ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

หัวใจของพระพุทธศาสนา (พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม)
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=89&t=55614
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  Nuchys [ 01 เม.ย. 2018, 16:09 ]
หัวข้อกระทู้:  หัวใจของพระพุทธศาสนา (พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม)

อาจาริยธัมโมทยาน

รูปภาพ

กลุ่มสวนปรัชญาและพุทธธรรม
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


:b44: :b47: :b44:

อ่านหนังสือฉบับเต็มเล่ม ได้ที่นี่ค่ะ >>>
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=54239

เจ้าของ:  Nuchys [ 01 เม.ย. 2018, 16:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หัวใจของพระพุทธศาสนา (พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม)

รูปภาพ

หัวใจของพระพุทธศาสนา
พระธรรมเทศนา
ของ
พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม


:b44: :b44:

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

จิตดวงเดียวแสดงเป็นสี่ดวง พระโสดาปัตติมรรคก็จิตดวงเดียว พระสกิทาคามิมรรคก็จิตดวงเดียว พระอนาคามีมรรคก็จิตดวงเดียว พระอรหันตมรรคก็จิตดวงเดียวนี้แหละ ที่ว่าเป็นสี่นี้ ว่าตามธาตุตามวิญญาณ ธาตุก็สี่ วิญญาณก็สี่ ได้ชื่อว่า จิตตานุปัสสนากับจิตแยกออกจากกันไม่ได้ หูกับจิตแยกออกจากกันไม่ได้ ส่วนตาไม่ใช่จิตเรียกว่าวิญญาณตา หูก็ไม่ใช่จิตเรียกว่าวิญญาณหู จมูกก็ไม่ใช่จิตเรียกว่าวิญญาณจมูก ปากก็ไม่ใช่จิตเรียกว่าวิญญาณปาก จิตเราจะไปไหน ไปทำบุญหรือทำบาปก็ต้องอาศัยวิญญาณตา จะดูรูปก็ต้องอาศัยตา จะฟังเสียงร้องรำทำเพลงเพื่อให้เพลิดเพลินก็ต้องอาศัยวิญญาณหูเป็นผู้ฟังว่าจะเพราะพริ้งเพียงไร จิตเป็นผู้รู้ จะดมกลิ่นเหม็นกลิ่นหอม จิตเป็นผู้รู้จึงใส่ชื่อว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานัง ตากับจิตแยกออกจากกันไม่ได้ ตายเมื่อใดพ้นเมื่อนั้น นี้แหละท่านทั้งหลาย

๑. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตนั้นก็เป็นโสดาจิต เป็นสกิทาคาจิต เป็นอนาคาจิต เป็นอรหันตจิต ก็เป็นพระพุทโธจิตดวงเดียว

๒. จิตไม่ลักทรัพย์ จิตนั้นก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา

๓. จิตออกบวช ขาดจากผัวจากเมีย จิตนั้นก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา

๔. จิตไม่ขี้ปด ไม่กล่าวมุสาวาท จิตนั้นก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา

๕. จิตไม่กินเหล้า จิตก็เป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นพระอรหันตา

อันนี้อธิบายเป็นพระสูตร ขอให้นักธรรมนักกรรมฐานทั้งหลายจงดูทุกพระองค์เถิด ถ้าจะอธิบายเป็นพระปรมัตถ์ อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน

๑. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพานอยู่ที่ใจของเราทุกคนพระองค์

๒. จิตไม่ลักทรัพย์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพานอยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

๓. จิตออกบวชขาดจากผัวจากเมีย จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพานอยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

๔. จิตไม่ขี้ปด (มุสาวาท) จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพานอยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

๕. จิตไม่กินเหล้า จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพานอยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

พุทโธเป็นศีล พุทโธเป็นฌาน พุทโธเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

ธัมโมเป็นศีล ธัมโมเป็นฌาน ธัมโมเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

สังโฆเป็นศีล สังโฆเป็นฌาน สังโฆเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

กรุณาเป็นศีล กรุณาเป็นฌาน กรุณาเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

มุทิตาเป็นศีล มุทิตาเป็นฌาน มุทิตาเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

เมตตาเป็นศีล เมตตาเป็นฌาน เมตตาเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

อุเบกขาเป็นศีล อุเบกขาเป็นฌาน อุเบกขาเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

จิตมีรูปไม่รักรูป จิตก็เป็นศีล จิตเป็นฌาน จิตเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

จิตมีสัญญาไม่รักสัญญา จิตก็เป็นศีล จิตเป็นฌาน จิตเป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคนทุกพระองค์

พระองค์เจ้าพระคุณคือใคร เจ้าพ่อของเราเจ้าแม่ของเรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทุกคนเกิดจากเจ้าคุณพ่อหมายถึงพระสุทโธทนะ เจ้าคุณแม่หมายถึงพระนางเจ้าสิริมหามายา เป็นที่เกิดธรรมะอันประเสริฐสูงสุดวิเศษอยู่ที่ใจของเราอันเกิดมาจากพระบิดาพระมารดา ถ้าใครเชื่อเอาหมูเป็นเมีย ปีกุนแปลว่าหมู หมูดีกว่ามนุษย์ มนุษย์สู้หมูไม่ได้ หมูดีกว่ามนุษย์ ขาหมูมนุษย์กิน แต่ขามนุษย์ไม่มีใครกิน หำหมูมนุษย์กินแต่หำมนุษย์ไม่มีใครกิน หีหมูมนุษย์กินหีมนุษย์ไม่มีใครกิน หีหมูคนปากไม่ชัด (คือคนลิ้นไก่สั้นและพูดอ้อแอ้) กินแล้วจะดีขึ้น น้ำมันหมูเป็นสินค้าทั่วราชอาณาจักรไทย เป็นอาหารทั่วไปไม่เลือกชาติไหนกินกันทั้งนั้น แต่น้ำมันมนุษย์ไม่มีใครกิน ขี้หมูเอามาทำปุ๋ยใส่ในนาใส่ผักใส่สวนได้ทั้งนั้น แต่ขี้มนุษย์ไม่มีใครต้องการ หัวหมูตับหมูมนุษย์กิน หัวคนตายไม่มีใครกิน หัวหมูจมูกหมูลิ้นหมูมันสมองหมูต้มกินได้ทุกชาติ ปากคนลิ้นคนมันสมองคนหัวคนไม่มีใครกิน แต่ไส้หมูทำเป็นไส้กรอกกินได้ ตับหมูพุงหมูกินได้ แต่ตับคนไส้คนพุงคนไม่มีใครกิน ขนหมูเป็นสินค้าทำแปรงทาสีได้ทั่วไปแต่ขนผมของมนุษย์ตัดทิ้งเสียเปล่าๆ ไม่มีใครต้องการ ผมของอุบาสกต้องตัดเดือนละครั้งสองครั้ง เสียเงินครั้งละ ๔-๕ บาท ยิ่งเป็นผมของเจ้านายก็แพงยิ่งขึ้นไปกว่านี้แล้วก็ค่าน้ำมันเดือนละขวด เมื่อจะหมดบุญก็ต้องเสียเงินหลายพันบาท เมื่อตายไปไฟกินหมด นี้แหละนักธรรมนักกัมมัฏฐานทั้งหลาย ข้าพเจ้าพระอาจารย์ตื้อหรือหลวงปู่ตื้อขอถวายปัญญาวิปัสสนาญาณไว้แสดงให้ทั่วถึงกัน มีเจ้านาย ข้าราชการ อุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น ถ้าไม่จริงอย่างหลวงปู่ว่า ขอให้อมขี้มาเป่าหน้าเถิด

อนึ่ง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌาน ถ้าไม่รู้จักฌานจะนั่งเอาฌานจนเอวหักก็ไม่ได้นิพพานตามความปรารถนา สอง ผู้เจริญฌานให้รู้จักฌานจึงจะได้นิพพาน เพราะฌานกับนิพพานเป็นของคู่กัน จะแยกออกจากกันไม่ได้เหมือนเดือนกับดาว เดือนอยู่ที่ไหนดาวอยู่ที่นั่น ที่ว่าการไม่รู้ฌานไม่รู้จักนิพพานเป็นอาการของจิต เรียกว่า “โลกิยจิต” สอง โลกุตตรจิต จิตจะรู้จักฌาน พระโสดาผลเป็นฌานที่หนึ่ง

พระสกิทาคามิมรรค พระสกิทาคามิผล เป็นฌานที่สอง

พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล เป็นฌานที่สาม

พระอรหันตมรรค พระอรหันตผล เป็นฌานที่สี่


ฌานที่เป็นอยู่นี้เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า พระนิพพานได้แก่ใจของพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า นั้นแลฌานเหมือนเค้าต้นของผม (เกศา) นิพพานเหมือนเส้นผมนั้นแลจึงจะสมสะวะนะ

ที่หนึ่ง บริกรรม “พุทโธ” เป็นศีล “พุทโธ” เป็นฌาน “พุทโธ” เป็นนิพพาน

ที่สอง อุปจาระเป็นที่อยู่ของจิต ธัมโมเป็นศีล ธัมโมเป็นฌาน ธัมโมก็เป็นนิพพาน

ที่สาม สังโฆเป็นศีล สังโฆเป็นฌาน สังโฆเป็นนิพพาน

ที่สี่ อนุโลมฌาน จงดูลมหายใจเข้าออก โทสะ ใจอย่าได้ขี่ใจโมหะ ใจขี่ทิฐิก็หมดไป ใจขี่โทสะใจก็เป็นอรหันต์ ใจขี่โมหะใจก็เป็นอรหันต์ ใจขี่ทิฐิก็เป็นอรหันต์

ที่ห้า โคตะ อยู่ในรูปไม่ผิดรูป อยู่ในเวทนาไม่ผิดเวทนา อยู่ในสัญญา ไม่ผิดสัญญา อยู่ในสังขารไม่ผิดสังขาร อยู่ในวิญญาณไม่ผิดวิญญาณ ใจเราก็เป็นพระนิพพาน

ที่หก โสดามรรคก็ใจ โสดาผลก็ใจ สกิทาคามิมรรคก็ใจ สกิทาคามิผลก็ใจ อนาคามิมรรคก็ใจ อนาคามิผลก็ใจ อรหันตมรรคก็ใจ อรหันตผลก็ใจ ละอุปาทิเสสนิพพาน กิเลสขาดจากสันดานหมดไป โมหะกิเลสหมดไป ทิฐิกิเลสหมดไป ยังเหลือแต่ใจสะอาดปราศจากกิเลสเหมือนพระจันทร์เดินอยู่บนท้องฟ้านภากาศไม่มีอะไรจะทำลายได้ วาโยธาตุ แปลว่า ลมจากทิศทั้ง ๔ จะทำลายพระจันทร์ไม่ได้ ลมก็เป็นลมพระจันทร์ไม่แตกไม่ดับ พระจันทร์ก็อยู่อย่างนั้นแหละ อาโปธาตุ แปลว่า น้ำฝนตกลงมาเม็ดเล็กเม็ดน้อยเม็ดใหญ่จะทำลายพระจันทร์ไม่ได้ เปรียบเหมือนที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ดังเช่นเปรียบกันได้กับใบบอน ตามธรรมดาใบบอนนั้น น้ำชำแรกแทรกเข้าไปในใบบอนย่อมไม่ได้ ถึงฝนจะตกลงมาถูกต้องใบบอนสักเพียงไร น้ำฝนก็ไม่อาจแทรกซึมเข้าไปในใบบอนได้ฉันนั้น เพราะใบบอนไม่ดูดเอาน้ำเข้าไปเลยเหมือนดังกับพระจันทร์ พระจันทร์เดินไปเมืองม่าน (พม่า) พวกม่านทั้งหลายทั้งน้อยและใหญ่พากันกราบไหว้พระจันทร์ พระจันทร์ก็เฉยๆ ไม่รับรองลิ้นของพวกม่านมาเป็นสรณะแต่อย่างไร ไปเมืองมอญพระจันทร์ก็เฉยเสีย พวกมอญจะติฉินนินทาด่าว่าสิ้นทั้งบ้านเมืองมอญ พระจันทร์ก็เฉยเสีย นี้แหล่ะนักธรรมนักกัมมัฏฐาน เจ้าทั้งหลายจึงเรียกได้ว่า “จบพรหมจรรย์” คือ

๑. ไม่ฆ่าสัตว์ เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๒. ไม่ลักทรัพย์ เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๓. ไม่เสพกาม เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๔. ไม่ขี้ปด (คือกล่าวมุสาวาท) เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์
๕. ไม่กินเหล้า (สุรา) เรียกว่า พุทธพรหมจรรย์


เปรียบเหมือนดวงพระจันทร์นั่นแหละ พระจันทร์ไม่ฆ่าสัตว์ พระจันทร์ไม่ลักทรัพย์ พระจันทร์ไม่เสพกาม พระจันทร์ไม่กล่าวมุสาวาท พระจันทร์ไม่ดื่มสุรา ก็เรียกว่า “จบพรหมจรรย์” (เสียงจันทร์ กับ จรรย์ ออกเสียงเหมือนกัน ท่านจึงมาเปรียบเทียบเช่นนี้) พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย นั่งก็นั่งอยู่ในนิพพาน เดินก็เดินอยู่ในนิพพาน กินก็กินอยู่ในนิพพาน แต่ขันธ์ ๕ ที่เป็นอุปาทานยังไม่ดับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนี้จึงพาขันธ์ ๕ ของคุณตาคุณยายสะพายบาตรประกาศพระศาสนาอยู่ ๕๕ ปี เรียกว่า อุปาทิเสสะเข้าพระนิพพานพ้นจากชาติกันดารไม่ต้องมาเกิดอีกต่อไป เตสํ วูปสโม สุโข เวทนาแตกเวทนาตาย สัญญาแตกสัญญาตาย สังขารแตกสังขารตาย วิญญาณแตกวิญญาณตาย พระพุทธเจ้าโคตมะไม่ได้ฆ่ารูป รูปก็แก่เฒ่า เวทนาก็แก่เฒ่า ใจเราเท่านั้นไม่แก่เฒ่า รูปัง อนิจจัง รูปเกิดขึ้นเป็นของไม่เที่ยงยักย้ายผันแปรแตกต่างกันไปมาเป็นธรรมดา จิตจะร้องขออย่างไรก็ไม่รับฟัง อกาลิโก อากาศของธาตุเขาเป็นอยู่อย่างนั้น จกฺขนทริยํ ดูหูของเราหูมันจะเฒ่า หูมันจะตาย ห้ามหูไว้ไม่ได้ ฆานินทริยํ ดูจมูกของเรา จมูกมันจะเป็นหวัดคัดจมูก หรือเป็นริดสีดวงจมูกเราก็ห้ามไว้ไม่ได้ ชิวหินทริยํ ดูลิ้นของเรา ปากและลิ้นก็เป็นหวัดเป็นไอ เดินก็ไอ กินข้าวก็ไอ กินน้ำก็ไอ ไอไปไอมา อานาปาฯ เป็นภาษาบาลี ภาษาไทยเรียกว่าลม รูปก็ลม เวทนาก็ลม สัญญาก็ลม สังขารก็ลม วิญญาณก็ลม หมดแล้วก็เรียกว่าตาย มีเงินมีคำมีแก้วก็ตาย ละเสียจากเงินทองเหล่านั้น มีลูกสาวก็ตายจากลูกสาว มีลูกชายก็ตายจากลูกชาย มีผัวก็ตายจากผัว มีเมียก็ตายจากเมีย มีพ่อก็ตายจากพ่อ มีแม่ก็ตายจากแม่

ถ้าเราจะมีเงินถึงแปดหมื่น เก้าหมื่น ก็เป็นของกลางเท่านั้นที่มีในโลก เราตายเสียแล้วก็ทิ้งหมด ถ้าเมื่อเรายังไม่ตายจงมาพากันสร้างกุศลให้พอ เมื่อเราตายจากไปแล้วนั้นบุญก็จะเป็นที่พึ่งของเรา เป็นที่อาศัยของเรา บุญเกิดทางกายนั้นประการใดจะขยายให้เป็นพระสูตร อะนะวัชชานิกัมมานบุคคลเกิดมาในโลกนี้ ทำการงานปราศจากโทษมีแต่ประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เป็นปัจจัยแก่เราผู้สร้างบารมี หนึ่ง สร้างพระพุทธรูป สร้างพระเจดีย์ สร้างวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ไว้ในพระพุทธศาสนา ผู้ใดหากได้ทำแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ฉายาวะ เปรียบเหมือนเงาที่ตามตัวเราตลอดเวลา ตามธรรมดาเรานั่ง เงาก็นั่ง เรานอน เงาก็นอน บุญกุศลที่เราสร้างเอาไว้ก็ห่อตัวใจของเราไว้ เรารับศีลห้าได้ เรานั่งเราก็นั่งในศีลห้า เรานอนเราก็นอนในศีลห้า เราเดินเราก็เดินในศีลห้า เรารับศีลแปดเราจะยืน เดิน นอน นั่งก็อยู่ในศีล เมื่อได้ “พุทโธ” แล้ว นั่งก็พุทโธ นอนก็พุทโธ เดินก็พุทโธ “ธัมโม” เมื่อได้แล้ว นั่งก็นั่งธัมโม นอนก็นอนธัมโม เดินก็เดินธัมโม “สังโฆ” ทั้งนั้น เตสัง ตายแล้วทิ้งหมด เกศา ผมก็ไฟไหม้หมด ทันตา-เขี้ยว ครกตำหมาก สากตำน้ำพริกไฟกินหมด ตะโจ-หนัง ไฟก็กินหมด มังสา-ชิ้น (เนื้อ) ก็เน่า ไฟก็กินหมด อัฐิ-กระดูกสามร้อยท่อน กระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกแขน กระดูกข้าง กระดูกคอ กระดูกคาง กระดูกเขี้ยว กระดูกหัว ไฟก็กินหมด ทั้งยังหัวใจ ที่อยู่ของใจ ไฟก็กินหมด อะไรๆ ไฟก็กินหมด จะเป็นของเรานั้นไม่ใช่สักอย่าง นี้แหละนักธรรมนักกัมมัฏฐานเจ้าทั้งหลาย ผู้ชายก็นักธรรม ผู้หญิงก็นักธรรม ให้หมั่นพิจารณาว่าถ้าทำบุญก็ได้บุญ ทำบาปก็ได้บาป ทำนาได้กินข้าว เอาผัวเอาเมียก็ได้ลูกชายลูกสาว ค้ำชูพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้แหละนักธรรมนักกัมมัฏฐานทั้งหลาย โอปนยิโก ให้น้อมมาดู ดูอะไร ดูใจของเราทุกคน เมื่อได้พุทโธจริง ที่อยู่ของพุทโธคือสวรรค์ ๖ มีชั้นจาตุมมหาราชิกา ชั้นตาวะติงสา ชั้นยามา ชั้นตุสิตา ชั้นนิมมานรตี ชั้นปะระนิมมิตะวะสะวะตี สวรรค์ ๖ ชายพุทโธ หญิงพุทโธ อยู่ชั้นไหนได้ตามความปรารถนา พรหมปาริสัชชาถึงอกนิฏฐาพรหม ๑๖ อยู่ได้ตามปรารถนา ชายสังโฆ หญิงสังโฆ ที่อยู่ของพระสังโฆ ชั้นสุทธาวาส อนาคามิมรรค อนาคามิผล สิ้นชีพวายชนม์เข้าสู่พระนิพพาน เอตัง พุทธังสาสนันตีติฯ

พระอาจารย์ตื้อ หรือหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดสุปัฏน์ พระปิยมหาราชพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อาราธนามาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส เจริญแล้วพระองค์ที่สอง สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ ผู้ครองแผ่นดินลูกพระเจ้าพี่ แล้วจึงมอบเมืองให้พระเจ้าหลานเธอรัชกาลที่ ๖ รับแทนเป็นพระเจ้าแผ่นดินดีแล้ว จึงได้อาราธนาเจ้าคุณอุบาลีฯ และท่านย่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระไปอยู่ที่วัดบรมนิวาส และวัดสระปทุมให้หลวงพ่ออาจารย์หนูไปอยู่ ได้ตั้งชื่อเจ้าคุณกิตติเถระ (เจ้าคุณปัญญาพิศาลเถร) เป็นเจ้าอาวาสวัดสระปทุม และท่านก็นิพพานที่นั่น ส่วนท่านอุบาลีฯ ไปนิพพานที่วัดบรมนิวาส ส่วนท่านอาจารย์มั่น นายเตียง สิริขันธ์ ไปนิมนต์มาอยู่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร เลยนิพพานที่นั่น พุทธคุณคาถาที่อาตมาได้นำมากล่าวเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แก่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ทั้งอุบาสก อุบาสิกา พระคุณเจ้าทุกพระองค์ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ถ้าหากพระธรรมเทศนาที่ข้าพเจ้าได้อธิบายมานี้เป็นที่ถูกต้องตามพระบัญญัติไม่ขัดหลักแห่งพระสงฆ์ไทย ก็ขอให้พระคุณเจ้าทั้งหลายจงอนุโมทนาสาธุการด้วยเถิด และน้อมนำเอาพระธรรมคำสอนที่ข้าพเจ้าอธิบายมานี้แล้วนั้น ปฏิบัติลงที่กาย วาจา ที่ใจของท่านทั้งหลาย ทั้งอุบาสก อุบาสิกา “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ”

ข้าพเจ้าจะขออธิบายถึงผู้ที่เข้าสู่พระนิพพานพ้นจากโลกกันดารไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ซึ่งเรียกว่า “วิมุตติสุขุ” อันพ้นจากโลกนี้ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้แก่เรา นักธรรมนักกัมมัฏฐานผู้ตั้งใจเอาพระนิพพาน ให้รู้แจ้งขาดจากความสงสัย “อุปสมานุสสติุ” ให้ระลึกถึงคุณพระนิพพาน พระนิพพานก็พักอยู่ที่ใจของเรา ใจไม่ฆ่าสัตว์ ใจก็เป็นศีล เป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน ใจไม่ลักทรัพย์ ใจเป็นศีลเป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน ใจออกบวชขาดจากผัวจากเมีย ใจเป็นศีลเป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน ใจไม่ขี้ปด ใจเป็นศีล เป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน ใจไม่กินข้าวเย็น ใจก็เป็นศีลเป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน ใจไม่ลูบไล้ชโลมทาของหอมอย่างชาวบ้าน ใจก็เป็นศีลเป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน ใจไม่เอนนอนยังที่นอนที่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลีอันสูงใหญ่เหมือนของพระราชามหากษัตริย์ ใจก็เป็นศีลเป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน “ชาตะรูปะรัชชะตะ” รูปิยะหรือกระดาษเศษที่นักปราชญ์เขาทำกันออกมาใช้ทุกวันนี้ เป็นทรัพย์ของพระราชา อเมริกาเป็นผู้ทำ ช่วยประเทศไทยให้เจริญมีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ใช้ ใจเราก็เป็นศีลเป็นฌาน ใจก็เป็นนิพพาน นี้แหละนักธรรมนักกัมมัฏฐานวิปัสสนาฌานทั้งหลาย จงรู้ด้วยใจเถิด พาลฆ่าสัตว์ไม่มีแก่ใจ พาลตีฆ้องตีกลองดีดสีตีเป่าไม่มีแก่ใจ ใจไม่พาลทาของหอมไม่มีแก่ใจ ใจไม่พาลนอนที่นอนอันยัดด้วยนุ่นและสำลีอันสูงใหญ่ไม่มีแก่ใจ พาลชาตะรูปะรัชชะตะ รูปิยะ (เงินตรา) ไม่มีแก่ใจ

ใจจึงจะเป็นนิพพาน “เตสัง วูปะสะโม สุโข” รูปแตกรูปตายตั้งแต่หัวถึงตีน ตั้งแต่ตีนถึงหัว ธาตุดินคือกระดูกกับเหนื้อ (ชิ้น) ไม่ใช่พระนินพาน “เตสัง” ธาตุน้ำ ๑๒ ไม่ใช่พระนิพพาน “เตสัง” สัญญาลมหายใจเข้าออก รูลม รูจมูก ลมเข้าลมออก จะห้ามลมไว้ไม่ได้ รูปากรูคอ เป็นที่อยู่ของลม รูทวารหนัก ทวารเบาถ่ายปัสสาวะ ทวารหนักถ่ายอุจจาระออก จะห้ามลมไว้ไม่ได้ “เตสัง” สังขารเบื้องต่ำได้แก่ ขา จะห้ามขาไว้ไม่ไห้แก่ไม่ได้ สังขารท่ามกลางได้แก่ แขน บนได้แก่ศีรษะหรือหัว จะห้ามไว้ไม่ให้แก่ไม่ได้ นี่แหละนักธรรมนักกัมมัฏฐาน จิตเป็นของไม่ตาย ตัวตายนั้นคือรูป ตัวตายคือเวทนา ตัวตายคือสัญญา ตัวตายคือตัวสังขาร ตัวตายนั้นคือวิญญาณ ตัวไม่ตายได้แก่จิตที่เป็นนิพพานอสังขตธรรม ได้แก่รูปธรรม เวทนาธรรม ไม่มีแก่ จิตอังขตธาตุ เวทนาธาตุไม่มีแก่จิต อสังขตปัจจัย ใจพ้นจากรูป ใจพ้นจากสังขาร ใจไม่มีสังขาร ใจพ้นจากวิญญาณ ใจไม่มีวิญญาณ ใจก็เป็นนิพพานนั้นแหละ เมื่อใจเป็นนิพพานแล้ว ชาติความเกิดไม่มีแก่ใจ ชราความแก่ไม่มีแก่ใจ พยาธิความเจ็บไข้ตัวร้อนตัวหนาวไม่มีแก่ใจ มรณะความตายไม่มีแก่ใจ ใจก็เป็นนิพพาน พ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ไม่ต้องกลับมาเกิดให้มันทุกข์มันยากลำบากในโลกนี้

ในคัมภีร์นิพพานสูตร พระอนุรุทธาจารย์องค์การเผยแพร่ที่เผากระดูกของพระพุทธเจ้า และแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุ ๑๖ พระนคร ที่มาในเมืองไทยเราคือกรุงกัมพูชาหรือนครจำปาศักดิ์ ทางเหนือมีเมืองหลวงพระบาง เมืองเชียงขวาง เชียงคำ อูเหนือถึงเมืองเชียงรุ้ง อูใต้ถึงนครจำปาศักดิ์ แว่น (ตอน) หลวงเมืองอาภัสสระ ซึ่งเวลานี้อาภัสราหายกลายมาเป็นจังหวัดสกลนคร หายหนที่สองใช้ชื่อจังหวัดนครพนม ธาตุหัวอกของพระพุทธเจ้า ธาตุหัวนมก้ำซ้าย ๑๒ องค์ พระอรหันต์กัสสปะเป็นผู้นำมาบรรจุใส่ไว้ จึงตั้งชื่อว่าธาตุพนม ในสมัยพระเจ้าคะมังผู้เป็นใหญ่ในแว่น (แคว้นนี้) แปลเป็นภาษาไทย นิพพานัง ปะระมัง สูญญัง รูปสูญ เวทนาก็สูญ สัญญาก็สูญ สังขารก็สูญ วิญญาณก็สูญ จิตก็ยังมีอยู่ นักขัตโตวามนุสสะโต วา เหมือนดังดาวนักขัตฤกษ์ เดือนดาวมีอยู่ในอากาศ มนุษย์ผู้มีจักษุประสาทคือตา แหงนหน้าขึ้นไปในอากาศเห็นเดือนดาวเต็มอยู่ในท้องฟ้า ถึงฟ้าตั้งแต่แผ่นดินมา พระพุทธเจ้ากกุสันโธสร้างบารมีอายุยืนหกหมื่นปีเพราะท่านสร้างบารมีถึงสิบหกอสงไขยแสนมหากัป ก็ได้เข้านิพพานไปแล้ว ได้ไว้ศาสนาหกหมื่นปีเท่าอายุรวมเป็นแสนสองหมื่นปี เดือนก็ไม่ตายดาวก็ไม่ตาย ยังมีอยู่อย่างนี้ (พระพุทธเจ้าองค์ที่สองมีพระนามโกนาคะมะโน) พระพุทธเจ้ากัสสปะสร้างบารมีเจ็ดอสงไขยแสนมหากัป บารมีแก่กล้าแล้วมาเกิดในโลกนี้อายุยืนหมื่นปี ได้ไว้ศาสนาหนึ่งหมื่นปี รวมศาสนาสองหมื่นปีก็นิพพานแล้ว เดือนไม่ตายดาวไม่ตายยังมีอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าโคตมะ สร้างบารมีสี่อสงไขยแสนมหากัปมาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลกสอนมนุษย์และเทวดา อุบาสก อุบาสิกา เอาลูกชายมาถวายเป็นลูกศิษย์ชั้นที่หนึ่ง พระยาอำมาตย์หกหมื่นสี่พันได้เป็นพระอรหันต์ชั้นที่สองสามหมื่นสามพัน ชั้นที่สามสองหมื่นสี่พัน มีกาฬุทายีอำมาตย์โลฬุทายีอำมาตย์ ในวงศ์กบิลพัสดุ์เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น นางภิกษุณีมีผัวแล้วมีลูกตั้งสองตั้งสามก็ยังได้เป็นพระอรหันต์ และนางสาวพรหมจารีบวชเป็นสามเณรีเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีก็มอบให้นางโคตมีผู้เป็นแม่น้า นางยโสธราพิมพาอุปัชฌาย์ บวชเป็นนางภิกษุณีทั่วไปในสิบหกพระนครได้เป็นพระอรหันต์ก็มาก เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้วได้ ๓ พรรษา พระมหากัสสปะได้นิมนต์พระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ให้ชาวไทยของเรา ที่อำเภอเมืองธาตุพนม จังหวัดพนม เวลานี้

พระเจ้าพระยาจันทร์เป็นเจ้าเมืองสกล ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินเวลานั้น มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งอายุได้ ๑๘ ปี ได้ไปบวชเป็นนางชีหรือแม่ขาว สมัยก่อนนั้นคุณพ่อของแกได้ไปบวชเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ ได้เป็นถึงพระอนาคา คุณพ่อของแกได้ไปเกิดเป็นพรหม ส่วนลูกสาวอยู่สวรรค์ชั้น ๖ เมื่อเสื่อม (ถึงเวลาจุติ) ได้ลงมาเกิดในเมืองเก่า (เกิดมาในชาตินี้เป็นพี่สาวใหญ่) มีน้องสาวห้าคน น้องชายห้าคน ส่วนพี่สาวใหญ่ได้รักษาศีลแปดเป็นประจำตลอดชีวิต ธรรมของเก่ายังไม่ลืม คัมภีร์รัตนสูตร อิทัมปิ พุทเธ รตนัง มงคลสูตรเรียกว่า มาตาปิตุฯ ธรรมจักร สวรรค์หก พรหมสิบหก เวลานี้คุณยายก็ตายไปแล้ว เมื่อคุณยายยังไม่ตาย คุณยายเคยเข้าฌานแล้วคุณพ่อที่เป็นพระอนาคาอยู่ชั้นสุทธาวาสส่งวิญญาณทิพย์จิตทิพย์ลงมาสอนลูกสาวได้ ส่วนลูกสาวก็มีตาทิพย์ หูทิพย์ ใจก็ทิพย์ก็รับกันได้ นี่แหละนักธรรมนักกัมมัฏฐาน ผู้ที่ปฏิบัติจริง ทำจริงแล้วย่อมเห็นอยู่ที่ใจของตนเอง (ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนปุพพัง คะมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ใจเป็นใหญ่ เป็นประธาน ใจเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง)

ที่ ๒ แม่ของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ พอถึงวันแปดค่ำก็นุ่งขาวห่มขาว แต่วันธรรมดาก็นุ่งผ้าดำเหมือนชาวบ้าน เมื่อจะถึงแก่กรรมได้ภาวนาอยู่ในห้องจำศีลภาวนาอยู่ตลอดวัน ได้ยินเสียงทางหูว่า “อีนายขึ้นมาเกิด” คุณยายก็ตอบว่า “รอก่อน รอก่อน” อยู่อย่างนี้ พูดอยู่คนเดียว ฝ่ายลูกสาวสงสัยจึงให้หลานสาวไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็บอกความให้หลานสาวไปหาน้องชายหล้า (น้องชายสุดท้อง) คือท่านเจ้าคุณศีลวรคุณ (อ่ำ ภทฺราวุโธ) [ท่านมีสมณศักดิ์สุดท้ายเป็นที่ พระเทพวรคุณ - dhammajak.net] เมื่อท่านเจ้าคุณศีลวรคุณได้ทราบแล้วก็จุดธูปเทียนไหว้พระพุทธรูปไหว้พระธาตุ ตั้งสัจจะอธิษฐานขอบุญกุศลไปช่วยคุ้มครองรักษาวิญญาณแม่ เสร็จแล้วจึงออกจากวัดไป เมื่อไปถึงแล้วก็ถามตามภาษาอีสานว่า “แม่ออกเว้าอีสังเว้ากับไผกางคืนมาเว้าอยู่อุ่มๆ คนเดียว บ่แม่นแม่ออกเผลอบ่” (คุณแม่พูดกับใครรึในตอนกลางคืน พูดอยู่พึมพำๆ คนเดียวใช่ไหม คุณแม่ไม่รู้สึกตัวใช่ไหม) ส่วนแม่ก็ตอบว่า “เจ้าคุณลูกเอ๊ย แม่ออกบ่เผลอดอก แม่ออกเว้ากับแม่เฒ่าใหญ่ คือ นางสุชาดากับนางวิสาขา เขามาเอิ้นแม่ออกไป แม่ออกก็เลยบอกว่ายังไม่ไปเทื่อ เขายังเอิ้นอยู่เสมอๆ เขายังบอกว่า ลูกของอีนายได้บวชค้ำชูพระศาสนาดีทุกคนแล้ว ลูกชายดีมากกว่าอีนาย แม่ออกเว้ากับแม่เฒ่าใหญ่ก่อนเจ้าหัวลูกจะมาหาแม่ออก เจ้าหัวลูกได้จุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป บูชาพระเจดีย์ บูชาพระบาท ได้อธิษฐานขอบุญผู้ข้าที่ได้บวชนี้จงไปช่วยแม่ออกผู้ข้าอย่าให้ตาย เจ้าคุณลูกว่าอันใดแม่ออกฮู้อยู่ที่นี่แหละ เจ้าคุณลูกเอ๊ย เดือนสิบเอ็ด ออกห้าค่ำ แม่เฒ่าใหญ่ นางสุชาดาและนางสุธรรมาจะเอาอู่คำมารับเอาแม่ออกแล้ว” พอถึงเดือนสิบเอ็ด ออกห้าค่ำ คุณยายก็อาบน้ำชำระกายนุ่งขาวห่มขาวรับอาหารข้าวต้มประมาณสี่ช้อนห้าช้อนเรียบร้อยแล้วก็เข้าภาวนา ใจก็ไปสวรรค์ทิ้งขันธ์ไว้ พอถึงวันแปดค่ำก็เอาศพของคุณยายไปเผาจี่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโยมพ่อท่านเจ้าคุณก็นุ่งขาวห่มขาวไปเผาศพของคุณยายด้วย พอกลับมาสามทุ่มเศษ พ่อของท่านเจ้าคุณก็สั่งว่า “ลูกหลานเอ๊ยแม่เฒ่าสูไปแล้วกูจะตามไปกับแม่เฒ่าสูเน้อ” พวกลูกหลานก็ถามพ่อเฒ่าว่าจะไปไหน ตอบว่า “กูจะไปอยู่ป่าช้า คือตายละสู ไปคืนนี้หล่ะ” พวกลูกหลานก็ว่า “บ่แม่นพ่อเฒ่าเว้าเล่นบ่ หรือเว้าหยอกหลานสาวบ่” พ่อเฒ่าย้ำอีกว่า “กูบ่เคยบอกสูว่าอย่างนั้น” พอแจ้งสว่างขึ้น ลูกหลานไปดูก็เห็นพ่อเฒ่านั่งในท่าภาวนาหมอบติดอยู่กับหมอน เดือนสิบเอ็ด ออกห้าค่ำ ถ้าจะว่าตามโลกเรียกว่าตายเอาใจไปสวรรค์ แต่ขันธ์ตัวตายวันแปดค่ำ พ่อของท่านเจ้าคุณตาย แต่ใจไปสวรรค์ ความอันนี้ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเป็นผู้เล่าให้อาตมาฟังเอง

มารดาของครูอาจารย์มั่นปฏิบัติศีลแปดอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ นั่งก็ภาวนา นอนก็ภาวนาได้สามวันสามคืน ท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ก็เข้าฌานช่วยฤทธิ์ของมารดาก็กลับคืนมาได้ ท่านอาจารย์มั่นจึงถามมารดา มารดาตอบว่า นางภิกษุณีนางโคตมี นางอุบลวรรณาเถรีภิกษุณี นางยโสธราพิมพาภิกษุณี ได้มาเยี่ยม นับตั้งแต่นี้ไปอีกยี่สิบวัน แม่ออกของท่านอาจารย์ก็ทิ้งขันธ์ตามที่แม่ออกกล่าวไว้นั้นจริงๆ อันนี้จึงเป็นเครื่องแสดงว่าแม่ออกของท่านอาจารย์ยกจิตไปสู่สันติสุขพ้นจากทุกข์ในสงสาร เรื่องนี้ท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ท่านก็เล่าให้อาตมาฟังด้วยเหมือนกัน


ในคัมภีร์พระพุทธศาสนานี้เคยมีเรื่องเล่าไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้นจึงขอให้พวกนักปราชญ์และนักธรรมนักกัมมัฏฐานจงยกใจของตนเองทุกๆ คนให้เป็น “พระพุทโธ” ให้เป็น “พระธัมโม” ให้เป็น “พระสังโฆ” เมื่อใจของพระคุณเจ้าทั้งหลายจะได้พระพุทโธ สวรรค์หกเกิดจากพุทโธ พรหมสิบหกเกิดจากพระธัมโม ชั้นสุทธาวาสเกิดจากพระสังโฆ ที่สุดวิญญาณคับแค้นใจ (หมายถึง จิตรวมแน่วแน่ดีแล้ว) ก็เข้าพระนิพพาน ข้าพเจ้าอาตมาภาพพระอาจารย์ตื้อ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอถวายไว้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้บัญญัติศีลห้า บัญญัติศีลแปด บัญญัติศีลสิบ บัญญัติศีลสองร้อยยี่สิบเอ็ด บัญญัติสวรรค์หก พรหมสิบหก พระไตรสรณคมน์ไว้ให้แก่อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาทั้งชายทั้งหญิง ทั้งน้อยทั้งใหญ่ ทั้งบ่าวทั้งสาว บุคคลผู้ใดรับศีลห้าได้ก็เป็นญาติของพระพุทธเจ้า ถ้าหากรับไม่ได้ก็เป็นธรรมดา (ยังอยู่ในโคตรปุถุชน) ถ้าผู้ใดรับศีลแปดก็เป็นโยมของพระพุทธเจ้า ถ้าหากผู้ใดรับไม่ได้ก็เป็นธรรมดาไป ถ้าผู้ใดรับศีลสิบได้ต้องมีครูมีอาจารย์ จะบวชเป็นสามเณรต้องบวชโดยมีครูอาจารย์ บวชเป็นพระภิกษุต้องมีพระอุปัชฌาย์กรรมวาจาจารย์ ถ้าเราบวชเอาคนเดียวนั้นไม่ได้ จะสึกเอาคนเดียวอีกไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศลาครูบาอาจารย์เสียก่อนจึงสึกได้และถูกต้องตามพระบัญญัติ ถ้าสึกคนเดียวบวชคนเดียวท่านว่าจะไปเป็นเสี่ยว (เพื่อน) กับเทวทัต จะไปอยู่อเวจีมหานรกไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์นี้ดีที่สุดเราต้องการอะไรได้ทั้งนั้น อยากกินข้าวก็มีกิน อยากกินน้ำก็มีกิน เราอยากทำบุญหรือทำบาปก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเราไปอยู่อเวจีมหานรกแล้ว ไม่มีข้าวมีน้ำกิน กินแต่ไฟ (หมายถึงไฟราคะ โทสะ โมหะ) เป็นอาหาร เมื่อใจกินไฟแล้ว ตา หู ปาก ลิ้น ตลอดทั้งร่างกายมีแต่ไฟลุกไหม้อยู่ตลอดเวลาไม่มีวันที่จะดับลงได้ ภาษาบาลีว่า กุปปะธัมโม อกุปปะธัมโม เกิดมาตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้ในโลก (โลกิยะ) อันนี้นับล้านนับแสนปีก็ยังหลุดพ้นไม่ได้ ในคัมภีร์มหาปัจจารี กล่าวไว้ว่า นางเทพยุดามาชมดอกปาริชาติ เผลอพลาดตกลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในเมืองมนุษย์คือ เมืองลังกาทวีป เป็นลูกสาวมหาเศรษฐีธนันชัยเศรษฐีใหญ่ เมื่อเติบโตแล้วได้มีสามีอย่างมนุษย์เราได้ลูกสาวห้าคนลูกชายห้าคน เมื่อใหญ่ (เจริญวัย) แล้วได้พร้อมกับลูกสาวหลานชาย สร้างวัดขึ้นใหม่ใส่ชื่อว่า เชตวนาราม บวชลูกชายหลานชาย อายุของคุณยายนั้นได้ถึง ๑๐๐ ปี เอาวิญญาณไปสวรรค์ถึงต้นไม้ปาริขาติทางเทพยดาเจ้าก็ถามนางว่า คุณพี่ไปไหนมา คุณยายก็ตอบไปว่า ไปลังกาทวีป อายุได้ ๑๐๐ ปี แล้วจึงขึ้นมาเป็นหนึ่งชั่วโมงของสวรรค์ ร้อยปีของมนุษย์เป็นหนึ่งชั่วโมงของสวรรค์ พันปีของมนุษย์เป็นสิบชั่วโมงในสวรรค์ หนึ่งชั่วโมงในสวรรค์เป็นหนึ่งนาทีของนรก สองชั่วโมงในสวรรค์เป็นสองนาทีในนรก นี้แหละนักธรรมทั้งหลายพระศาสดาของเราว่าอย่างนี้ ได้บัญญัติพระศาสนาไว้ห้าพันปีแต่เทศนาสั่งสอนมนุษย์อยู่สี่สิบห้าปี

เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินโลกุตตรมนุษย์ได้เป็นพระอรหันต์เข้าพระนิพพานไปแล้ว พระนิพพานก็ยังมีอยู่ไม่เสื่อมสูญ พระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานก็มีอยู่ในพระนิพพานนั้นแล พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระอานนท์เข้านิพพานก็มีอยู่ในพระนิพพานนั้นแล นางภิกษุณีทั้งหลายได้บวชกาย วาจา ใจ ใจก็เป็นพระนิพพานแล้วเข้าพระนิพพานได้ด้วย เหมือนกับพระจันทร์ พระจันทร์ไม่มีวันแก่ พระจันทร์ไม่มีวันเจ็บ พระจันทร์ไม่มีร้อนไม่มีหนาว ดาวไม่มีเกิดไม่มีตาย คนเรานี้เป็นบ้าเป็นบอ คอยาว ตายาว ลิ้นยาว ใช้ไม่ได้ ส่วนพระธรรมคำสั่งสอนเกิดจากหัวใจของพระพุทธเจ้า เกิดจากหัวใจของพระอรหันตาทั้งหลาย ทำไมพวกเราทั้งหลายและพวกท่านทั้งหลายจึงไม่รู้ ทำไมเราจึงไม่เห็น ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอนาคาเมื่อได ก็เมื่อนั้นแหละจึงจะเห็นจะรู้ที่อยู่พระพุทธเจ้า ที่อยู่ของพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย

เมื่อเป็นมนุษย์ ตาก็เป็นมนุษย์ หูก็เป็นมนุษย์ รูจมูกก็เป็นมนุษย์ หัวก็เป็นมนุษย์ กายก็เป็นมนุษย์ ตาก็เป็นมนุษย์ เห็นเงินก็อยากได้งิน เห็น (ทอง) คำก็อยากได้คำ เห็นแก้วก็อยากได้แก้ว เห็นแหวนก็อยากได้แหวน เห็นลูกสาวก็อยากได้ลูกสาว เห็นหลานรักหลานตลอดถึงหลานเหลนไม่มีที่สิ้นสุด เป็นมนุษย์ฟังเสียงขับเสียงลำเสียงแคนเสียงแสดงธรรมเทศนา ถ้าขัดคอก็ผิดผีปูย่า หูขวาหูซ้ายเป็นของผีตาผียายโกรธง่ายหายเร็ว พุทโธก็อยู่ที่มนุษย์ ธัมโม สังโฆก็อยู่ที่มนุษย์ทั้งสิ้น เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่มองข้ามตัวมนุษย์นี้ไป ถ้าเรามองข้ามไป เราไม่พบมนุษย์พุทโธ ไม่พบมนุษย์ธัมโม ไม่พบมนุษย์สังโฆได้


รูปภาพ
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ

รูปภาพ
พระเทพวรคุณ (อ่ำ ภทฺราวุโธ)
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นที่ พระศีลวรคุณ
ท่านเป็นพระน้องชายสุดท้องของ
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)


รูปภาพ
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นลูกศิษย์ของ
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)


:b47: :b50: :b47:

หนังสือ...“อาจาริยธัมโมทยาน”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=89&t=54301

รวมคำสอน “หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43511

เจ้าของ:  Duangtip [ 06 ก.พ. 2021, 21:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หัวใจของพระพุทธศาสนา (พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม)

Kiss

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/