ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
แสงส่องใจ “มาฆบูชา” วันแห่งความรัก ๒๕๕๑ สมเด็จพระญาณสังวรฯ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=88&t=53691 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | I am [ 26 ก.พ. 2010, 12:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | แสงส่องใจ “มาฆบูชา” วันแห่งความรัก ๒๕๕๑ สมเด็จพระญาณสังวรฯ |
ความรักของสมเด็จพระพุทธองค์ สูงส่งบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ให้ทุกข์ไม่ให้โทษไม่ให้ภัย แก่ชีวิตจิตใจใดทั้งนั้น ด้วยทรงมีความรักบริสุทธิ์สูงส่ง ไม่มีเสมอเหมือน พระพุทธองค์จึงทรงแผ่พระมหากรุณาได้กว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีขอบเขต ทั้งแก่พรหมเทพ มนุษย์สัตว์ ปรากฏแจ้งชัดใน โอวาทปาติโมกข์ ที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชา พึงไม่ทำบาปทั้งปวง พึงทำกุศลให้ถึงพร้อม พึงรักษาจิตของตนให้ผ่องใส บาปย่อมก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยแก่ผู้ทำและผู้อื่น พระพุทธองค์จึงทรงเตือนไม่ให้ทำ กุศลย่อมเป็นคุณแก่ผู้ทำและผู้อื่น พระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้ทำ จิตผ่องใสคือจิตที่ไกลได้จากกิเลสโกรธหลง ที่มีอยู่เต็มโลก ย่อมให้ความสุขสงบอย่างยิ่งจนถึงเป็นบรมสุข พระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้รักษาจิตของตน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก |
เจ้าของ: | I am [ 26 ก.พ. 2010, 13:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แสงส่องใจ "มาฆบูชา" วันแห่งความรัก ๒๕๕๑ สมเด็จพระญาณสังว |
แสงส่องใจ (สมเด็จพระญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก “เย จ โจ สมฺมทกฺขาเต ธมฺเม ธมฺมานุวตฺติโน เต ชนา ปารเมสฺสนฺติ มจฺจุเธยฺยํ สุทุตฺตรํ” ชนเหล่าใดประพฤติธรรม ในธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวดีแล้ว ชนเหล่านั้นจักข้ามแดนมฤตยูที่ข้ามได้ยากนี้เป็นพระพุทธภาษิตในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า “แสงส่องใจ” เล่มนี้เป็นฉบับประจำ “วันแห่งความรักอันสูงส่งบริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนา” หรือวันบูชาสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือวันบูชาที่นำวันมาฆบูชามาเป็นวันแห่งความรักอันสูงส่งบริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนา เพราะเมื่อ 2496 ปีมาแล้ว ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ที่จัดเป็นวันมาฆบูชา ตลอดมาถึงทุกวันนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงประกาศหัวในพระพุทธศาสนา 3 ประการเป็นครั้งแรกในการทรงทำวิสุทธอุโบสถท่ามกลางสาวกสงฆ์สันนิบาต อรหันตขีณาสพ จำนวนถึง 1,250 องค์ ขณะเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน. หัวในพระพุทธศาสนา 3 ประการที่ประกาศในท่ามกลางพระวิสุทธสงฆ์เป็นครั้งแรก ก็ด้วยทรงมุ่งให้พระสงฆ์ทั้งนั้นนำไปประกาศเป็นหลักพระพุทธศาสนา เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ให้เหมือน ให้ตรงกันทุกองค์ ผู้นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหลายควรให้ความนับถือพระพุทธศาสนาทั้งหลายความให้ความสำคัญของธรรม 3 ประการอันทรงกำหนดให้เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา และควรจำไว้ให้แม่น ให้ฝังจิตใจไว้เสมอ ว่าหัวใจ 3 ประการของพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง อย่าพากันไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่ยอมรับว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ต้องรู้ว่าหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการมีอะไรบ้าง รู้แล้วก็ต้องจำไว้ให้แม่น อย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็น่าอายอยู่เหมือนกัน ถ้าผู้ต่างศาสนารู้ว่าเราผู้นับถือพระพุทธศาสนาไม่มีความรู้ความสำคัญที่สุดคือหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศไว้ให้รู้ทั่วกัน. เห็นสมควรต้องนำมาบอกกล่าวกันอีกครั้งหนึ่งในที่นี้ ในหนังสือ “แสงส่องใจ” ฉบับมาฆบูชานี้ ที่จัดเป็นฉบับวันแห่งความรักของพวกเราทั้งหลายที่เศร้าหมองด้วยกิเลสท่วมทัน จะเรียกว่าเป็นวันแห่งความรักของพระพุทธองค์ไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ทรงไกลความรักที่เศร้าหมองทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าจะไม่นำความรักมาประกอบก็ย่อมจะไม่เข้าใจ ว่าพระจิตที่มีความรู้สึกนั้นงดงามสูงส่งเพียงใด ความรักที่บริสุทธิ์สูงส่งเป็นความรู้สึกที่งดงามพ้นพรรณนาทรงแสดงความรู้สึกที่สูงส่งหาที่เปรียบมิได้นี้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 พระจันทร์เสวยมาฤกษ์ งามเต็มดวง ที่เป็นวันมาฆะ และวันนั้นมีความประเสริฐสูงส่งจนได้รับเทิดทูนให้เป็นวันมาฆบูชา ตั้งแต่ 2496 ปีมาแล้ว และยังดำรงยั่งยืนเด่นชัดอยู่ในจิตใจที่มีปัญญาทั้งหลาย.ความรักอันบริสุทธิ์สูงส่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่โลกในวันพระจันทร์เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์นั้น ทรงแสดงว่าเป็นหัวในพระพุทธศาสนา อีกนัยหนึ่งก็คือพระพุทธศาสนาเป็นตัวแทนแห่งความรักอันบริสุทธิ์สูงส่งในพระพุทธหฤทัยของพระพุทธองค์ ความรักที่ทรงมีต่อโลก ต่อคนทั้งโลก ต่อทุกชีวิตในโลกไม่มีทรงเลือกที่รักมักที่ชัง ทุกชีวิตในโลกอยู่ในพระเมตตาเท่าเทียมกัน หรือได้รับความรักที่บริสุทธิ์สูงส่งจากพระพุทธหฤทัยเสมอเหมือนกันทั้งหมด พระพุทธหฤทัยมิได้หวั่นไหวหนักเบาไปกับผู้นั้นผู้นี้ ไม่เหมือนความรู้สึกของเราทั้งหลาย ที่ใจยังมีความรักที่มิได้บริสุทธสูงส่งเช่นพระพุทธหฤทัย. หัวในพระพุทธศาสนา 3 ประการที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศที่ประชุม บริสุทธสงฆ์ 1,250 องค์ น่าจะกล่าวได้ไม่ผิด ว่าเป็นหัวในที่บริสุทธิ์สูงส่งเช่นเดียวกับพระพุทธหฤทัยนั่นเอง พระพุทธหฤทัยเป็นเช่นไรพระพุทธองค์ก็ทรงสร้างพระพุทธศาสนาขึ้นเช่นเดียวกน นึกดูเหตุผลก็น่าจะเห็นได้ชัดเจน ใจใครเป็นเช่นไร ดีเลวอย่างไรก็ย่อมจะสร้างอะไรๆ ขึ้นมาในลักษณะที่ไม่แตกต่างกันเป็นธรรมดา คนใจดีจะคิดพูดทำอะไรก็จะออกมาดีเหมือนใจ คนใจไม่ดีจะคิดจะพูดจะทำอะไรก็จะออกมาไม่แตกต่างจากความรู้สึกนึกคิดในจิตใจ หัวใจพระพุทธศาสนาจึงต้องไม่แตกต้องกับพระพุทธหฤทัยแน่นอน ไม่พึงต้องสงสัยแม้แต่น้อย. ที่จริงไม่ต้องใช้สติใช้ปัญญาหนักหนานักในการคิดให้เข้าใจว่า หัวใจพระพุทธศาสนาทั้ง 3 ประการคือ พระพุทธหฤทัยของสมเด็จพระบรมศาสดานั่นเอง การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง เป็นหัวใจข้อแรก การทำบุญกุศลให้พร้อม บริบูรณ์ เป็นหัวใจข้อที่สอง และการทำจิตของคนให้ผ่องแผ้ว เป็นหัวใจข้อที่สาม คิดถึงใจของเราเองทุกคนก็เห็นได้เข้าใจได้ ว่าเรายังมีธรรมของหัวใจพระพุทธศาสนามากน้อยเพียงไร สำคัญที่ต้องมีความจริงใจในการรับรู้ความจริงใจจริงเป็นอย่างไร ต้องไม่หลอกแม้กระทั่งตัวเอง ไม่หลอกตัวเอง ว่ามีธรรมสำคัญอันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ตามี่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงไว้แล้ว. หัวใจพระพุทธศาสนานั้น กำลังบอกว่าเป็นดวงเดียวกับพระพุทธหฤทัยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมจึงควรคิดได้เช่นนี้ เพราะสมเด็จพระพุทธศาสดาน่าจะทรงตระหนักชัดในพระพุทธหฤทัย ว่าผ่องแผ้วแล้ว เป็นดังที่ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติเพื่อให้ได้ถึงในการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ด้วยพระมหากรุณาจึงทรงนึกถึงเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งปวงผู้เป็นเหตุแท้จริงให้ทรงสละสิ้นซึ่งเครื่องบำรุงรำเรอความสุขทุกประการ ทั้งสิริราชสมบัติอันสูงส่ง เป็นที่ปรารถนาของคนทั้งปวง และแม้กระทั่งพระมเหสี พระโอรสแรกเป็นประสูติทั้งสาวกสวรรค์กำนัลในผู้งดงามด้วยรูปลักษณ์เมื่อทรงตระหนักชัดแล้ว ว่าทรงปฏิบัติบรรลุถึงจุดสูงสุดที่ทรงมุ่งหมายแล้ว ก็ทรงเริ่มแผ่พระมหากรุณาต่อสัตว์โลก ด้วยพระปัญญาอันเลิศล้ำหาเสมอเหมือนไม่มี. ทรงประกาศพระปัญญาสูงส่งในรูปพระพุทธศาสนา ททรงประกาศพระธรรมในพระพุทธหฤทัย ว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาถ้ายกพระธรรมในพระพุทธหฤทัยออกบอกกล่าวแก่คนทั่วไป เช่นบอกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าทรงมีพระพุทธหฤทัยที่ผ่องแผ้วแล้วพ้นแล้วจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ พิสูจน์ได้ด้วยไม่ทรงทำบาปอกุศลทั้งปวงแล้ว ทรงทำบุญกุศลเต็มพระสติปัญญาความสามารถ. เครื่องเศร้าหมองใจ 2 ประการสำคัญคือการทำบาปอกุศลทั้งปวงและการไม่ทำบุญกุศลอย่างถึงพร้อมสองประการนี้ที่เป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง ผู้ใดมีมากผู้นั้นก็ยิ่งมีใจที่เศร้าหมองมาก นั่นก็คือผู้ใดทำบาปอกุศลมาก ทำบุญกุศลน้อย จิตก็ย่อมเศร้าหมองถ้าคิดให้ดีก็ย่อมจะเห็นความจริงนี้. สมเด็จพระบรมศาสดาทรงไกลแล้วจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ทรงมีพระพุทธหฤทัยผ่องแผ้ว ทรงประกาศพระพุทธศาสนา ก็คือทรงประกาศพระพุทธหฤทัย แม้ใช้ปัญญาคิดให้ดี ย่อมเห็นได้อย่างมั่นใจที่สุด ว่าพระพุทธศาสนาที่เกิดจากพระพุทธหฤทัยโดยตรงย่อมงดงามหาที่เปรียบมิได้ ย่อมพร้อมด้วยธรรมทุกประการที่จะปกปักรักษาคุ้มครองผู้เชื่อมั่นและปฏิบัติตามความเชื่อมมั่นจริง. คิดให้ดีเถิด จะจับใจนักในพระมหากรุณาแห่งสมเด็จพระบรมศาสดา ทรงมีความดีอย่างไร ก็ทรงมีพระมหากรุณาทุ่มเทพระสติพระปัญญาช่วยสัตว์โลก หรือเราทั้งหลายในโลกนั่นเอง ให้มีความดีที่ทรงมีแล้วด้วยการทรงปฏิบัติที่ทรงค้นพบวิธีไปถึงความสำเร็จได้แล้ว ด้วยทรงทุ่มเทกำลังพระกายกำลังพระจิต อย่างไม่ทรงห่วงใยพระองค์เลย จากความสูงส่งสบายอย่างสุดที่จะหาผู้เปรียบสมอก็ทรงยอมสละสิ้น ทรงก้าวเข้าสู่สภาพที่ลำบากยากแค้นแสนสาหัส ที่ไม่เคยทรงได้พบมาก่อนเลยตั้งแต่ทรงถือพระชาติขึ้นในโลกนี้ แต่ก็ไม่ทรงท้อแท้ ไม่ทรงละเลิกความมุ่งมั่นด้วยพระมหากรุณา ทรงสงสารคนแก่คนเจ็บคนตายที่ทอดพระเนตรเห็น ความสงสารจับรพระพุทธหฤทัยเกินความรู้ความเข้าใจของเราท่านทั้งหลาย ที่มิได้ทีใจท่วมท้นด้วยความกรุณาเข้าใจของเราทั้งหลายในพระพุทธหฤทัยจะถูกต้องชัดเจน ต้องยอมรับ ว่าเราเพียงแค่คาดคิดเอาเท่านั้น ว่าพระพุทธหฤทัยท่วยท้นมากมายเพียงใดด้วยพระมหากรุณา. (มีต่อ) |
เจ้าของ: | I am [ 26 ก.พ. 2010, 13:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แสงส่องใจ "มาฆบูชา" วันแห่งความรัก ๒๕๕๑ สมเด็จพระญาณสังว |
พระพุทธเจ้าคือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็คือพระพุทธเจ้า เชื่อไว้ให้มั่นนึกไว้ให้เสมอในความจริงนี้ เทิดทูนบูชาพระพุทธเจ้าเพียงใด ต้องเทิดทูนบูชาพระพุทธศาสนาเพียงนั้นจะปล่อยปละละเลย เช่นทุกวันนี้มีพระพุทธศาสนาอยู่แต่เพียงที่ปาก ไม่ทำให้เป็นตัวตนขึ้นมาในความรู้สึกอย่างชัดเจนจริงจังเช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์คุณค่ามหาศาลของพระพุทธศาสนาจะไม่เกิดแก่จิตใจ ที่ไม่รู้ค่าให้จริงให้ถูกแท้ น่าเสียดายอย่างที่สุด แต่ยังไม่สายเกินไป พระพุทธบารมีของสมเด็จพระบรมศาสดายังสูงส่งยิ่งใหญ่ ยังสามารถประคับประคองพระพุทธศาสนาให้งดงามอยู่ได้ นั่นก็คือตราบใดที่เรายังรู้สึกอยู่ว่าเรายังมีพระพุทธศาสนา ตราบนั้นเราต้องมั่นใจเชื่อว่าเรายังมีพระพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธองค์ยังทรงอยู่ เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนายังมีอยู่นั่นเอง ทำความเข้าใจในสัจจะนี้ ให้ขัดเจนเถิดจะเป็นประโยชน์เป็นบุญยิ่งใหญ่แก่จิตใจอย่างหาที่เปรียบมิได้. พระพุทธศาสนานั้นก็มิได้ปรกกฎเป็นรูปร่างตัวตนให้รู้กันเห็นกัน แต่ย่อมเชื่อกันตลอดมาว่าพระพุทธศาสนามีอยู่จริงตราบเท่าทุกวันนี้ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้านั่นเอง แม้จะมิได้ทรงปรากฏเป็นพระองค์แก่สายตาของเราทั้งหลาย แต่ทรงมีพระองค์อยู่ เช่นเมื่อยังมิได้เสด็จดับขันธปรินิพานไปแล้ว ยังเสด็จอยู่ยังทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏประจักษ์แก่ท่านผู้ปฏิบัติธรรมจนเกิดความรู้ความเห็นได้ ให้ได้เห็นได้รับฟังพระธรรมคำทรงสอนได้ ดั่งเช่นได้เข้าเฝ้ารับฟังขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น. พระอาจารย์องค์สำคัญที่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธบาทหลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานปี องค์เดียวที่บอกเล่าไว้ให้ประจักษ์แก่จิตใจ เป็นความรู้ความเข้าใจที่เป็นความจริงมิใช่เกิดจากความคาดคิด หรือเกิดจากได้ยินได้ฟังท่านบอกเล่ากันมา โดยหาหลักฐานมาแสดงให้แน่ใจไม่ได้ มีได้ก็แต่เมื่อท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ท่านทำให้เกิดความแน่ใจ โดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดทั้งสิ้น ว่าท่านได้เฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ได้รับฟังพระธรรมคำทรงสอนจากพระโอษฐ์ ดังทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ทั้งที่เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วกว่า 2500 ปี ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านเชื่อความเห็นจริงของท่าน ว่าได้เฝ้าสมเด็จพระบรมครู ได้ฟังพระธรรมคำทรงสอนให้ได้ให้ถึงความตรัสรู้ โดยเสด็จพระพุทธองค์ พ้นความเกิดแก่เจ็บตาย ได้สิ้นชาติสิ้นภพ ด้วยพระธรรมที่ทรงแสดงสอน ทั้งวิธีเดินจงกรมวิธีจิตทำใจ ให้เกิดธัมมะ พ้นไกลได้จากกิเลสทั้งปวง สิ้นโลภ สิ้นโกรธ สิ้นหลง ได้ถึงจุดยอดแห่งความปรารถนา คือสิ้นภพสิ้นชาติไม่มีการต้องเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏไม่วนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์แสนสาหัสนานาประการอีกต่อไป. เป็นที่รู้ที่เข้าใจกันดี ว่าท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ท่านได้รับฟังคำทรงสอนจากองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วกว่า 2500 ปี ท่านได้ถึงความไกลจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ด้วยคำสอนจากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระบรมครู สำหรับความคิดทั่วไป เรื่องพระพุทธองค์เสด็จแสดงพระองค์ต่อท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น และทรงแสดงธรรมคลี่คลายความขัดข้องในการปฏิบัติของท่านพระอาจารย์ เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ท่านผู้มีบุญเหลือเชื่อเป็นท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น คำบอกเล่าของท่านก็เป็นที่ยอมับอย่างปราศจากข้อกังขาของบรรดาผู้รู้จักท่านพระอาจารย์ในความยิ่งใหญ่แห่งการปฏิบัติธรรมของท่าน ดังนั้นแทนที่จะเป็นความเคลือบแคลงสงสัยก็กลับเป็นความมหัศจรรย์ใจที่สุด ในความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนานั่นก็คือความยิ่งใหญ่ที่สุดของสมเด็จพระบรมศาสดานั่นเอง. พระพุทธเจ้ากับพระพุทธศาสนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ไม่ผิด พระพุทธศาสนารุ่งเรื่องอยู่บ้านเมืองไหนพระพุทธเจ้าก็เสด็จอยู่บ้านเมืองนั้น ทรงดูแลพระพุทธศาสนาในบ้านเมืองนั้น นั่นก็หมายความว่าไม่มีพระพุทธศาสนาในบ้านเมืองไหน โดยไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในบ้านเมืองนั้นแน่นอน มีพระพุทธศาสนาเพราะมีพระพุทธเจ้า และไม่มีพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีพระพุทธเจ้า พูดตามเหตุผลต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน คิดถึงเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนมายุสังขารอยู่ นั่นไม่ใช่เพราะพระพุทธเจ้าเสด็จเกิดขึ้นตามพระพุทธศาสนา มีพระพุทธศาสนาที่ไหนมีพระพุทธเจ้าที่นั่น ไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นการมีพระพุทธเจ้าที่ไหน มีพระพุทธศาสนาที่นั่นเห็นง่าย ๆ ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้สร้างพระพุทธศาสนา ทรงเป็นผู้เกิดก่อนพระพุทธศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้าทรงสร้างก็ไม่มีพระพุทธศาสนาแน่นอน แต่พระพุทธศาสนาอยู่ที่ใด บ้านเมืองใด ประเทศชาติใด ไม่ได้รับความสนใจปฏิบัติคำสอนในพระพุทธศาสนาดีพอสมควร พระพุทธเจ้าทรงสามารถทำได้ตรงจะทรงทำพระพุทธศาสนาไปสู่ผู้มีความสนใจ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา. พระพุทธเจ้าทรงได้เห็นพระพุทธศาสนาในอินเดียไม่ได้รับความใส่ใจเหมาะสมเพียงพอก็ทรงนำพระพุทธศาสนามาสู่สยาม มาเจริญรุ่งเรืองในจิตใจผู้คนในสยามประเทศ สืบมาจนทุกวันนี้ ที่จำเป็นต้องยอมรับ ว่าบังอัญเชิญพระพุทธศาสนานั้นคือพลังใจของมนุษย์ที่ใด มีมนุษย์ที่มีจิตใจที่รู้จักฝักใฝ่ในคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้จะอยู่ห่างไกลกัน คนละบ้านคนละเมืองเช่นทุกวันนี้มิได้เป็นมนุษย์ในเมืองไทย แต่ก็น่าจะมีที่สนใจในพระพุทธศาสนา ยิ่งกว่าความสนใจของคนไทยคนในเมืองไทย จึงได้เห็นคำพยากรณ์ที่น่าตกใจ ว่าพระพุทธศาสนาจะไปอยู่บ้านเมืองอื่นแล้วจะมีความจริงเพียงไหนไม่อาจรู้ได้ในขณะนี้ แต่ก็ไม่อาจทำใจให้สบายได้ ว่าไทยจะเป็นเมืองพระพุทธศาสนาสืบไปไม่มีชาติใดบ้านเมืองใดจะได้สมบัติล้ำค่าของเราไปครอบครอง ไทยต้องเป็นเมื่อพระสืบไปอีกนานแสนนาน. คำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นนานมาแล้วเหมือนกันว่าเมืองพุทธจะไม่ใช่เมืองไทย เมืองคอมมิวนิสต์จะมาเป็นเมืองพุทธ ได้ฟังครั้งนั้นเมื่อนานปีมาแล้ว แม้จะไม่เชื่อสนิท แต่ก็ยังลังเลอยู่เหมือนกันว่าคำพยากรณ์จะเป็นจริงหรือเปล่ามาทุกวันนี้เริ่มจะวิตกเพิ่มขึ้น ว่าเหตุการณ์รุนแรงนานาประการที่เกิดขึ้นในเมืองพุทธของเราจะเป็นคำพยากรณ์ได้หรือไม่ ว่าบาปกรรมที่หนักหนาขึ้นด้วยการกระทำของคนผู้นับถือพระพุทธศาสนา จะเป็นเครื่องรับรองได้หรือไม่ว่าเมืองไทยจะหมดบุญเสียแล้ว จะไม่ได้เป็นเมืองพระพุทธศาสนาอีกต่อไปแล้ว. ที่ถูกแล้วเราผู้นับถือพระพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าเหนือเศียรเกล้า ไม่ควรเสียเวลาลังเลสงสัย ว่าพระพุทธศาสนาที่ประเสริฐสูงสุดหาที่เปรียบเสมอมิได้ จะพ้นไปจากประเทศชาติเราจริงหรือ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาเสียเวลาไปกับความสงสัยเช่นนี้ แต่ควรต้องทุ่นเทสติปัญญารักษาพระพุทธศาสนา ให้เป็นสมบัติ เป็นมหาสิริมงคลของประเทศชาติเรา ของชีวิตจิตใจพวกเราคนไทยทุกคน ให้ตลอดไปชั่วกัปชั่วกัลป์นั่นก็คือต้องพากันพยายามรักษาพระพุทธศาสนาให้ผ่องพ้นจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงพระพุทธเจ้าจะเสด็จอยู่กับเราในประเทศชาติของเรา จะไม่เสด็จพ้นไปจากประเทศชาติไทยที่รักของเราแน่นอน ถ้าเราพร้อมใจกันรักษาให้เต็มสติปัญญาความสามารถ. ที่จริงการรักษาพระพุทธศาสนา หรือการรักษาสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือการรักษาตนเองของทุกคน รักษาพระพุทธศาสนาให้งดงามได้เพียงไร ชีวิตจิตใจของเราทุกคนก็จะงามได้เพียงไร ชีวิตจิตใจของเราทุกคนก็จะงดงามได้เพียงนั้นนี้เป็นความจริง ในทางตรงกันข้าม ไม่รักษาชีวิตจิตใจตนเอง ปล่อยปละละเลยให้สกปรกเศร้าหมองด้วยกิเลสบาปอกุศล ก็เป็นการไม่รักษาพระพุทธศาสนา ไม่รักษาพระพุทธหฤทัยเป็นการไม่ฉลาดอย่างยิ่ง. เปรียบพระพุทธศาสนาอย่างต่ำต้อยที่สุด ห่างไกลจากความจริงที่สุด ก็เปรียบพระพุทธศาสนาคือเพชรมรดา ที่มีค่ายิ่งสำหรับแต่ละคนแต่ละชีวิต เมื่อได้ใหม่ ๆ ยังเห่อ ก็ยังตื่นเต้นหวงแหนระวังรักษาเต็มสติปัญญาความสามารถ นานไป พบเห็นของสวยของงาม ของปลอม ที่ดูค่ามีราคาทั้งยังทันสมัย ก็เห็นความสำคัญของสมบัติใหม่ ยิ่งกว่าเห็นความสำคัญ ความมีค่าที่แท้จริง ของมรดกเก่าแก่ ที่ได้มาเป็นสมบัติจะหยิบจับสวมใส่ก็ทะนุถนอมไม่เสมอด้วยของสมัยใหม่ ที่สร้างกันขึ้นมาด้วยฝีมือทันสมัยของปัจจุบัน ทำให้มองดูเป็นของที่มีค่าราคาแพง น่าหวงแหนถนอมรักษากว่าของที่เก่าแล้ว มองเหมือนไม่มีราคา ไม่เสมอด้วยของสมัยใหม่ที่งดงามแพรวพราว หลอกลวงด้วยศิลปะสมัยใหม่ ของเก่าถูกทอดทิ้งไม่แยแสในสายตาของบรรดาผู้ที่ถูกกล่าวขานกัน ว่าตาไม่ถึง เพราะใจไม่ถึง ไม่รู้จักค่าที่แท้จริง ว่าอะไรมีค่า อะไรไม่มีค่า เพราะค่าที่แท้จริงมิได้ปรากฏให้เห็นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเสมอไป หรือทุกสิ่งทุกอย่างไป. คำโฆษณาบางทีก็สำคัญมากกว่าความจริง คำโฆษณาสามารถทำของมีค่าน้อยให้เป็นของมีค่ามากได้ สำหรับผู้ฟังที่ไม่รอบคอบ ในการพิจารณา ดังนั้นจึงปรากฏว่ามีการทิ้งของมีค่าไปคว้าของไม่มีค่า หรือที่มีค่าน้อยกว่า ซึ่งเป็นที่ควรเสียดายอย่างยิงควรช่วยกันอบรมเยาวชนผู้เป็นลูกหลานที่ตกอยู่ในเครื่องมือแวดล้อมสมัยใหม่ที่ต้องยอมรับว่ามีความน่ากลัวมาก อันตรายแก่ชีวิตที่บริสุทธิ์มาก อย่างน้อยก็จะสามารถทำให้ไม่สนใจในของมีค่าของบรรพบุรุษให้มากพอสมควร ถือไว้ก็สักแต่ว่าถือไว้ จะไปกระทบกระแทกอะไรให้แตกร้าวเสียหายก็ไม่ใส่ใจ ไม่เห็นความสำคัญ ที่ต้องควรต้องถนอมรักษาให้สุดความสามารถ แม้ถึงเวลาเกิดความเสียหายหนักหนา ที่ไม่อาจแก้ไขซ่อมแซมให้กลับคืนสู่ความมีค่าได้ เมื่อใด เมื่อนั้นก็จะสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ อันควรระวังกันไว้ตั้งแต่บัดนี้จะเป็นความมีปัญญาที่สุด. (มีต่อ) |
เจ้าของ: | I am [ 26 ก.พ. 2010, 13:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แสงส่องใจ "มาฆบูชา" วันแห่งความรัก ๒๕๕๑ สมเด็จพระญาณสังว |
อายุของพระพุทธศาสนาจนถึงทุกวันนี้ยาวนานมาถึง 2,551 ปี มีหรือที่จะยังสดใสสว่างสวยเหมือนแรกเริ่ม นี้หมายถึงในสายตาที่ขาดปัญญาทั้งหลาย ความไม่พร้อมด้วยปัญญาทำให้อาจแลเห็นพระพุทธศาสนาไม่งดงามสว่างเจิดจ้า มีความแพรวพราวพ้นจะรำพันมณีใด งดงามเพียงไหน สูงค่าเพียงใดสายตาที่มีปัญญาย่อมไม่เหนควางดงามอื่นเสมอด้วยความงดงามของพระพุทธศาสนาแน่นอน. พระพุทธองค์ทรงมีพระชนมายุสังขารยาวนานกว่าพระพุทธศาสนา 80 ปี คือนับถึงปัจจุบันทรงมีพระชนมายุสังขารนับได้ 2,631 ปี นับแต่วันเสด็จประสูติ ต่อมาอีก 29 ปีจึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ และต่อมาอีก 7 ปี เมื่อทรงมีพระชนมายุสังขาร 36 พรรษาจึงทรงตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ และทรงประกาศพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ ในท่ามกลางที่ประชุมพระวิสุทธสงฆ์จำนวน 1,250 องค์ ที่เสด็จร่วมทำปาติโมกข์ ด้วยเป็นครั้งแรก และในโอกาสสำคัญนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ แก่ที่ประชุมสงฆ์บริสุทธ์ที่ทั้งหมดทรงให้การอุปสมบทด้วยการรับสั่งว่า เอหิ ภิกขุ จงเป็นภิกษุมาเถิด จะกล่าวย่อมไม่ผิด ว่าทรงประกาศตั้งพระพุทธศาสนาในวาระนั้นนั่นเอง. วันที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศหัวใจพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกคือการทรงประกาศตั้งพระพุทธศาสนานั่นเอง ทรงประกาศให้โลกรู้วาความสำคัญที่ก่อเกิดพระพุทธศาสนา ก็คือหัวใจพระพุทธศาสนานั่นเอง วันที่ทรงประกาศตั้งพระพุทธศาสนา จึงน่าจะเป็นวันประกาศหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ ในวันมาฆบูชา คือวันพระจันทร์เต็มดวง เสวยมาฆฤกษ์ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 จึงเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับวันวิสาขบูชา ที่เป็นวันเกิดขึ้นซึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือที่เป็นวันทรงตรัสรู้ของเจ้าชายสิทธัตถะจะกระทั่งเป็นวันเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระธาตุขันธ์ หลังจากได้เสด็จปรินิพพานดับพระกิเลสแล้ว 44 ปี คือทรงตรัสรู้ด้วยพระกิเลสนิพพานเมื่อพระชนมายุสังขาร 36 พรรษา อีก 44 ปีต่อมาจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุสังขาร 80 พรรษา. โลกเรานี้มีบุญยิ่งใหญ่ที่สุด ได้รับเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อ 2583 ปีมาแล้ว ขณะทรงมีพระชนมายุ 36 พรรษา วันนั้นเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เต็มดวง เสวยวิสาขฤกษ์ จะกล่าวว่าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ผิดแต่ทรงประกาศให้โลกรู้จำหัวใจพระพุทธศาสนาในภายหลัง คือต่อมาอีกจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 พระจันทร์เต็มดวง เสวยมาฆฤกษ์ พระวิสุทธิสงฆ์จำนวน 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกัน ณ พระมหาวิหารเวฬุวัน ด้วยเหตุผลที่น่าจะทรงสั่งด้วยพระพุทธจิต ให้พระภิกษุสงฆ์ 1,250 องค์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในที่ต่างๆ ให้พร้อมไปประชุมในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เพื่อเฝ้าพระพุทธบาทรับหลักประกาศพระพุทธศาสนาที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการดังเป็นที่รู้กันอยู่ทุกวันนี้ ที่ขอนำมาแสดงไว้อีกครั้งหนึ่งในที่นี้ เพื่อผู้ไม่เคยเข้าใจได้เข้าใจ เพราะเป็นความสำคัญ ที่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาควรรู้ ควรจำได้ขึ้นใจ และควรปฏิบัติให้เต็มสติปัญญาความสามารถ. การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้ว นี้เป็น 3 ประการของหัวใจพระพุทธศาสนา ที่ทุกคนควรจำไว้ให้ได้ ท่าองไว้ให้เสมก โดยระลึกรู้อยู่เสมอว่า หัวใจพระพุทธศาสนาเป็นความสำคัญ ยิ่งกว่าหัวใจทั้งปวง ทุกคนมีหน้าที่รักษาหัวใจพระพุทธศาสนาให้อยู่ดีทุกเวลา ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนดังพากันไม่สนใจ ว่าพระพุทธศาสนาจะอยู่ในบ้านเมืองเราต่อไป หรือถูกกำลังใจของใครอื่นมาอัญเชิญไปเป็นมหาสิริมงคลแก่ประเทศชาติเขา ปล่อยประเทศชาติของเราให้หมดสิ้นมหาสิริมงคล ไกลความเจริญรุ่งเรืองทั้งปวง. หัวใจพระพุทธศาสนาคือพระพุทธหฤทัยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจำไว้ให้มั่น ระลึกไว้ให้เสมอ เมื่อได้เห็นหรือได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนาก็ตาม คำว่าพระพุทธเจ้าก็ตาม อย่างเพียงแต่ได้ยิน แต่จงนึกให้ได้ไปพร้อมกัน ว่าทั้งสองคำนี้มีความสำคัญเกี่ยวข้องกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนเมื่อจะเรียกใครสักคน เมื่อเอ่ยชื่อเขาออกมาก็หมายถึงเรียกเขาที่มีชีวิตจิตใจพร้อมบริบูรณ์ ไม่ใช่แยกจากกัน ไม่ใช่เรียกชื่อใคร คนนั้นจะมาได้โดยปราศจากชีวิตจิตใจ พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน หัวใจของพระพุทธศาสนา 3 ประการดังกล่าว คือพระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง เชื่อไว้จำไว้อย่าเห็นเป็นความเหลวไหล แต่เป็นความสำคัญ ที่ควรแลให้เห็นให้จริงใจ ให้เสมอ. แม้เชื่อให้จริง ตามความเป็นจริง ว่าพระพุทธศาสนาเป็นพระพุทธหฤทัยของพระพุทธเจ้า ทั้งสองจะแยกจากกันย่อมไม่ได้ไม่มีพระพุทธศาสนาก็คือไม่มีพระพุทธเจ้าถ้าเห็นความสำคัญของพระพุทธเจ้า ต้องเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ต้องถนอมรักษาให้เต็มสติปัญญาความสามารถอย่าเพียงสักแต่เห็นเป็นความว่างเปล่ากลางอากาศเมื่อเอ่ยถึงพระพุทธศาสนา อย่างเห็นเช่นนั้นพระพุทธศาสนาต้องปรกกฎให้เห็นชัดเจนแก่จิตใจ ดังเช่นเห็นพระองค์พระพุทธเจ้า เห็นให้ชัดเจนเช่นนี้ คำว่าพระพุทธศาสนาก็จะมีความหมายยิ่งใหญ่ขึ้นมาในจิตใจเราทุกคน. เมื่อเราเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนามีความเชื่อจริง ว่ามีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้สร้างพระพุทธศาสนา ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพุทธศาสนา เหมือนดังเช่นพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศชาติ เป็นชีวิตจิตใจของคนในประเทศชาติ คนดีมีกตัญญูกตเวทิตาธรรมทั้งหลายย่อมเข้าใจจิตใจตนเองดี ว่าความรักหรือความจงรักภักดีต่อเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ของตนอย่างจริงใจ จะทำให้ต้องเข้าใจความรู้สึกของพระองค์ท่าน ว่าจะต้องหวงแหนห่วงใยประเทศชาติ ที่เป็นดังสมบัติส่วนพระองค์ที่อยู่ในความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านเราผู้เป็นราษฎรที่มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมดังกล่าวแล้วข้างต้น ย่อมต้องรักประเทศชาติที่มีเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์เป็นใหญ่เป็นประธานและเป็นเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ที่ทรงยิ่งด้วยคุณงามความดี อันเป็นเหตุให้ผู้คนฝังจิตฝังใจรักผูกพัน ขนาดพร้อมจะคิดพูดทำอย่างเพื่อรักษาสมบัติมหาศาล คือประเทศชาติของพระองค์ท่าน ให้เป็นศักดิ์ศรีสูงส่งของพระองค์ท่านตลอดไป. เมื่อกำลังพูดถึงพระพุทธเจ้ากับพระพุทธศาสนา จึงยกเรื่องประเทศชาติ กับเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ มาประกอบให้เกิดความเข้าใจอันจะเป็นประโยชน์ช่วยให้เข้าใจเรื่องพระพุทธเจ้ากับพระพุทธศาสนา เป็นไปได้ง่ายเข้า. เมื่อเอ่ยถึงประเทศชาติ ทุกคนก็จะนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นคู่กันเสมอไป อย่างน้อยนักจะหลีกเลี่ยงได้ทำนองเดียวกัน ก็ควรที่สุด ที่ทุกคนจะอบรมความคิดของตนให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องเป็นมหาสิริมหามงคลแก่จิตใจ ดังเช่นที่กล่าวมาแล้วตลอด “แสงส่องใจ” เล่มนี้ คือเมื่อเอ่ยถึง หรือนึกถึง คำว่าพระพุทธศาสนา ก็จงให้เกิดความเข้าใจทันที ว่าคือพระพุทธเจ้าหรือเมื่อนึกถึง คำว่าพระพุทธเจ้า ก็จงให้เกิดความเข้าใจได้ในทันที ว่าคือพระพุทธศาสนา นั่นก็คือพยายามอย่านึกให้พระพุทธเจ้ากับพระพุทธศาสนาเป็นคนละคำ ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น. ดังกล่าวมาแล้วโดยตลอด ว่าพระพุทธเจ้าคือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้า พยายามอย่าคิดให้แยกกัน จะทำให้เกิดความรู้จักพระพุทธศาสนาก็ตามความรู้จักพระพุทธก็ตาม ไม่งดงามสูงส่งตามความเป็นจริง ไม่เป็นมหาสิริมหามงคลแก่ความคิด แก่ชีวิตจิตใจ เท่าที่ควร ทั้งยังเป็นเหตุให้ความสนใจ ในคำว่าพระพุทธศาสนา จะไม่มีความหมาย จะไม่มีความสำคัญทั้งๆ ที่ พระพุทธศาสนา ความหมายมีความสำคัญ มากมายพ้นจะพรรณนา. การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง เป็นธรรมสูงส่ง เป็นบุญเป็นกุศลยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ปฏิบัติ เป็นธรรมอันต้นของพระพุทธศาสนาคือเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ที่จะนำให้การปฏิบัติหัวใจพระพุทธศาสนา ที่จะนำให้การปฏิบัติหัวใจพระพุทธศาสนาอีก 2 ข้อเป็นไปได้สมบูรณ์ อย่างไม่มีปัญหามากมาย การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวงเป็นธรรมสำคัญ ที่ช่วยส่งเสริมการทำบุญกุศล อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาข้อที่สอง ให้เป็นไปได้ดียิ่งกว่าไม่มีการปฏิบัติหัวใจพระพุทธศาสนาข้อต้น คือการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง. การทำบาปอกุศลเป็นการทำความสกปรกให้เกิดแก่ชีวิตจิตใจ ถ้าไม่คิดเสียเลยก็คงไม่เกิดความรู้สึก ที่ว่าการทำบาปอกุศลเป็นการทำความสกปรกให้แก่ชีวิตจิตใจ มากขึ้นกว่าที่มีอยู่แล้ว มาขึ้นทุกเวลานาทีก็ว่าได้ปกติปุถุชนทั้งหลายทำดีทำชั่ว ทำบุญทำบาปทำกุศลทำอกุศล อย่างไม่เคยใส่ใจรับรู้ว่ากำลังทำอะไร บาปบุญคุณโทษ ไม่เคยได้นึกทำไปเรื่อยๆ แล้วแต่ปากจะพูดไป แล้วมือไม้จะทำไป แล้วแต่ใจจะคิดไปเรียกว่าไม่เคยได้มีสติแม้แต่น้อยในการทำบาปอกุศลใดๆ ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเวลา คิดไป พูดไป ทำไปเรื่อยๆ แล้วแต่จะคิด จะพูด จะทำ สติหาได้รับรู้ไม่ ว่ากำลังสร้างบาป อกุศลให้มากขึ้น มากขึ้น ทุกเวลานาทีจริงๆ . ขอให้ลองนึกถึงตนเอง ลองนึกดูว่าไม่เคยมีสติในการคิด ในการพูด ในการทำดังที่กล่าวแล้วจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง เป็นผู้มีสติในการคิดในการพูด ในการทำ ก็เป็นชีวิตที่มีบุญประคับประคองอยู่อย่างน่ายินดีเป็นที่สุด เพราะเป็นผู้ที่มีโอกาสดีนักหนา ที่จะไม่ทำบาปอกุศลนานาประการ ซึ่งมีล่อหลอกให้ทำให้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลานาทีมีวิธีที่พิสูจน์ ว่าเป็นความจริงดังกล่าวหรือไม่ บาปกุศลกำลังหลอกล่อให้ทำบาปอกุศลทุกเวลานาทีจริงหรือไม่ เพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ ก็ขอให้พยายามมีสติ รู้ตัวก่อนจะพูดอะไรออกไป กับผู้ใดก็ตาม ด้วยเรื่องใดก็ตาม มีสติก็คือให้รู้คิดอย่างถูกต้อง ไม่ใช่อย่างตามอารมณ์ชอบของใจตน หรือไม่ใช่ตามความไวของปากตน ที่มักเป็นไปโดยไม่มีสติจะไม่พูด แม้พูดไปแล้วจะได้คิดว่าไม่ควรพูดเช่นนั้น เช่นนี้แสดงว่าไม่มีสติก่อนพูด ความเสียหายย่อมเกิดได้ง่ายมากจากการขาดสติ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเช่นนี้คือหัวใจพระพุทธศาสนาข้อต้น เป็นการทำบาปอกุศลทั้งปวงเพราะขาดสติ. พระพุทธองค์ทรงยกการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวงเป็นหัวใจข้อแรกของพระพุทธศาสนา ผู้คิดว่าจะทรงยกธรรมข้อนี้เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาข้อที่ 2 หรือข้อที่ 3 จะมีความแตกต่างกันอย่างไรกับการยกเป็นข้อที่หนึ่ง ซึ่งน่าคิด ควรคิด และแม้คิดเช่นนี้แล้ว หากไม่มีสติไตร่ตรองพระปัญญาแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาในเรื่องนี้ ก็คงคิดไปเอง ว่าคงไม่ทรงตั้งพระพุทธหฤทัยให้หัวใจพระพุทธศาสนาข้อใดข้อหนึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษ คือต้องเป็นข้อที่หนึ่ง เพราะเป็นธรรมสำคัญที่สุดจริงๆ คงทรงมุ่งประกาศหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการว่ามีอะไรบ้างเท่านั้น อะไรจะเป็นข้อหนึ่ง ข้อสอง ข้อสาม ไม่ทรงตั้งพระพุทธหฤทัยในการประกาศนี้ น่าที่จะทรงเห็นความสำคัญทั้งสามประการทัดเทียมกัน เป็นที่ควรประกอบการทำด้วยกันทั้ง 3 ประการ เพราะที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาทั้งสาม ควรต้องทำทั้งสาม. เมื่อมาคิดตามประสาปุถุชน ผู้นับถือพระพุทธศาสนาแต่เล็กน้อย อย่างเมื่ออายุขึ้นก็ให้ความสนใจมากขึ้นด้วย ตามพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมครูเมื่อมาจับคิดเรื่องนี้ในระยะหลัง ก็เกิดความคิดความเข้าใจ ทีอยากให้มีผู้เห็นด้วย เข้าใจตามด้วย เพราะน่าจะเป็นความถูกต้อง เป็นพระพุทธประสงค์จงพระพุทธหฤทัย ให้หัวใจข้อแรกของพระพุทธศาสนา คือการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง มิใช่ทรงมุ่งให้ใครจะถือเป็นข้อใดข้อหนึ่งสำคัญ แต่ทรงมุ่งให้การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง เป็นหัวใจข้อสำคัญที่สุดคือข้อแรกในพระพุทธศาสนา. ที่คิดว่าสมเด็จพระบรมศาสดาน่าจะทรงยกการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวงเป็นหัวใจข้อแรกในพระพุทธศาสนา ก็เพราะคิดตามประชาปุถุชน ว่าบาปอกุศลทั้งปวงเปรียบได้ดังความสกปรก อันความสกปรกนั้น แม้ทำในภาชนะใดก็ตาม ย่อมเป็นเหตุให้ภาชนะนั้นมีความสกปรก ใส่สิ่งใดลงไปในภาชนะนั้นก็จะทำให้สิ่งที่ใส่ลงไปสกปรก ใช้ประโยชน์ทีดีไม่ได้คิดง่ายๆ ก็เช่นจานชามเปรอะเปื้อนของสกปรก ใส่ข้าวปลาอาหารที่สกปรกในจานในชามอย่างไม่รู้ไม่เห็น ก็จะต้องได้รับพิษสงจองความสกปรก มากน้อยหนักเบาตามความสกปรกที่มีอยู่ในภาชนะถ้าภาชนะสะอาด ปราศจากความสกปรก อันจะก่อให้เกิดเชื่อโรค ข้าวปลาอาหารที่นำมาใส่ในภาชนะนั้น ก็จะไม่มีพิษไม่มีภัยในการใช้บริโภค. สิ่งแรกที่จะต้องดูแลข้าวปลาอาหารให้ไม่มีพิษภัย จึงควรจะให้ความสำคัญแก่ภาชนะที่จะใช้ใส่ข้าวปลาอาหารทั้งหลาย รักษาภาชนะให้สะอาด ไม่ใส่อาหารในภาชนะที่ไม่สะอาดดังนั้นถ้าจะเปรียบจิตใจเป็นภาชนะ มีความคิดในเรื่องทั้งปวงเป็นอาหารใจ ก็คงเห็นความสำคัญของการดูแลรักษาใจ ให้เป็นดังภาชนะความคิดต่างๆ เป็นดังสิ่งที่นำไปใส่ในภาชนะย่อมมีทั้งดีและไม่ดี สะอาดและสกปรก คิดดีก็เปรียบดังของไม่สกปรก คิดมีดีก็เปรียบดังของสกปรก ความคิดเกิดขึ้นในใจ และเกิดอยู่ตลอดเวลา ใจคือภาชนะ ย่อมได้รับสิ่งสกปรกหรือย่อมได้รับสิ่งไม่สกปรก ตลอดเวลาแน่นอนเพราะดังรู้อยู่แก่ใจ ว่าเราทุกคนมีความวุ่นวายอยู่ทุกเวลานาที คิดดีก็ไม่ทำให้จิตใจสกปรกคิดไม่ดีก็ทำให้จิตใจสกปรก. ใจเป็นดังภาชนะ อย่าลืมความสำคัญนี้ของจิตใจ ใจจะต้องรองรับอะไรมากมายของชีวิตอันจะทำให้ชีวิตเศร้าหมองมากน้อยหนักเบาเพียงใดก็แล้วแต่ใจ คือแล้วแต่ภาชนะที่จะรองรับความคิดหรือเรื่องราวต่างๆ ถ้าภาชนะคือใจไม่มากมีด้วยเรื่องราวที่สกปรกเศร้าหมอง ความสะอาดผ่องใสของใจก็จะมากมีพอสมควร ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์แก่ชีวิต ไม่ก่อให้เกิดชีวิตให้สกปรกด้วยความคิดที่ไม่สะอาดผ่องใส แต่เป็นความคิดที่วุ่นวายเศร้าหมองด้วยกิเลสนานาประการ ทั้งความโลภ ทั้งความโกรธ ทั้งความหลง ผู้ยังมิได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน ยังเป็นปุถุชนคนมีกิเลสธรรมดา ย่อมมีความโลภ ความโกรธ ความหลง แตกต่างกันที่มากบ้างน้อยบ้างเท่านั้น. มีภาชนะที่ไม่สะอาดสำหรับรองรับอาหาร อาหารดีเพียงใด รสเลิศเพียงใด เมื่อวางลงในภาชนะที่สกปรก อาหารก็ย่อมสกปรกย่อมไม่พร้อมที่จะเป็นเครื่องให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายและจิตใจเท่าที่ควร ทั้งยังเป็นพิษเป็นภัยได้ด้วย มากน้อยตามความสกปรกหรือความมีเชื้อโรค ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารจากภาชนะที่สกปรก ภาชนะคือใจก็เช่นกันเต็มไปได้มากมายด้วยกิเลส คือความสกปรกจะให้อาหารที่วางอยู่บนภาชนะนั้น คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในใจนั้นสะอาดปราศจากความไม่ดีงามทั้งปวง ก็ต้องเช็ดล้างภาชนะให้สะอาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือต้องระวังใจให้ไกลจากความคิดเลวร้ายให้มากที่สุด. ยิ่งคิดด้วยเหตุผลมากเพียงไร ก็เห็นชัด เข้าใจชัดมากขึ้น ว่าหัวใจพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระบรมครูทรงยกเป็นข้อต้นมีความสำคัญควรจัดเป็นหัวใจข้อแรกของพระพุทธศาสนา แม้ไม่ปฏิบัติธรรมด้วยการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวงให้ถึงพร้อม จะตั้งอกตั้งใจทุ่มเททำบุญกุศลเพียงไร โดยไม่พยายามไม่ทำบาปอกุศลให้เต็มสติปัญญาความสามารถทำบาปอกุศลอยู่ตลอดเวลา แต่ก็พยายามทำบุญกุศลง่ายๆ นึกถึงบุญกุศลที่ทำปนกับบาปอกุศล จะเป็นบุญกุศลที่สะอาดสวยงาม ย่อมเป็นไปได้ ความปนเปกันทั้งดีชั่ว แน่นอนย่อมดีกว่าไม่มีดีเลย มีแต่ชั่ว แต่แม้มุ่งไม่ทำลายบาปอกุศลใดๆ เต็มสติปัญญาความสามารถชีวิตก็สวยแน่ ถึงจะสามารถไม่ทำบาปอกุศลโดยไม่ได้ทำบุญเลย ก็น่าจะสวยงามกว่าทำบาปอกุศลมากมายไปพร้อมกับทำบุญกุศลมากมายด้วย. การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง เป็นหัวใจประการสำคัญของพระพุทธศาสนาแน่ พระพุทธองค์ทรงจัดให้การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวงเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาข้อแรก แม้ไม่ได้ทรงแสดงเหตุผลให้ชัดแจ้ง แต่เมื่อพิจารณาเหตุผลที่ปรากฏ ก็ขอคิดว่าการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวงเป็นธรรมสำคัญที่สุด ในการรักษาชีวิตจิตใจให้งดงาม ให้มีค่ายิ่งกว่าการทำแต่บุญกุศล โดยไม่หยุดการทำบาปอกุศลเลย กล่าวคืออย่ามุ่งทำแต่จะทำบุญทำกุศล โดยไม่คิดเลยว่าในการทำบุญทำกุศลนั้น บางทีก็มีการทำบาปอกุศลเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่น้อย เช่นหาเงินได้มาอย่างไม่สุจริต นำเงินนั้นไปทำบุญทำกุศล เช่นบริจาคช่วยวัดสร้างกุฏิสงฆ์ สร้างศาลาวัด เป็นต้น ความยินดีของผู้บริจาคที่ได้เงินมาอย่างไม่สุจริต แต่ว่านำไปทำบุญทำกุศลอย่างยินดี โดยไม่คิดว่าบุญนั้นไม่ได้พ้นจากการทำบาปอกุศล ว่าได้ทำบุญทำกุศลด้วยเงิน ที่ถือว่าเป็นของตนตนจึงเป็นผู้ต้องได้บุญได้กุศลจาการทำบุญด้วยเงินของตนแน่. แม้คิดถึงหัวใจพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงไว้เป็นอีกข้อหนึ่ง ว่าการทำบุญกุศลให้ถึงพร้อมจึงจะเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา คือเป็นบุญในพระพุทธศาสนานั่นเอง การทำบุญกุศลไม่ถึงพร้อม คือไม่สุจริตทุกประการ ท่านไม่กล่าวว่าเป็นการทำบุญทำกุศลที่ถึงพร้อม ที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา แต่เมื่อเป็นการทำบุญด้วยเงินไม่สุจริตก็ต้องนับวาเป็นการใช้เงินไม่บริสุทธิ์ทำบุญ เป็นบุญในระดับที่ท่านคงไม่กล่าวว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา แม้ว่าจะเป็นบุญ เพราะการบริจาคสร้างวัดวาอารามเป็นบุญ แต่เมื่อผู้บริจาคเองก็รู้อยู่ว่าเป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่สุจริต ถึงจะยินดีที่ได้ทำบุญแต่ในส่วนลึกของจิตที่รู้ว่าเป็นเงินไม่สุจริตความรู้นี้แฝงอยู่ในใจ ที่จะทำให้การทำบุญเป็นบุญที่ไม่ถึงพร้อม ไม่อยู่ในข่ายของความเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา. หัวใจพระพุทธศาสนามีความสำคัญอย่างยิ่งแน่นอน ดังนั้น ขอให้พยายามปฏิบัติให้เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เถิด จะทำบุญอะไรก็พยายามทำความเข้าใจให้ชัดว่าเป็นการทำที่อยู่ในหัวใจพระพุทธศาสนา ประการใดประการหนึ่งใน 3 ประการดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เช่นไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง อันเป็นหัวใจข้อที่หนึ่ง คือเป็นการทำบุญกุศลที่ไม่แฝงด้วยบาปอกุศลความไม่สุจริตทั้งปวง เงินในการทำบุญต้องเป็นเงินบริสุทธิ์คือรู้อยู่แก่ใจ ว่าไม่มีความทุจริตแอบแฝงอยู่ในการทำบุญครั้งนั้นเลย การทำบุญครั้งนั้นก็จัดได้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมในหัวใจพระพุทธศาสนาที่แท้จริง. การทำบุญกุศลใด ผู้ทำสามารถยอมรับกับตนเองได้ ว่าเป็นการทำบุญกุศลที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาจริง เพราะปราศจากความทุจริตทั้งปวง เป็นการทำที่สุจริตพร้อมเมื่อเป็นความสุจริตพร้อมทั้งการทำบุญกุศลก็กล่าวได้ไม่ผิด ว่าเป็นการปฏิบัติหัวใจพระพุทธศาสนา เพราะเป็นการไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง ไม่แสดงหาสิ่งทุจริตมาร่วมในการมุ่งทำบุญทำกุศล. การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาข้อที่หนึ่ง ความหมายของหัวใจพระพุทธศาสนาข้อนี้ น่าที่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะเข้าใจความหมายถูกต้อง ว่าบาปอกุศลคืออะไร ทำบาปอกุศลคือทำอะไร การไม่ทำบาปอกุศลคืออย่างไร ผู้นับถือพระพุทธศาสนารู้แน่ เข้าใจแน่ แต่ก็หาได้ปฏิบัติแน่ๆ ไม่ จะทำบาปก็อ้างว่าบาปเล็กบาปน้อยไม่เป็นบาป หาได้คิดไม่ว่าของเล็กน้อยนั้นเมื่อทำมากเข้า ก็จะเป็นของมากของใหญ่เพราะการทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่อ้างว่าไม่เป็นไร บาปเล็กน้อย แต่บาปเล็กน้อยนั้นจะเป็นบาปยิ่งใหญ่ได้ในวันหนึ่งแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ทำโดยอ้างว่าบาปเล็กน้อย นั้นจะเป็นบาปยิ่งใหญ่ได้ในวันหนึ่งแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำโดยอ้างว่าบาปเล็กน้อยไม่เป็นไร ไม่ควรถือว่าบาป. หัวใจพระพุทธศาสนาก็ตาม พระพุทธหฤทัยก็ตาม งดงามพร้อมด้วยปราศจากบาปอกุศลแม้แต่น้อย พรั่งพร้อมอยู่ด้วยบุญกุศลทั้งปวง จึงเป็นหัวใจที่ผ่องแผ้วด้วยความบริสุทธิ์สะอาดงาม ที่กล่าวกันว่าไร้ไฝฝ้าราคีมีแต่รัศมีรุ่งเรืองผ่องใส งามเกินกว่าจะพรรณนาด้วยคำใดทั้งสิ้น. เราผู้นับถือพระพุทธศาสนา มีสมเด็จพระบรมศาสดาเป็นสมเด็จพระบรมครู รู้ตัวเสียเถิด ว่าเป็นผู้มีบุญหนักหนามีบุญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ทรงมีพระพุทธเมตตาประกาศให้รู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่าการจะรักษาหัวใจพระพุทธศาสนาให้เป็นงานอันสูงส่งด้วยบุญบารมีสูงสุดนั้นทำได้อย่างไร เป็นการทำที่ทำได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ ไม่เหลือวิสัย แม้ตั้งใจจริงที่จะทำ แม้มีบุญจริงที่จะเสริมให้มุ่งมั่นทำอย่างไม่อ้างนั่นไม่อ้างนี่ เพื่อหลีกหนีการต้องทำ เพื่อปฏิบัติความประเสริฐเลิศล้ำสูงสุดที่ลอยลงมาถึงมือแล้ว จากพระหัตถ์สมเด็จพระบรมศาสดา พระหัตถ์ที่บริสุทธิ์สูงส่ง เหนือมือใดทั้งสิ้น. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “วันมาฆบูชา” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45501 |
เจ้าของ: | damjao [ 16 ก.พ. 2011, 17:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แสงส่องใจ "มาฆบูชา" วันแห่งความรัก ๒๕๕๑ สมเด็จพระญาณสังว |
ขอกราบอนุโมทนาบุญสาธุ. |
เจ้าของ: | ธรรมโฆษ [ 01 มี.ค. 2018, 06:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: แสงส่องใจ “มาฆบูชา” วันแห่งความรัก ๒๕๕๑ สมเด็จพระญาณสังว |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |