
หรือการทำร้ายกัน ทั้งทางกายและทางใจ
ทำให้ผู้ถูกกระทำ ไม่พอใจ โกรธ แค้น
จนถึง อาฆาตพยาบาท นึกอยากแก้แค้นตลอดเวลา
แม้เวลาผ่านไป หลายเดือน หลายปี ความแค้นก็ยังอยู่
เมื่อนึกคิดมาทีใด ก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นทันที
เหมือนโดน หนามใจ หนามชีวิต ทิ่มแทงจนเจ็บปวด
ยิ่งฝ่ายตรงข้ามยังลอยนวล เสวยสุข คนนึกก็ปวดร้าวทวีคูณ ....
ชีวิตที่เหลือ มีแต่ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ทุกคืนวัน .....
เขาจึงเป็นผู้น่าสงสาร ผู้แพ้ตลอดกาล ..... โอ้ ความแค้น

หากวันนี้ มีชีวิต
เกลาดวงจิต คิดฝึกฝน
โลภโกรธหลง เฝ้าเวียนวน
ไม่อาจพ้นบ่วงโลกีย์
แล้วเมื่อไร จึงจะหายเจ็บปวด เป็นเพราะเรารักตัวเองมากไป
จิตใจคับแค้น ขาดสติ เพราะความแค้นบดบังไว้
เป็นเพราะเพ่งมองแต่ความไม่ดี ความเลวของผู้อื่นมากไป
บางคนทำผิดโดยไม่ตั้งใจ โดยไม่รู้ โดยขาดสติ
หรือโดยโง่เขลา บางคนได้รับกรรมไปแล้ว บางคน
ได้สำนึกผิด บางคนตั้งใจขอขมาโทษ ......
จุดเปลี่ยนของชีวิต จึงอยู่ที่การตัดสินใจ อย่างห้าวหาญ .....

หากเมื่อไหร่ ได้สติ ดำริชอบ
รู้จักปลอบ กายใจตน เหมือนสนนั้น
อยู่บนโลก รู้แจ้งโลก โศกหายพลัน
รู้โลกทัน ปัญญาตน พ้นทุกข์เอย ....
โลกจะมีชีวาถ้าเรายิ้ม
แม้เพียงพริ้มมุมปากฝากให้เห็น
เงาอันตรายความแค้น ยากลำเค็ญ
อย่าเก็บเป็นความขุ่นข้องให้หมองใจ .... ตลอดกาล

การยกโทษ การให้อภัย การให้อโหสิ การแผ่เมตตา
การทำใจ การปลงต่อชีวิต เกิดขึ้นเมื่อไร .....
ความสุข ความสบาย ความอิสระ ความโล่ง ก็จะเกิดทันที
หนามใจ หนามชีวิต ก็หายไป ......
ตัวเรามีความสุข คนรอบๆข้างก็มีความสุข ที่ทำงานก็สงบ
ที่บ้านก็มีกลิ่นใอของความสงบสุขเกิดขึ้น .....
ช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต จึงเป็นเวลาของความสุข
เวลาของการทำดี สร้างบุญกุศลต่อไป .... เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่โศก จิตเกษม

สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ
ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขใส
ถ้าไม่ถือก็ไม่ทุกข์พบสุขใจ
ใครอยากได้สุขหรือทุกข์ฉุกคิดกัน ....

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"


แก้ไขล่าสุดโดย ป่าอ้อ เมื่อ 30 ต.ค. 2009, 23:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2009, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




AB10892~Wine-Chef-II-Posters.jpg
AB10892~Wine-Chef-II-Posters.jpg [ 51.76 KiB | เปิดดู 9036 ครั้ง ]
ธรรมโอสถ..สูตรปรุงของชีวิต

เกิดมาเป็นคน ก็ต้องรู้จักปรุงชีวิต การปรุงชีวิตก็คือ ปรุงอารมณ์ของตัวเอง เพื่อจะเข้าไปอยู่กับคนอื่น
ก็ให้นึกถึงแกงนึกถึงกับข้าว กับข้าวมันจะรสเดียวไม่ได้ คนที่มีอารมณ์เดียว เขาเรียกว่า "คนที่ไม่รู้จักปรุงชีวิต"

บาง คน มีอารมณ์เปรี้ยวจัด คือ เป็นคนแก่น เขาเรียก "แก่แดด แก่ฟัก แก่แฟง แก่แตง แก่น้ำเต้า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" อย่างนี้เปรี้ยวจัด ก็อยู่กับใครเขาไม่ได้

บางคน ก็เค็มจัด คือ ไม่จับจ่ายใช้สอย เหนียวคนขี้เหนียวที่เรียกว่า "เค็ม" ก็หวังว่า เอ๊ ถ้าเรารวมแล้ว เราก็จะค่อยจับจ่ายใช้สอย แต่ท่านทั้งหลายลองดูเกลือเถอะ เกลือเม็ดใหญ่ยิ่งเค็มมาก แล้วบางคนเค็มจัดนี่ ใครคบหาสมาคมเขาก็จะรู้สึกเค็มไป คือ ไม่มีการเสียสละ

บางคน ก็หวานจัด เจ้าชู้ไป โดยไม่เลือกวัยของตัวเอง และไม่เลือกว่าใครเป็นใคร ที่เขาบอกว่า เป็นผู้ชายคลำผู้หญิงแล้วไม่มีหางเป็นอันใช้ได้ อย่างนี้ก็หวานเกินไป จนเป็นที่ไม่วางใจ คนเขาก็ระแวง ระวังว่าคน ๆ นี้ มีนิสัยเจ้าชู้

บางคน ก็รสเผ็ดจัด คือ ดุไปหน่อย มันดุ มันโหดไปหน่อย การที่เป็นคนดู คนโหด จะไปอยู่กับใคร เขาได้ มันเผ็ด ใครเขาก็ต้องมีอันต้องซี๊ด ไม่ไหว คือ คน ๆ นี้ไม่ไหว เผ็ดจัด

บางคนก็ จืดไป อารมณ์จืดไป อยู่กับใครแล้วเหมือนเขาไม่มีความสนุกที่จะอยู่กับคนๆ นั้นเลย
ดัง นั้น ท่านทั้งหลาย เอาอารมณ์ทั้งหลายนี้มารวมกัน ปรุงเป็นรสชาติของอารมณ์ของชีวิต เอาเปรี้ยว เอาหวาน เอามัน เอาเค็ม เอาเผ็ด เอาจืด มารวมกันเข้า ก็เป็นแกงหม้อหนึ่งที่บริโภคได้

คนก็เหมือนกัน ต้องรู้จักปรุงอารมณ์ หลาย ๆ สถานการณ์ จึงจะเป็นชีวิตที่สามารถ ที่คนอื่นจะบริโภค คืออยู่ร่วมด้วยได้…แล้วคุณล่ะ...ปรุงแต่งชีวิตของคุณอย่างไร..?

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ : ตอน ๑๐ ธรรมโอสถ ๑
โดย หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

"พอได้สติจากความวิตกวิจารที่ผุดขึ้นมา

ท่านก็ตัดสินใจและบอกกับตัวเองทันทีว่า

นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เราจะระงับโรคพรรค์นี้

ด้วยยา คือ ธรรมโอสถเท่านั้น"




พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร


ขณะที่พักอยู่ในถ้ำนั้น ในระยะแรกๆ รู้สึกว่าธาตุขันธ์ทุกส่วนปกติดี จิตใจสงบเยือกเย็น เพราะเงียบ

สงัดมากไม่มีอะไรมาพลุกพล่านก่อกวน นอกจากเสียงสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ที่พากันเที่ยวหากินตาม

ภาษาเขาเท่านั้น ท่านรู้สึกเย็นกายเย็นใจใน 2-3 คืนแรก พอคืนต่อไปโรคเจ็บท้องที่เคยเป็นมา

ประจำขันธ์ก็ชักกำเริบ และมีอาการรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ จนถึงขั้นหนักมากบางครั้งเวลาไปส้วมถึง

กับถ่ายเป็นเลือดออกมาอย่างสดๆ ร้อนๆ ก็มี ฉันอะไรเข้าแล้วไม่ยอมย่อยเอาเลย เข้าไปอย่างไรก็

ส้วมออกมาอย่างนั้น ทำให้ท่านคิดวิตกถึงคำพูดของชาวบ้านที่ว่ามีพระมาตายที่นี่ 4 องค์ เราอาจ

เป็นองค์ที่ 5 ก็ได้ ถ้าไม่หาย เวลามีโยมขึ้นไปถ้ำตอนเช้าท่านก็พาโยมไปเที่ยวหายาที่เคยได้ผลมา

แล้ว มาต้มฉันบ้าง ฝนใส่น้ำฉันบ้าง เท่าที่ทราบเป็นยาประเภทรากไม้แก่นไม้ แต่ฉันยาประเภทใด

ลงไปก็ไม่ปรากฎว่าได้ผล โรคนับวันรุนแรงขึ้นทุกวัน กำลังกายก็อ่อนเพลียมาก กำลังใจก็ปรากฎว่า

ลดลงผิดปกติ แม้ไม่มากก็พอให้ทราบได้อย่างชัดเจน ขณะที่นั่งฉันยาได้นึกวิตกขึ้นมาเป็นเชิงเตือน

ตนให้ได้สติและปลุกใจให้กลับมีกำลังเข้มแข็งขึ้นมาว่า ยาที่เราฉันอยู่ขณะนี้ ถ้าเป็นยาช่วยระงับโรค

ได้จริงก็ควรจะเห็นผลบ้างแม้ไม่มาก เพราะฉันมาหลายเวลาแล้วแต่โรคก็นับวันกำเริบ หากยามีทาง

ระงับได้บ้างทำไมโรคจึงไม่สงบ เห็นท่ายานี้จะมิใช่ยาเพื่อระงับบำบัดโรคเหมือนแต่ก่อนเสียกระมัง

แต่อาจเป็นยาประเภทช่วยส่งเสริมโรคให้กำเริบแน่นอนสำหรับคราวนี้ โรคจึงนับวันกำเริบขึ้นเป็น

ลำดับ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะพยายามฉันไปเพื่อประโยชน์อะไร พอได้สติจากความวิตกวิจารที่ผุด

ขึ้นมาในขณะนั้นแล้ว ท่านก็ตัดสินใจและบอกกับตัวเองทันทีว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะระงับ

โรคพรรค์นี้ด้วยยา คือ ธรรมโอสถเท่านั้น จะหายก็หาย จะตายก็ตาย เมื่อสุดกำลังความสามารถ

ในการเยียวยาทุกวิถีทางแล้ว ยาที่เคยนำมารักษานั้นจะงดไว้จนกว่าโรคนี้จะหายด้วยธรรมโอสถ

หรือจนกว่าจะตายในถ้ำนี้ จะยังไม่ฉันยาชนิดใดๆ ในระยะนี้ แล้วก็เตือนตนว่าเราจะเป็นพระทั้ง

องค์ที่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญทางใจมาพอสมควรจนเห็นผลและแน่ใจต่อทางดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพาน

มาเป็นลำดับ ซึ่งควรถือเป็นหลักยึดของใจได้พอประมาณอยู่แล้ว ทำไมจะขี้ขลาดอ่อนแอในเวลาเกิด

ทุกขเวทนาเพียงเท่านี้ ก็เพียงทุกข์เกิดขึ้นเพราะโรคเป็นสาเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเรายังสู้ไม่ไหว

กลายเป็นผู้อ่อนแอ กลายเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างยับเยินเสียแต่บัดนี้แล้ว เมื่อถึงคราจวนตัวจะชิงชัยเพื่อ

เอาแพ้เอาชนะกันจริงๆ คือ เวลาขันธ์จะแตก ธาตุจะสลาย ทุกข์ยิ่งจะโหมมาทับธาตุขันธ์และจิตใจ

จนไม่มีที่ปลงวาง เราจะเอากำลังจากที่ไหนมาต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดไปได้โดยสุคโต ไม่เสียท่าเสียที

ในสงครามล้างขันธ์เล่า?


พอท่านทำความเข้าใจกับตนเองอย่างแน่ใจและมั่นใจแล้ว ก็หยุดจากการฉันยาในเวลานั้น

ทันที และเริ่มทำสมาธิภาวนาเพื่อเป็นโอสถบำบัดบรรเทาจิตใจและธาตุขันธ์ต่อไปอย่างหนักแน่น

ทอดความอาลัยเสียดายในชีวิตธาตุขันธ์ปล่อยให้เป็นไปตามคติธรรมดาทำหน้าที่ห้ำหั่นจิตดวงไม่

เคยตาย แต่มีความตายประจำนิสัยลงไปอย่างเต็มกำลัง สติปัญญาศรัทธาความเพียรที่เคยอบรมมา

โดยมิได้สนใจคำนึงต่อโรคที่กำลังกำเริบอยู่ภายในว่าจะหายหรือจะตายไปขณะใดในเวลานั้น หยั่ง

สติปัญญาไม่ลดละ คือ ยกทั้งส่วนรูปกาย ทั้งส่วนเวทนา คือ ทุกข์ภายใน ทั้งส่วนสัญญาที่หมาย

กายส่วนต่างๆ ว่าเป็นทุกข์ ทั้งส่วนสังขารตัวปรุงแต่งว่าส่วนนี้เห็นทุกข์ส่วนนั้นเป็นทุกข์ ขึ้นสู่เป้า

หมายแห่งการพิจารณาของสติปัญญาผู้ดำเนินงานทำการขุดค้นคลี่คลายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เวลา

พลบค่ำถึงเที่ยงคืน คือ 24.00 นาฬิกา จึงลงเอยกันได้ จิตมีกำลังขึ้นมาอย่างประจักษ์ สามารถ

คลี่คลายธาตุขันธ์จนรู้แจ้งตลอดทั่วถึงทุกขเวทนาที่กำลังกำเริบขึ้นอย่างเต็มที่จากโรคในท้อง โรคก็

ระงับดับลงอย่างสนิท จิตรวมลงถึงที่ในขณะนั้น

ขอขอบคุณ http://www.fungdham.com/sound/mu


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2009, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2009, 15:57
โพสต์: 188

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




01486_17.jpg
01486_17.jpg [ 63.75 KiB | เปิดดู 8900 ครั้ง ]
ปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา อุบาลีเถรคาถา

ท่านพระอุบาลีเถระ พระอรหันต์ผู้เลิศในด้านทรงพระวินัย ได้กล่าวว่า
จากการที่ได้ศึกษาพระธรรมทางพระพุทธศาสนานั้น
ทำให้เข้าใจได้ว่าไม่มียา(โอสถ)ดีที่ไหนที่จะรักษาความเน่าเหม็นของอกุศลได้
นอกจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง

พระอริยสาวกผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ล้วนเป็นผู้ได้ดื่มยาที่ดีที่สุดนี้มาแล้วทั้งนั้น
จึงเห็นได้ว่า ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เท่านั้น ที่จะรักษาความเน่าเหม็นของอกุศลที่
เกิดขึ้นสะสมในแต่ละวันซึ่งจะทำให้เน่าเหม็นยิ่งขึ้น ได้ เพราะปกติในชีวิตประจำวัน
จะเห็นว่า ขณะที่จิตไม่เป็นไปในกุศลประการต่าง ๆ แล้ว
นอกนั้นเป็นไปกับความเน่าเหม็น หมักหมมเพิ่มขึ้นของอกุศล ทั้งนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ยาที่ดีที่สุด คือ พระธรรม
ถ้าไม่มียาที่จะรักษาโรคอกุศล โรคอกุศลก็จะเป็นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าได้ฟังพระธรรมและมีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น
ขณะนั้น โรค(อกุศล) ที่ว่ามีมากๆ นั้น ก็จะค่อยๆ ลดลงไปตามลำดับ
เพราะประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม คือ เพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
หากไม่มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
ก็จะไม่สามารถรักษาโรค คือ ความเน่าเหม็นของอกุศลได้
และไม่สามารถจะออกจากวัฏฏะสงสารไปได้

ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่จะเห็นประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม
เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น และเพื่อขัดเกลากิเลสอกุศลของตนเอง

.....................................................
รูปภาพรูปภาพ
"สันติภาพมิได้เกิดจากสภาวะนิ่งเฉย หากแต่เกิดจากความเข้าใจ"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2009, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ธรรมโอสถ-ยารักษาใจ :b48:
:b47: การมาวัดเพื่อมาทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เป็นเหมือนกับการให้ยาป้องกันโรคภัยไข้เจ็บทางด้านจิตใจ คือความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความเสียใจ ความกังวล ความวุ่นวายใจต่างๆ ไม่มีอะไรในโลกนี้จะระงับหรือป้องกันความทุกข์ใจได้ นอกจากบุญและกุศลเท่านั้น การมาวัดกันอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเหมือนกับการมารับยาไปรับประทาน เหมือนกับไปโรงพยาบาลโดยเฉพาะท่านผู้ที่มีอายุมากแล้ว จะต้องไปโรงพยาบาลอยู่เสมอๆ เพราะแพทย์จะต้องนัดให้ไปตรวจไปรับยา เมื่อมีอายุมากแล้วก็จะมีโรคภัยเบียดเบียนอยู่เรื่อยๆ จำเป็นต้องไปหาหมอ ต้องมียารับประทานเพื่อจะได้ควบคุมโรคภัยต่างๆ ไม่ให้กำเริบจนทำลายชีวิตได้ ฉันใดการมาวัด มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปฏิบัติธรรม ก็เป็นการมารับยา คือธรรมโอสถของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหมือนกับหมอที่เคยได้รับประโยชน์จากยาธรรมโอสถแล้ว ได้เห็นคุณอันวิเศษที่สามารถยกจิตใจของท่านให้อยู่เหนือความทุกข์ต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากกันก็ดี ทุกข์ที่เกิดจากการประสบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนาทั้งหลายก็ดี จะไม่สามารถเข้ามาเหยียบย่ำทำลายจิตใจได้เลย เพราะธรรมโอสถเป็นเหมือนเกราะคุ้มกันจิตใจ ไม่ให้ความทุกข์ต่างๆ เข้ามาเบียดเบียน

พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ได้พิสูจน์ได้สัมผัสธรรมโอสถที่วิเศษนี้แล้ว จึงได้นำเอามาเผยแผ่ เอามาแจกจ่ายให้กับพวกเรา ซึ่งเปรียบเหมือนกับคนไข้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน เมื่อถูกโรคภัยของจิตใจเข้ามากระทบ ก็จะต้องทุกข์ต้องทรมานใจ แต่ถ้าได้รับการดูแลด้วยธรรมโอสถ ที่เป็นเหมือนกับการรับประทานยาหรือการฉีดยาป้องกันโรคภัยต่างๆแล้ว ก็จะมีภูมิคุ้มกัน ทำให้สามารถต่อสู้กับทุกข์ชนิดต่างๆได้ ใจก็เป็นเหมือนกับร่างกาย ที่ต้องมีภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกัน ยาที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจก็คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้หมั่นทำความดี ละการกระทำบาปและชำระกายวาจาใจให้สะอาดหมดจด ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ปีหนึ่งจะมากันสักครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่รับยาไปให้ครบด้วย ส่วนใหญ่จะมีแต่ทำบุญตักบาตรถวายทาน แล้วก็กลับบ้านไป ไม่สนใจที่จะรักษาศีล ไม่สนใจที่จะภาวนา ไม่สนใจที่จะฟังเทศน์ฟังธรรม ที่เป็นเหมือนกับยาชนิดต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อการปกป้องคุ้มครองรักษาจิตใจไม่ให้ความทุกข์ต่างๆ เข้ามาเหยียบย่ำทำลายนั่นเอง ถ้ารับประทานยาเพียงตัวเดียวคือการให้ทาน ก็จะไม่เพียงพอต่อการต่อต้านความทุกข์ต่างๆ จึงจำเป็นต้องรับประทานยาให้ครบ

เหมือนกับเวลาเป็นไข้หวัดไปหาหมอ หมอก็จะให้ยามาสามสี่ชนิด ถ้ารับยามาแล้วแต่รับประทานเพียงชนิดเดียว โรคก็จะไม่หาย ถ้าหายก็ช้า ต้องทรมานไปนาน แต่ถ้ารับประทานยาให้ครบ เพียงไม่กี่วันโรคภัยไข้เจ็บก็จะหายไป ฉันใดธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงหยิบยื่นให้กับพวกเราก็เป็นเช่นนั้น เป็นเหมือนยาหลายขนานหลายชนิด ที่ต้องเอาเข้ามาสู่จิตสู่ใจด้วยการศึกษาในเบื้องต้น ต้องได้ยินได้ฟัง เหมือนกับหมอที่ต้องบอกให้รับประทานยาครั้งละกี่เม็ด รับประทานตอนไหน ยาบางชนิดก็รับประทานตอนก่อนอาหาร บางชนิดก็รับประทานหลังอาหาร บางชนิดก็รับประทานวันละเม็ด บางชนิดก็ต้องรับประทานวันละสี่เวลาหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ ถ้ารับยามาแล้วไม่รู้ว่าจะรับประทานอย่างไร กินผิดกินถูกเข้าไป โรคภัยแทนที่จะหายกลับมีเพิ่มมากขึ้น เพราะแพ้ฤทธิ์ยา ฉันใดธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะมารักษาโรคใจ ก็ต้องศึกษาเสียก่อน คือฟังเทศน์ฟังธรรมหรืออ่านหนังสือธรรมะ เพื่อจะได้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะเอาธรรมโอสถที่วิเศษเข้ามาสู่ใจได้ ถ้าไม่ได้ศึกษาไม่ได้ปฏิบัติ หรือปฏิบัติไม่ถูกทาง ก็จะไม่สามารถนำเอาธรรมโอสถที่วิเศษเข้าสู่จิตใจได้ ต่อให้ยาจะวิเศษขนาดไหนก็ตาม หมอจะวิเศษจะเก่งขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่เกิดประโยชน์กับคนไข้ เพราะไม่สามารถนำเอายาเข้าสู่ร่างกายได้

นี้คือสิ่งที่เราต้องคำนึงต้องพินิจพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ เริ่มตั้งแต่การทำบุญให้ทาน ที่จะพาให้เราเข้าสู่การรักษาศีลต่อไป เมื่อรักษาศีลได้แล้วก็อยากจะทำจิตใจให้สงบ ทำสมาธิ เพราะเห็นคุณค่าของความสงบที่เกิดจากการรักษาศีล ที่เกิดจากการทำบุญให้ทาน ว่าเป็นความสุขที่แท้จริง และอยากจะได้มากเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ต้องภาวนา นั่งทำสมาธิและเจริญปัญญา เพราะเป็นวิธีสร้างความสงบให้กับจิตใจได้เต็มร้อย แต่ต้องเริ่มต้นจากชั้นประถมขึ้นไปก่อน ทำบุญให้ทานอยู่เรื่อยๆ อย่าเสียดายเงินเสียดายทองที่เหลือกินเหลือใช้ ไม่มีความจำเป็นกับเรา ก็เอามาทำบุญทำทาน แล้วก็รักษาศีล ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เพราะจะย้อนกลับมาหาเรา เป็นเหมือนเงา หรือเป็นเหมือนกับกระจกที่สะท้อนการกระทำของเรา เวลาเรายืนที่หน้ากระจกทำหน้าบึ้งตึง คนที่อยู่ในกระจกก็ทำหน้าบึ้งตึง เวลายิ้มคนที่ยืนอยู่ในกระจกก็ยิ้ม ฉันใดถ้าเราไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น ทุกข์นั้นก็จะไม่กลับมาหาเรา เมื่อไม่มีทุกข์ที่เกิดจากการกระทำบาป การกระทำผิดศีลผิดธรรม ใจก็สงบ ใจก็สบาย ก็ทำให้ทำสมาธิได้ง่ายขึ้น เวลานั่งทำสมาธิจะง่ายกว่าคนที่มีความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ที่เกิดจากการทำผิดศีลผิดธรรม เมื่อทำจิตให้สงบแล้ว ก็จะมีกำลังที่จะปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา พร้อมที่จะรับกับสภาพต่างๆที่จะเกิดขึ้น
ฉันใดธรรมโอสถ ยารักษาใจก็เช่นเดียวกัน ต้องเอาเข้าสู่ใจด้วยการได้ยินได้ฟังธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ เหมือนกับการอ่านฉลากยา ที่จะบอกสรรพคุณและวิธีรับประทาน และจะบอกว่าถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นมาควรจะทำอย่างไร ฉันใดการศึกษาฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นเหมือนกับการศึกษาถึงสรรพคุณของธรรมโอสถ ศึกษาวิธีที่จะนำเอาธรรมโอสถเข้าไปสู่ใจ และถ้าเกิดมีปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการนำเอาธรรมโอสถเข้าสู่ใจ ก็จะได้รู้จักวิธีแก้ไข เพราะธรรมโอสถก็เป็นเหมือนยาที่ต้องรับประทานให้ถูกวิธี ให้ถูกเวลา ถึงจะเกิดประโยชน์เกิดผลอย่างสูงสุด ถ้ารับประทานแบบสุ่มสี่สุ่มห้า อยากจะรับประทานก็รับประทาน ไม่อยากรับประทานก็ไม่รับประทาน หรืออยากจะให้หายเร็วๆ ก็รับประทานไปทั้งกำมือ อย่างนี้โรคแทนที่จะหายกลับทำให้ตายได้ เพราะกินยาเกินขนาด ฉันใดการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเช่นนั้น ต้องมีความพอดี เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ไม่เคร่งจนเกินไป ไม่หย่อนจนเกินไป ให้พอดีกับกำลังความสามารถ ถ้ายังไม่สามารถปฏิบัติขั้นที่สูงกว่าที่จะปฏิบัติได้ พอปฏิบัติไปก็จะเกิดความท้อแท้เบื่อหน่าย ไม่อยากจะปฏิบัติ เพราะไม่เห็นผล จึงต้องรู้จักกำลังของตน เหมือนกับเวลายกของหนัก ต้องรู้ว่ายกได้มากน้อยเพียงไร ถ้ายกมากกว่าที่จะยกได้ ก็จะยกไม่ไหว ถ้ายกน้อยกว่าที่ยกได้ก็จะเสียเวลา แทนที่จะยกได้มากๆ กลับไปยกทีละเล็กทีละน้อย งานก็เลยไม่คืบหน้า

จึงขอฝากเรื่องการมารับยาธรรมโอสถอย่างสม่ำเสมอ ให้ท่านนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป

ขอบคุณ ..จิตเหนือโลก..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร