ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ประวัติความเป็นมา “วันอัฏฐมีบูชา” http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=86&t=53812 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Duangtip [ 16 ก.พ. 2017, 11:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | ประวัติความเป็นมา “วันอัฏฐมีบูชา” |
• ประวัติความเป็นมา “วันอัฏฐมีบูชา”
http://www.dhammajak.net/budday/atthamee.php ภาพในงานประเพณี “วันอัฏฐมีบูชารำลึก เมืองทุ่งยั้ง” ณ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง บ้านทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=86&t=55988 วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ หรือ เดือน ๗ (ปีที่มีอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองหน) หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๘ วัน คือหลังจาก “วันวิสาขบูชา” แล้ว ๘ วันนั่นเอง ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวเนื่องต่อจาก “วันวิสาขบูชา” “วันอัฏฐมีบูชา” เป็นวันที่ชาวพุทธต้องสูญเสีย พระพุทธสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาสักการะอย่างสูงยิ่ง เราชาวพุทธควรใช้วันนี้เป็นวันแสดงธรรมสังเวช อัปปมาทธรรม (ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่ประมาทมัวเมาในอารมณ์ทั้งปวง) ทำจิตใจให้สงบน้อมระลึกถึงพระพุทธคุณอันหาประมาณมิได้ ให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศลด้วยเถิด นอกจากนี้แล้ว วันนี้ยังเป็น...วันคล้ายวันที่พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา สิ้นพระชนม์ หลังประสูติเจ้าชายสิทธัตถะ และเป็น...วันคล้ายวันที่พระพุทธองค์ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข ณ พระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตลอด ๗ วัน หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอีกด้วย หลังจากพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เหล่าภิกษุสงฆ์ เทพเทวดา พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ ได้ถวายการสักการะพระพุทธสรีระ พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิดที่มีอยู่ในเมืองกุสินาราตลอด ๗ วัน แล้วให้พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ระดับหัวหน้า (มัลลปาโมกข์) ๘ องค์ สระสรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่ แล้วอัญเชิญพระพุทธสรีระ ไปทางทิศตะวันออกของพระนครเพื่อถวายพระเพลิง พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ถามถึงวิธีปฏิบัติพระพุทธสรีระกับ “พระอานนท์เถระ” แล้วทำตามคำของพระอานนท์เถระนั้น คือ ห่อพระพุทธสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วอัญเชิญประดิษฐานลงในหีบทองที่เต็มไปด้วยนํ้ามันหอม แล้วทำจิตกาธาน (อ่านว่า จิต-ตะ-กา-ธาน แปลว่า เชิงตะกอน) ด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด จากนั้นให้พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ระดับหัวหน้า (มัลลปาโมกข์) ๔ องค์ พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ “พระอนุรุทธะเถระ” แจ้งว่า “เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอ พระมหากัสสปเถระและหมู่ภิกษุใหญ่ ๕๐๐ รูป ผู้กำลังเดินทางจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารานี้ เพื่อมาถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระบรมศาสดาเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้” ก็เทวดาเหล่านั้นเคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อนในอดีต จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปเถระอยู่ในพิธี ครั้งนั้นพระมหากัสสปเถระและหมู่ภิกษุใหญ่ ๕๐๐ รูป กำลังเดินทางจากเมืองปาวาจะไปยังเมืองกุสินารา เพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ระหว่างทางได้แวะพักร้อนที่ร่มไม้ ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่นั้น ได้มีอาชีวกะ (พราหมณ์) ผู้หนึ่งถือ “ดอกมณฑารพ” ที่ผูกติดกับกิ่งไม้ต่างร่ม เดินสวนทางมา พระมหากัสสปเถระได้เห็นก็ทราบว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น ดอกมณฑารพนี้มีเพียงในเทวโลกแดนสวรรค์ ไม่มีในเมืองมนุษย์ การที่มีดอกไม้นี้อยู่แสดงว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับพระบรมศาสดา พระมหากัสสปเถระจึงถามอาชีวกะ (พราหมณ์) นั้นว่า ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพระบรมศาสดาบ้างหรือไม่ อาชีวกะ (พราหมณ์) นั้นตอบว่า... พระสมณโคดมได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปล่วงเจ็ดวันแล้ว ดอกไม้นี้ข้าพเจ้าได้เก็บมาจากบริเวณที่เสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น เมื่อพระมหากัสสปเถระและหมู่ภิกษุใหญ่เดินทางมาถึง สถานที่ถวายพระเพลิง “มกุฏพันธนเจดีย์” เมืองกุสินาราแล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณรอบเชิงตะกอน ๓ รอบ พระมหากัสสปเถระเปิดผ้าทางพระบาทแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้าแล้วอธิษฐานว่า “ขอพระยุคลบาทของพระองค์ที่มีลักษณะเป็นจักร อันประกอบด้วยซี่พันซี่ ขอจงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมทั้งสำลี ไม้จันทน์ ออกเป็นช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์ด้วยเถิด” เมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็บังเกิดความอัศจรรย์ พระยุคลบาทก็แหวกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ออกมา โผล่พ้นปลายหีบทองพระบรมศพ เพื่อประทานให้นมัสการเป็นพิเศษแก่พระเถระ พระเถระจับพระยุคลบาทไว้และน้อมนมัสการเหนือเศียรเกล้าของตน เมื่อพระเถระและหมู่ภิกษุใหญ่ ๕๐๐ รูปถวายบังคมแล้ว ฝ่าพระยุคลบาทก็เข้าประดิษฐานในที่เดิม ครั้นแล้วเปลวเพลิงก็ลุกโพลงท่วม พระพุทธสรีระของพระบรมศาสดาด้วยอำนาจของเทวดา เมื่อเพลิงใกล้จะดับ ก็มีท่อน้ำไหลหลั่งลงมาจากอากาศ และมีน้ำพุ่งขึ้นจากกองไม้สาละ ดับไฟที่ยังเหลืออยู่นั้น พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ก็ประพรม “พระบรมสารีริกธาตุ” ด้วยของหอม ๔ ชนิด รอบๆ บริเวณก็โปรยข้าวตอกเป็นต้น แล้วจัดกองกำลังอารักขา จัดทำสัตติบัญชร (ซี่กรงทำด้วยหอก) เพื่อป้องกันภัย แล้วให้ขึงเพดานผ้าไว้เบื้องบน ห้อยพวงของหอม พวงมาลัย พวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้ทั้งสองข้าง ตั้งแต่มกุฏพันธนเจดีย์จนถึงศาลาด้านล่าง ให้ติดเพดานไว้เบื้องบน ตลอดทางติดธง ๕ สีโดยรอบ ให้ตั้งต้นกล้วย และหม้อน้ำ พร้อมกับตามประทีปมีด้ามไว้ตามถนนทุกสาย พวกเจ้ามัลลกษัตริย์นำพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายวางลงในรางทอง แล้วอัญเชิญไว้บนคอช้าง นำพระบรมสารีริกธาตุเข้าพระนคร ประดิษฐานไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ อย่าง กั้นเศวตรฉัตรไว้เบื้องบน แล้วจัดกองกำลังอารักขา จากนั้นจัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพองต่อกันล้อมไว้ พ้นจากเหล่าช้างก็เป็นเหล่าม้าเรียงลำดับคอต่อกัน จากนั้นเป็นเหล่ารถ เหล่าราบ รอบนอกสุดเป็นทหารธนูล้อมอยู่ พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดฉลองพระบรมสารีริกธาตุตลอด ๗ วัน “มกุฏพันธนเจดีย์” ตั้งอยู่ห่างจาก “มหาปรินิพพานสถูป” ไปทางด้านทิศตะวันออก ๑ กิโลเมตร เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า คนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป เดิมทีเป็นเชิงตะกอนไม้จันทร์หอม หลังจากที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว ก็ได้สร้างพระสถูปครอบลง ต่อมาก็ได้ถูกรุกรานทำลายเหลือแต่ซากปรักหักพัง ภายหลังได้ถูกขุดค้นพบเป็นซากกองอิฐพระสถูปขนาดใหญ่ ดังที่เห็นในปัจจุบัน พระสถูปนี้วัดโดยรอบฐานได้ ๔๖.๑๔ เมตร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๗.๑๘ เมตร อย่างไรก็ตาม ตามหลักฐานก็เป็นที่ชัดเจนว่านั่นคือ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หรือมกุฏพันธนเจดีย์ตามที่ชาวพุทธเรียกชื่อกัน ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดี มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ใน “วันอัฏฐมีบูชา” หลังจาก “วันวิสาขบูชา” ๘ วัน คนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป ภาพเขียน..พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภาพเขียน..พิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ที่มา... http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=42337 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |