วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2020, 09:30 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

รูปภาพ
หลวงปู่ศรี มหาวีโร

ท่านพระอาจารย์มั่น
โปรดผีพระยาอุตรนคร (พระยาอุดร)
:b47: :b47:

ปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ พรรษาที่ ๔ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านจำพรรษาที่เสนาสนะป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ (วัดโนนนิเวศน์) อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่ศรีเล่าประวัติต่อไปอีกว่า...

เมื่อเราออกจากถ้ำพระเวส อำเภอนาแก จังหวัดสกลนคร ก็เที่ยวจาริกไปตามถ้ำภูผาป่าเขาต่างๆ ในจังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งจวนเข้าพรรษา จึงเข้าจำพรรษาที่เสนาสนะป่าเป็นที่ทิ้งศพโนนนิเวศน์ สถานที่แห่งนี้เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๓-๒๔๘๔ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้เคยมาพักจำพรรษา การเข้ามาจำพรรษาในอารามที่ท่านวางรากฐานไว้ไม่นานนัก รอยธรรม รอยมือ รอยวัตรปฏิบัตินั้นยังคงหลงเหลืออยู่ นับว่าเป็นสิริมงคลยิ่งนัก คงได้ความคิดสติปัญญาบางประการเป็นแน่แท้ หรืออย่างน้อยก็ย่อมเป็นการทดสอบตนเองก่อนจะเข้าไปยังสำนักของท่าน

มีพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์กรรมฐานของท่านพระอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า ในคราวที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่เสนาสนะป่าโนนนิเวศน์นี้ ศิษย์ติดตามอุปัฏฐากท่านพระอาจารย์มั่น ในครั้งนั้นคือ พระอาจารย์เจี๊ยะ จุนฺโท การแสดงธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ๕-๖ วันท่านจะแสดงธรรมหนึ่งครั้ง ศิษย์สายกรรมฐาน เช่น พระอาจารย์เทสก์ เทสฺรํสี, พระอาจารย์ขาว อนาลโย, พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ, พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล), พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ฯลฯ ลงจากป่าจากเขามารับฟังมธุรสแห่งธรรมด้วยความหิวกระหายในธัมโมชปัญญา (โอชะอันเกิดแต่ธรรม) ใคร่ได้ใคร่ถึงธรรมที่ท่านพระอาจารย์มั่นแสดง ประหนึ่งว่าปลาขาดน้ำ เมื่อฝนมาชโลมรด ปลานั้นจะดีใจ และลิงโลดสักปานใด

“ท่าน (ศรี) เอ๊ย...” พระรูปนั้นกล่าวขึ้นพร้อมมีนัยน์ตาวาวด้วยปีติ

“ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านมักมีปกติแสดงธรรมเรื่องจิตล้วนๆ เช่นว่า ปัญญากับสติให้รู้เท่าทันกัน ทำจิตให้เสมอ อย่าขึ้นอย่าลง อย่าไปอย่ามา ให้รู้เฉพาะปกติของจิต ให้เห็นอยู่กับปัจจุบันธรรม อย่าส่งจิตไปอดีต อนาคต ธาตุ ๘๔,๐๐๐ ธาตุ ออกมาจากจิตหมด ให้เอากาย วาจา ใจ นี้ยกขึ้นมาพิจารณา อย่าเพิ่ม อย่าเอาออก ให้เห็นเป็นปกติ เมื่อใดก็ตามที่เราส่งจิตออกนอก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้รู้เห็นอยู่ในกายและจิต เป็นสัมมาทิฏฐิ การแก้จิตใจให้แก้ปัจจุบัน เมื่อแก้ปัจจุบันได้แล้ว ภพทั้ง ๓ นั้นจะหลุดออกไปหมด ไม่ต้องส่งใจไปในอดีต อนาคต ให้ลบอารมณ์ภายนอกออกให้หมด จึงจะเข้าอารมณ์ภายในได้ เพ่งนอกเป็นตัวสมุทัย เป็นทุกข์ และเป็นตัวมิจฉาทิฏฐิ เพ่งในเป็นตัวสัมมาทิฏฐิ จะเป็นนักปฏิบัติต้องเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่สุด จึงจะรู้ธรรมเห็นธรรม”

นี้แหละท่าน คือหัวข้อธรรมโดยย่นย่อที่ท่านพระอาจารย์มั่นแสดง ช่างไพเราะจับใจไม่รู้ลืม สำหรับพระผู้พิจารณาธรรม และผมก็จำไม่ลืมจนเท่าทุกวันนี้

เมื่อเรื่องมาถึงวัดโนนนิเวศน์แล้ว ท่านหลวงปู่ศรีจึงเล่าเรื่องพระอาจารย์มั่นมาพักจำพรรษาที่เสนาสนะป่าแห่งนี้ และที่หนองน้ำเค็มให้ฟังทันทีว่า...เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นจะออกเที่ยวกรรมฐานเป็นนิสัย โดยเฉพาะโปรดสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ อย่างเช่นที่หนองน้ำเค็มที่คนเขาลือว่า “ผีดุมาก”

ท่านพระอาจารย์มั่นไปทรมานผีพระยาองค์หนึ่ง อยู่ดงหนองน้ำเค็ม ท่านพิจารณาดูแล้วเห็นว่า ถ้าไม่ไปทรมานแล้วเห็นท่าจะไม่ไหว ท่านจึงไปอยู่ดงหนองน้ำเค็มถึง ๙ เดือน

ฤดูแล้ง มีผีพระยาองค์หนึ่ง แต่ก่อนเป็นพระยาอุตรนคร เมืองอุดรเดิมมีชื่อเรียกว่า อุตรนคร พระยาองค์นี้มีทรัพย์สมบัติมากเลยฝังไว้ที่ดงหนองน้ำเค็ม พอตายลงก็เลยเป็นผีนั่งเฝ้านอนเฝ้า ตากแดดตากฝน เฝ้ามหาสมบัติที่อยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ชาติกี่ภพ ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว ดังนั้น ใครไปใกล้ก็ไม่ได้ ใครไปเอาฟืนก็ไม่ได้ ถูกขย้ำหลอกหลอนทันทีเลย หวงแหนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาสิ่งของต้นไม้ใบหญ้าในบริเวณนั้น

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านจึงนั่งแผ่เมตตาจิตอยู่อย่างนั้น แต่แล้วผีเจ้าพระยานั้นก็หวงสมบัติอยู่เหมือนเดิม ในขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่นั้น ผีนั้นเข้ามารบกวนเรื่อยๆ มาทำขึงขังๆ ท่านไม่สนใจอะไร ผลสุดท้ายมาแสดงท่าทางอย่างไรท่านก็ไม่กลัว ท่านแผ่เมตตาจิตให้เสมอ

ท่านสอนว่า “จะเอาไปทำไมของอย่างนี้ มันเป็นสมบัติของแผ่นดินของโลก จะเอาก็เอาไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่ของใครๆ ทั้งนั้น จะเอาไปทำไม แม้แต่ร่างกายก็ทิ้งไว้ในโลกในแผ่นดินนี้ ถ้าใครไปยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทานก็เดือดร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดกาล เพราะของเหล่านี้มันเป็นสมบัติของโลกมนุษย์ สมมุติขึ้นเฉยๆ”

เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นพร่ำสอนนานวันเข้า ผีพระยาอุตรนครจึงปลงใจในทรัพย์สมบัตินั้นได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีก สุดท้ายจึงยอมยกสมบัตินั้นถวายท่านด้วยจิตศรัทธา พอละความยึดติดในสมบัตินั้น จิตวิญญาณจึงไปสู่สุคติ ไปสู่สวรรค์ หลังจากที่อยู่ที่นั้นมานานนับกัปนับกัลป์

ท่านเอ้ย !...หลวงปู่ศรีกล่าวเล่าด้วยเสียงภาษาอีสาน...“เมืองอุดรเมื่อก่อนผีดุมาก สมัยหนึ่งกลางวันแสกๆ มีควายตู้ (ควายดื้อ) ตัวหนึ่งวิ่งผ่านกลางเมืองอุดร สมัยนั้นท่านอาจารย์เสาร์ท่านไปทรมานเอา เป็นควายวิ่งไปวิ่งมาหายไปเลย เฮี้ยนไม่เบา”


:b8: :b8: :b8:

ที่มา : หนังสือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากล้นด้วยบุญบารมี
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=50005

:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่ศรี มหาวีโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=50228

:b44: งานพระราชเพลิงสรีระสังขาร “หลวงปู่ศรี มหาวีโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=41937


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2021, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร