ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=80&t=54640 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | อายะ [ 22 ก.ย. 2011, 11:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
งานหลักคือคือยกจิตขึ้นวิปัสสนา เพื่อความหลุดพ้นจากวัฎฎะ ผลพลอยได้อาจจะได้หรือไม่ได้ฌาณ แต่คงน้อยคนนักที่จะได้ฌาณ หลวงปู่มั่นท่านคงเตือนพระรูปใดรูปหนึ่งที่ได้ฌาณ มิใช่ห้ามผู้ปฏิบัติทั่วไปเจริญจิตจนถึงขั้นฌาณ แต่ไฉนผู้ไม่เคยได้ฌาณมักกลัวติดฌาณ แล้วก็เที่ยวเตือนชาวบ้านระวังติดฌาณ บางคนแม้อยากจะได้ฌาณทำทั้งชาติก็ไม่ได้ คนไม่ได้ฌาณกลัวติดฌาณ งงแท้ครับ |
เจ้าของ: | อินทรีย์5 [ 22 ก.ย. 2011, 13:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
แต่ถ้าเปนสายหลวงพ่อฤาษี จะเน้นสงบจนเป็นฌานก่อน ถ้าข่มนิวรณได้ ก้เอาฌานได้ แต่ปกติ จะจัดการความฟุ้งซ่านไม่ได้ เกิดความอยากตอนจิตเริ่มสงบ จิตเลยถอยออกจากฌานหรือได้ฌานแปลบๆก้ ตกจากฌาน แล้วก้ทำต่อไม่ได้อีก สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่ตัวฌานแต่เปนความพอใจและเพลินในการเข้า ถึงความสุขของฌานนั้นๆ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 22 ก.ย. 2011, 15:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
๑๐. อนุรุทธสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตตรนิกาย [๑๒๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าเภสกลามิคทายวัน แขวงเมืองสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคชนบท ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระอนุรุทธะอยู่ที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์ ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกทางใจอย่างนี้ว่า 1. ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของบุคคลผู้มีความปรารถนามาก 2. ของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของบุคคลผู้ไม่สันโดษ 3. ของบุคคลผู้สงัด มิใช่ของบุคคลผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ 4. ของบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของบุคคลผู้เกียจคร้าน 5. ของบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของบุคคลผู้มีสติหลงลืม 6. ของบุคคลผู้มีจิตมั่นคง มิใช่ของบุคคลผู้มีจิตไม่มั่นคง 7. ของบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของบุคคลผู้มีปัญญาทราม ฯ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกทางใจของท่านพระอนุรุทธะแล้ว เสด็จจากเภสกลามิคทายวัน แขวงสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคชนบท ไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านอนุรุทธะที่วิหารปาจีนวังสทายวัน เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้ถวายแล้ว แม้ท่านพระอนุรุทธะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอนุรุทธะว่า ดีแล้วๆ อนุรุทธะ ถูกละ ที่เธอตรึกมหาปุริสวิตก ว่าธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของบุคคลผู้มีความปรารถนามาก ... ของบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดูกรอนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงตรึกมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ นี้ว่า ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า มิใช่ของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ดูกรอนุรุทธะ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ ในกาลนั้น เธอจักหวังได้ทีเดียวว่า จักสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ ในกาลนั้น เธอจักหวังได้ทีเดียวว่า จักบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกวิจาร เพราะวิตก วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ ในการนั้น เธอจักหวังได้ทีเดียวว่า จักมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ ในกาลนั้น เธอจักหวังได้ทีเดียวว่า จักบรรลุ จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ และจักเป็นผู้มีปรกติได้ตามปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ นี้อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ในกาลนั้น ผ้าบังสุกุลจีวรจักปรากฏแก่เธอ ผู้สันโดษ อยู่ด้วยความยินดี ด้วยความไม่หวาดเสียว ด้วยความอยู่เป็นสุข ด้วยการก้าวลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนหีบใส่ผ้าของคฤหบดี หรือบุตรแห่งคฤหบดี อันเต็มไปด้วยผ้าสีต่างๆ ฉะนั้น ดูกรอนุรุทธะ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ และจักเป็นผู้ได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ นี้อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ในกาลนั้น โภชนะ คือ คำข้าวที่ได้มาด้วยปลีแข้ง จักปรากฏแก่เธอผู้สันโดษ ... ด้วยการก้าวลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนข้าวสุก (หุงจาก) ข้าวสาลี คัดเอาดำออกแล้ว มีแกงและกับหลายอย่าง ของคฤหบดีและบุตรแห่งคฤหบดี ฉะนั้น ดูกรอนุรุทธะ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ ... ในกาลนั้น เสนาสนะ คือ โคนไม้ จักปรากฏแก่เธอผู้สันโดษ ... ด้วยการก้าวลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนเรือนยอดของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี ฉาบทาไว้ดีแล้ว ปราศจากลม ลงลิ่มสลักมิดชิด ปิดหน้าต่างสนิท ฉะนั้น ดูกรอนุรุทธะ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ ในกาลนั้น ที่นอนที่นั่งอันลาดด้วยหญ้า จักปรากฏแก่เธอผู้สันโดษ ... ด้วยการก้าวลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนบัลลังก์ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี อันลาดด้วยผ้าโกเชาว์ขนยาว ลาดด้วยขนแกะสีขาว ลาดด้วยผ้าสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเครื่องลาดอย่างดี ทำด้วยหนังชะมด มีเครื่องลาดเพดานแดง มีหมอนข้างแดงสองข้าง ฉะนั้น ดูกร อนุรุทธะ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ ในกาลนั้น ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า จักปรากฏแก่เธอผู้สันโดษ ... ด้วยการก้าวลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนเภสัชต่างๆ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี ฉะนั้น ฯ ดูกรอนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เธอพึงอยู่จำพรรษาที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์นี้แหละ ต่อไปอีกเถิด ท่านพระอนุรุทธะทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนท่านพระอนุรุทธะด้วยพระโอวาทนี้แล้ว เสด็จจากวิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์นคร ไปปรากฏที่ป่าเภสกลามิคทายวัน แขวงเมืองสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคะ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะอยู่จำพรรษา ที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์นครนั้นนั่นแล ต่อไปอีก ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระอนุรุทธะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ลำดับนั้น ท่านพระอนุรุทธะบรรลุอรหัตแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ไว้ในเวลานั้นว่า พระศาสดาผู้เป็นเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ได้เข้ามาหาเราด้วยฤทธิ์ทางพระกายอันสำเร็จแต่พระหฤทัย พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอันยิ่งกว่าความดำริของเราเท่าที่ดำริไว้ พระพุทธเจ้าผู้ยินดีแล้วในธรรมอันไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ได้ทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า เราได้รู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์แล้ว ยินดีในศาสนาอยู่ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำแล้ว ฯ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 22 ก.ย. 2011, 15:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตตรนิกาย อนุรุทธสูตรที่ ๒ [๕๗๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกล่าวว่า ขอโอกาสเถิดท่านสารีบุตร ผมตรวจดูตลอดพันโลกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ก็ผมปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตา เออก็ไฉนเล่า จิตของผมจึงยังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านอนุรุทธะ การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เราตรวจดูตลอดพันโลก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ดังนี้ เป็นเพราะมานะของท่าน การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า ก็เราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติมั่นไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตา ดังนี้ เป็นเพราะอุทธัจจะของท่าน ถึงการที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เออก็ไฉนเล่า จิตของเรายังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้ ก็เป็นเพราะกุกกุจจะของท่าน เป็นความดีหนอ ท่านพระอนุรุทธะจงละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจธรรม ๓ อย่างนี้ แล้วน้อมจิตไปในอมตธาตุ ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะต่อมาได้ละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจถึงธรรม ๓ อย่างนี้ น้อมจิตไปในอมตธาตุ ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะ หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีตนอันส่งไปอยู่ ไม่นานนัก ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องกันนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละ ท่านพระอนุรุทธะ ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 22 ก.ย. 2011, 15:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
อินทรีย์5 เขียน: แต่ถ้าเปนสายหลวงพ่อฤาษี จะเน้นสงบจนเป็นฌานก่อน ถ้าข่มนิวรณได้ ก้เอาฌานได้ แต่ปกติ จะจัดการความฟุ้งซ่านไม่ได้ เกิดความอยากตอนจิตเริ่มสงบ จิตเลยถอยออกจากฌานหรือได้ฌาน แปลบๆก็ตกจากฌาน แล้วก้ทำต่อไม่ได้อีก สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่ตัวฌานแต่เปนความพอใจและเพลิน ในการเข้าถึงความสุขของฌานนั้นๆ อิอิ.... |
เจ้าของ: | murano [ 22 ก.ย. 2011, 19:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
eragon_joe เขียน: [color=#800040]๑๐. อนุรุทธสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตตรนิกาย [๑๒๐]... ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกทางใจอย่างนี้ว่า 1. ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของบุคคลผู้มีความปรารถนามาก 2. ของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของบุคคลผู้ไม่สันโดษ 3. ของบุคคลผู้สงัด มิใช่ของบุคคลผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ 4. ของบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของบุคคลผู้เกียจคร้าน 5. ของบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของบุคคลผู้มีสติหลงลืม 6. ของบุคคลผู้มีจิตมั่นคง มิใช่ของบุคคลผู้มีจิตไม่มั่นคง 7. ของบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของบุคคลผู้มีปัญญาทราม ฯ .... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอนุรุทธะว่า ดีแล้วๆ อนุรุทธะ ถูกละ ที่เธอตรึกมหาปุริสวิตก ว่าธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของบุคคลผู้มีความปรารถนามาก ... ของบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดูกรอนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงตรึกมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ นี้ว่า ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า มิใช่ของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ... ดีมากๆ เวรี่ตู้ด เจ้าเอกอน |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 23 ก.ย. 2011, 12:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
คือ...ลอกมาทั้งหลวงปู่มั่นและพระไตรปิฏก....ตัวมาตุคามน้อยและอีกหลายๆคนก้ยังได้หน้าลืมหลังกัน |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 23 ก.ย. 2011, 12:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
eragon_joe เขียน: อินทรีย์5 เขียน: แต่ถ้าเปนสายหลวงพ่อฤาษี จะเน้นสงบจนเป็นฌานก่อน ถ้าข่มนิวรณได้ ก้เอาฌานได้ แต่ปกติ จะจัดการความฟุ้งซ่านไม่ได้ เกิดความอยากตอนจิตเริ่มสงบ จิตเลยถอยออกจากฌานหรือได้ฌาน แปลบๆก็ตกจากฌาน แล้วก้ทำต่อไม่ได้อีก สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่ตัวฌานแต่เปนความพอใจและเพลิน ในการเข้าถึงความสุขของฌานนั้นๆ อิอิ.... พระองค์ทรงเรียกพระองค์เองว่าเป้นมหาฤาษี....พระองค์ทรงสอนว่าไม่ควรกลัวการติดสุขจากฌาณ..ๆลๆ อย่ารวน! |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 23 ก.ย. 2011, 13:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
ดูๆแล้วหลายคนยังคิดว่าฌาณกับญาณเหมือนกัน ฌาณเป้นชื่อเรียกระดับสมาธิ(มีหลายแบบ)ญาณเป้นก่ารหยั่งรู้(มีหลายแบบ)อาสักวักขยญาณก้ไม่ต้องเอากันแล้ว ธรรมเอก,ดวงธรรม,ดวงพุทโธหน่ะได้กันแล้วยัง |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 23 ก.ย. 2011, 13:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
อื้อ |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 23 ก.ย. 2011, 22:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
หายใจเข้าพุทหายใจออกโธเอาให้เป็นเอกัคตาจิต(รีบๆทำนะอย่ามัวเล่นโทรศัพท์ถ่ายรูปเพลินล่ะ) |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 23 ก.ย. 2011, 22:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
อืมมม ไปลืมโทรศัพท์ไว้ไหนอีกแล้วก็ไม่รู้ด้วยจิ่ ต่อไปจะซื้อโทรศัพท์แบบรุ่นที่ไม่มีกล้องแล้ว |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 23 ก.ย. 2011, 23:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
.......... |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 23 ก.ย. 2011, 23:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
พุท..ไม่เข้า โธ..ก็หาย โทรศัพท์ก็เสีย ช่วงต่ำสุดของคลื่น...ธรรมชาติ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 23 ก.ย. 2011, 23:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ไม่ยินดีกับ “ญาณ” (พระอาจารย์มั่น) |
กบนอกกะลา เขียน: พุท..ไม่เข้า โธ..ก็หาย โทรศัพท์ก็เสีย ช่วงต่ำสุดของคลื่น...ธรรมชาติ นี่มาซ้ำเติมเหร๋อ... |
หน้า 2 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |