ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๑ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=53723
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  I am [ 31 พ.ค. 2010, 09:00 ]
หัวข้อกระทู้:  แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๑ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

รูปภาพ

แสงส่องใจ ที่ระลึก วันวิสาขบูชา
19 พฤษภาคม พระพุทธศักราช 2551


จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป.


O “แสงส่องใจ” ฉบับนี้ออกในวันมหามงคลของโลกคือ วันวิสาขบูชา วันมหาบูชาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เมื่อ 2631 ปีมาแล้วมหามงคลเกิดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นครั้งแรกต่อมาอีก 35 ปี มหามงคลเกิดขึ้นอีกครั้งในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของเวลา 45 ปีต่อมา มหามงคลเกิดอีกครั้งหนึ่งทั้ง 3 มหาวาระมงคลนี้มีความเนื่องกัน อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวอย่างแท้จริง เป็นเว้นเนื่องด้วยพระผู้ทรงมหามงคลสูงสุดของโลก. คือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า.

O เมื่อ 2631 ปีมาแล้วเจ้าชายสิทธัตถะแห่งราชาสกุลศากยะ เสด็จประสูติเป็นที่ยอมรับอย่างจริงใจทั่วกัน ว่าวันนั้นเป็นวันมหามงคลเพราะต่อมาอีก 35 ปี เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังวันนั้นให้เป็นมหามงคลอีกวันหนึ่งและเป็นที่ยอมรับอย่างจริงใจทั่วกันอีกวันหนึ่งว่า เป็นวันมหามงคลคือวันเสด็จขันธปรินิพพานแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อทรงมีพระชนมายุ 80 พรรษา และวันนั้นก็เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เช่นเดียวกับวันทรงพระประสูติ วันทรงตรัสรู้ เป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่วโรกาสสำคัญตรงกันทั้งสามสมัย แต่เป็นการแสดงความมหัศจรรย์แห่งมหามงคลกาล อันเนื่องด้วยองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์โดยแท้.

O มีกล่าวไว้ในพระพุทธประวัติ ว่าท่านท้าวจตุโลกบาลวิรุฬหกมหาราช ปัจจุบันคือท่านท้าวจตุโลกบาลวิรุฬหกมราชาพุทธบัณฑิตทรงได้รับหน้าที่สำคัญที่สุด ให้ไปกราบทูลอัญเชิญบรมเทพแห่งดุสิตทิพยสถาน ให้เสด็จลงทรงเสวยพระชาติเป็นมนุษย์

เพื่อทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังได้มีแสดงไว้ด้วยว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงตามคำกราบบังคมทูลถวายการดูแลในโลกมนุษย์ด้วยโดยมิได้ทรงเป็นมนุษย์แต่ทรงเป็นเทพที่จำแลงมาใช้ร่างมนุษย์ เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอนงงานเจ้าชายที่ทรงรับเชิญเสด็จมาสู่โลกมนุษย์ตามคำกราบบังคลทูลของท่านท้าวโลกบาลวิรุฬกมหาราช

เรื่องมีเล่าไว้ทำนองนี้ ที่เชื่อไว้ก็ไม่มีอะไรน่าเสียหาย มีแต่จะได้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งว่าครั้งหนึ่งเทวดาลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อรับสนองงานบรมเทพสำคัญยิ่งพระองค์หนึ่ง ที่เสด็จลงมาเสวยพระชาติเป็นมนุษย์แล้ว และทรงเป็นมนุษย์ที่เหนือมนุษย์ทั้งปวง ทั้งพระมหากรุณาทั้งพระมหาสติ ทั้งพระมหาปัญญา ไม่มีที่เสมอเหมือน ตลอดมาแม้กระทั่งทุกวันนี้ ที่เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วถึง 2551 ปี.

O บัดนี้ วันมหามงคลสูงสุดของโลก คือวันวิสาขบูชา ได้เวียนมาถึงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 ตรงกับวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ในวันนั้น ผู้มีบุญได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาเมื่อมีชีวิตมาถึงวันมหามงคลยิ่งนี้ อย่าให้เสียเปล่าจงถือเอามหามงคลไว้เป็นสมบัติชีวิตให้อย่างยิ่งน้อมใจนึกไปถึงสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างเทิดทูนในความสูงส่งด้วยมหามงคลอันหาที่เปรียบมิได้

นึกด้วยจริงใจเทิดทูนด้วยจริงใจเพียงเท่านี้พระมหาสิริพระมหามงคลในพระองค์ท่านก็จะครอบคลุมชีวิตจิตใจผู้นึกด้วยใจนอบน้อมอย่างแน่นอน จงมั่นใจในพระพุทธบารมี จงมั่นใจและจงน้อมใจเทิดทูนพระพุทธบารมีไว้เหนือเศียรเกล้าเถิดไม่มีมหามงคลใดเปรียบเสมอได้อีกแล้ว จงมั่นใจเชื่อให้จริงแล้วความร้อนที่ครองโลกจะไม่อาจเข้าถึงใจเราได้เลย.

O ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ท่านเคยบอกเล่ากับลูกศิษย์ของท่าน ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาต่อท่านพ้นจะพรรณนา เป็นเหตุให้การปฏิบัติธรรมของท่านได้บรรลุจุดมุ่งมาดปรารถนา ได้ปรากฏชื่ออยู่ในทุกวันนี้ว่าท่านเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว จากการเวียนว่ายการเกิด ภพชาติของท่านสิ้นแล้ว ทุกข์ของท่านก็จบสิ้นไปพร้อมแล้ว.

O ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านเล่าว่าเมื่อท่านรู้สึกว่าการปฏิบัติของท่านไม่เกิดผลดังปรารถนา ความหวังเหลืออยู่เพียงขอรับพระมหากรุณา จากพระพุทธองค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านสามารถบรรลุถึงความสำเร็จอันเป็นยอดปรารถนาที่สูงสุดได้ เป็นยอดปรารถนาของผู้มุ่งมั่นเอาจริงในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า นั่นคือปฏิบัติได้บรรลุถึงความหลุดพ้น ไกลกิเลสสิ้นเชิง ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏอีกต่อไป.

O เสียงกราบทูลจากใจจริงของท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่าน ต้องไปถึงสมเด็จพระบรมศาสดาแน่นอน เพราะได้เสด็จลงปรากฏพระองค์ให้ท่านพระอาจารย์ใหญ่ได้เห็น ได้เฝ้าพระพุทธบาท เหมือนดังทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น วาระนั้นเองที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่ได้รับพระพุทธมหากรุณา ทรงแสดงวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อถึงความหลุดพ้นจากกิเลสพ้นความเวียนว่ายตายเกิดอย่างเด็ดขาดทรงสอนทั้งการเดินจงกรม การทำใจ จนนำท่านพระอาจารย์ใหญ่ให้สามารถปฏิบัติโดยเสด็จพระพุทธองค์ถึงความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงได้สิ้นเชิง เป็นที่ยอมรับตลอดมาของนักปฏิบัติธรรมมากหลายว่าท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านเป็นหนึ่งในพระอรหันต์ที่แท้จริง.

O อันพระอรหันต์นั้นเป็นที่รู้กันว่ามีมากองค์ ที่เป็นพระไทย แต่ท่านพระอาจารย์ใหญ่นั้นเป็นที่ยอมรับกัน ว่าท่านเป็นองค์สำคัญได้รับนับถือเป็นประธานของพระอรหันต์ทั้งหลายและเป็นที่ยอมรับ ว่าท่านคือองค์แทนสมเด็จพระบรมศาสดาอยู่ทุกวันนี้ ท่านมีความสำคัญในความรู้สึกนึกคิดศรัทธาเชื่อถือของพระเณรอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายในปัจจุบัน ว่าท่านพระอาจารย์เป็นพระอรหันต์องค์สำคัญที่สุดในปัจจุบัน ทำให้สิ้นความสงสัยที่เกิดขึ้นในจิตใจผู้นับถือพระพุทธศาสนา ว่าทำไมสมเด็จพระบรมศาสดาจึงไม่ปรากฏพระองค์ ให้พระปฏิบัติอีกมากมาย ได้ชื่นชมพระพุทธบารมี ทำไมจึงทรงเจาะจงเฉพาะท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นเท่านั้น.

O เรื่องการปรากฏพระวรกายของสมเด็จพระบรมศาสดานั้น เป็นที่อัศจรรย์ของบรรดาผู้ได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังตลอดมา จนมาได้คำตอบไขข้อข้องใจ จากเหตุการณ์ที่เกิดกับท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่าน ความขัดข้องใจจึงคลี่คลายไปในที่สุด ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านปฏิบัติหน้าที่การเผยแพร่พระพุทธศาสนา แทนสมเด็จพระบรมศาสดาอยู่ในโลกทุกวันนี้ และไม่แน่ว่าจะต่อไปอีกนานเพียงไร สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเลือกท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นด้วยพระองค์เอง.

O เมื่อเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วดังกล่าวทุกคนคงเข้าใจโดยไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่าทำไมสมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงเลือกท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่าน ให้เป็นองค์เดียวที่มีบุญพ้นรำพัน ได้เฝ้าพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด แม้จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วเป็นร้อยเป็นพันปี โดยที่ท่านพระอาจารย์ไม่ได้ฝันเป็นการได้เห็น ได้เฝ้าพระพุทธบาท ด้วยองค์ท่านเองจริง ๆ โดยที่ไม่มีท่านผู้ใดเคยได้พบความมหัศจรรย์อย่างยิ่งมาก่อนท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านเลย.

O เมื่อมีการนำออกบอกเล่ากล่าวซึ่งความมหัศจรรย์ ที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านได้ประสบมาด้วยองค์ท่านเอง มีผลเกิดตามมาเป็นสองประการ จากสองความคิดของแต่ละฝ่าย ฝ่ายหนึ่งปฏิเสธที่จะเชื่อด้วยมั่นใจว่าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็เช่นเดียวกับผู้ที่ชีวิตละร่างไปแล้ว ไม่มีการมาพูดจาปราศรัยเป็นเรื่องเป็นราวกับผู้ยังเป็นมนุษย์ทั้งหลายได้

อีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าพระพุทธองค์ แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่ยังทรงมีความสามารถเช่นเมื่อยังทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ พระพุทธองค์ทรงมีความมหัศจรรย์ในพระองค์เหนือมนุษย์ทั้งหลายแน่ การทรงปรากฏพระองค์ และทรงสอนการปฏิบัติ ให้ท่านพระอาจารย์ใหญ่ จึงเป็นไปได้ ไม่มีอะไรควรเคลือบแคลงสงสัยแม้แต่น้อย ความมหัศจรรย์จริงนี้ควรอยู่ในใจรับรู้อย่างภูมิใจที่สุด ของทุกคนผู้นับถือพระพุทธศาสนา.

O เป็นธรรมดาที่ย่อมมีผู้สงสัย ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงทรงแสดงพระพุทธองค์ และทรงแสดงธรรมให้ปรากฏแก่ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านเท่านั้น ไม่เคยมีพระรูปอื่นเลยที่บอกเล่าว่าเคยได้รับฟังธรรมจากสมเด็จพระพุทธองค์สำหรับปัญหานี้ก็คลี่คลายไปได้แล้วว่า เพราะท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านมีธรรมที่สามารถให้การอบรมพุทธศาสนิกมากมาย

จนชื่อเสียงความมีธรรมของท่านทำให้ท่านมีความสำคัญอย่างยิ่งตลอดมาที่ทำให้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านปฏิบัติธรรมโดยเสด็จพระบรมศาสดาอยู่ตลอดมาในบั้นปลายแห่งชีวิต และแม้เมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว

ความสำคัญในฐานะพระอาจารย์ใหญ่ผู้ปฏิบัติธรรมโดยเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดา อย่างไม่มีผู้ใดอื่นทัดเทียม ก็ยังเป็นที่ประทับจับใจ เป็นที่ยอมรับของผู้ปฏิบัติทั้งหลายสมเด็จพระบรมศาสดาต้องทรงทราบถึงความสำคัญของท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านจึงเสด็จลงทรงสอนธรรมสำคัญ จนท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านได้โดยเสด็จถึงความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง เป็นที่ยอมรับกันอยู่ทุกวันนี้

ความมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาพ้นจะเข้าใจเช่นนี้ เป็นความจริงเช่นนี้ อย่าใช้ความไม่รู้จักพระพุทธศาสนามาประกาศความไม่รู้จักพระพุทธศาสนาไม่รู้จักพระพุทธบารมีมี่สูงส่งยิ่งใหญ่ จนยากที่คนทั่วไปเช่นเราท่านทั้งหลายจะเข้าใจได้.

O เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ได้รับคำบอกเล่าจากญาติโยมสุภาพสตรีผู้หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทำนองเดียวกับที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านเล่ามาแล้วเมื่อนานปีนักหนา ญาติโยมสุภาพสตรีผู้นั้นเล่าว่าเป็นเรื่องที่เธอได้ประสบมาด้วยตนเองจริง ๆ และไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นำมาเล่า แต่เกิดขึ้นเป็น 50 ปีมาแล้วเธอบอกว่า ไม่กล้านำมาเล่าในช่วงเวลาที่ได้เกิดเหตุการณ์นั้นแก่ชีวิตของเธอ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่าที่ผู้ใดจะเชื่อ

แม้ว่าเธอบอกเล่าในช่วงเวลานั้นก็น่าจะถูกมองอย่างเป็นคนบังคับอาจ แสดงตนเทียมท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่าน เธอจึงไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้ใดทราบด้วยเลย แม้แต่คนเดียว โดยเก็บไว้ส่วนตัวตลอดมาเธอว่าเป็น 50 ปีทีเดียว ที่เธอไม่ได้นึกถึง ไม่ได้พูดถึง ไม่ได้บอกล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตเธอจริง ให้ผู้หนึ่งผู้ใดรับรู้ด้วยแม้แต่คนเดียว.

O ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเธอที่ขณะนั้น มีอายุเพียง 32 ปีไม่รู้เรื่องการปฏิบัติธรรมเท่าไรนักแต่ก็รู้อยู่อย่างลึกซึ้งในจิตใจว่าผูกพันกับพระพุทธเจ้าอย่างอธิบายไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่มีอยู่เองตั้งแต่เด็กได้ฟังผู้ใหญ่ท่านเล่าเกี่ยวกับพระพุทธองค์ ที่เด็กฟังฟังแล้วสนุกตื่นเต้นเหมือนฟังนิทาน ที่มีพระพุทธองค์เป็นพระเอกผู้เก่งกล้าสามารถฉะนั้น

ความรู้สึกเป็นความสำคัญยิ่งขึ้นเป็นลำดับจนมีความรู้สึกเคารพรักเทิดทูนพระพุทธองค์ยิ่งกว่าความรู้สึกที่มีต่อผู้ใดทั้งนั้นเธอผู้นั้นล่าว่าไม่เคยกล้าจะบอกให้ผู้ใดรู้ทั้งสิ้น ถึงความรู้สึกนั้นความรู้สึกที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เป็นเหตุให้อยากปฏิบัติตามที่ได้ยิน ท่านผู้ใหญ่ท่านสอนให้ท่อง พุทโธ ไม่มีความรู้อื่น ที่เป็นธัมมะยิ่งกว่า คำ “พุทโธ” จึงแว่วอยู่ในใจในหูของเธอตลอดมา ตามคำเล่าของท่านผู้ใหญ่.

O เธอได้เล่าถึงความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเมื่อมีอายุได้ 32 ปี แต่เธอไม่กล้าบอกเล่าแก่ผู้ใดทั้งนั้น กลัวไปว่าจะถูกหาว่าปั้นน้ำเป็นตัว นอกจากนั้นเป็นเพราะเธอไม่รู้สึกจริงจังกับเหตุการณ์ที่เกิดมากมายนัก จนกระทั่งมาเมื่อไม่นานปีมานี้ เมื่อเธอมีอายุถึง 80 ปีแล้วความรู้สึกในความมหัศจรรย์ของเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิต

เมื่อเธออายุได้ 32 ปีจนกระทั่งวาระที่เธอมีอายุในวัย 80 ความสำคัญแก่จิตใจชัดเจนจริงจัง ทำให้เธอตัดสินใจบอกเล่าเรื่องที่ประสบพบผ่านมาแล้วในชีวิตเมื่อเป็นเวลากว่า 50 ปีให้เพื่อนสนิทบางคนฟัง จนมีโอกาสได้นำมาลงใน “แสงส่องใจ” ก่อนหน้านี้มาแล้วครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่นำมาเล่า เพราะมีความคิดที่หวังให้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ประกาศความมหัศจรรย์แห่งพระพุทธบารมี.

O ญาติโยมสุภาพสตรีที่พบความมหัศจรรย์แห่งพระพุทธองค์เมื่อ 50 ปีมาแล้ว เล่าว่าวันนั้น วันที่เธอได้พบเหตุการณ์ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ในความรู้สึกของเธอในทุกวันนี้ วันนั้นเป็นวันเวลาประมาณหกโมงเย็น เธอนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป เพื่อทำวัดเย็นตามปกติ เธอเล่าว่าเมื่อเธอพนมมือเริ่มสวด นโม ตัสสะ เท่านั้นจิตใจก็หวั่นไหว เปลี่ยนสภาพจากปกติ เป็นเศร้าเสียใจอย่างรุนแรง อย่างสุดซึ้ง ด้วยเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิต เพิ่งจะมีความรู้สึกนั้นเป็นครั้งแรกขณะนั้น คือความคิดอย่างลึกซึ้งท่วมท้นไปทั้งจิตใจ เป็นความรู้สึกว่า “เรานี้อาภัพ เกิดมาไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า”

ความคิดนี้ก่อให้เกิดความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งจริง ๆ และพร้อมกันนั้น ในวินาทีนั้นจริง ๆ ความมหัศจรรย์ก็เกิดแก่ชีวิตญาติโยมผู้นั้น ภาพพระภิกษุองค์หนึ่งลอยลิ่วจากโต๊ะบูชาตรงหน้าเธอ ที่เป็นโต๊ะค่อนข้างสูงใหญ่ และอยู่ไกลจากเธอที่นั่งพนมมือเริ่มการสวดมนต์ทำวัตรเย็นอยู่ แต่เพียงเริ่มสวดได้เพียง นโม ตัสสะ เท่านั้น เหตุการณ์มหามงคลชีวิตของเธอก็เกิดขึ้น เธอยืนยันอย่างจริงใจ ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มิได้เสกสรรปั้นแต่งขึ้น.

O ภาพพระภิกษุองค์นั้นชัดเจน เป็นเป็นคนจริง ๆ มิใช่เป็นรูป มิใช่เป็นความฝัน เป็นความจริงที่ปรากฏแก่สายตาจริง ๆ จนทุกวันนี้เหตุการณ์ปรากฏแก่สายตาเธอเป็น 50 ปีมาแล้ว เมื่อเธอมีอายุที่จำได้แม่นยำว่า 32 ปี ปัจจุบันเธอมีอายุกว่า 80 ปีมาแล้ว และเธอเพิ่งนำเรื่องนี้มาบอกเล่าเพื่อนสนิทบางคนจนเรื่องนั้นมาถึงให้ได้นำมาเป็น “ แสงส่องใจ”

ครั้งนั้นก็มิใช่เป็นครั้งแรก เคยนำลงมาก่อนแล้วแต่มิได้ให้ความชัดเจนแก่เรื่องเท่าครั้งนี้ เพราะครั้งนี้มีอะไร ๆ เกิดขึ้นในโลกเรามากมายที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ความมั่นใจเทิดทูนพระพุทธบารมีให้จริงใจ ให้เป็นการเทิดทูนบูชาด้วยความเคารพบูชา ด้วยความเชื่อมั่นในพระพุทธบารมีสูงสุด ย่อมจะพิทักษ์รักษาให้ชีวิตของผู้นั้นร่มเย็นเป็นสุขได้ แม้จะต้องอยู่ในโลกของความทุกข์ความร้อนที่หนักหนาอยู่ในทุกวันนี้.

O แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายสิบปี แต่ผู้เล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ได้พบ รับรองว่าเห็นถนัดชัดแก่ตาจริง ๆ หลังจากที่อยู่ดี ๆ ไม่มีเหตุมีผล ก็เกิดคิดน้อยใจ ที่เกิดมาไม่เคยเห็นพระพุทธองค์ เป็นความน้อยใจที่รุนแรงและปราศจากเหตุอันควรก่อให้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์เลยแม้แต่น้อย ความน้อยใจในวาสนาบารมีของตนทำให้น้ำตาซึมออกมาในขณะนั้น

เป็นไปอย่างเจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว และไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดความรู้สึกเช่นนั้นอย่างรุนแรง จนทำให้น้ำตาแห่งความรู้สึกเศร้าสะเทือนใจหนักหนานั้นซึมออกมาเปียกนัยน์ตาทั้งสอง และมหัศจรรย์หนักขึ้นไปอีก ที่พร้อมกันนั้นเองก็ปรากฏวรกายของพระภิกษุที่เป็นคนจริง ๆ เหมือนเราท่านทั้งหลายนั่นเอง ที่ถูกก็คือเหมือนพระภิกษุทั่วไป ที่เห็นอยู่เป็นปกติในบ้านเมืองพระพุทธศาสนาของเรา.

O พระภิกษุองค์ที่ปรากฏให้เห็นนั้นท่านเป็นคน เหมือนคนทั่วไปที่เห็น ๆ อยู่ไม่ใช่เป็นภาพในความฝัน ที่ฝันกันได้ทุกคน เพียงแต่ว่าพระภิกษุองค์ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาญาติโยมผู้นั้น มีความแตกต่างจากพระภิกษุทั้งหลาย ที่เห็นกับอยู่คือองค์ที่ปรากฏขึ้นบนโต๊ะพระ ไม่เต็มองค์เพียงครึ่งองค์ขนาดของร่างกายใหญ่กว่าพระภิกษุไทยทั่วไปสีวรกายค่อนข้างดำ ไม่ใช่ดำแบบคนอินเดียทั้งหลายคือไม่ใช่ดำแบบคนแขกที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ที่ญาติโยมผู้เห็น

ผู้เป็นเจ้าของของเรื่องที่นำมาเล่านี้กล่าวว่าภาพที่ปรากฏแก่ตาเธอนั้น ไม่เหมือนที่เธอนึกอยู่ ว่าพระพุทธองค์ต้องเหมือนแขกเพราะทรงเป็นแขก ตามพระพุทธประวัติ และเธอเล่าว่าเธอคิดว่าพระภิกษุที่ลอยขึ้น ให้เห็นเด่นชัดกับตาของเธอนั้น ต้องเป็นพระพุทธองค์แน่ ต้องไม่ใช่พระที่ไหนอื่น เพราะเธออยากเห็นพระพุทธองค์ และเสียใจจนน้ำตาเปียกตา ด้วยความเสียใจ ว่าเธออาภัพ เกิดมาไม่เคยเห็นพระพุทธองค์.

(มีต่อ ๑)

เจ้าของ:  I am [ 31 พ.ค. 2010, 09:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๑ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

O เธอเล่าว่า พระภิกษุองค์นั้นปรากฏองค์ขึ้นบนโต๊ะพระ ส่วนที่สูงที่สุดและเลื่อนลอยอย่างรวดเร็วลงมาที่เธอนั่งพนมมืออยู่ เมื่อลอยเข้าไปใกล้หน้าเธอ พระภิกษุองค์นั้นก็หายวับไปกับตา แต่เพียงเท่านั้นภาพของพระภิกษุองค์นั้นก็ชัดเจนมากในสายตาของญาติโยมผู้นั้น เธอเล่าว่าเธอเห็นเช่นเดียวกับเห็นคนจริง ๆ ชัดจริง ๆ เป็นหน้าของพระภิกษุ และเป็นร่างของพระภิกษุ ที่ไม่เหมือนแขก เหมือนไทยเสียมากกว่า ทั้งสีผิว และทั้งหน้าตาด้วย เธอว่าไม่เหมือนหน้าคนแขกทั่วไป เหมือนหน้าคนไทยมากกว่า แต่มีรูปร่างใหญ่กว่าคนไทยทั่วไป และใหญ่กว่าคนแขกทั่วไปที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ลักษณะของหน้าค่อนข้างกลม แต่ภาพตาหูจมูกปากที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้น ไม่เห็นชัดเจน ที่เห็นชัดก็คือ เกศาเห็นได้ชัดมากจริง ๆ เป็นเกศาที่ดำสนิทเป็นมันปลาบ และเส้นไม่เล็กบาง ค่อนข้างหนาใหญ่ ขมวดเป็นแบบทักษิณาวัตรอยู่เต็มเศียร เห็นงดงามเด่นชัด ไม่เหมือนพระภิกษุทั้งหลาย ที่แม้จะปลงผมนานวันแล้ว ก็จะไม่อยู่ในลักษณะทักษิณาวัตร จะเป็นแบบผมที่ยาวกว่าเมื่อปลงใหม่ ๆ เท่านั้น แต่เกศาของพระภิกษุที่ปรากฏแก่สายตามีความงดงามเด่นชัด ดังกล่าวแล้วว่าเป็นลักษณะทักษิณาวัตรเรียบร้อยงดงาม ประทับตาประทับใจไม่เคยลืม.

O ญาติโยมผู้นั้นอธิบายลักษณะของเส้นเกศาอย่างเห็นเป็นความอัศจรรย์อย่างยิ่ง ไม่เหมือนพระองค์ใดแน่นอน มีความเด่นชัดเจนเธอจำได้ติดตา แม้ทุกวันนั้นที่เห็นนานมากแล้วภาพเกศาของพระภิกษุองค์นั้นยังเด่นชัดอยู่ในความจำเธอ ที่เด่นชัดอีกประการหนึ่ง ก็คือไม่มีลักษณะสูงขึ้นตรงกลางเศียร ดังพระพุทธรูปที่เห็นกันอยู่ทั่วไป แต่กลมเรียบทั่วเศียรทำให้เห็นว่าพระภิกษุองค์นั้นไม่เหมือนพระภิกษุทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เหมือนพระพุทธรูปทั้งบ้านทั้งเมือง ที่ให้มีส่วนสูงตรงกลางเศียร เหมือนมีเกศาที่มียอดดังเป็นมงกุฎ ไม่เหมือนภาพพระภิกษุที่ปรากฏให้เธอเห็นอย่างชัดเจนในวันนั้น เมื่อ 50 ปีมาแล้ว.

O ยิ่งเวลาล่วงไปนานเป็นสิบสิบปี แทนที่ภาพที่เห็น คือภาพพระภิกษุองค์หนึ่งนั้นจะเลือนรางไปจากความรู้สึก กลับตรงกันข้ามยิ่งนานภาพพระภิกษุองค์นั้นก็ยิ่งชัดเจนในจิตใจ พร้อมกับความรู้สึกลึกซึ้งที่เพิ่มขึ้นพร้อมกันด้วยพระพุทธเจ้าแน่นอนแล้วที่ปรากฏขึ้นชัดเจน ให้ได้เห็นกับตาจริง เป็นองค์พระภิกษุเช่นที่เห็นกันอยู่ทุกวันในบ้านเมืองพุทธของเรานี้

พระพุทธองค์ต้องเสด็จมาปรากฏพระองค์ให้เห็นจริงแน่ ด้วยเหตุผลที่ทรงเห็นชัดแจ้งแก่พระองค์แน่ และยิ่งเวลาผ่านไปนานปีเข้าทุกที ญาติโยมผู้เป็นเจ้าของเรื่องก็เล่าว่าชีวิตประสบเหตุผลของการทรงพระมหากรุณาเสด็จมาให้เธอได้เห็น เธอเล่าว่ายิ่งนานวันนานปีผ่านไป เธอไปเธอก็ยิ่งมั่นใจปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยแม้แต่น้อย ว่าเธอได้รับพระมหากรุณาแล้วจริง ๆ จากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเสด็จมาปรากฏพระวรกายให้เธอได้เห็นจริง ๆ มิใช่เป็นอุปทานแน่นอนพระพุทธองค์จริง ๆ ที่เสด็จมาให้เธอได้เห็นสมดังที่คร่ำครวญปรารถนา.

O เมื่อยิ่งนานวัน เธอผู้นั้นยิ่งเชื่อมั่นว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จมาให้เธอได้เห็นสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จมาให้เธอได้เห็นจริง ๆ ยิ่งนานวันเธอก็ยิ่งเชื่อมั่นในเหตุการณ์ที่ปรากฏให้เห็น พระพุทธองค์เสด็จมาให้ได้เห็นแล้วจริง ๆ และก็เป็นเหตุให้นึกไปถึง ที่ได้ยินข่าวเล่าขานกันมา ว่าท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านเคยได้รับฟังธรรมจากพระพุทธองค์ได้เห็นทั้งการทรงแสดงธรรมวิธีเดินจงกรม ที่ถูกต้องเป็นเหตุสำคัญที่ส่งเสริมท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่าน ให้เป็นพระผู้ไกลกิเลสอย่างสิ้นเชิง โดยเสด็จพระพุทธองค์ ได้สมดังความปรารถนาที่สุดของท่าน

ทั้งสองเหตุการณ์นี้ทำให้เชื่อได้อย่างปราศจากข้อควรลังเลสงสัยแม้เล็กน้อยว่าการเสด็จดับขันธปรินิพานของสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ท่าน แตกต่างกับการดับชีวิตของบุคคลอื่นทั้งหลายทั้งปวงแน่นอน พระพุทธบารมีสูงส่งพ้นบารมีใดทั้งสิ้น ทำให้ไม่ว่าจะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ หรือเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว หาได้มีความแตกต่างกันไม่ นอกจากพระวรกายจะพ้นไปจากโลกนี้เท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ จึงยังทรงสามารถเสด็จมาให้ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นได้เฝ้า ได้รับฟังธัมมะจากพระองค์ท่าน จนสามารถยังจิตให้ไกลกิเลสได้ เป็นที่มหัศจรรย์นักมิใช่หรือ.

O สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสามารถรับความนึกคิดของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นได้ว่าปรารถนาเร่าร้อนที่จะได้เฝ้าพระพุทธบาทเพื่อรับฟังพระธรรมให้ได้บรรลุจุดสูงสุดของการปฏิบัติธรรม และด้วยทรงเห็นบารมีธรรมของท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านได้ถนัดชัดแจ้งดั่งทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ และประทับอยู่เบื้องหน้าท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านฉะนั้น จึงได้เสด็จลงปรากฏพระองค์ดังเช่นทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ ทรงไขปัญหาข้องใจของท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่าน ได้อย่างเป็นความมหัศจรรย์ที่สุด.

O ที่นำมาลงเรื่องการเสด็จปรากฏพระองค์ให้ญาติโยมสุภาพสตรีผู้นั้นเฝ้า ที่ต้องน่าจะเพราะทรงได้รับความรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งของเธอ ที่เกิดแต่ความคิดว่าเกิดมาอาภัพไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า ความมหัศจรรย์เกี่ยวกับสมเด็จพระบรมศาสดายิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งใหญ่จนไม่มีผู้ใดคิดได้ไม่มีผู้ใดเข้าใจได้ จนบัดนี้แม้จะได้ทรงแสดงความมหัศจรรย์ให้ปรากฏต่อท่านพระอาจารย์มั่นท่าน แต่ก็ยากจะมีผู้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งน่าเห็นใจ เพราะความมหัศจรรย์แห่งพระพุทธบารมีนั้น เป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไกลความเข้าใจของคนทั้งปวง

ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านซาบซึ้งในพระพุทธบารมี เพราะท่านได้ประสบพบด้วยองค์ท่านเองเรื่องของญาติโยมผู้นั้น ที่บอกเล่าไว้ก็ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ประกาศรับรองพระพุทธบารมีว่ายิ่งใหญ่ มหัศจรรย์ จนพ้นความเข้าใจของปุถุชนทั้งปวง เคยนำมาลงใน “แสงส่องใจ” แล้ว แต่ก็ขอนำมาลงอีก อาจจะอีกหลายครั้งเพราะหวังจะให้เรื่องนี้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ถ้าผู้คนในบ้านเมืองจะให้ความมั่นใจและความเทิดทูนบูชาพระพุทธบารมี ให้จริงใจและจริงใจ ไม่เหลาะแหละเช่นนี้ทุกวันนี้ ที่ทำให้พระพุทธบารมีไม่ปรากฏคุ้มเศียรเกล้าไม่ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้ทั้งบ้านทั้งเมือง.

O พระพุทธภาษิตที่อัญเชิญมาเบื้องต้นคือ “โลกอันจิตย่อมนำไป” แสดงความสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจิต ทุกจิต ของคนทุกคนไม่มียกเว้นคนดีก็เพราะจิตดี คนชั่วก็เพราะจิตชั่ว โลกเย็นก็เพราะจิตของคนในโลกส่วนใหญ่เย็น คือเป็นจิตดี โลกร้อนก็เพราะจิตของคนในโลกส่วนใหญ่ร้อน คือเป็นจิตไม่ดี เป็นเครื่องชี้ชัด ตามพระพุทธภาษิตที่ว่า “โลกอันจิตย่อมนำไป” เมื่อไรเวลาใดก็เป็นไปดังพระพุทธภาษิต ไม่เป็นอื่น “โลกอันจิตย่อมนำไป” จึงเป็นเครื่องชี้ชัดว่าทุกวันนี้มีเสียงร่ำร้องทุกแห่งหน ว่าทุกวันนี้โลกร้อนแสดงว่าโลกกำลังถูกนำไปด้วยจิตที่ร้อน คือจิตที่ไม่ดี ของคนในโลกส่วนใหญ่.

O ความร้อนของจิตใจมิได้เกิดแต่ต้องอยู่ในท่ามกลางความร้อนของเปลวเพลิง หรือความร้อนของแสงอาทิตย์ ความร้อนของจิตใจในกรณีนี้ จำไม่อาจทำให้ความร้อนสงบลงได้ด้วยการเข้าไปอยู่ในห้องเย็น หรือการเปิดพัดลมหรือการสวมเสื้อผ้าบางเบา หรือแม้จะลงไปลอยคอแช่น้ำในบ่อในสระก็หาอาจช่วยคลายความร้อนนี้ได้ไม่

ความร้อนของจิตใจเป็นความร้อนของกิเลส ของความไม่ดี ที่เป็นเหตึแห่งความเศร้าหมองความไม่สว่างไสวงดงาม ของจิตใจ ความร้อนของจิตใจเป็นความร้อนของกิเลส กิเลสหรือความไม่ดีก็อันหนึ่งอันเดียวกันคิดให้เห็นความจริงนี้ แล้วก็จะหมดกำลังใจที่จะดับความร้อนของโลก เพราะใครเล่าไม่รู้ว่ากิเลสนั้นนับวันยิ่งครองโลกมากขึ้นทุกทีดังเป็นที่เห็นกันอยู่ ว่ากิเลสที่ครองโลกมากขึ้นทุกทีนั่นเอง ที่ทำให้โลกร้อนขึ้นทุกที.

O พระพุทธองค์เท่านั้นที่ทรงทำกิเลสให้เบาบางได้ จนถึงทำให้กิเลสหมดสิ้นเชิงก็ได้และได้ทรงทำให้ปรากฏเป็นที่รับรองของโลกแล้วเราทั้งหลายผู้มีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่าพบพระพุทธองค์ก็ได้ แต่มีบุญไม่เพียงพอที่จะได้รับความมีบุญยิ่งใหญ่ของตน พอใจเพียงได้เป็นมนุษย์ไม่ต้องเป็นหมูหมากาไก่เท่านั้น คิดให้ดี จะเห็นว่าเรามีบุญยังน้อยนัก ทั้งที่ควรจะมีบุญยิ่งใหญ่ที่สุด

การเกิดเป็นมนุษย์ แม้จะเป็นบุญก็จริง แต่จะเป็นผู้มีบุญจริง มีบุญที่สุด จะต้องเป็นมนุษย์ที่พบพระพุทธศาสนาคือพบพระพุทธเจ้าด้วย ทุกวันนี้เราพากันไม่ยอมเข้าพบพระพุทธเจ้า ยอมเพียงรับรู้ว่าพระพุทธเจ้าเคยทรงมีอยู่จริงเท่านั้น ไม่รู้เลย ว่าแม้ทุกวันนี้เราทุกคนยังสามารถมีทางเข้าเฝ้าพระพุทธบาทให้ได้เห็นพระพุทธองค์ได้ แม้จะไม่ถึงต้องใกล้ชิด แต่เพียงได้เห็นพระพุทธองค์โดยรู้แก่ใจตน ว่าได้เห็นพระพุทธองค์แล้ว ทุกวันนี้พระพุทธองค์เสด็จอยู่กับเราแล้วจริง ๆ เช่นนี้จึงจะนับได้ว่ามีบุญที่สุด.

O การได้พบพระพุทธเจ้าเป็นบุญที่สุดของการได้เกิดเป็นมนุษย์ และการได้พบพระพุทธเจ้าที่กล่าวนี้ ก็มิได้หมายความว่าได้พบปะพูดจากับพระพุทธเจ้าท่านได้เหมือนที่เราพูดกันคุยกันไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน การศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนาที่ปฏิบัติกันอยู่ นั่นคือการรับรู้ว่า ครั้งหนึ่งเคยมีพระพุทธเจ้าท่านเสด็จอยู่ในโลกเช่นเดียวกับเราทั้งหลายในทุกวันนี้ จึงมีพระธรรมคำทรงสอนสืบทอดมาถึงเราทั้งหลายในปัจจุบัน

ให้เราได้เรียนรู้ ได้เข้าใจว่า สิ่งที่เราเรียนรู้ คือพระธรรมนั้น คือพระพุทธศาสนาหรือพระธรรมคำทรงสอน ที่ได้เกิดแต่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ แต่บัดนี้ไม่มีพระองค์แล้ว เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วถึงบัดนี้นับได้ 2551 ปี พระบรมศพเป็นพระบรมธาตุไปแล้ว เช่นเดียวกับกระดูกของผู้ละโลกนี้ไปแล้ว เช่นเดียวกับกระดูกของผู้ละโลกนั้นไปแล้วทั้งหลายนั่นเอง แม่พ่อปู่ย่าตายายพี่น้องเพื่อนฝูงเราที่ล้มหายตายจากไปแล้ว ก็เป็นเช่นเดียวกัน.

O ได้ฟังเรื่องพระมหากรุณาในสมเด็จพระบรมศาสดา ที่โปรดประทานแก่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น และแก่ญาติโยมสุภาพสตรีผู้หนึ่งแล้ว น่าจะทำให้เกิดความมั่นใจ และอบอุ่นใจเป็นที่สุด ว่าเราทั้งหลายมีบุญอย่างยิ่งแน่นอน ที่มีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง พระพุทธศาสนาที่เกิดแต่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมเด็จพระบรมศาสดาซึ่งไม่เคยทรงทอดทิ้งมนุษย์คนใดเลย เพียงมนุษย์คนนั้นเห็นความสำคัยของพระองค์ท่านว่า ทรงตรัสรู้พระธรรมสูงสุด ที่ไม่เพียงทำให้พระพุทธองค์ทรงพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง ทรงพ้นการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของสัตว์โลกทั้งปวง และได้ทรงแสดงทางแห่งการพ้นทุกข์ไว้อย่างถูกต้องและชัดเจน ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติตามสามารถโดยเสด็จพระพุทธองค์ไปถึงความพ้นทุกข์ได้ด้วย.

O แม้ความจริงจะมีอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคน ที่สนใจการไม่ต้องกลับมาเกิดอีกที่หมายถึงการพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง เพราะการเกิดคือความทุกข์ ไม่มีการเกิดใดที่ปราศจากความทุกข์ไม่มีเมื่อเกิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไร เป็นคนเป็นสัตว์ ต้องเป็นทุกข์ทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงตระหนักพระพุทธหฤทัยในความจริงนี้ จึงทรงสละสิ้นซึ่งความสุขทั้งปวง

เสด็จออกแสวงหา ทรงเข้าพระพุทธหฤทัยในความรู้สึกเทิดทูนพระพุทธองค์อย่างลึกซึ้ง และมีความจริงที่ไม่ควรผิดเป็นอื่นไปได้เลย คือผู้มีพระพุทธองค์ประทับใจอยู่อย่างแนบแน่น ย่อมไม่มีทางจะเป็นใจของคนชั่วคนร้ายได้เลย มีพระพุทธองค์ประทับใจอยู่ทุกเวลา ย่อมไม่อาจจะละเลยคำทรงสอนได้เลย นั่นก็คือผู้มีพระพุทธองค์หรือมีพระพุทธโธอยู่ในชีวิตจิตใจ เป็นผู้ที่มีเกราะกันความชั่วร้ายทั้งปวงไม่ให้เข้าถึงจิตใจผู้ใดก็คือผู้นั้นไกลจากความเป็นคนชั่วคนเลว.

O มงคลชีวิตที่พึงเป็นที่ปรารถนาของคนดีมีปัญญาทั้งหลาย ก็คือความเป็นผู้ไกลจากความชั่วร้ายเลวทรามทั้งหลายทั้งนั้น เมื่อเป็นผู้ปรารถนามีมงคลชีวิต ก่อนอื่นพึงระมัดระวังความชั่วร้ายใด ๆ ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงไหน อย่าให้กล้ำกรายชีวิต ไม่เพียงด้วยการกระทำคำพูด แต่ต้องหมายถึงอย่างให้เข้าใจพยายามระมัดระวังให้เต็มสติปัญญาความสามารถถ้าจะเปรียบให้หนักแล้วได้ผล ก็ควรเปรียบเช่นเปรียบให้หนักหนาแล้วได้ผล ก็ควรเปรียบเช่นเปรียบความชั่วร้ายทั้งมากน้อย ว่าเป็นดังอุจจาระ ควรหรือที่จะเข้าไปแตะต้องให้มือไม้สกปรกเปรอะเปื้อน.

O ที่จริงจะเปรียบความชั่วร้าย ว่าเหมือนเช่นอุจจาระ ก็ไม่ถูกนักความชั่วร้ายยิ่งกว่าความสกปรกของอุจจาระสามารถล้างออกให้สะอาดได้ง่าย ๆ ด้วยน้ำ ด้วยสบู่โดยไม่ต้องใช้เวลานาน ไม่ต้องใช้กำลังกายกำลังใจนักหนา เพียงไปแตะต้องถูกอุจจาระก็จะรู้สึกได้ถึงความสกปรก ความน่ารังเกียจถ้าล้างออกเสีย ก็จะพ้นจากความสกปรกของอุจจาระ ที่น่ารังเกียจที่สุดได้ แต่ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในจิตใจ ให้มีการคิดพูดทำนานาประการที่เป็นความชั่วร้าย ไม่อาจลบล้างออกได้ง่าย ๆ เช่นล้างอุจจาระที่เปรอะเปื้อน ดังนั้นรังเกียจที่จะให้มือไม้เนื้อตัวเปรอะเปื้อนอุจจาระเพียงใด ให้รังเกียจความชั่วร้ายที่จะเข้าสู่จิตใจให้ยิ่งกว่า.

O ความชั่วร้ายที่จะเข้าสู่จิตใจนั้น พระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาแสดงไว้ชัดเจน ว่าไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าไปสู่จิตใจของผู้ใดได้ แม้ไม่มีการนำเข้าด้วยตนเอง ทั้งยังแสดงไว้ด้วย ว่าความคิดปรุงแต่งคือการนำเข้าด้วยตนเอง ทั้งโกรธ ทั้งหลง

กิเลสทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น คือไม่เข้าไปสู่จิตใจของผู้ใดทั้งสิ้น ถ้าผู้นั้นไม่คิดปรุงแต่งให้กิเลสเกิด ให้กิเลสถูกนำเข้าสู่จิตใจของผู้คิดปรุงแต่ง นั่นก็คือผู้ใดไม่คิดปรุงแต่งเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจไม่คิดปรุงแต่ง ผู้นั้นจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส คือกิเลสไม่อาจเกิดขึ้นครองใจได้แน่นอน.

O ที่ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นในใจทุกคน ตลอดเวลาก็ว่าได้ นอกจากเวลาหลับ กิเลสก็หลับไปด้วยตามความคิดปรุงแต่ง ดังนั้นจึงเป็นเครื่องยืนยันรับรองได้ ว่าความคิดปรุงแต่งเป็นเหตุให้กิเลสเกิด คือให้ทุกข์เกิดนั่นเอง คิดสักหน่อยกก็จะเข้าในชัด ว่าถ้าความโลภไม่เกิด ความทุกข์ก็จะไม่เกิด ถ้าความโกรธไม่เกิด ความทุกข์ก็จะไม่เกิด ถ้าความหลงไม่เกิด ความทุกข์ก็จะไม่เกิด นี้เป็นสัจจะเป็นความจริงแท้แน่นอนคิดให้ดี จะได้ความเข้าใจไม่มากก็น้อย.

O ที่จริงน่าจะแทบทุกคนที่ไม่เคยคิดว่าความโลภความโกรธที่เกิดขึ้นไม่ว่างเว้น ให้ความทุกข์ความเดือดร้อนใจไม่ว่างเว้นเช่นกันเกิดเพราะอะไร เกิดได้อย่างไร และน่าจะแทบทุกคนที่ไม่เคยคิด ว่าพากันคิดผิดด้วยกันทุกคน ที่ไปมุ่งคิดให้เป็นความผิดของผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำให้ต้องโกรธ ต้องเกลียด อันเป็นเหตุให้ต้องโกรธ ต้องเกลียด มากบ้างน้อยบ้าง ตามความหนักเบาที่มีผู้ก่อให้เกิดความโกรธ ความเกลียด

ความจริงที่พากันนึกไม่ถึง ก็คือเหตุแห่งความโกรธก็ตาม ความโลภก็ตาม ความเกลียดก็ตาม ไม่ใช่บุคคลหนึ่งมาพูดมาทำแก่เรา แต่ความจริงที่แท้ที่สุด ไม่เป็นอื่นไปได้เลย ที่ทำเรา ที่แท้จริง ก็คือความคิดปรุงแต่งของเราเอง.

O ความคิดปรุงแต่งของเรารุนแรงเพียงใดก็จะทำร้ายเราได้รุนแรงเพียงนั้น คือทำให้เกิดความโลภรุนแรงเพียงนั้น หรือทำให้เกิดความโกรธรุนแรงเพียงนั้น ความคิดปรุงแต่งจึงมีความสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตเราทุกคน โดยที่เราไม่รู้เลย ว่าความทุกข์ความวุ่นวายใจ ที่เราต้องได้รับอยู่แทบไม่มีเวลาว่างเว้น เกิดจากความคิดปรุงแต่งของเรา ทุกคนจริง ๆ ดังนั้นเราทุกคนจึงควรทำความเข้าใจกับความคิดของเราให้จงดี ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เข้าใจความหมายของความคิดให้ถูกจริง ๆ ไม่เช่นนั้นความคิด ที่ควรจะให้คุณอย่างยิ่งก็จะให้โทษอย่างยิ่งได้.

O ถ้าสังเกตก็จะเห็นได้ ว่ามีการใช้คำความคิด และความคิดปรุงแต่ง สองคำนี้มีความแตกต่างกันแน่นอน ทุกคนน่าจะเคยได้ยินมีผู้ถูกว่า ค่อนข้างจะบ่อยด้วยว่าเป็นคนไม่มีความคิด คนนั้นก็ไม่มีความคิด คนนี้ก็ไม่มีความคิด ความคิดในที่นี้มีความหมายในทางดี คือความมีเหตุผล มีปัญญา แน่นอนความคิดในที่นี้ไม่หมายถึงความคิดปรุงแต่งที่เป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้นของกิเลสโลภบ้างโกรธบ้าง ที่จะไม่เกิดขึ้นได้เองในจิตใจผู้ใดแม้ไม่มีความคิดปรุงแต่งนำให้เกิด.

O มีผู้กล่าวถึงคำที่ว่าเป็นความคิดปรุงแต่งว่ามีความหมายในทางเดียวกับความฟุ้งซ่านคือคิดวุ่นวายไปมากมาย จนถึงเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลส คือความเศร้าหมองที่สำคัญของจิตใจ คือความโลภบ้าง ความโกรธบ้างดังกล่าวมา

แม้พิจารณาความหมายของความคิดปรุงแต่งให้ได้ความเข้าใจดี ว่าความคิดปรุงแต่งเป็นเหตุให้เกิดความโลภได้ เป็นเหตุให้เกิดความโกรธได้ หรือจะกล่าวว่าความคิดปรุงแต่งเป็นความคิดฟุ้งซ่านก็ได้ ไม่ผิด แล้วแต่ใครจะคิดไปอย่างไร ความสำคัญอยู่ที่ว่าความคิดปรุงแต่งหรือความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีคุณ มีแต่โทษ คือเป็นเหตุให้ความโลภเกิด ความโกรธเกิด.

O ความคิดปรุงแต่งคือความคิดไปต่าง ๆ นานา ในสิ่งที่ตาได้เห็นบ้าง หูได้ยินบ้าง จมูกได้กลิ่นบ้าง ลิ้นได้รสบ้าง เรื่องราวที่ใจได้สัมผัสบ้าง ความคิดปรุงแต่งเมื่อไรได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ก็คือคิดไปต่าง ๆ นานา ต่างคนต่างคิดดีบ้าง ร้ายบ้างนี้ที่เป็นความคิดปรุงแต่ง ที่ทำไห้กิเลสความเศร้าหมองของใจเกิด ที่แม้ไม่มีความคิดปรุงแต่งดังกล่าว กิเลสความเศร้าหมองใจก็จะไม่เกิด

นี้เป็นความจริงแท้แน่นอน อย่าระแวงสงสัยว่ากิเลสไม่ได้เกิดเพราะความคิดปรุงแต่งกิเลสเกิดขึ้นเอง ความคิดปรุงแต่งไม่เกี่ยวแล้วก็ไมเห็นโทษของความคิดปรุงแต่ง อยากคิดปรุงแต่งอย่างไรก็ทำไปตามอำนาจความอยาก โทษของความคิดปรุงแต่งที่จะไม่หนักหนาหามีไม่.

O กิเลสมากมายเกิดจากความคิดปรุงแต่งแน่นอน อย่าหลงเข้าใจผิด และปฏิเสธโทษของความคิดปรุงแต่ง ที่มีหนักหนาแน่นอนแก่ทุกคนไม่มียกเว้น นอกเสียจากว่าท่านเป็นผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิง เพราะไม่มีกิเลสใดอาจเข้าถึงจิตใจท่าน ผู้ไกลกิเลสแล้วทุกท่าน ดังนั้นเราท่านทั้งหลายที่ยังไม่ใช่ผู้ไกลกิเลสแล้วจริง ควรให้ความสำคัญที่สุดแก่การใช้ความคิด

เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงจมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส และใจได้สัมผัสเรื่องราวต่างๆ ความสำคัญที่สุดของการใช้ความคิดก็คืออย่าคิดเรื่อยเปื่อยไปตามอารมณ์ที่ท่านเรียกว่าคิดปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ตาเห็นผู้สวมใส่สร้อยคอทองคำเส้นใหญ่ ราคาเป็นพันเป็นหมื่น กำลังอยู่ในที่เปลี่ยวตามลำพัง ตนเองก็กำลังขาดแคลนและกำลังก็มีเพียงพอจะหยิบฉวยได้ โดยไม่น่าจะมีผู้รู้เห็น อันเป็นเหตุให้ไกลจากความผิดที่จะถือเป็นโอกาสได้หยิบฉวยสร้อยทองคำสวยงามนั้นไปเป็นสมบัติของตน

ความคิดปรารถนาจะได้เป็นเจ้าของสร้อยทองสายนั้น ท่านก็คงทราบด้วยกันว่าเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองประการสำคัญ คือความโลภที่แม้จะอดคิดไม่ได้ว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น แม้จะหยิบฉวยเป็นของตน แต่ในใจจริงของเราท่านผู้ใดก็ตามที่ถูกความงดงามมีราคมเป็นพันเป็นหมื่นของสร้อยทองคำสายนั้น ทำให้คิดปรุงแต่งจนโลภเกิดต้องการได้ไว้เป็นสมบัติของตน เพราะความโลภเกิดและโทษของความโลภก็อาจพัฒนาถึงต้องเข้าคุกเข้าตะรางได้.

O มหามงคลที่แท้จริง ที่จะสามารถหยุดความคิดปรุงแต่งที่มีโทษร้ายแรงได้ คือความมีสติ เชื่อมั่นใน “พระพุทโธ” ความคิดปรุงแต่งหนักเบามากน้อยเพียงไหน จะไม่อาจมีอำนาจเหนือ “พระพุทโธ” เพียงอัญเชิญ “พระพุทโธ” เข้าสู่จิตใจไม่ว่างเว้นมหามงคลยิ่งใหญ่จะเข้าครองชีวิตแน่นอน จงเชื่อมั่นใน “พระพุทโธ” จงระลึกถึงอยู่ให้ทุกลมหายใจเข้าออก จิตใจที่มี “พระพุทโธ” นำไปชีวิตจะพรั่งพร้อมด้วยสิริมงคลความสวัสดีที่มหัศจรรย์นัก.

พ.ศ. 2551

:b8:

:b44: รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “วันวิสาขบูชา”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45505

เจ้าของ:  สาวิกาน้อย [ 31 พ.ค. 2010, 12:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๑ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

:b8: :b8: :b8: ขออนุโมทนาสาธุการด้วยค่ะ คุณ I am เพื่อนรัก

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 31 พ.ค. 2010, 13:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๑ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณ I am

ดีใจที่คุณ I am พอมีเวลาแล้ว
สะดวกก็มาอีกนะคะ :b1:

ระลึกถึงค่ะ

:b48: ธรรมรักษานะคะ :b48:

เจ้าของ:  แก้วกัลยา [ 31 พ.ค. 2010, 16:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๑ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

ชอบอ่านหนังสือของสมเด็จพระญาณสังวรฯ มากคะ
ขอบคุณนะค่ะ ที่นำมาแบ่งปัน หาอ่านยากมาก
สาธุคะ :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/