วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2019, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าพรรษา…พากันทำดี
พระธรรมเทศนาโดย...หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ
วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ


รูปภาพ

ในวันเข้าพรรษานี้ ตามวัดตามวา ครูบาอาจารย์
ตามประเพณีครูบาอาจารย์เคยว่าธรรมะ
คารวะซึ่งกันและกันเป็นประเพณี
ใกล้จะเข้าพรรษาท่านก็ตักเตือนให้พวกสามเณรนักบวช
ตลอดจนคณะญาติโยม บ่ให้ประมาท
ให้เกิดความเพียรทำความดีให้ขะมักเขม้น บ่ให้ผิดพลาด
เป็นงานที่จะต้องทำความพากความเพียร ตั้งอกตั้งใจ
ส่วนคณะญาติโยมก็ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญเข้าวัดของตน
บำเพ็ญทาน บำเพ็ญศีลให้เกิด บำเพ็ญภาวนา


นี้เป็นข้อวัตรของพระอริยเจ้า บำเพ็ญให้ได้ เพียรให้ได้
ตั้งสัจจะในตนของตนอย่าให้ขาด
เว้นแต่เราไม่สบาย เรามีความจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหว
ถ้าเรายังมีความเป็นอยู่สบาย อย่าให้ขาดการบำเพ็ญบุญกุศล

ทานของเรา
ศีลของเรา
ภาวนาของเรา

การรักษาศีล เราต้องตั้งสัจจะของเรา รักษาศีล
เอาขีดไหนขั้นไหน ในพรรษานี้ อย่างพระท่านว่าศีล ๕ ศีล ๘
จะรักษาศีล ๕ ให้ตลอดไตรมาส ๓ เดือน อย่างนี้ให้ได้ เป็นกุศลผลดี
หรือจะรักษาศีล ๘ ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ทุกวันๆ ก็ดี
หรือมิฉะนั้น เราจะรักษาเฉพาะพักหนึ่งๆ ชั่ววันหนึ่งๆ อย่างนี้ก็ดี
เราตั้งสัจจะของเราอย่างไง ก็รักษาสัจจะของตนไว้ให้ดี
อย่าให้ขาด บำเพ็ญไปตามสัจจะของตน
เมื่อถึงวันพระหนึ่งๆ เราก็ต้องสมาทานศีล รักษาศีล ๘ ตามที่เราตั้งใจไว้
ท่านว่ารักษาศีลแล้ว เราก็ต้องฝึกหัดภาวนาไปตาม
อย่าให้ขาดการมารักษาศีล มานอนวัด อย่ามาคุยกัน มาพูดกันเล่น
มาคุยกันเล่นให้จิตมันวอกแวก อันนี้บ่ใช่การมารักษาศีล

ศีล แปลว่า ทำความสงบของกาย ของวาจา ของใจ

กาย ก็ให้งดจากบาป วาจา งดจากบาป
บาปที่เกิดขึ้นทางกาย ทั้งการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์
การประพฤติผิดมิจฉากาม การดื่มสุราเครื่องดองของเมา
ทุกสิ่งทุกประการ ถ้าผู้ใดทำตาม ผู้นั้นบ่มีกายสงบ เป็นผู้มีกายชะเนาะ
เป็นผู้มีกายสกปรกโสมม เป็นผู้มีกายเป็นบาป ถ้าไม่กระทำบาป กายก็สงบ
วาจาที่พูด ถ้างดเว้นพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ
พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระประโยชน์ วาจาผู้นั้นก็พอสงบ

ใจ ถ้าพร้อมด้วยเมตตาพรหมวิหารทั้ง ๔ คือ
มีเมตตา ความรักใคร่ปรารถนาดีต่อกันและกัน จิตใจไม่อิจฉาพยาบาทคิดร้ายกัน
กรุณา ความสงสารคิดจะช่วยกันเป็นสุข
มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นเขาได้ดี ก็ให้เขาดีไป อย่าไปคดโกง
อย่าไปยื้อแย่งแข่งดีเขา สนับสนุนให้เขาดียิ่งๆ ขึ้นไป
ถ้าคนมีกิเลสปราศจากศีล เป็นผู้ขี้เดียดความดี กลัวเขาจะดีกว่าตน
ในที่สุดจะต้องตัดทางเขา ไปถ่วงเขาให้ลดจากความดี
แต่ทีนี้...เมื่อเขาดี ทำดี ก็สนับสนุนให้เขาดียิ่งๆ ขึ้นไป
อุเบกขา ความวางเฉยไม่ดีใจเสียใจ ในเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ นี่สำหรับศีลทางใจ

ถ้าเรามีศีล ประจำกาย วาจา ใจของเรา กาย วาจา ใจของเราก็สงบ
เมื่อกาย วาจา ใจสงบ ก็เป็นบ่อเกิดของปัญญา
เราจะภาวนาก็เกิดสติปัญญาได้ง่าย ทั้งหญิงทั้งชายให้พากันตั้งอกตั้งใจ…

อย่าพากันไว้ใจชีวิตของตน ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงไม่แน่นอน
วันนี้เรามีชีวิตอยู่ หายใจอยู่ วันหลังมาชีวิตจะเป็นจั๋งใด
ดีหรือไม่ ชีวิตของเรานั้น หรือวันหลังมาจะเป็นอย่างไรในพรรษานี้
พวกเราทั้งหลายเชื่อหรือว่าชีวิตของเราจะตลอดพรรษา
เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา จิตมันจะตายเวลาไหนไม่รู้
เพราะชีวิตมันเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่มันจะเป็นไป
เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่จึงอย่าพากันประมาท
จงพากันรีบเร่งบำเพ็ญทำความดี ให้เกิดให้มีขึ้นในดวงจิตความคิดของเรา


เมื่อเรายังไม่ตาย ทานไม่มี เราพยายามบำเพ็ญให้มีขึ้น
ศีลไม่มี เราพยายามบำเพ็ญให้มีขึ้น ภาวนาไม่มี เราพยายามบำเพ็ญให้มีขึ้น
เมื่อเราพยายามบำเพ็ญบุญกุศลอย่างนี้ จึงว่าชีวิตของเราไม่ว่างหรือสูญเปล่า
ถ้าเราได้สำนึกประโยชน์อย่างยิ่งในชีวิตที่เราบำเพ็ญอยู่ เราก็มีสุคติ สุขสวรรค์เป็นที่ไป
บุญกุศลที่เราบำเพ็ญไว้ จะเป็นนิสัยปัจจัยให้แก่กล้าหน้าบาน
เจริญงอกงามตามหน้าที่ ไปจนได้ถึงประโยชน์อย่างยิ่ง คือพระนิพพาน

นี่แหละ เมื่อพวกเรายังมีชีวิตอยู่ อย่าพากันประมาท
อย่าไว้ใจในชีวิตของเรา ในพรรษานี้
หากว่าเรายังมีชีวิตอยู่ตลอดรอดฝั่งไปในพรรษานี้
ในพรรษาหน้าจะเป็นอย่างไร พวกเราจะได้พบกันอีกหรือไม่
อย่าไว้ใจ เพราะเหตุแห่งชีวิตเป็นของไม่แน่นอน
ร่างกายเกิดขึ้นในกฎของไตรลักษณ์ คือ
๑. อนิจจัง ไม่เที่ยง
๒. ทุกขัง มันประกอบไปด้วยทุกข์ สุดแท้แต่มันจะเป็นทุกข์
๓. อนัตตา เป็นสิ่งที่ไม่สมหวังของใครๆ ใครจะหวังอย่างใด
ร่างกายของเรานี้ แต่ละท่านๆ ไม่เป็นไปตามความหวังของใครๆ
เหตุนั้นท่านจึงว่ามันไม่ใช่ตน มิใช่ของตน และมิใช่ของแห่งตน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็มิให้เราประมาท
ให้เร่งบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นในชีวิตของตน


:b8: :b8: :b8: คัดมาจาก...หนังสือกุลเชฏฐาภิวาท ฉบับสมบูรณ์
ชีวประวัติ ปฏิปทา และธรรมเทศนา ของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
วัดเจติยาคิรีวิหาร ภูทอก อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๖
คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต ผู้เขียนและเรียบเรียง
ส่วนหนึ่งของหัวข้อ อบรมวันเข้าพรรษา กรกฎาคม ๒๕๑๙ หน้า ๓๐๗-๓๐๙

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=84&t=59944

• ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=23167

• รวมคำสอนและรูปภาพ “หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42684


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร