วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 05:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2009, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1116543nabm3rj9hi.gif
1116543nabm3rj9hi.gif [ 45.98 KiB | เปิดดู 2393 ครั้ง ]
รูปภาพ สาธุ .... เจ้าค่ะ คุณ "ป่าอ้อ"
ท่านยกอรรถกถา ของอุบาลีคาถา มาประกอบได้งามยิ่งค่ะ

ขออนุญาตนำอรรถกถาเต็มๆ ใน ด้านที่ท่านอุบาลีเถระ
เปรียบ พระสัทธรรม และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโอสถ จากอรรถกถา มาให้อ่านกันค่ะ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=317

ป่าอ้อ เขียน:

ปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา อุบาลีเถรคาถา


Quote Tipitaka:

ท่านทั้งหลายควรพยายามในประโยชน์ของตน ท่านทั้งหลายจึงจะให้ขณะเวลาประสบผล ไม่ล่วงไปเปล่า

ก็ยาเหล่านี้คือยาสำรอก เป็นพิษร้ายกาจสำหรับคนบางพวก แต่เป็นโอสถสำหรับคนบางเหล่า
ส่วนยาถ่ายเป็นพิษร้ายกาจสำหรับคนบางพวก แต่เป็นโอสถสำหรับคนบางเหล่า (ฉันใด)


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ฉันนั้น
เป็นเสมือนยาสำรอก สำหรับผู้ปฏิบัติ (ผู้เจริญมรรค)
เป็นเสมือนยาถ่ายสำหรับผู้ตั้งอยู่ในผล
เป็นเสมือนโอสถสำหรับผู้ได้ผลแล้ว
และเป็นบุญเขตสำหรับผู้แสวงหา (โมกขธรรม)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นเสมือนยาพิษที่ร้ายกาจ สำหรับผู้ประพฤติผิดจากคำสั่งสอน
เผาคนๆ นั้นเหมือนอสรพิษ ต้องยาพิษ
ยาพิษชนิดแรงที่คนดื่มแล้วจะผลาญชีวิต (เขาเพียง) ครั้งเดียว
ส่วนคนผิดพลาดจากคำสั่งสอน (พุทธศาสนา) แล้วจะหมกไหม้ (ในนรก) นับโกฏิกัป



แต่หัวใจที่สำคัญ คือ คาถา ซึ่งเป็นภาษิตที่ใช้สอนภิกษุนวกะ ค่ะ

:b48: เราทั้งหลาย ที่ใคร่ ใฝ่พากเพียร
ควรต้องเรียน คำสอนนี้ที่ สิกขา
ดุจนวกะ ของพระศาสดา
เ้อมนำมา ขัดเกลาจิต เป็นนิตย์เทอญ

:b48: ขอเชิญท่าน ผู้อ่าน ที่ผ่านมา
ควรบูชา ควรน้อมมา ควรสรรเสริญ
กระบี่ฯ ขอ น้อมนำ พร้อมอัญเชิญ
และขอเชิญ ทุกท่าน น้อมปฏิปทา


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๑๑. อุบาลีเถรคาถา


ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธา ยังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา
พึงคบหากัลยาณมิตรผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ ไม่เกียจคร้าน

ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธายังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา
พึงเป็นผู้ฉลาดอยู่ในสงฆ์ ศึกษาวินัยด้วยอำนาจการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติให้บริบูรณ์

ภิกษุผู้ออกบวชด้วยศรัทธา ยังเป็นผู้ใหม่ต่อการศึกษา
พึงเป็นผู้ฉลาดในสิ่งควรและไม่ควร ไม่ควรถูกตัณหาครอบงำเที่ยวไป.


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=26&item=317&items=1




รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1116543nabm3rj9hi.gif
1116543nabm3rj9hi.gif [ 45.98 KiB | เปิดดู 2368 ครั้ง ]
:b41: :b46: :b41: :b46: :b41: :b46: :b46: :b41: :b46: :b46: :b41: :b46: :b46: :b41: :b46: :b46: :b46: tongue


:b48: เมื่อท่านอ่าน อรรถกถา นั่นไปแล้ว
ขอนำแก้ว จากพระไตร ให้ศึกษา
ท่านอุบาลี เถระเจ้า ท่านกล่าวมา
ต่อพระพักตร์ พระศาสดา พระโคดม

:b48: ได้กล่าวถึง โอสถ ไว้อย่างไร
ท่านกล่าวไว้ ถึงยา อย่างเหมาะสม
เชิญผู้อ่าน ศึกษาไว้ ได้ชื่นชม
ในคารม เถระเจ้า อุบาลี

:b48: จากพระไตรฯ เล่มที่ สามสิบสอง
เป็นทำนอง ให้เห็น เป็นสักขี
พระเถระเจ้า แต่ละรูป ทำกรรมดี
ท่านสั่งสม บารมี มายาวนาน


Quote Tipitaka:
จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑


ท่านทั้งหลายจงเก็บขณะไว้
ยาสำรอกของบุคคลบางพวก เป็นยาถ่ายของบุคคลบางพวก,
ยาพิษแข็งกล้าร้ายของคนบางพวก เป็นยาถ่ายของคนบางพวก,
ยาพิษกล้าร้ายแรงของคนบางพวก เป็นยารักษาโรคของคนบางพวก,

ได้ตรัสบอกอาการเปลื้องสงสารแก่ผู้ปฏิบัติ
การถอนออกจากสงสารแก่ผู้ตั้งอยู่ในผล
ตรัสบอกโอสถแก่ผู้ได้ผล
ตรัสบอกบุญเขตแก่ผู้แสวงหา
ตรัสบอกยาพิษอันกล้าแข็งแก่บุคคลผู้เป็นปฏิปักข์ต่อพระศาสนา

อบายสี่ย่อมเผานระนั้น เหมือนอสรพิษมีพิษร้ายฉะนั้น
ยาพิษอันกล้าแข็งที่บุคคลดื่มแล้วย่อมยังชีวิตให้พินาศครั้งเดียว
คนผิดในพระศาสนาแล้ว ย่อมถูกไฟเผาในโกฏิกัป



http://www.84000.org/tipitaka/read/?32/8



รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2009, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




42.gif
42.gif [ 14.8 KiB | เปิดดู 2345 ครั้ง ]
โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้า:-

โรคมะเร็งซึ่งถือกันว่าเป็นโรคร้ายแรงในยุคปัจจุบัน
ได้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันว่ามีโครงสร้างของโมเลกุลเป็นอย่างไร
ทำให้สามารถตรวจสอบอาการของมะเร็งได้ง่ายขึ้น
เพราะเมื่อพบโมเลกุลของเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่าเป็นโมเลกุลของมะเร็งแล้ว
ก็รู้ได้โดยง่ายว่าเป็นมะเร็ง พวกฝรั่งเขาเก่ง โฆษณาเก่ง อะไรๆ ก็อ้างว่าเป็นผู้คิด ผู้รู้
หรือเป็นผู้คนพบ แล้วเหมารวมเอาว่าเป็นภูมิปัญญาของฝรั่ง
อย่างดินปืนหรือเข็มทิศนั่นประไร คนจีนเขาคิดได้ก่อนร่วมสองพันปี
ฝรั่งเอาไปพัฒนาแล้วอ้างเอาว่าเป็นต้นคิด แม้กระทั่งปืนกลอะไรนั่น
ความจริงขงเบ้งได้คิดใช้ก่อนแล้วตั้งแต่เกือบสองพันปี
ดังที่มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในสามก๊ก

เซรุ่มหรือวัคซีนในการรักษาป้องกันโรคและพิษหลายอย่าง
ฝรั่งก็อ้างผูกขาดเอาว่าเป็นต้นคิด ทั้งๆ ที่ความจริงแนวความคิดในการผลิตเซรุ่ม
หรือวัคซีนไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วอย่างน้อยก็สองพันกว่าปี

อันเซรุ่มหรือวัคซีนนั้นหลักการอันเป็นแนวคิดก็คือการใช้พิษฆ่าพิษหรือข่มพิษ
มีการเอาพิษหรือเชื้อโรคไปบ่มไปเพาะ แล้วนำไปใช้ในการป้องกัน
หรือรักษาพิษหรือโรคฝรั่งคิดเรื่องนี้ได้ในระยะเพียงประมาณไม่กี่ร้อยปีมานี้
แต่จีนคิดและใช้ความรู้เกี่ยวกับพิษข่มพิษหรือใช้พิษแก้พิษมาร่วมสองพันปีแล้ว
ยาแผนโบราณของจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำนวนมากล้วนได้ใช้หลักพิษข่มพิษหรือพิษแก้พิษ

ฝรั่งเคยเอายาจีนไปพิสูจน์แล้วออกข่าวโวยวายว่าเป็นยาที่กินไม่ได้
เพราะมีสารพิษเจือปนก็เพราะนัยดังกล่าวนี้เอง ทั้งๆ ที่ในการใช้บำบัดรักษาจริงๆ แล้ว
สามารถใช้ได้ผลเป็นอย่างดี

ดังเช่นยารักษาโรคมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะลำไส้ที่มีชื่อว่าเปี่ยนเซฮวง หรือเพี้ยนจื่อ หวัง
หากเอาไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบว่ามีสารพิษบางอย่างซึ่งฝรั่งถือว่าใช้ไม่ได้
แต่ในการใช้บำบัดรักษาผู้เป็นโรคมะเร็งในหลายประเทศทั่วโลกปรากฏว่าใช้ได้ผลดี
พรรคพวกคนหนึ่งเป็นโรคไวรัสบีที่ตับ ตัวเหลืองซีด เดินไม่ได้ กินไม่ได้ อีกไม่นานก็จะตายแล้ว
แต่พอได้กินยาดังกล่าวเข้าประมาณ 20 เม็ด ก็เริ่มสามารถเดินได้
ครั้นกินไปได้ครบ 60 เม็ด ตัวที่เหลืองซีดก็หาย ผลตับก็ดีขึ้นและเป็นปกติจนถึงทุกวันนี้

พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเราทรงพบหลักการบำบัดรักษาโรคทำนองเดียวกับเซรุ่ม
หรือวัคซีนก่อนใครในโลก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวกในการใช้สอย และได้ผลจริง
มีความแสดงไว้อย่างชัดเจนทั้งในพระสูตรและพระวินัย
อย่าได้คิดว่าเป็นการค้นพบโดยการทดลองทางวิทยาศาสตร์
หากเป็นการรู้เห็นด้วยญาณอันวิเศษ และปฏิบัติใช้ได้ผลมาแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นผลดีของโอสถวิเศษดังกล่าวนี้
จึงบัญญัติไว้ในพระวินัยให้เป็นวัตรปฏิบัติสำคัญ 1 ใน 3 ประการของภิกษุ
พระภิกษุต้องมีวัตรปฏิบัติ 3 ประการ คือ
การถือไตรจีวรเป็นประจำอย่างหนึ่ง
การบิณฑบาตอย่างหนึ่ง
และการทำน้ำมูถเน่าฉันอีกอย่างหนึ่ง
สามอย่างนี้หากปฏิบัติไม่ครบถ้วนย่อมผิดพระวินัย
แต่ในยามที่เห่อสมณศักดิ์กันดังปัจจุบันนี้
จะมีพระภิกษุเหลือเพียงสักกี่รูปที่มีวัตรปฏิบัติครบถ้วนตามพระวินัย
ที่ได้มีพุทธบัญญัติไว้มากหลายรูปที่มีสบง จีวร เกินกว่า 1 ชุด ซึ่งต้องอาบัติ
และมากหลายรูปที่ไม่ออกบิณฑบาต โดยเฉพาะรูปที่มีสมณศักดิ์สูง
และจำนวนมากเหลือเกินที่ไม่ทำน้ำมูถเน่าฉัน หันไปฉันยาฝรั่ง

ไตรจีวรเพียงสามผืนมุ่งหมายให้พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้เลี้ยงง่าย
มีความเป็นอยู่สะดวกสบายไม่มีภาระ
เป็นเครื่องเตือนสติให้ละวางปล่อยว่างในกิเลสทั้งปวง
ให้รำลึกอยู่เนืองๆ ว่ากายนี้ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ครองไตรจีวรเพียงเพื่อปกปิดร่างกาย กันร้อนหนาวเหลือบยุงเท่านั้น
หากปฏิบัติดังนี้จิตย่อมถูกกล่อมเกลาให้ห่างเหินออกจากกิเลส
และความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง

การบิณฑบาตเป็นวัตรก็คือการออกกำลังกายในยามเช้า
ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า morning walk หรือ จ็อกกิ้งอะไรก็ตามเถิด
แต่แท้จริงแล้วก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่ทำให้เลือดลมในกายไหลเวียนเป็นปกติ
เส้นสายได้คลี่คลาย ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งอาหาร โดยเฉพาะเวลาอุ้มบาตรแนบกับท้องน้อย
ความอุ่นของบาตรพระที่มีข้าวสุกอยู่ในบาตรได้เคล้าคลึงอยู่กับหน้าท้อง
ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของเส้นสายและเลือดลมทั้งปวง
ทำให้กายมีความเป็นปกติ เป็นอยู่สบาย

แม้ในทางธรรมเล่าก็ทำให้ผู้เป็นพุทธบริษัทได้มีโอกาสทำบุญ
บำรุงจิตใจให้อาบเอิบอยู่ด้วยบุญ จาคะ และการสละละวาง
ประโยชน์ใหญ่หลวงอันเกิด แต่บิณฑบาตมีอยู่ดังนี้
ส่วนการทำมูถเน่าฉันนั้นก็คือ
การเอาน้ำปัสสาวะของตนเองทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาแต่กลางน้ำ ดองกับลูกสมอหรือมะขามป้อมก็ได้
หมักบ่มไว้เป็นเวลา 90 วัน ก็ใช้ฉันได้ หรือจะฉันสดโดยรองเอาแต่เฉพาะช่วงกลาง
ทิ้งหัวทิ้งท้ายก็ได้

และนี่เป็นวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่ง
ที่มีผลในการป้องกัน บำบัด และรักษาโรคที่มีผลชะงัด
พิสูจน์เมื่อใดก็ใช้ได้เมื่อนั้น ได้ผลเมื่อนั้น

ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาใดๆ หรือมีเพศวัยอะไร
คนโบราณหรือคนที่มีอายุเกินกว่า 45 ปี
ก็คงเคยได้กินยาแผนโบราณที่ใช้น้ำปัสสาวะเด็กเป็นกระษัยยามาบ้างแล้ว
นั่นเป็นเรื่องของคนที่ขยะแขยงน้ำปัสสาวะ หรือน้ำมูถ

พระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติ
ให้ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองย่อมมีมาแต่เหตุว่า
อาการของโรคใดๆ ของคนใดคนหนึ่ง
ย่อมต้องบำบัดรักษาด้วยน้ำมูถหรือน้ำปัสสาวะของผู้นั้น
จะใช้ของผู้อื่นไม่ได้

มีผู้ใช้โอสถทิพย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในการบำบัดรักษาโรคหลายอย่างหลายชนิดตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน
ตั้งแต่ป่วยเป็นไข้ เป็นฝีในท้อง เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคตับ โรคไต
ความดันโลหิตสูง มะเร็ง และโรคอื่นๆ สารพัด
ได้ทราบข่าวหลายกระแสและค่อนข้างจะแน่ชัดแล้วว่า
น้ำมูถเน่าหรือน้ำปัสสาวะนั้น สามารถบำบัดรักษาโรคเอดส์ได้ด้วย
เหตุที่มีการทดลองใช้น้ำปัสสาวะ หรือน้ำมูถเน่ารักษาโรคเอดส์
เนื่องจากการรักษาแผนปัจจุบันนั้นเป็นอันสิ้นหวัง
และยังไม่สามารถค้นพบยาขนานอื่นใดที่รักษาโรคเอดส์ได้อย่างแท้จริง
จึงทำให้ผู้เป็นโรคเอดส์ที่ว่านี้ทอดอาลัยตายอยาก
แล้วคิดว่าไหนๆ ก็จะตายแล้ว ลองใช้โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าบ้างจะเป็นไรไป
ครั้นทดลองเอามากินเพียง 10 กว่าวัน
ลิ้นและปากที่เป็นฝ้ากินอะไรไม่ได้ก็เริ่มกินน้ำได้คล่องคอแล้วค่อยๆ กินอาหารได้
พอกินอาหารได้ความซูบซีดผอมแห้งแรงน้อยก็ค่อยๆ หาย
เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นโดยลำดับ

6 เดือนผ่านไปเนื้อหนังมังสาผิวพรรณเริ่มเหมือนผู้คนมากกว่าที่เหมือนเปรตดังแต่ก่อน
ค่อยๆ มีแรงเดินได้ ออกกำลังกายได้
8 เดือนผ่านไปก็มั่นใจว่าโอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าสามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายได้อย่างแน่นอน
จึงกินต่อมาเรื่อยๆ
5 ปีผ่านไปแล้วบาง รายแค่ 3 ปีผ่านไปแล้วก็สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติยิ่งขึ้น หรือเหมือนกับคนปกติแล้ว

ตรองดูเหตุผลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้พระภิกษุฉันน้ำมูถเน่าเป็นวัตร
ก็คงเนื่องมาแต่ยุคพุทธกาลนั้นบ้านเมืองยังทุรกันดาร มดหมอก็คงหาลำบาก
ยามพระภิกษุป่วยไข้จะหาหยูกยาที่ไหนมารักษา
และวิธีที่ดีและง่ายที่สุด หาได้ทุกเมื่อทุกวันเวลาก็คือน้ำปัสสาวะของตนเอง
เหตุที่ต้องใช้น้ำปัสสาวะของตนเอง
ก็เพราะว่าน้ำปัสสาวะของคนเรานั้น เป็นสิ่งที่กลั่นจากน้ำในกาย
ทั้งน้ำเลือด น้ำหนอง และน้ำทุกชนิดในกายอันยาววาหนาคืบนี้
โดยไตเป็นกลไกในการขับกรอง โรคทั้งหลายในกายย่อมอาศัย
ย่อมมีเหตุปัจจัยและย่อมมีผลเกี่ยวด้วยน้ำหลายชนิดดังกล่าวในกายของตัวเองนั่นเอง

เป็นโรคอะไรน้ำในกายก็ย่อมมีสารอันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของโรคนั้นอยู่
เมื่อผ่านการกลั่นกรองของไตกลายเป็นน้ำปัสสาวะแล้ว
น้ำปัสสาวะนั้นจึงเหมือนกับเซรุ่มหรือวัคซีนที่พวกฝรั่งเพิ่งค้นพบในภายหลังนั่นแหละ

เมื่อมองดังนี้
ก็จะเห็นได้ว่าน้ำปัสสาวะของคนเราแท้จริงแล้วก็
คือเซรุ่มหรือวัคซีนที่ธรรมชาติประทานไว้ให้กับคนเรานั่นเอง
เป็นเซรุ่มหรือวัคซีนธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันบำบัดรักษาโรคประจำกายได้โดยอัตโนมัติ
เป็นโรคอะไรหรือจะเป็นโรคอะไร ร่างกายก็จะผลิตน้ำปัสสาวะที่เสมือนดังหนึ่งเซรุ่ม
หรือวัคซีนที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษาโรคนั้นอย่างตรงตัวที่สุด

อุปมาเหมือนกับการเอาพิษงูเห่าไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูเห่า
หรือการเอาพิษงูจงอางไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูจงอางนั่นแล

โรคเอดส์ก็ประกอบด้วยน้ำ มีเหตุมีปัจจัยจากน้ำ และก่อผลแก่น้ำอันมีอยู่ในกาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายคนเราจึงผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนที่รักษาโรคเอดส์
โดยการใช้น้ำปัสสาวะของผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์นั้น
ในการบำบัดรักษาโรคเอดส์ให้หาย

สมญานามของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าเป็นผู้แจ้งโลกนั้น
ไม่ว่าจะคิดจะพิจารณาศึกษาค้นคว้าในเรื่องไหนๆ ก็จะเห็นได้ถึงความรู้แจ้งโลก
หรือความเป็นสัพพัญญูอย่างถ่องแท้ ได้ลองค้นคว้าตำรายา
ในพระไตรปิฎกก็ได้พบตำรายามากหลาย

น้ำปัสสาวะสดอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องสกปรกโสมม คิดเสียว่าเหมือนกับน้ำลายที่อยู่ในปาก
สามารถกลืนกินได้ฉันใด น้ำปัสสาวะก็ดื่มกินได้ฉันนั้น
แต่เอาหละเพื่อความสะอาดช่วงต้นช่วงปลายอาจจะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจอยู่บ้างก็ทิ้งไปเสีย
เอาแต่ตอนกลางวันดื่มเช้าหนหนึ่ง ก่อนนอนหนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นโอสถวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะ
และสามารถบำบัดรักษาโรคที่มีอยู่ในตนได้ทุกอย่างรสชาติของน้ำปัสสาวะของแต่ละคน
และที่เป็นโรคแต่ละโรคย่อมแตกต่างกัน บ้างมัน บ้างหวาน บ้างเค็ม บ้างเปรี้ยว บ้างจืด
ก็ถือเสียเถิดว่านั่นเป็นยาแต่ละขนานสำหรับโรคแต่ละโรค

ส่วนการทำน้ำมูถเน่านั้น
ท่านให้ใช้น้ำปัสสาวะตอนเช้าและตอนก่อนเข้านอน
ทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาเฉพาะส่วนกลาง ดองใส่โหลไว้
ใส่สมอหรือมะขามป้อมแล้วปิดฝาให้มิดชิด ถ้วน 90 วันแล้วก็ดื่มกินได้
ทั้งรสชาติดีและรักษาโรคได้ทุกชนิด
จะกินน้ำปัสสาวะเพื่อป้องกันรักษาโรคก็ได้
หรือถ้ารังเกียจก็คอยจนเป็นโรคใดโรคหนึ่งที่หมอไม่รับรักษาแล้วค่อยทดลองกินก็ได้
ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยที่ยังประโยชน์ยิ่งของโอสถทิพย์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งปวงเทอญ

สิริอัญญา, ข้างประชาราษฎร์

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 30 พ.ย. 2009, 18:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2009, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 17:51
โพสต์: 189

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
สิ่งที่ชื่นชอบ: วรรณกรรม
ชื่อเล่น: ป้าโคม่า
อายุ: 54

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

โอสถ..รักษาใจ

แผลใจ หรือที่เรียกว่า "มะเร็งในอารมณ์"

เหตุเกิดจากโรครัก-โลภ-โกรธ-หลง และโรคอารมณ์อีกหลายชนิด ที่จะเกิดติดตามมาหลังจากใจถูกอารมณ์ร้ายเหล่านี้เกาะกิน พร้อมแนะวิธีรักษาด้วยพุทธโอสถ คือ ยาธรรมะของพระพุทธองค์ เพื่อใช้รักษาอารมณ์ในยามที่ท่านประสบกับโรคทางใจ

ใจที่ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ หมายถึงใจที่ปราศจากอารมณ์ที่เป็นเหตุให้ขุ่นมัว คนที่รักษาสภาวะจิตใจของตน จะรู้จักการใช้กำลังใจไปในทางที่ถูกรู้จักระงับใจให้อยู่ในระดับปกติ ทำตนให้เป็นคนมีอารมณ์แจ่มใส ไม่มักมากในสิ่งต่างๆ ไม่เก็บความทุกข์ร้อนมาใส่ใจ

คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง จะรู้สึกมีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง มีความพอใจเป็นเบื้องหลัง มีความหวังเป็นเบื้องหน้า จึงสามารถทำคุณประโยชน์ให้ทั้งแก่ตนหรือส่วนรวมได้อย่างมากมาย ผิดกับคนที่ขาดกำลังใจ จะทำอะไรก็ดูท้อแท้ กลัวแต่ความผิดหวัง จนไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

ปกติ ใจของมนุษย์เป็นธรรมชาติที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง มีกำลังมากกว่าฟ้า ลึกกว่าท้องสมุทร กว้างใหญ่กว่าแผ่นดิน กำลังใจจึงมีอิทธิพลเหนือกว่าทุกสรรพสิ่งที่มีในโลก คนที่มีกำลังใจย่อมสามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและคนอื่น ผิดกับคนที่ขาดกำลังใจ ทำสิ่งใดก็มักจะไม่สำเร็จ

คนที่เป็นโรคทางใจ ย่อมเกิดผลร้ายกว่าโรคทางกาย โรคใจสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
และแผ่กระจายตัวไปได้ในพริบตา เกิดขึ้นได้วันละหลายครั้งไม่เลือกเวลา สถานที่ โรคใจที่ว่า
คือ โรครัก โรคโลภ โรคโกรธ โรคหลง ซึ่งแต่ละโรคนี้ทำให้มนุษย์พบกับความวิบัติมานักต่อนัก

:b48: โรครัก
ความ รักที่มีเมตตาธรรม รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น เคารพนับถือกันตามฐานะไม่ถือว่าเป็นโรค แต่ความรักที่มีแต่ความหึงหวง แก่งแย่งกัน จึงจะนับว่าเป็นโรค เมื่อเกิดโรครักขึ้น ไฟราคะ ก็เผาใจให้รุ่มร้อนกระวนกระวายในเมื่อยามผิดหวัง เมื่อยามตนสมหวังก็เผาผลาญร่างกายให้โรยรา เพราะเป็นไฟที่มีมากเกินพอดี
:b41: ยารักษา
เมื่อ เกิดโรครักขึ้นต้องแก้ด้วยยาคือ สติ ระมัดระวังใจมิให้หลงใหลไปตามอำนาจของกามารมณ์ ให้นึกถึงโทษของความรักที่ทรมานตนจนฟุ้งซ่านกระวนกระวายขาดทั้งกำลังกายใจ ทำอะไรก็ให้รู้สึกท้อแท้ ต้องรู้เท่าทันว่า เมื่อโรครักเกิดขึ้นในใจแล้ว ย่อมทำให้ใจมีความวิปริตเปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งในทางที่ดีหรือร้าย

:b48: โรคลุแก่โทสะ
การ คิดประทุษร้ายเพราะความไม่ชอบกัน เป็นโรคใจที่ทำให้คนโหดเหี้ยม ดุร้าย ก่อให้เกิดแต่ความขุ่นแค้น ยังใจให้ลุกโชนด้วยไฟ คือ โทสะที่คอยแผดเผาให้รุ่มร้อน ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ย่อมนำความเดือดร้อนมาให้ได้มากกว่าไฟตามปกติหลายเท่านัก คนที่ลุแก่อำนาจโทสะ ก็เหมือนเหล็กที่ถูกสนิมกัดกร่อนย่อมไม่มีความแข็งแรง

:b48: โรคโกรธ
ความ โกรธมักเกิดขึ้นจากการกระทำที่ผู้อื่นทำแก่ตนทั้งเจตนาหรือไม่เจตนา แต่ก็สร้างความขัดเคืองขุ่นแค้นให้เกิดขึ้นได้ แม้แต่การกระทำของตัวที่ไม่ได้ดังประสงค์ก็ยังใจให้โกรธได้ คนมักโกรธแม้มีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาด มีความสามารถ แต่เมื่อถูกความโกรธครอบงำ ก็สามารถก่อกรรมทำเข็ญที่ร้ายแรงได้

:b48: โรคผูกโกรธ
ความ ผูกโกรธเป็นโรคที่เกิดต่อจากความโกรธ แต่มีโทษที่รุนแรงกว่าความโกรธ เกิดขึ้นได้เพราะการกระทำของผู้อื่นที่ตนไม่พอใจ เมื่อโกรธแล้วก็ผูกโกรธเอาไว้ให้คุกรุ่นอยู่ในใจ เหมือนเถ้าที่กลบไฟไว้ ผูกโกรธไม่รู้ลืม เมื่อพบเห็นหรือนึกถึงคนที่ทำให้โกรธขึ้นมาคราใด เป็นต้องฟุ้งซ่านแค้นเคือง พยายามหาทางทำตอบให้สมกับความแค้นที่เขาทำไว้กับตน

:b48: โรคพยาบาท
ความ พยาบาทเป็นโรคร้ายที่เกิดต่อจากความผูกโกรธ เมื่อผูกไฟโกรธให้ลุกโชนในใจแล้ว จึงผูกพยาบาทปองร้ายผู้ที่ทำให้โกรธนั้น โรคนี้มีโทษร้ายแรงทั้งกว่าความโกรธและความผูกโกรธ ที่มุ่งโทษแต่การกระทำแก้แค้นตอบแทน แต่ความพยาบาทนอกจากทำแก้แค้นแล้ว ยังหวังล้างผลาญผู้นั้นให้วิบัตย่อยยับไปเลยทีเดียว เมื่อยังแก้แค้นไม่สำเร็จก็จองเวรต่อไป ไม่รู้จักจบสิ้น
:b41: ยารักษา
โรค ทั้ง 4 คือ โรคลุแก่โทสะ โรคโกรธ โรคผูกโกรธ โรคพยาบาท สามารถรักษาได้ด้วยพุทธโอสถ
คือ ความเมตตา และความกรุณา เปลี่ยนความรู้สึกโกรธแค้น ผูกใจเจ็บ พยาบาทมาดร้ายต่อเขา ให้เป็นความรักใคร่สงสารแทน เมื่อเกิดความรู้สึกรักและเมตตาในผู้อื่น ย่อมทำให้กลายเป็นคนที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารี
รู้ถึงหัวอกเขาหัวอกเรา ก็จะบรรเทาเบาบางอารมณ์ร้ายให้จืดจางไปจากใจได้

:b48: โรคโลภ
ความ อยากที่ไม่มีประมาณ ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่รู้จักพอ ทั้งที่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็น่าจะมีความสุข แต่เพราะความโลภจึงทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน กระเสือกกระสน ดิ้นรนแสวงหา เมื่อไม่ได้สมใจ ก็เกิดความเศร้าเสียใจ ตรมตรอมใจ เป็นบ้าใบ้ไปก็มี หนักเข้าถึงกับเป็นไข้ใจอย่างรุนแรง ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะความไม่สมอยาก
:b41: ยารักษา
ยินดี ในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นยาแก้ความโลภได้ดีที่สุด คือ รู้จักการแสวงด้วยหนทางที่ชอบอยู่ในกรอบของศีลธรรม ยับยั้งชั่งใจให้รู้ประมาณในการแสวงหา การได้มารวมถึงการใช้จ่ายก็ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอสมกับการได้มา ก็จะสามารถช่วยรักษาโรคของความโลภมากอยากได้ให้ผ่อนคลายและหายไปได้ในที่สุด

:b48: โรคมักมาก
โรค ทางใจที่เร่งเร้าให้ชิงสุกก่อนห่าม มักใหญ่ใฝ่สูง มีจิตสันดานที่เอาแต่กอบโกย ถือแต่ส่วนตัวเป็นใหญ่ ถึงมีก็ไม่รู้จักพอ ไม่มีความรู้สึกพอใจในสิ่งใดๆ ไม่มีใครที่จะทำให้เขามีความรู้สึกอิ่มได้ เหมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อ มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ และความตายไม่แหนงหน่ายไปจากสรรพสัตว์
:b41: ยารักษา
ความ รู้จักพอ เป็นยาแก้ความมักมากที่ได้ผลทำให้มองเห็นค่าของความพอควรว่า เมื่อไม่มีสิ่งที่พอใจ ก็พอใจในสิ่งที่มี ตนได้ลงโทษความอยากยังดีกว่าการที่ตนจะถูกลงโทษเพราะความมักมาก เมื่อทำได้เช่นนั่น จะสามารถรักษาโรคมักมากอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุดให้ทุเลาเบาบางจนหายขาดได้

:b48: โรคความอยาก
เป็น โรคประหลาดที่อยากมีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่อยากทำ ชอบการได้มาที่ไม่ต้องออกแรงแม้แต่จะคิด คนที่เป็นโรคนี้มักทำตรงกันข้ามกับความอยาก เช่น กลัวความลำบากแต่เป็นคนเกียจคร้าน ชอบความสุขสบายแต่ไพล่ไปทำเหตุแห่งทุกข์ อยากได้ดีแต่ไม่ทำความดี เข้าทำนองที่ว่า ทิ้งธุระที่มาถึงตัว มัวแต่พะวงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
:b41: ยารักษา
ต้อง เป็นคนมีฉันทะ รักใคร่ที่จะทำความดี ฝึกฝนอบรมตนให้เห็นประโยชน์ของความดีที่ตนปรารถนา เห็นโทษของความเลวที่ตนรังเกียจ พร้อมที่จะทำความดีตามที่ตนปรารถนา ละเว้นความเลวร้ายที่ตนรังเกียจ ก็ช่วยให้จิตใจของท่านมีความปรารถนาอยากทำแต่ในสิ่งที่ดีๆ

:b48: โรคมายา
คน ที่มีมายาสาไถย เป็นคนเจ้าเล่ห์ ทำตัวเป็นเหมือนภูติผีที่เที่ยวหลอกผู้อื่นกิน คนที่ทำตัวเจ้าเล่ห์โกหกปลิ้นปล้อน เป็นคนคดในข้องอในกระดูก ย่อมไม่เป็นที่ไว้วางใจของใครต่อใคร เป็นคนที่หมดความน่าเชื่อถือ ใหม่ๆ อาจจะหลอกใครต่อใครได้ แต่เมื่อเขารู้ทันก็จะเป็นเหมือนกับผีตายซาก ถูกปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
:b41: ยารักษา
ต้อง ใช้สัจจะ คือ ความจริง มาปรับปรุงตัวรักษาใจให้เป็นคนมีคุณธรรมที่เที่ยงตรงต่อหน้าที่ จริงใจต่อเพื่อนฝูง ซื่อสัตย์ต่อนาย และต้องมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เมื่อได้หมั่นฝึกฝนอบรมจิตด้วยสัจจะแล้ว โรคมายาก็ไม่อาจเกาะกุมใจของเขาได้อีก

:b48: โรคโอ้อวด
เป็น คนประเภทขี้โอ่ คอยแต่จะฟังคำสรรเสริญเยินยอ เมื่อผู้อื่นกล่าวชมไม่ทันใจ ก็พูดบรรยายสรรพคุณของตนอวดคนอื่นโดยไม่เลือกสถานที่ เวลา ว่าตนรู้อย่างนั้น ดีอย่างนี้ จนบางทีโอ่เสียจนน่ารังเกียจ ทั้งที่ใครเขาไม่อยากฟัง
:b41: ยารักษา
ต้อง รู้จักประมาณตน ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะฐานะว่าตนเป็นอยู่ในระดับไหน ไม่เย่อหยิ่งทะนงตนว่าวิเศษวิโสกว่าผู้อื่นแล้วเหยียบย่ำผู้อื่นเลวกว่าตน คนที่รู้จักประมาณตนเป็นเหตุให้เห็นคนเป็นคน จึงสามารถวางตนได้เหมาะสม

:b48: โรคหลงงมงาย
เป็น โรคทางใจที่ทำให้คนเป็นโรคนี้หลงเห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี เป็นหมอกม่านปิดกั้นสติปัญญาให้มืดมน คนที่ถูกไฟโมหะครอบงำจิตใจย่อมไม่อาจมองเห็นความเป็นจริงได้ แม้นต้องพบกับความทุกข์ลำบาก ก็ยังหลงหัวปักหัวปำ ไม่อาจถอนตัวถอนใจได้ เป็นเหตุให้มีชีวิตที่เศร้าหมองบั่นทอนชีวิตให้สั้นลง
:b41: ยารักษา
ต้อง ใช้ยา คือ สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัวพร้อม พินิจพิเคราะห์ให้ได้เหตุและผลที่แท้จริงก่อนค่อยทำหรือปลงใจเชื่อในสิ่งใด ทำตัวให้หนักแน่นในเหตุผล ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นในอำนาจของความหลง ก็จะช่วยผ่อนคลายอำนาจของความงมงายไม่ให้ครอบงำใจได้

:b48: โรคอิจฉา
เป็น โรคอิจฉาริษยาในลักษณะที่หวงความดี ไม่อยากให้ผู้อื่นดีกว่าตน คนเป็นโรคใจประเภทนี้ไม่ปรารถนาจะพบเห็นหรือแม้แต่ได้ยินว่าคนอื่นได้ดีทำ ความดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทนไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำดีเยี่ยงเขา เพราะมัวแต่คิดอิจฉาความดีของคนอื่น ตัวเองเลยไม่มีเวลาทำดี ยิ่งทำให้ค่าความดีของตนตกต่ำลงไป คนที่ใช้ความอิจฉาริษยาเป็นลูกศรยิงผู้อื่น แม้ตัวเองก็ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจ
:b41: ยารักษา
ต้อง ฝึกใจให้มี มุทิตา ความพลอยยินดี ในคุณความดีของผู้อื่น ฝึกฝนอบรมใจให้เป็นคนมีอัธยาศัย ไมตรี ไม่แข็งกระด้าง เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข ก็พลอยยินดีไปกับความสำเร็จของเขา แม้ตัวจะด้อยค่าลงไปกว่าเขา ก็ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ โรคร้ายความอิจฉาตาร้อนก็จะผ่อนคลายหายไปในที่สุด

:b48: โรคหงุดหงิด
คน เป็นโรคใจชนิดนี้เหมือนเป็นไข้เรื้อรัง ทำให้กลายเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นจุกจิกไม่เข้าเรื่อง สร้างความรำคาญใจให้กับคนรอบข้างได้ไม่จบสิ้น ต้องหาเรื่องหงุดหงิดบ่นว่าใครต่อใครไม่เลือกหน้า ถ้าไม่มีก็ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามากล่าวอ้างจนได้ คนที่เป็นโรคนี้มักไม่รู้ตัวว่าเป็นคนทำความรำคาญใจกับผู้อื่น เป็นคนที่น่าเบื่อ ใครต่อใครก็ไม่อยากคบ
:b41: ยารักษา
ต้อง มีความสำนึกรู้ตัวตนอยู่เสมอ พิจารณาถึงโทษของความหงุดหงิดจู้จี้ขี้บ่น ว่าเราไม่ชอบคนประเภทนี้อย่างใด คนอื่นเขาก็คงไม่ชอบนิสัยอย่างนั้นของเราเหมือนกัน เมื่อคิดได้ดังนี้ก็จะทำให้หายหงุดหงิดไม่จู้จี้ขี้บ่น มีหน้าตาแจ่มใส มีจิตใจที่แช่มชื่น มีความเป็นอยู่ที่สุขกายสบายใจเลยทีเดียว

:b48: โรคขี้ขลาด
โรค ขี้ขลาดหรือกลัวในเรื่องที่ไม่ใช่เหตุ หรือในขณะที่ประสบเหตุ เมื่อกลัวจนเกินกว่าเหตุย่อมปิดบังสติปัญญาที่จะใช้แก้ไขปัญหา นับเป็นโรคที่ยังใจให้หดหู่ห่อเ+++่ยว ไม่องอาจผลาญกำลังใจของชีวิต ไม่ให้ต่อสู้กับปัญหาเพราะความขลาดกลัวเป็นเหตุ คนที่เป็นโรคนี้จึงต้องเสริมสร้างขวัญและกำลังใจเป็นพิเศษ
:b41: ยารักษา
ต้อง ใช้ปัญญา พิจารณาถึงเหตุและผลของความกลัว ว่าเรากลัวในสิ่งที่จำเป็นต้องกลัวหรือไม่ เช่นกลัวต่อการทำดี เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าทำเอาหน้า เป็นต้น เมื่อตรึกตรองได้ดังนี้ ก็จะทำให้เห็นคุณของความกล้าในสิ่งที่ชอบที่ควร ก็จะช่วยหยุดยั้งความกลัวที่ผิดปกติได้

“ ใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกล้ำ

ยากที่จะหยั่งถึง...

กำลังใจจึงมีอิทธิพลเหนือกว่า

ทุกสรรพสิ่งบรรดามี ”

คัดลอกจากหนังสือ “ยาล้างแผลใจ” สำนักพิมพ์ ช่อระกา และ สำนักพิมพ์ เลี่ยงเชียง

.....................................................
รูปภาพ
"จิตที่ให้ย่อมเป็นจิตที่ดี ... จิตที่มีแต่ประชดประชันนั้น ... หาควรแก่การอบอรมสั่งสอนธรรมผู้ใดไม่"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร