วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 09:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๐๘ ตายจากหญิงแก่ที่มีกังวลมากไปอยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นรุกขเทวดา สวรรค์เขตจาตุมหาราช


"..วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๑ ท่านพระยายมราชต้องการพบอาตมา จึงไปในภาพกายเนื้อตามที่ท่านพระยายมราชแนะไว้อย่างนั้น เมื่อไปถึงท่านลุงทั้งสองนั่งประจำที่ แต่ไม่มีการสอบสวนพบหญิงแก่ร่างใหญ่ผิวเนื้อสองสี หน้าตามีกังวลมาก บ้านอยู่รอบนอกของกรุงเทพฯ เธอเข้ามาหาบรรยายเรื่องต่างๆ ตามแบบฉบับของคนมีกังวล คิดว่าตายแล้วยังไม่ละกังวลอย่างนี้ก็แย่ จึงถามท่านลุงว่า "สอบสวนแล้วหรือ" ท่านลุงตอบว่า "ไม่มีการสอบสวนเพราะเป็นลูกศิษย์ของคุณ เขาบอกให้ผมเป็นพยาน เมื่อผมเป็นพยานก็ไม่ต้องสอบสวน" ถามท่านลุงว่า "แล้วเธอจะไปไหน"

ท่านลุงบอกว่า "บุญของเธอมีแต่กังวลมากเหลือเกิน บุญบูชาพระ ทำบุญร่วมกับอาตมา ถวายสังฆทานชุดเล็ก เจริญพระกรรมฐานแต่เอาดีไม่ได้ เพราะเวลาทำอารมณ์ไม่เยือกเย็นเนื่องจากมีกังวลมาก เป็นพวกวิตกจริตและโมหจริต กังวลไม่มีเวลาจบ เคยรักษาศีล ๘ เมื่อเวลามาเจริญพระกรรมฐาน เวลากลับบ้านก็เหลือ ๕ บ้าง ๓ บ้าง ศีลกะพร่องกะแพร่งเต็มที แต่ก็มั่นคงในการบูชาพระ พอใจในทานและสังฆทาน ถ้าจิตมั่นคงมากกว่านี้จะได้ไปอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี จิตมีกังวลปานกลางจะไปดาวดึงส์ แต่นี่ตายแล้วก็ยังกังวลถึงลูกหลานไม่หยุด จิตขุ่นมัวไป ต้องไปเกิดเป็นรุกขเทวดา

ถามเธอว่า "ก่อนตายป่วยเป็นโรคอะไร" เธอตอบว่า "ก่อนตายท้องอืดแน่นหน้าอก นึกถึงบุญไม่ออกมันเสียดแทงมาก ร้อนใน อารมณ์ไม่แจ่มใส เมื่ออาการหนักมากจิตก็ห่วงลูกหลานมากเพราะจน เกรงว่าเธอจะหากินไม่พอกิน เมื่ออาการหนักที่สุดคืนวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๑ ประสาททางร่างกายหยุด จิตออกจากร่างมีคนนุ่งเขียว ๒ คนไปรับ"

ท่านพระยายมราชบอกว่า "เธอมีอารมณ์เป็นกุศลก่อนป่วยหนัก เมื่อไม่มีการสอบสวนจึงให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสวรรค์ไปรับ เจ้าหน้าที่ชุดนี้นุ่งเขียวบ้างสีอื่นบ้าง แต่ไม่แต่งชุดสีแดง เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดนี้ไปรับจึงไม่ต้องสอบสวน เพราะมีสิทธิ์ไปสวรรค์แน่นอน ที่ให้มาก็เพื่อให้มาแนะนำยํ้าความจำถึงบุญที่ทำไว้แล้ว ให้จิตสะอาดพอที่จะไปสวรรค์ได้ ถ้าไม่ยํ้าให้จิตสะอาดจะต้องเป็นสัมภเวสีชั่วคราว เมื่อครบกำหนดจึงไปสวรรค์ได้"

เมื่อถามถึงกำหนดเวลาที่เป็นสัมภเวสี ท่านบอกว่า "เอาเวลาแน่นอนไม่ได้ สุดแท้แต่จิตเศร้ามากหรือน้อย" ถามเธอว่า "วิมานรุกขเทวดาหรือเทพธิดาก็สวย มองเห็นแล้วพอใจไหม" เธอตอบว่า "พอใจมาก งานน้อย ไปเยี่ยมลูกหลานได้สะดวก" ถามเธอว่า "วิมานอยู่ห่างจากบ้านลูกหลานเกิน ๕๐ กิโลเมตร ไม่ไกลหรือ" เธอตอบว่า "ไม่ไกล เวลาที่ไปไม่ถึงนาทีก็ถึงแล้ว" ถามเธอว่า "ตั้งแต่ตายแล้วไปบ้านบ้างหรือยัง" เธอตอบว่า "ยัง เพราะเพิ่งเป็นอิสระด้วยรอการปลดออก" ถามว่า "วันนี้จะไปวิมานก่อนหรือไปบ้านก่อน" เธอตอบว่า "ไปวิมานก่อนแต่ก็คงไปบ้านวันนี้" ถามเธอว่า "ลูกหลานทำบุญให้บ้างหรือยัง" เธอตอบว่า "ทำให้แล้ว แต่จิตคนทำให้ไม่ผ่องใส พระที่รับทานก็มีจิตเศร้าหมองมาก ฉันเองก็ยังไม่เป็นอิสระ เขาให้บุญก็ยังโมทนาไม่ได้ วันนี้เป็นอิสระแล้วโมทนาได้ แต่ผลไม่สมบูรณ์ ต้องรอวันที่ ๘, ๙, ๑๐ ตุลาคม เขาจะถวายสังฆทานให้อีก วันนั้นมีหวังไปดาวดึงส์" ถามท่านลุงว่า "เธอไปดาวดึงส์ได้หรือ" ท่านบอกว่า "อานิสงส์โมทนาสังฆทานไปดาวดึงส์ได้สบาย" เมื่อคุยกันเสร็จเธอก็ไปวิมานเธอ อาตมาก็กลับวัด.."

เรื่องที่ ๑๐๙ ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดารักษาเขตที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดภูเก็ต สวรรค์เขตจาตุมหาราช


อาตมาไปพักที่บ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ตอนกลางคืนนอนพักผ่อน ก็ปรากฏว่ามีแขกมาเยี่ยม ท่านผู้นี้เป็นผู้ชายหน้าตาดีมาก รูปร่างสวยสดงดงาม ร่างกายท้วมๆ เนื้อเต็มผิวขาว แต่งตัวดี มีอารมณ์สดชื่น จึงถามว่า
หลวงพ่อ : "เป็นใคร"
ภุมเทวดา : "เป็นภุมเทวดาอยู่ที่นี่"
หลวงพ่อ : "เวลานี้เจ้าหน้าที่องค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตของจังหวัดอยู่ที่ตรงนี้ ขอให้สงเคราะห์
ด้วยช่วยรักษาให้มีความสุข"
ภุมเทวดา : "ทุกคนมีความเคารพดีมาก ไม่เป็นไรถ้าไม่มีเหตุเกินสุดวิสัย จะช่วยให้มี ความสุข" ท่านรับรองด้วยดี
หลวงพ่อ : "การที่จะมีบุญมาเป็นเทวดารักษาที่นี่ได้ ทำบุญอะไรไว้"
ภุมเทวดา : "จะมาถามผมทำไม ถามผมแบบนี้ผมก็อายแย่น่ะซิ"
หลวงพ่อ : "จะไปอายทำไมในเมื่อเราสร้างความดี เพราะการเป็นเทวดาชั้นเล็กก็ยังดีกว่ามนุษย์ชั้นใหญ่ๆ เพราะเทวดามีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทิพย์ มีความสุขเพราะ
อาศัยทิพยสมบัติ"

ภุมเทวดา : "เมื่อท่านเห็นว่าดี ผมก็จะบอก ก่อนที่ผมจะตายตอนนั้นไม่ได้ทำบุญอะไร ใหญ่ แต่ว่ามีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีการใส่บาตรบ้าง มีการฟังเทศน์ บ้าง มีการให้ทานบ้างพอสมควร แต่ว่ากำลังใจในการทำบุญนี้ รู้สึกว่าเป็นเรื่องของประเพณีเป็นส่วนมาก แต่จิตใจนั้นก็เคารพในพระสงฆ์อยู่ เพราะพระสงฆ์ในสมัย นั้นมีจริยาวัตรดี อาศัยความดีที่ทำนี้ เวลาตายแล้วก็ไปเกิดเป็นภุมเทวดา ความ จริงแล้วการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา น่าจะเป็นเทวดาบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ทว่ากำลังใจของท่านในการใส่บาตรนั้น ใส่ด้วยความเคารพ ก็จริงแต่ทำเป็นประเพณีเสียมากกว่า รักษาตามประเพณีที่พ่อแม่ ปูย่า ตายายแนะ นำ เวลาตายไปก็เลยมาเกิดเป็น "ภุมเทวดา"
หลวงพ่อ : "ก็ยังดี"
พอตอนเช้าเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตนำอาหารมาถวาย เมื่อถวายแล้วก็ถามว่า
เจ้าหน้าที่ : "ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างครับ"
หลวงพ่อ : "ดีนี่ เทวดาเขาใจดีมาก พวกคุณเคารพท่านอยู่เสมอมิใช่หรือ เห็นท่านบอกว่าพวกคุณเคารพในท่านดี ท่านก็ดีใจ"
เจ้าหน้าที่ : "ได้ตั้งศาลให้ท่านอยู่ตรงโน้น และพวกเราทุกคนก็พากันเคารพบูชา ทุกคนก็บอกว่าเทวดาที่นี่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพของประชาชน"

หลวงพ่อ : "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกคุณก็พากันมีความเคารพนับถือในท่าน กราบไหว้ท่านจัด ว่าเป็น "เทวตานุสสติกรรมฐาน" การระลึกนึกถึงความดีของเทวดา นี้ถือว่ามี ความสำคัญ ดังนั้นเวลาไปไหว้ท่านละก็ อย่าไปใช้ท่านอย่างเดียว บูชาความดี ของท่านด้วย"
เจ้าหน้าที่ : "บูชาความดีเทวดาทำอย่างไรครับ"
หลวงพ่อ : "เทวดาทุกองค์ก่อนที่จะมาเกิดเป็นเทวดานี่ ต้องมีหิริและโอตตัปปะ หิริ แปลว่า อายความชั่ว โอตตัปปะ แปลว่า เกรงกลังผลของความชั่วจะลงโทษ คนที่อาย ความชั่วและเกรงกลัวผลของความชั่ว จึงจะเกิดเป็นเทวดาได้ ดังนั้นเวลาที่ไปบูชา กราบไหว้เทวดา ก็จงบูชาความดีของท่านด้วย โดยที่เราจะไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับ และในที่แจ้ง เราจะอายความชั่วหมายถึงอายความประพฤติ การปฏิบัติที่เราทำ ไม่ ใช่อายคน ถ้าสิ่งใดที่เป็นความชั่วเราจะไม่ทำ เราจะทำแต่ความดีอย่างเดียว เพียงเท่านี้เทวดาก็จะช่วยพวกคุณได้มาก"

เจ้าหน้าที่ : "ถ้าหากว่าผมจะขอให้เทวดาท่านช่วยป้องกันอันตราย คือทรัพย์สินทั้งหลายของหลวง ที่องค์การไฟฟ้ามีอยู่ อาจจะมีขโมยมาลักขโมย ท่านจะช่วยได้ไหมครับ"
หลวงพ่อ : "เรื่องนี้อาจจะเกินวิสัยอยู่บ้างก็ได้ เพราะเรื่องกฎของกรรมหรือเรื่องคนทำความชั่ว นี่ เทวดากันไม่ค่อยได้เหมือนกัน ท่านเลยแนะนำให้ทำดังนี้ ให้คุณป้องกันด้วยแล้ว ขอให้เทวดาท่านช่วยด้วย เวลาใครจะมาลักมาขโมย ก็ขอให้เทวดาท่านดลใจให้เกิด อาการสงสัยว่าของทั้งหลายอาจจะหายไป เท่านี้เทวดาก็จะช่วยได้ คือช่วยให้รู้สึกสงสัย จะไปเกณฑ์ให้เทวดายืนอยู่ยามตลอดกาลตลอดสมัยก็แย่เหมือนกัน"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 09:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๑๐ ขุนสมาหารราชวัตรตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดาสวรรค์เขตจาตุมหาราช


"..ภุมเทวดา เป็นเทวดาในเขตภาคพื้นดินมนุษย์ ที่เราเรียกกันว่า "พระภูมิเจ้าที่"ภุมเทวดาหรือภูมิเทวดา ภูมิ แปลว่า แผ่นดิน เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็คือผู้ที่มีความประเสริฐในแผ่นดิน สำหรับภุมเทวดานี้ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าท่านเดินกันเกลื่อนกลาดไปหมด เดินอยู่ใกล้ๆ แผ่นดินแต่ว่าเท้าไม่ถึงดิน ลอยอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย แต่ไม่ใช่สูงขึ้นไปบนอากาศ ภุมเทวดาหน้าตาท่านสะสวยยิ้มแย้มแจ่มใส มีเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยสวยงาม ผิวละเอียด ลีลาการเดินสวย แลดูสวยกว่าคนสวยในเมืองมนุษย์มาก มือขวาตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายนิ้วปรากฏว่าสีแดง และก็แดงไม่เสมอกันทุกองค์ บางองค์ก็แดงเข้ม บางองค์ก็แดงจางๆ ถ้ามือเป็นสีแดงเข้มแสดงว่ามีอานุภาพมากกว่าองค์ที่มีสีแดงจางๆ ฤทธิ์ของท่านอยู่ที่มือ ภุมเทวดามีวิมานเป็นที่อยู่ แต่วิมานลอยอยู่สูงกว่าแผ่นดินประมาณสักคืบหรือศอก ไม่ได้มีการปักเสาอยู่ติดพื้นดิน

ตัวอย่างท่านภุมเทวดาที่อาตมาได้พบมา เทวดาองค์นี้แต่งกายสีขาวทั้งชุด เครื่องประดับก็สีขาว หน้าตาอิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใส ถามท่านว่า "มีนามว่าอะไร" ท่านตอบว่า "สมัยที่เป็นมนุษย์ชื่อขุนสมาหารราชวัตร" ในตอนปลายสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเกษียณลาออกจากราชการแล้ว ท่านปลูกบ้านอยู่ที่อำเภอธัญญบุรี จังหวัดปทุมธานี ชอบพอกับท่านและเคยไปพักบ้านท่าน ภรรยาของท่านคนหลังชื่อว่า "คุณสมถวิล"

ขุนสมาหารราชวัตร เคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของท่านคนหนึ่งก่อนจะตายเคยพบพระภูมิหรือภุมเทวดาซึ่งเคยเป็นเพื่อนกัน ตายไปแล้วไปเกิดเป็นภุมเทวดามาพบในฝันบอกว่า "เวลานี้เราไปเกิดเป็นภุมเทวดามีความสุขมาก และรู้ความลับของคนทุกคน บ้านไหนก็ตามถ้าเราจะเข้าไปเราเข้าได้ทุกวัน จะปิดประตูลงกลอนขนาดไหนก็ตามเราก็เข้าไปได้" ปรากฏว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็ติดใจในการเป็นภุมเทวดา

ท่านภุมเทวดาท่านนั้นก็บอกว่า "เพื่อนเอ๋ย จงตั้งใจทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์เวลาอยู่ที่บ้าน ถึงเวลาวันพระก็ไปวัดรักษาอุโบสถศีลให้บริสุทธิ์ด้วยความเต็มใจ และก็ตั้งใจไว้ว่าเวลาตายขอเป็นภุมเทวดา" ความจริงการรักษาอุโบสถศีลหรือว่ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ ตายแล้วเป็นอากาศเทวดาได้แบบสบายๆ แต่คนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูงได้ ถ้าต้องการเป็นเทวดาชั้นตํ่ากว่านี่เขาไม่ห้ามสุดแล้วแต่ใจต้องการ แต่คนที่มีบุญบารมีเป็นเทวดาชั้นตํ่าอยากเป็นเทวดาชั้นสูง เป็นไม่ได้เขาห้าม จะต้องบำเพ็ญบารมีให้สมควรแก่ฐานะของเทวดาชั้นนั้นๆ เป็นอันว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็เชื่อเพื่อนที่เป็นภุมเทวดาบอก จึงรักษาอุโบสถทุกวันพระ วันไหนไปวัดไม่ได้ก็ตั้งใจสมาทานที่บ้าน และวันปกติที่ไม่ใช่วันพระก็รักษาศีล ๕ บริบูรณ์จนกระทั่งตาย เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นภุมเทวดา แล้วมาเข้าฝันท่านขุนสมาหารราชวัตรบอกว่า "เวลานี้เราเป็นภุมเทวดาสมความปรารถนาแล้ว เป็นสุขจริงๆ งานการไม่ต้องทำ มีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค เวลาใครจะทำอะไร เขาก็ต้องเซ่นสรวง ต้องไหว้ ต้องบูชา ดีกว่าเป็นคนมาก ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเหนื่อยกายไม่มี จะไปทางไหนนึกปั๊บเดียวก็ถึงทันที"

ต่อมาท่านได้บอกว่า "ท่านตั้งใจจะไปอยู่กับเพื่อนที่มาชวน" หลังจากนั้นท่านก็ตั้งใจสมาทานศีล ๘ ทุกวันพระ วันปกติท่านก็รักษาศีล ๕ ครบถ้วน ในที่สุดท่านก็ตาย เมื่อตายได้ประมาณเดือนหนึ่ง ก็ไปที่บ้านท่านโดยไม่ทราบว่าท่านตายแล้ว คุณนายสมถวิลภรรยาท่านได้ถามว่า "เวลานี้ท่านขุนตายแล้ว ท่านไปเกิดเป็นภุมเทวดาหรือเปล่า" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาท่านขุนมีชีวิตอยู่ท่านชอบเล่นหวย ๓ ตัว ภรรยาท่านก็ชอบเล่น

ก็เลยบอกกับภรรยาท่านว่า "ลองนอนสักคืนหนึ่ง ตอนกลางคืนจะเชิญท่านขุนมา หากว่าท่านเป็นภุมเทวดาจริง หรือเป็นเทวดาชั้นอื่นจริงๆ ถ้าปรากฏแล้วจะลองขอหวยให้" เป็นอันว่าตอนกลางคืนก่อนนอนก็บูชาพระสวดมนต์ตามหน้าที่ของพระ เมื่อสวดมนต์เสร็จก็นึกในใจว่า "ท่านขุนอยู่ที่ไหน ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากสามารถมาได้ขอได้โปรดมาพบ"ปรากฏว่าไม่ทันจะหลับ พอเคลิ้มๆ จะหลับท่านขุนก็มาในร่างเดิมคือเป็นกายเนื้อสมัยมีชีวิตอยู่ จึงถามว่า "เวลานี้ไปเกิดเป็นอะไร" ท่านตอบว่า "เป็นภุมเทวดา" ถามว่า "บุญวาสนาบารมีที่รักษาอุโบสถศีลก็ดี รักษาศีล ๕ ก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นอากาศเทวดาได้ คือจะอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบายๆ ทำไมจึงได้อยู่ที่นี่" ท่านก็รับรองบอกว่า "เป็นความจริงขอรับ แต่ก่อนที่จะตายจิตใจผมมันปักอยู่เฉพาะภุมเทวดา เมื่อเวลาตายจิตออกจากร่างจึงเป็นภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่ และอารมณ์จิตก็รู้ในขณะนั้นเองว่า ถ้าเราไม่ได้ตั้งจิตเป็นภุมเทวดา เราจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบาย" ก็เลยถามต่อว่า "ท่านจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ไหม" ท่านตอบว่า "ไป" ถามว่า "เมื่อไหร่จะไป"

อายุของชั้นจาตุมหาราช

ท่านตอบว่า "ต้องหมดอายุชั้นนี้เสียก่อน" ถามว่า "ชั้นนี้มีอายุเท่าไร" ท่านตอบว่า "ชั้นนี้เขาเรียกว่าอยู่ในเขตของชั้นจาตุมหาราช จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ดี มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเวลาในเมืองมนุษย์ก็ ๕๐ ปีมนุษย์เป็น ๑ วันของจาตุมหาราช และเดือนหนึ่งก็มี ๓๐ วัน ปีหนึ่งก็มี ๑๒ เดือนเหมือนกัน เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์แล้วจึงจะไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ เพราะหมดเวลาที่จะอยู่ในที่นี้" บอกท่านว่า "คุณนายสมถวิลต้องการหวย ท่านขุนจะสงเคราะห์ได้ไหม และเคยมาบอกไหม" ท่านก็เลยบอกว่า "แม่หวินนี่ผมห่วงแกมาก ผมมาหาแกหลายครั้ง เคยมาบอกแกแต่แกไม่ได้ยิน มาหาก็ไม่เห็น พูดด้วยแกก็ไม่ฟังอาจจะไม่ได้ยิน เวลานี้ท่านมาก็ดีแล้ว ผมขอฝากหวยให้แกด้วยว่า คราวนี้หวยออก ๘๘๐ ท้ายรางวัลที่ ๑"

พอตอนเช้าก็บอกคุณนายตามนี้ ปรากฏว่าหวยออกตรงจริงๆ
แสดงให้เห็นว่าการตั้งใจทำความดีและการตั้งจิตไว้ก่อนตาย ว่าต้องการจะเกิดเป็นอะไรนั้นมีความสำคัญมาก ส่วนบุญบารมีที่ทำให้เกิดเป็นภุมเทวดานั้น มีการให้ทาน รักษาศีลแบบธรรมดาๆ แต่ว่ามีจิตใจไม่มั่นคง ใครเขาไปวัดก็ไปกับเขา เขาสมาทานศีล ๕ ก็สมาทานกับเขาแต่ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล กลับออกมาก็ปล่อยให้ศีลตกอยู่หน้าศาลา เวลาเขาใส่บาตรก็ใส่กับเขา บางทีก็ใส่บาตรประเภทสนุก เรียกว่าทำตามประเพณีมากกว่า เห็นเขาทำกันก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ตั้งใจจริง เป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม เรียกว่าสักแต่ว่าเป็นบุญ แต่เวลาตายจิตเกิดนึกถึงบุญกุศลที่เคยทำ จึงมาเกิดเป็นภุมเทวดา

คุณธรรมของเทวดา
สำหรับภุมเทวดาที่เรายกศาลบูชาท่านเพื่ออะไร จะเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตามเราควรบูชา เพราะว่าท่านที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรมวิเศษ ๒ ประการ คือ

๑) หิริ คือความละอายต่อความชั่ว
๒) โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวผลของความชั่วจะมาให้ผลเป็นความทุกข์

เป็นอันว่าเทวดาเป็นผู้ที่ไม่ทำความชั่วได้ชื่อว่าเป็นคนประเสริฐ เป็นคนดี ทำไมเราจะกราบไหว้บูชาไม่ได้ คนธรรมดาทั้งๆ ที่ยังมีความชั่วอยู่ ทำปาณาติบาตก็ได้ โกหกมดเท็จก็ได้ เจ้าชู้ลูกเมียใครก็ได้ กินเหล้าเมายาก็ได้ เรายังไหว้คนเลวได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน คือการให้นึกถึงความดีของเทวดา ในอนุสสติ ๑๐

เรื่องที่ ๑๑๑ ตายจากคนอเมริกันที่ให้ทานกับคนที่มีศีลมีธรรมน้อยจึงไปเกิดเป็นภุมเทวดาที่มีบุญน้อยมาก


"..ปี ๒๕๓๒ อาตมาไปสอนพระกรรมฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่พักที่รัฐเวอร์จิเนีย เวลาประมาณตี ๒ เศษๆ ตื่นขึ้นมาครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นผู้ชายผอมๆ คนหนึ่งเดินล่องใต้ หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่หมวกเหมือนหมวกญวน รูปร่างท้วมๆ เดินสวนทางกับชายผู้นั้น ผู้ชายคนนั้นถือไม้คานมาแต่ผู้หญิงถือกระจาดมา พอถึงตรงหน้าผู้หญิงก็วางกระจาดเข้าไปแย่งไม้คานผู้ชาย ผู้ชายเกือบเสียท่าเพราะผอมกว่า ก็มีฝรั่งคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งค่อนข้างผอมเดินออกไปจากที่พัก ไปห้ามสองคนนั่นให้เลิกแย่งไม้คานกัน พอฝรั่งคนนี้เดินไปใกล้จะถึงสองคนนั้น ต่างคนต่างแยกกันไป แสดงว่าเกรงใจฝรั่งคนนี้ เมื่อฝรั่งคนนี้เดินเข้ามา ก็ถามว่า "คุณเป็นภุมเทวดาที่นี่หรือ"

เธอก็ตอบว่า "ใช่ครับ ผมเป็นภุมเทวดารักษาที่นี่" จึงถามว่า "คุณเอาบุญมาจากไหน ที่นี่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา และทำไมจึงเป็นเทวดาที่มีบุญน้อย ภุมเทวดาถือว่าเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยกว่าเทวดาทั้งหมด คุณน่าจะบำเพ็ญกุศลให้มีบุญมากกว่านั้น" เธอตอบว่า "ในเมื่อผมมีเท่านี้ จะให้ผมได้ขนาดไหน" ถามว่า "คุณทำบุญอะไร"

เธอก็ตอบว่า ในสมัยที่ผมเป็นมนุษย์ ผมเป็นคนอเมริกันเป็นคนรวยมาก ชอบทำบุญมากคือการให้ทาน แต่ทว่าผมให้ทานกับคนที่มีศีลมีธรรมน้อย คือศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ บางคนก็มี ๑ บ้าง ๒ บ้าง บางคนก็ไร้ศีลไร้ธรรม ธรรมะในการปฏิบัติก็ไม่มี เห็นแก่ตัวมาก ผมทำบุญมากคือให้ทานแบบนี้มาหลายปีเพราะเป็นคนรวย เมื่อตายจากความเป็นคน จึงมีอานิสงส์ไปเกิดเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยมาก คือเป็นภุมเทวดา.."

เรื่องที่ ๑๑๒ คนชาติฝรั่งตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดารักษาพื้นที่ที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา


"..เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๒ อาตมาไปสอนพระกรรมฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ไปฉันเพลที่บ้าน คุณสมคิด อยู่ที่ชิคาโก เป็นบ้านปลูกใหม่ใหญ่โต หรูหรา เยือกเย็นเป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ เวลาที่เขาถวายภัตตาหารเพลตอนถวายข้าวพระ ตามที่หลวงพ่อปานสั่งไว้ว่า เวลาก่อนฉัน ก่อนนอนและตื่นใหม่ๆ จะต้องนึกถึงพระ เป็นการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ก่อน แต่เวลานั้นไม่ใช่เวลาเจริญพระกรรมฐาน ไม่ใช่เวลาเจริญฌาน ใช้กำลังใจนิดหน่อยควบคุมกำลังใจนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ เพราะท่านเป็นผู้มีคุณ เราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้ก็เพราะอาศัยท่าน จิตก็สงบมีอารมณ์วูบเผลอ ก็ปรากฏเห็นคนๆ หนึ่งยืนหน้าโต๊ะเป็นฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ มีเนื้อเต็ม ท่าทางสุภาพมาก เข้ามาถึงแล้วก็ยกมือไหว้ จึงถามว่า "คุณเป็นใคร"

เธอตอบว่า "ผมเป็นหัวหน้าใหญ่รักษาพื้นที่อยู่ที่นี่ครับ เวลานี้คุณสมคิดกำลังเจริญรุ่งเรือง ผมช่วยทุกอย่างตามความสามารถ" จึงถามว่า "คุณสมคิดกำลังจะทำอะไรอีกอย่างหนึ่ง คุณจะช่วยได้ไหม" เธอตอบว่า "ผมช่วยเต็มที่ครับ ถ้าสิ่งใดไม่เกินความสามารถ ขอให้คุณสมคิดบอกผมก็แล้วกัน ผมจะช่วย แต่ผมชอบอาหารอย่างนี้" ถามว่า "ชอบอะไร" เธอก็ทำภาพให้ดู เป็นหมูหั่นสีเหลี่ยมชิ้นเล็กๆ อยู่ในจาน แล้วบอกว่า "อันนี้เป็นอาหารที่ผมชอบมากครับ" ก็เลยบอกว่า "ขอบคุณ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเป็นคนไทยมาเยี่ยมคนไทยด้วยกัน ท่านเป็นฝรั่งท่านก็ยังมีเมตตากับคนที่เป็นคนไทย ช่วยทุกอย่างตามกำลังที่จะพึงช่วยได้ ก็ขอให้เมตตาช่วยต่อไปก็แล้วกัน"

เธอก็บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ "วันทโก ปฏิวันทนัง" ผู้ไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ "ปูชโก ลภเต ปูชัง" ผู้ได้บูชาแล้วย่อมได้รับการบูชาตอบ ถ้าต้องการให้ผมช่วย ขอให้คุณสมคิดช่วยผมด้วย คือจัดอาหารแบบนี้ให้ก็แล้วกัน" ถามว่า "ท่านทำบุญอะไรไว้จึงมีบุญวาสนาบารมีมากอย่างนี้ และก็มีเมตตาสงเคราะห์ไม่เลือกว่าคนไทยคนฝรั่ง" เธอก็บอกว่า "ผมเป็นนักทานบารมีครับ ให้ทานให้การสงเคราะห์คน เพราะอาศัยการสงเคราะห์คนอย่างนี้ เมื่อตายแล้วผมจึงมีความสุข" ถามว่า "ผลของการให้ทานพอใจหรือยัง" เธอตอบว่า "ยังครับ ผมให้ทานเบาไปนิด ความจริงผมให้ทานมากทำบุญมากแต่ว่าคนรับทานไม่ค่อยจะทรงธรรม ไม่ค่อยจะทรงศีล มีจริยาไม่ค่อยจะดีนัก" พูดจบแล้วฝรั่งคนนั้นก็หายไป

เป็นอันว่าผลของการให้ทานกับคนที่ไม่ทรงศีลทรงธรรม ก็มีอานิสงส์ด้อยไปหน่อย วันต่อมาเมื่อคุณสมคิดมาหาอาตมาที่บ้านคุณหมอสุภรณ์ จึงถามว่า "พบฝรั่งคนนั้นแล้วหรือยัง" (คุณสมคิดฝึกมโนมยิทธิได้ดีมาก) คุณสมคิดตอบว่า "พบแล้วครับ" ถามว่า "เขาว่าอย่างไร" คุณ สมคิดก็ตอบว่า ฝรั่งคนนั้นบอกว่า ถ้าต้องการให้ช่วย ให้ถวายหมูอย่างนั้นวันละจานทุกวัน จะช่วยเหลือทุกอย่าง.."

เรื่องที่ ๑๑๓ นายพลโตโจอดีตแม่ทัพใหญ่ของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาบอกหลวงพ่อว่า "ท่านไม่ตกนรก"


"..วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๒ อาตมาเดินทางไปสอนพระกรรมฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่อยู่บนเครื่องบินเวลาในประเทศไทยประมาณตี ๒ มีอาการเคลิ้มเหมือนกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นภาพคนมากมายรอบๆ เครื่องบิน ห่างออกไปก็หนาแน่นมากเหมือนกับเป็นการห้อมล้อมเครื่องบินทั้งข้างล่าง ข้างบน ทุกคนสวยหมด หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่น เห็นชัดเจนมาก หลังจากนั้นก็มีภาพคน ๒ คนโผล่ขึ้นใกล้ๆ คนที่นั่งข้างหน้ารูปร่างลักษณะทรวดทรงดี หน้าตาดี แต่คนข้างหลังยืน ลักษณะเป็นคนสูงเพรียว ถามว่า "คุณชื่ออะไร" คนหลังตอบว่า "ผมคือนายพลโตโจครับ เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น" ท่านคนหน้าก็ตอบว่า "ผมคือเจ้าชายโกโนเย"

อันนี้ถ้าไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ก็ขออภัยด้วย เพราะไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์ตอนนี้
สำหรับเจ้าชายโกโนเยไม่ได้สงสัยเพราะท่านไม่ได้ประกาศสงครามและไม่ได้เข้าสงคราม ส่วนท่านนายพลโตโจท่านสั่งทหารรบ ทหารของท่านก็ต้องตาย และทหารของคนอื่นก็ต้องตาย การรบของญี่ปุ่นเวลานั้นบุกหนักจริงๆ บุกแบบสายฟ้าแลบคล้ายเยอรมัน ทุ่มเทกำลังมาก ในเมื่อคนตายมากๆ อย่างนั้นก็แสดงว่าท่านนายพลโตโจก็ต้องบาป

จึงถามท่านว่า "ในเมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสั่งทหารให้รบ ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ ทหารฆ่าใครกี่คนท่านก็ต้องบาปด้วย และทหารทุกคนที่ตายไปท่านก็ต้องบาปด้วย เขาต้องพลัดพรากจากพ่อ จากแม่ จากลูก จากเมีย จากบ้าน จากช่วงที่เขามีความสุข ท่านก็ต้องบาป แล้วเวลานี้ท่านมายืนอยู่ที่นี่ ท่านไม่ได้ลงนรกหรือ"

สาเหตุที่ไม่ตกนรก

ท่านนายพลโตโจก็ยิ้มแล้วบอกว่า "ท่านขอรับ เมื่อท่านพูดถึงบาปผมก็ยอมรับ เพราะประเทศญี่ปุ่นก็นับถือพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะมีนิกายต่างกันเป็นมหายานก็ตาม แต่ก็มีบุญมีบาป มีสวรรค์มีนรกเหมือนกันหมด แต่ฝ่ายมหายานหนักไปทางด้านพระโพธิสัตว์หวังเป็นครูสอนศาสนา การสั่งให้คนไปตายก็บาป การสั่งให้คนไปฆ่าคนก็บาป แต่ที่ผมไม่ตกนรกก็เพราะผมรู้วันตายครับ" ก็เลยตกใจ เพราะคนที่รู้วันตายต้องเป็นคนที่มีกำลังฌานเข้มแข็งมาก มีความกล้าเป็นพิเศษจึงรู้วันตายได้ จึงถามท่านต่อไปว่า "ท่านรู้วันตายหมายความว่าอย่างไร" ท่านตอบว่า "ในเมื่อผมเป็นอาชญากรสงคราม สหประชาชาติเขาสั่งให้ผมตาย ผมก็ต้องตาย แต่ว่าผมจะไม่ตายด้วยการทำ ฮาราคีรี คือไม่ได้ฆ่าตัวตาย วันที่เขาจะฆ่าผม ผมรู้คำสั่งของเขาล่วงหน้าว่าผมจะต้องตายวันนั้น

ในเมื่อผมจะต้องตายจริงๆ ที่พึ่งของผมไม่มี บิดามารดาก็ช่วยผมไม่ได้ บุตรภรรยาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ทรัพย์สินต่างๆ ก็ช่วยไม่ได้ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีอะไรจะคุ้มครองความตายได้ ผมต้องตายแน่ ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของผมก็คือ พระ ผมนึกถึงพระคือพระพุทธเจ้า กับพระที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ผม ผมก็นั่งนึกว่าผมต้องตายแน่ ร่างกายนี้มันต้องตาย พระญี่ปุ่นก็สอนกันว่า ตายแล้วมีสวรรค์เป็นที่ไป มีนรกเป็นที่ไป สำหรับคนทำดีหรือทำไม่ดี เวลานี้ผมนึกถึงพระ ผมมีความเคารพพระ การที่ผมต้องรบก็มีความจำเป็นต้องรบ ถ้าผมไม่รบ ผมเหลือนํ้ามันที่จะต้องใช้อีก ๒ เดือนก็หมด ประเทศญี่ปุ่นถ้าขาดนํ้ามันก็ไปไม่รอดเพราะเป็นประเทศอุตสาหกรรม จึงมีความจำเป็นต้องรบเพื่อทรงตัวรอด จึงสั่งประกาศสงครามกับฝ่ายข้าศึกและก็ลงมือรบกัน ขณะที่ผมจะตาย ผมนึกถึงพระ นึกถึงพ่อถึงแม่ นึกถึงใครต่อใครเสร็จ ก็รวบรวมกำลังใจว่า ขอให้พระช่วยไปสวรรค์ แล้วเขาก็ลงมือฆ่าผม ผมก็ตาย เมื่อตายแล้วผมก็ไปตามใจผมนึก ผมจึงไม่ตกนรก" แกก็ไม่ได้บอกว่าไปสวรรค์ บอกแต่ว่า "เป็นไปตามใจผมนึกแต่ผมก็ไม่ตกนรก" เป็นสำนวนของผี เมื่อพูดเท่านี้ ๒ ผีคือเจ้าชายโกโนเยกับท่านนายพลโตโจก็หายไป.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 09:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๑๔ ลักษณะของผีปลวก


"..ผีปลวก ต้องเป็นปลวกรังใหญ่มากๆ เท่านั้น ไม่ใช่ทั่วไปทั้งหมด หลวงพ่อปานท่านบอกอาตมาตอนออกธุดงค์ว่า ถ้าไปพบปลวกรังใหญ่ๆ ให้ปักกลดระหว่างกลางเลยและจะไม่มีอันตราย พอตอนดึกลุกขึ้นมาเจริญพระกรรมฐาน ก็มองเห็นเป็นคนนั่งขาวโพลน ตัวใหญ่ๆ ขาวทั้งตัว ตัวก็ขาว ผ้าก็ขาว หัวก็ขาว ผมก็ขาว หน้าตาใหญ่มาก ดูแล้วน่ากลัว ได้ยินเสียงเหมือนนั่งสวดมนต์พึมพำๆ ฟังแล้วสำเนียงเหมือนภาษาไทย แต่เมื่อฟังแล้วเราจะไม่รู้เรื่องเลย

ความจริงพวกนี้เขาไม่ใช่ผีปลวก แต่เขาเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชเป็นลูกศิษย์ของท่านท้าวมหาราช ถ้าท่านท้าวมหาราชจำกัดเขตให้อยู่ในเขตนี้เป็นที่อาศัยและให้มีอำนาจในเขตนี้ เขาก็จะมีอำนาจในเขตนั้นและก็ต้องอยู่จุดนั้น ถ้าหากว่าเราไปทำลายที่ตรงนั้น เขาก็จะเดือดร้อนคือไม่มีที่อยู่เพราะเขาหาที่อยู่เองไม่ได้นอกจากจุดนั้นที่เขาอยู่ ถ้าเขาโกรธเรา เขาทำให้ตายไม่ได้แต่ทำให้ป่วยได้ เป็นเฉพาะบางจุดเท่านั้น ที่คนโบราณเรียกกันว่า "จอมปลวก" ต้องเป็นรังใหญ่มากๆ เท่านั้น

ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งได้มาเล่าให้ฟังว่า ปวดหัวบ่อยและฉี่บ่อยด้วย นั่งเดี๋ยวๆ ไปเป็นอย่างนี้มาครึ่งปีแล้ว ไปไหนก็ไม่ได้ ทำงานทำการก็ไม่ไหว พอเธอเล่าจบภาพก็เกิด เห็นตัวขนาดใหญ่มากกว่าพระพุทธรูปสักครึ่งได้ ผมขาว จึงถามว่า "เป็นใคร" ตอบว่า "เขาเรียกผมว่าผีปลวก" ถามว่า "มาทำไม" เขาก็บอกว่า "ยายคนนี้บนผมไว้ ขณะทำนาเกี่ยวข้าวแล้ว ขโมยมาลักข้าวใกล้ๆ นา แกก็เลยบนผีปลวกให้ช่วย ผมก็ช่วย ขโมยจึงเข้าเขตไม่ได้ แต่แกก็ลืมแก้บน" จึงถามผู้หญิงคนนี้ว่า "จำได้ไหมว่าบนอะไรไว้" เธอตอบว่า "จำได้เจ้าค่ะ" ผีปลวกก็บอกว่า "ต้องปรับของแถมที่ผีปลวกชอบด้วยคือ หมูที่มีมันไม่ต้องชิ้นโตนัก นำมาต้ม ข้าวปากหม้อ และพริกสีแดงหั่นให้มากผสมไปกับของสองอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ผมต้องการ" บอกว่า "ถ้าเจอผีปลวกที่ไหน แต่ต้องเป็นรังใหญ่มากๆ เท่านั้นนะ เขาต้องการอย่างนี้ ไม่แพงนะ.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 09:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ ๕ ตายแล้วกลับไปเกิดเป็นคน


1 เรื่องที่ ๑๑๕ จากพรหมมาเกิดเป็นคน

2 เรื่องที่ ๑๑๖ ตั้งใจถวายสังฆทานกับพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดบนแดนสวรรค์แล้วกลับลงมาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี

3 เรื่องที่ ๑๑๗ ในชาติก่อนซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ตายแล้วมาเกิดเป็นคนที่มีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลงจนอายุ ๑๒๐ ปี

4 เรื่องที่ ๑๑๘ ตายจากมหาเศรษฐีที่ "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" ไปเกิดเป็นลูกคนขอทาน

5 เรื่องที่ ๑๑๙ เจ้าคุณราชสิทธาจารย์ท่านตายจากคนไปเกิดเป็นคนใหม่

6 เรื่องที่ ๑๒๐ ตายจากคนที่ถูกเพื่อนฆ่าตาย กลับมาเกิดเป็นคนใหม่




เรื่องที่ ๑๑๕ จากพรหมมาเกิดเป็นคน


"..มีสองสามีภรรยามาขอให้อาตมาช่วยตั้งชื่อลูกชาย ก็ถามว่า "ลูกชายเกิดวันอะไร" เขาก็ตอบว่า "เกิดวันพฤหัสบดี" ก็บอกว่า "เด็กคนนี้มันจะเป็นนักรบชั้นดีนะ" ให้ชื่อ "สุรสิทธิ์" หรือ "สุรเดช" เรื่องชื่อนี้ถามจากข้างบนอีกทีว่า เด็กคนนี้มาจากไหนมาเพื่ออะไร" ท่านบอกว่า "เด็กคนนี้จะมาเกิดเพื่อเป็นทหาร จะเป็นทหารอะไรก็ได้ตามสบายเขา ก็ดีทั้งนั้นแหละอย่าไปขวางเขานะ"

ฉันว่าชื่อ "สุรเดช" ดีกว่า แปลว่า "มีอำนาจมาก"
"สุรสิทธิ์" แปลว่า "กล้าที่จะยึดเมืองต่างๆ"

เด็กคนนี้ต้องระมัดระวังหน่อยนะ คือว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่ต้องถือเหตุผลเป็นสำคัญ อย่าทำอะไรประเภทไม่มีเหตุไม่มีผล เพราะเด็กคนนี้มาจากพรหม พวกพรหมจิตจะแข็งเพราะพรหมมาจากฌาน ถ้าหากว่าไม่มีเหตุผล จะมีสภาพเหมือนกับคนจองหอง ไม่ง้อใคร พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเรื่องอยุติธรรมนี่ไม่ยอมก้มหัวให้แน่ เพราะพวกพรหมไม่ประจบ แต่ตอนเด็กๆ เอาแน่ไม่ได้ระยะต้น กรรมที่เป็นอกุศลบางอย่างอาจทำให้โฉเฉไปบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา และต่อไปกรรมที่เป็นกุศลจะเข้า เราควรจะดีใจว่าลูกเราจะเป็นคนมีเหตุมีผล ต่อไปข้างหน้าพวกนี้จะลงมามาก จะขึ้นมีอำนาจในเมือง.."

เรื่องที่ ๑๑๖ ตั้งใจถวายสังฆทานกับพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดบนแดนสวรรค์แล้วกลับลงมาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี


"..องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เรื่องของความรํ่ารวยมาจากทานการให้" คนที่เคยให้ทานมาแล้วในกาลก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น สังฆทานและให้ด้วยความเลื่อมใสแม้เพียงครั้งเดียวในชีวิต คนนั้นจะเกิดไปสักกี่ชาติก็ตามเขาจะมีแต่ความรํ่ารวยตลอดกาล จะหาความยากจนเข็ญใจไม่ได้จนกว่าจะเข้านิพพาน

ตัวอย่างคือ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ในสมัยชาติก่อนโน้นคือ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "วิปัสสีทศพล" พระนางวิสาขามหาอุบาสิกาคนนี้เป็นคนจนแต่จนไม่มาก ไม่ใช่คนรวย พอทำมาหากินได้ สมัยนั้นพระพุทธเจ้ามีบริวารเป็นแสน เวลานั้นมีเพื่อนหญิงของท่านคนหนึ่งเป็นคนรํ่ารวยมาก สร้างวิหารเลี้ยงพระพุทธเจ้า เลี้ยงพระสงฆ์ จัดของถวายตามที่เธอประสงค์ ถ้าพระสงฆ์มาในเขตนั้น ความบกพร่องทุกอย่างไม่ยอมให้มี พระนางวิสาขาในสมัยนั้นก็มีความตั้งใจอยากจะรวยแบบนั้นบ้าง อยากจะเลี้ยงพระในพระพุทธศาสนาบ้าง อยากจะมีทรัพย์สินที่นับไม่ได้หมายถึงใช้เท่าไรก็ไม่หมดบ้าง วันหนึ่งท่านจึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า เข้าไปกราบทูลอาราธนาพระองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์อีก ๔ รูป ให้ไปรับสังฆทานที่บ้าน จะถวายมากก็ไม่ได้เพราะเป็นคนจน ทรัพย์สินไม่มีมาก พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ ท่านก็กลับบ้านมาจัดภัตตาหารตามที่จะหาได้

องค์สมเด็จพระจอมไตรก็เสด็จพร้อมด้วยพระอีก ๔ รูป ท่านถวายสังฆทานเสร็จ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงโมทนาแล้วท่านก็เข้าไปกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้ากล่าวคำ ตั้งมโนปณิธานปรารถนาว่า "ด้วยอำนาจบุญบารมีที่หม่อมฉันได้ถวายสังฆทานครั้งนี้ ขอปัจจัยที่ทำแล้วในคราวนี้จงเป็นผลให้หม่อมฉันได้มีโอกาสเป็นคนบำรุงพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทุกรูป อย่างชนิดที่ไม่มีสิ่งใดมีโอกาสที่จะบกพร่องได้เลย"

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรวจดูด้วยอำนาจพระพุทธญาณก็ทรงทราบชัดว่า อีกประมาณแสนกัปข้างหน้าจะมีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระสมณโคดม" ทรงอุบัติขึ้นในโลก หญิงผู้นี้เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้วจะท่องเที่ยวอยู่บนสวรรค์ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรม์องค์นั้นเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก เธอก็จะมาเกิดพร้อมๆ กันในสมัยนั้น และจะมีโอกาสเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีทรัพย์นับไม่ได้ มีบิดามีนามว่า "ธนัญชัยเศรษฐี" มีปู่มีนามว่า "เมณฑกเศรษฐี" พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ตามนั้นให้ท่านฟัง

มาในชาตินี้เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงตรัสรู้ และประกาศพระศาสนาไปถึงกรุงราชคฤห์มหานคร และก็เมืองเวสาลี พระนางวิสาขาคนนี้อายุได้ ๗ ขวบ เมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าครั้งเดียวก็บรรลุพระโสดาปัตติผล ต่อมาท่านก็บำรุงพระพุทธศาสนาอย่างที่คนอื่นบำรุงได้ยาก เพราะว่าตระกูลนี้มีทรัพย์มากนับไม่ถ้วน เวลาที่ท่านวิสาขาแต่งงาน ท่านพ่อท่านแม่ให้ของไปใช้ชั่วคราวไม่พอขอใหม่ได้ เช่นให้เงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ทองคำ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองคำสำหรับใช้ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะเงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่มเกวียน เป็นต้น แล้วบอกว่าถ้าไม่พอใช้พอจ่าย ก็มาเอาใหม่ได้นะลูก

บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เราเห็นคนเขารํ่ารวยอยู่เวลานี้ นั่งรถยนต์คันสวยๆ มีบ้านสวยๆ มีทรัพย์สินมากๆ ก็เพราะอำนาจการถวายทานเป็นสำคัญ แต่การถวายทานนี้จำเป็นจะต้องถวายด้วยจิตบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทนัก การถวายสังฆทานเป็นการทำง่าย ถ้าเรามีทรัพย์น้อยก็แกงถ้วยหนึ่ง กับถ้วยหนึ่ง ขนมถ้วยหนึ่ง ข้าวถ้วยหนึ่งไม่ต้องมาก นำไปถวายบอกพระว่าถวายเป็นสังฆทาน เมื่อถวายไปแล้วก่อนจะหลับนึกถึงทานการให้ ตื่นขึ้นใหม่ๆ นึกถึงทานกองนั้นไว้ อันนี้แหละจะเป็นปัจจัยให้ไปเกิดภายหน้ามีทรัพย์สินมากเหมือนอย่างคนรํ่ารวยที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กัมมัง สัตเต วิภชติ" แปลว่า "กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์" คนที่เขารวยมากเพราะว่าเขาให้ทานด้วยเจตนาสูงมาก ไม่ได้หมายถึงวัตถุมาก แต่ถ้าวัตถุมากด้วยเจตนาเป็นกุศลมากด้วยก็รวยใหญ่ ถ้าวัตถุมากแต่เจตนาเป็นโลกเกินไป ทำเพื่ออวดชาวบ้านว่า บุญเล็กฉันไม่ทำจะทำแต่บุญใหญ่ให้สมกับฐานะของฉัน ให้สมกับศักดิ์ศรีที่มี การทำบุญแบบนี้มีอานิสงส์น้อยเรียกว่าทำบุญแล้วมีผลไม่คุ้มค่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะมีทรัพย์มากก็ตาม มีทรัพย์น้อยก็ตาม ทำด้วยกุศลเจตนาจริงๆ ไม่ปรารภโลกเป็นสำคัญ อย่างนี้ทุกท่านไปเกิดใหม่กี่ชาติก็ตามที จะหาความยากจนไม่ได้.."

เรื่องที่ ๑๑๗ ในชาติก่อนซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ตายแล้วมาเกิดเป็นคนที่มีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลงจนอายุ ๑๒๐ ปี


"..พูดถึงคนสวยชั้นยอด ว่ากันแค่ร่างกายภายนอก อย่ามองเข้าไปถึงกระเพาะ ตับ ไต ไส้ ปอด ภายในร่างกายเพราะมันเต็มไปด้วยความสกปรกน่าเกลียด ไม่มีความสวย ในที่นี้หมายถึงรูปร่างภายนอกไม่เปลี่ยนแปลง คลอดบุตรคนแรกสวยขนาดไหนก็เป็นสาวขนาดนั้นจนกระทั่งถึงวันตาย

อานิสงส์ซ่อมพระพุทธรูป
ตัวอย่างก็คือ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านสวยด้วยอำนาจเบญจกัลยาณี ตามที่ท่านเจ้าคุณราชเมธี วัดประยูรวงศาวาส ท่านแต่งเป็นคำกลอนไว้ว่า
งามผมสมพักตร์ลักขณา งามโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา
งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ผิวทัดกณิการ์งามราศี
คลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย

คำว่า "งามผมสมพักตร์ลักขณา" ก็เพราะว่าผมจะเรียบอยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องการให้เป็นคลื่นก็จะเป็น และก็เรียบโดยไม่ต้องหวี ไม่ต้องแต่ง และก็จะยาวไม่มากถ้ายาวไปถึงเอวก็จะช้อนงอนขึ้นไม่ยาวลากดิน ผมก็ไม่เหม็นสาบเหม็นสาง ไม่ต้องสระไม่ต้องล้าง
คำว่า "โอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา" ก็เพราะว่าริมฝีปากแดงระเรื่อไม่แดงมากนัก แล้วเรียบไม่มีริ้วไม่มีรอย ปากสวย

คำว่า "งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด" ก็เพราะว่าฟันเรียบแลดูเป็นเงาเหมือนมุกน่าชม ไม่ต้องใช้แปรงสีฟัน ไม่ต้องขัด ไม่ต้องแต่ง
คำว่า "ผิวทัดกณิการ์งามราศี" ขึ้นชื่อว่าผิวไม่มีไฝไม่มีฝ้า ถ้าขาวก็ขาวเนื้อละเอียดดี ถ้าดำก็ดำนวลๆ เรียกว่าพอสวยสำหรับในสมัยที่เขาต้องการ

คำว่า "คลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี" หมายความว่าเวลาที่คลอดบุตรคนแรกอายุเท่าไร ท่านคลอดบุตรคนแรกอายุ ๑๖ ปี แล้วก็เลยเป็นสาวแค่ ๑๖ อยู่แบบนั้น ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปจนกระทั่งอายุ ๑๒๐ ปี พระนางวิสาขามีบุตรหญิง ๒๐ คน แล้วบุตรหญิงของท่านคลอดบุตรมาอีกคนละ ๒๐ คน ระหว่างที่บรรดาหลานๆ เป็นสาวคราว ๑๕-๑๖ ปี ท่านวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางหลาน ท่านชีวกโกมารภัจนำพระเจ้าปเสนทิโกศลไปดู อยากจะทราบว่าพระนางวิสาขาคนไหน ก็ดูไม่ออกเพราะสาวเท่ากัน เรียกว่าท่านสาวเท่าอายุ ๑๖ ตลอดกาล

อานิสงส์ที่พระนางวิสาขามหาอุบาสิกามีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลง ก็เพราะว่าในชาติก่อนท่านซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ทรุดโทรม คือมีผิวแตกทองลอกไปเสียแล้ว ท่านซ่อมพระพุทธรูปด้วยกุศลเจตนาจริงๆ เกิดมาชาตินี้จึงกลายเป็นคนสวย

และการที่ท่านมีเครื่องประดับประกอบไปด้วยแก้วเพชรนิลจินดาและทองคำ เสื้อคลุมตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า มีนกยูงรำแพน มีแก้วมณีตั้ง ๒๐ ทะนาน และมีแก้วประพาฬ แก้วอินทนิล อะไรต่ออะไรอีก เสื้อตัวนั้นไม่มีด้ายเลย ที่ทำเป็นด้ายก็ทำด้วยเงินหรือเป็นทองคำ ก็เพราะอาศัยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในอดีตชาติ.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 09:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๑๘ ตายจากมหาเศรษฐีที่ "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" ไปเกิดเป็นลูกคนขอทาน


"..อาตมาได้นำพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสเอง และพระอานนท์ท่านก็ได้เห็นและได้ยินเองด้วย เป็นเรื่องของบุคคลที่เกิดมาแล้ว "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" เรื่องนี้มีบรรดาพุทธบริษัทพูดกันมากว่า ถ้าเกิดมาแล้วเราไม่ควรทำความชั่วและเราก็ไม่สร้างบุญสร้างกุศล จะมีผลเป็นประการใด จึงขอนำเรื่องราวในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ สมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงเทศน์สอนถึงเรื่องบาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ การทำความดีและความชั่วตายแล้วมีผลเป็นประการใด

ในสมัยนั้นก็มีท่านมหาเศรษฐีท่านหนึ่งคือ ท่านอานันทเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ
ท่านมีความรู้สึกว่าทรัพย์สินของท่านที่ได้มานี้ชาวบ้านไม่ได้ให้ท่าน เป็นทรัพย์ของวงศ์ตระกูลท่านสร้างขึ้นมาแล้วก็ปกครองกันเป็นทอดๆ เรื่องอะไรที่เราจะไปเชื่อพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศากยบุตรออกมาบวช แล้วยุยงให้ชาวบ้านมาบำเพ็ญทาน แจกทรัพย์แจกสินของตนให้แก่บุคคลอื่น คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่เคยมาช่วยเราหา ไม่เคยมาช่วยเราทำ เราจะไปให้เพื่อประโยชน์อะไร และขึ้นชื่อว่าบาปบุญคุณโทษใดๆ ท่านก็ไม่ทำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย ท่านไม่เคยละเมิด เรียกได้ว่า "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" ถ้ามองกันในฐานะของคนธรรมดาก็รู้สึกว่าท่านจะเป็นคนดีมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนขี้เหนียวก็ตาม

ไปเกิดเป็นลูกคนขอทาน

ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่นิพพาน ท่านอานันทเศรษฐีก็ตายจากความเป็นคน จิตที่ออกจากร่างกายคือกายภายในที่นักอภิธรรมเรียกกันว่า "นามธรรม" มันออกจากร่างนี้ก็ไปหาร่างใหม่ ในตระกูลเศรษฐีก็เข้าไม่ได้เพราะไม่มีทานบารมี จะไปเข้าท้องเมียของข้าราชการก็ไม่ได้มันสบายเกินไป เดินไปเดินมาก็หาได้ที่เหมาะสมกับตัวที่สุดคือ ท้องของคนขอทาน

ขณะเมื่อเข้าไปอยู่ในครรภ์ของหญิงขอทาน ตอนเช้าบรรดาขอทานทั้งหลายก็พากันยกขบวนไปขอทาน ทุกวันเคยได้อาหารเงินทองมากมาย วันนั้นแต่ละคนไม่มีใครได้เลย อานุภาพของความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏแสดงแล้ว ขอทานทั้งหมดไม่มีใครได้อะไร ตอนเย็นกลับมาถึงที่พักหัวหน้าใหญ่ของขอทานก็เรียกประชุมประกาศว่า คนกาลกิณีคงจะปรากฏขึ้นอยู่ในหมู่ของเราแล้ว พวกเราขอทานไม่เคยอดแต่คราวนี้อดหมดทุกคนน่าสงสัย

ฉะนั้น ในวันพรุ่งนี้พวกเราจงแบ่งกันเป็น ๒ พวก พอตอนเช้าก็แบ่งกันเป็น ๒ พวก พวกที่แม่ของท่านอานันทเศรษฐีที่เข้าไปอยู่ในท้องไม่ได้ไปด้วย พวกนั้นได้ของมากมายเหลืกกินเหลือใช้ ส่วนพวกที่แม่ของท่านอานันทเศรษฐีไปด้วยไม่ได้อะไรเลย หัวหน้าขอทานเริ่มสงสัย ตอนนี้ก็แบ่งกันไปแบ่งกันมาจนเป็นรายบุคคล เป็นอันว่าคนอื่นขอทานได้หมด แต่คนที่ท่านอานันทเศรษฐีเข้าไปอยู่ในท้องหาอะไรไม่ได้เลย เขาก็เลยรู้กันเลยว่าไอ้เจ้าเด็กคนที่มาเกิดในท้องของหญิงคนนี้คงเป็นเด็กจัญไร ทำให้คนอื่นไม่ได้กิน ทำให้คนที่เป็นแม่ก็พลอยไม่ได้กินไปด้วย ฉะนั้นหัวหน้าขอทานจึงสั่งระงับว่า แม่ของเด็กคนนี้ไม่ต้องออกไปขอทานจนกว่าจะคลอดบุตร ให้อยู่กับที่คนอื่นได้มาก็เลี้ยงกัน อาศัยได้กินจากบุญของคนอื่น

ต่อมาเมื่อท่านอานันทเศรษฐีคลอดจากครรภ์มารดา วันไหนถ้าแม่พาลูกชายไปขอทานด้วย วันนั้นไม่ได้อะไรเลย แต่วันไหนถ้าไม่พาลูกชายไปวันนั้นได้ เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นเดินแข็งแรงแล้วอายุประมาณ ๓-๔ ขวบ แม่ก็ขับออกจากสำนักว่าเจ้าเป็นคนจัญไร พาให้แม่อด แล้วนำเอากระเบื้องแตกๆ สำหรับเป็นเครื่องมือขอทานใส่มือให้ แล้วก็ไล่ลูกไปหากินเองตามลำพัง

สามารถระลึกชาติได้ ๑ ชาติ

ท่านอานันทเศรษฐีคนนี้แกตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นคน จึงเป็นคนที่ระลึกชาติได้ชาติเดียว เพราะมีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้น เรื่องราวต่างๆ ก่อนหลับทำอะไรไว้บ้างที่ไหนเราจำได้ฉันใด คนที่ตายจากคนแล้วไปเกิดเป็นคนก็มีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่น ระลึกชาติได้ว่าก่อนที่เราจะมาเกิดเป็นเด็กตอนนั้นเราเป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมาก วันนี้แม่ไล่เราออกจากสำนักเราก็จะกลับไปบ้านของเรา

การระลึกชาติได้ชาติเดียวนี่ไม่ต้องเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพราะว่ายังไม่ลืมสภาพเดิม ส่วนคนอื่นๆ ที่เกิดมาแล้วไม่รู้สภาพเดิมว่าชาติก่อนนี้มาจากไหน ก็เพราะว่าไม่ใช่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนทันที ตายจากคนอาจย่องไปนรกเสียนาน ไฟเผาเสียประสาทเสื่อมไป แล้วก็มาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันนานเหลือเกินประสาทต่างๆ มันก็ลืม สัญญาต่างๆ มันก็ลืมหมดเลยระลึกชาติไม่ได้

ส่วนคนที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคน ระลึกชาติเดิมได้ทุกคนไม่ใช่ของยาก เมื่อท่านอานันทเศรษฐีเด็กระลึกได้ว่าเคยเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ บ้านอยู่ที่ไหนท่านก็เดินไปตามทางสายนั้น ตอนเช้าไปถึงประตูบ้าน เวลานั้นลูกชายคนโตเป็นมหาเศรษฐีแทน พระราชาทรงแต่งตั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีให้ สมัยนั้นคนที่จะเป็นมหาเศรษฐีต้องพระราชาแต่งตั้งแล้วก็มอบฉัตรให้ และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเหมือนขุนนางทั้งหลาย เมื่อไปถึงประตูบ้านท่านก็จะเข้าบ้าน ยามหน้าประตูก็ไม่ยอมให้เข้าเพราะรูปร่างคล้ายๆ กับผีเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น เขาไม่ให้เข้าท่านก็ดึงดันจะเข้า เวลานั้นพอดีพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตกับพระอานนท์พอดี

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเห็นอานันทเศรษฐีผู้เป็นเด็ก พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าถ้าไม่มีเรื่องหน้าท่านเฉยๆ ถ้ามีเหตุจึงจะยิ้ม ท่านพระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "เวลานี้พระองค์แย้มพระโอษฐ์ มีเหตุอะไรหรือพระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เธอเห็นอานันทเศรษฐีไหม" พระอานนท์ก็มองไปมองมา ความจริงท่านเคยรู้จักอานันทเศรษฐี ก็ทูลตอบพระองค์ว่า "ไม่เห็นพระพุทธเจ้าข้า เห็นแต่เด็ก" พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "เด็กคนนั้นแหละคืออานันทเศรษฐี" ท่านพระอานนท์ก็สงสัยจึงกราบทูลว่า "อานันทเศรษฐีตายไป ๓-๔ ปีแล้วพระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ใช่ อานันทเศรษฐีตายแล้วแต่ไปเกิดเป็นคน เป็นลูกของคนขอทาน คนที่ยืนจะเข้าบ้านที่นายประตูผลักไสอยู่นั่น ถ้าอยากจะทราบความจริงก็จงเรียกลูกชายคนโตที่เป็นเศรษฐีอยู่เวลานั้น"

ท่านพระอานนท์จึงสั่งนายประตู "เรียกนายของท่านลงมา เวลานี้พระพุทธเจ้าต้องการพบ" นายประตูก็ไปตามนายมา เมื่อลูกชายท่านอานันทเศรษฐีเห็นพระพุทธเจ้าก็มีความเลื่อมใส ไม่เหมือนพ่อ จึงกราบถวายนมัสการ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี เธอรู้จักพ่อเธอไหม" เขาก็ตอบว่า "รู้จักพระพุทธเจ้าข้า" พระองค์ก็บอกว่า "เด็กคนนี้คือพ่อของเธอ" ท่านเศรษฐีหนุ่มตกใจกราบทูลว่า "ไม่ใช่พระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าบิดาของข้าพระพุทธเจ้าตายไป ๓-๔ ปีแล้ว เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐีแทน"

ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "เรื่องนั้นเป็นความจริงแต่ว่าพ่อของเธอออกจากร่างที่ตายไปแล้วไปเข้าสู่ครรภ์ของขอทาน เพราะโทษที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่ทำ เมื่อกินบุญเก่าก่อนที่จะมาเป็นมหาเศรษฐีได้เพราะให้ทานมามาก พอเป็นเศรษฐีเข้าจริงๆ กลับไม่ให้ทาน กินบุญเก่าเสียหมด ก็เลยเป็นคนจน"
ท่านมหาเศรษฐีใหม่ฟังแล้วก็สงสัย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เด็กคนนี้คืออานันทเศรษฐีบิดาของเธอ" เขาก็เลยไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า "จะพิสูจน์ให้ดู" พระองค์จึงเรียกเด็กคนนั้นว่า "อานันทเศรษฐีจงมาหาตถาคต" เด็กคนนั้นพอได้ยินเท่านั้นก็เดินมาไหว้พระพุทธเจ้า พระองค์จึงถามว่า "อานันทเศรษฐี ทรัพย์สินของเธอ ก่อนที่จะตายจากความเป็นมนุษย์ที่ฝังไว้แล้วยังไม่ได้แจ้งให้ลูกชายทราบมีอีกไหม" ท่านอานันทเศรษฐีเด็กก็กราบทูลว่า "เงินก็มี ทองก็มี แก้วแหวนเพชรนิลจินดาก็มี ของทั้งหมดมีราคาเป็นเรือนโกฏิๆ"

พระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธบัญชาว่า "ถ้าอย่างนั้นจงพาลูกชายไป และก็ชี้สถานที่ที่ท่านฝังทรัพย์นั้นไว้ และให้ลูกชายขุดเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเป็นความจริงเพียงใด" ท่านอานันทเศรษฐีก็เรียกลูกชายบอกว่า "จงตามพ่อมา" แล้วเดินไปข้างหน้าชี้ลงไปที่แผ่นดินบอก "ให้คนรับใช้ขุดลงไปตรงนี้ พ่อฝังทองไว้ ๓ ตุ่ม เป็นทองแท่ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์" ขุดไม่ลึกนักก็ปรากฏได้ทอง ๓ ตุ่ม แล้วเดินไปอีกหน่อยหนึ่งก็ชี้บอก "ตรงนี้พ่อฝังเงินไว้หลายตุ่ม" เขาก็ขุดพบแล้วก็ชี้ไป "ตรงโน้นมีแก้วแหวนเพชรนิลจินดา พ่อฝังไว้มากจงให้คนขุด" ปรากฏว่าได้อีกมาก

เป็นอันว่าตอนนี้ลูกชายของท่านอานันทเศรษฐีเชื่อแล้วว่าเด็กคนนี้คืออานันทเศรษฐีพ่อของแก เพราะผลความจริงปรากฏ ก็เลยรับภาระเลี้ยงพ่อต่อไป

จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ จิตจะออกจากร่าง ร่างกายที่ทรงอยู่นี้เรามีโอกาสอาศัยได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถึงกาลถึงสมัยมันก็พังทลายลง เมื่ออาศัยมันไม่ได้เราก็ไป คำว่า "เรา" ในที่นี้ก็คือ จิตหรืออทิสสมานกาย คือกายอีกกายหนึ่งซึ่งสิงอยู่ในกายเนื้อ เป็นผู้บัญชาการให้กายเนื้อพูด กายเนื้อทำ กายเนื้อคิด ความจริงกายเนื้อมีสภาพเป็นหุ่น ที่มันทำอะไรได้ก็เพราะอาศัยจิตหรือที่เรียกกันว่าอทิสสมานกาย เป็นกายที่เราไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ กายภายในคือจิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งการเป็นจอมบงการ เมื่อเวลาร่างกายนี้พังคือตาย จิตหรืออทิสสมานกายก็หาที่ไป

คนที่ทำความดีจิตก็ไปสู่สถานที่ที่มีผลความดีบันดาล
คนที่ทำความชั่วจิตก็ไปสู่สถานที่ที่ผลของความชั่วบันดาล.."

เรื่องที่ ๑๑๙ เจ้าคุณราชสิทธาจารย์ท่านตายจากคนไปเกิดเป็นคนใหม่


"..เจ้าคุณราชสิทธาจารย์ ท่านชื่อ "โชติ" เป็นบุตรคนสุดท้องของนายแป๊ะกับนางเหรียญ นามสกุลเมืองไทย อยู่ในหมู่บ้านกระทม ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ในชาติก่อนท่านชื่อ "นายเล็ง" เป็นลูกชายคนหัวปี มีน้องทั้งหญิงและชายอีกหลายคน น้องถัดจากท่านเป็นผู้หญิงชื่อ "เหรียญ" บิดามารดามีอาชีพทำสวนทำนา นายเล็งมีภรรยาชื่อ "นางปุม" มีลูกสาวด้วยกัน ๓ คน เมื่อท่านอายุได้ ๔๕ ปี ก็มีอาการปวยไข้ไม่สบาย ร่างกายอ่อนเพลียลงตามลำดับ มีทีท่าว่าชีวิตจะอยู่ไปได้อีกไม่นานนัก ขณะนั้นน้องสาวที่ถัดจากท่านชื่อ "เหรียญ" มีครรภ์คลอดบุตรออกมาเป็นชาย

พอนายเล็งทราบว่าน้องสาวคลอดบุตรแล้ว ท่านก็ถึงแก่กรรมด้วยอาการไข้หนัก ท่านเล่าว่าพอตายไปแล้ว ไอ้จิตหรืออทิสสมานกายมันไม่ไปไหน มันก็คงอยู่ในบ้านนั่นเอง ท่านยังจำได้อย่างชัดเจน มองเห็นร่างเดิมนอนนิ่งหมดลมหายใจอยู่บนแคร่ ก่อนหมดลมท่านมีความรู้สึกคล้ายคนสลบไปนานเท่าไรไม่ทราบ เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานเหลือเกินจนทนไม่ได้แล้ว จึงหมดสติ แต่พอรู้สึกตัวความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนทนไม่ไหวก็หายไปหมดสิ้น ตัวก็เบาและว่องไว ลุกออกเดินจากร่างเดิมเหมือนคนถอดเสื้อกางเกงวางไว้อย่างมีระเบียบ ร่างที่ออกไปก็มีหน้าตาเหมือนกับร่างเดิม

ตอนแรกก็คิดแปลกใจที่เห็นมี ๒ ร่าง แล้วก็หันไปดูคนที่ร้องไห้อยู่รอบๆ ร่างที่หมดลมหายใจ นอนสงบนิ่งอยู่บนแคร่ ท่านก็เข้าไปปลอบลูบศีรษะลูกๆ พูดจาแสดงให้ทุกคนทราบว่าตัวท่านเองยังไม่ตาย แต่ก็ไม่มีใครได้ยินและก็ไม่มีใครสนใจหันมาพูดด้วยเลย ชาวบ้านที่รู้จักนับถือพากันทยอยมาช่วยงานและเยี่ยมเยียนศพ ท่านก็ดีอกดีใจวิ่งเข้าไปต้อนรับเขา ทำตนเหมือนเป็นเจ้าภาพงานศพตัวเอง ใครเอาอะไรมาท่านก็เข้าไปช่วยรับของเหล่านั้นและทักทายปราศรัย แต่เขาก็เดินเฉยไม่มีใครพูดด้วย กลับหันไปทักทายกับบุคคลอื่นๆ

เมื่อมีการนิมนต์พระมาสวดศพ ๔ รูป ท่านก็เข้าไปไหว้พระทุกรูปแล้วนั่งฟังสวดอยู่ใกล้กับลูกเมีย แต่ก็ไม่มีใครสนใจเพราะไม่มีใครเห็นท่าน แม้แต่คนที่นั่งดื่มเหล้า หลังจากที่พระกลับไปแล้ว ท่านก็เข้าไปห้ามและบอกถึงโทษแห่งการดื่มสุรา แต่ก็ไม่มีใครสนใจมุ่งแต่สรวลเสเฮฮาเฉพาะในหมู่คนในวงเหล้าด้วยกัน ถึงแม้จะไม่มีใครสนใจและพูดกับท่านเลย แต่ท่านก็ไม่เคยคิดจะเสียใจหรือโกรธเลย เมื่อพระมาฉันเช้า ท่านก็กุลีกุจอเรียกผู้คนให้มาช่วยประเคนพระ ทั้งอาหารคาวหวาน หมากพลู ท่านบอกท่านรู้สึกหิวอยู่บ้าง ตอนที่พระให้พรท่านก็พนมมือไหว้รับพร เห็นลูกเมียกำลังกรวดนํ้าอุทิศส่วนกุศลให้ ท่านรู้สึกมีความอิ่มเอิบ มีกำลังมากขึ้น เมื่อเขาอุทิศส่วนกุศลให้อีกก็ดีขึ้นอีกตามลำดับ เป็นเช่นนี้ทุกคราวไป

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของคนตายและเป็นตัวอย่างของคนเป็น จะได้รู้ว่าการให้ทานมีผลกับคนตายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าให้ปลาแห้งไป ให้เนื้อเค็มไป ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นอานิสงส์ มันเป็นผลทำให้ผู้ตายมีความสุข มีร่างกายสวยขึ้น มีกำลังมากขึ้น

พอถึงวันเผาศพ ท่านก็ไปกับขบวนงานศพกับเขาด้วย ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจเลย นำหน้าศพไปเหมือนกับเป็นศพคนอื่น ช่วยเขายกโลงศพของตนเอง ดูเขาเผาศพเห็นร่างที่ไฟไหม้เหลือแต่กระดูก ซึ่งจะต้องเก็บในวันรุ่งขึ้น ตอนนี้เองท่านนึกถึงน้องสาวที่กำลังคลอดบุตร เพราะทราบตั้งแต่วันใกล้จะสิ้นใจ และเป็นน้องสาวที่ท่านรักใคร่มาก จึงอยากไปเยี่ยม พอนึกว่าจะไปเยี่ยมก็ไปถึงบ้านน้องสาวทันที เห็นน้องสาวนอนอยู่บนแคร่อยู่ไฟ (สมัยโบราณคลอดลูกใหม่ๆ เขานิยมนอนบนแคร่และก่อไฟผิงไฟให้ร้อนอยู่ใต้แคร่เพื่อให้มดลูกแห้งเข้าอู่เร็วขึ้น) ลูกชายที่คลอดวางอยู่บนเบาะใกล้ๆ ตัวน้องสาว ท่านจึงไปยืนดูน้องสาวและเด็กที่นอนด้วยความรักเอ็นดู น้องสาวเห็นก็ตกใจยกมือไหว้และพูดว่า "พี่เล็งตายแล้วก็ไปที่ชอบๆ เถิด อย่ามารบกวนกันเลย" ด้วยความอยากเห็นหน้าหลานให้ถนัดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากไป จึงได้ก้มลงไปดูหน้าหลานด้วยความที่มีจิตผูกพัน

จิตเข้าไปอยู่ในร่างเด็ก
ตอนนี้เองท่านรู้สึกว่าตัวหมุนติ้วคล้ายลูกข่าง แล้วหมดความรู้สึกวูบไปอีกครั้งหนึ่ง จิตก็เข้าไปอยู่ในเด็กแบเบาะ ก่อนที่เด็กจะมาเกิด จะต้องมีจิตเข้ามาปฏิสนธิก่อน การที่ท่านเข้าไปแทรกได้ ก็เพราะ "ปัจฉาชาโต ปุเรชาโต" แปลว่า "เกิดก่อนหรือเกิดทีหลัง" หมายถึงจิตดวงที่เข้ามาเกิดในร่างเด็กมันถึงวาระตายพอดีและเคลื่อนออกไปพอดี แล้วจิตดวงนี้ก็เข้าซ้อนทันที อย่างนี้เป็นไปได้แต่ว่าต้องตายใหม่ๆ เนื่องจากประสาทยังไม่หยุดทำงาน

การเกิดครั้งหลังไม่ต้องไปลำบากในท้องแม่ นายเล็งมาเกิดใหม่ชื่อ "โชติ" เป็นลูกคนสุดท้องของนางเหรียญ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายเล็งในชาติก่อน ท่านบอกว่าเมื่อยังอยู่ในร่างเด็กรู้สึกอึดอัด คล้ายอยู่ในที่บังคับ จะทำอะไรก็ไม่ได้ จะพูดจะบอกอะไรก็ไม่ได้ คิดจะไปไหนเหมือนก่อนก็ไปไม่ได้เลย ได้แต่ทำท่าทางและส่งเสียงอ้อแอ้ จะบอกให้น้องสาวทราบว่าเด็กที่เกิดใหม่คือนายเล็งพี่ชายก็บอกไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อท่านมีอายุ ๔-๕ ขวบ พูดจาได้แล้ว จึงระลึกเหตุการณ์ในชาติก่อนได้อย่างแม่นยำ ท่านบอกว่า เขาสอนให้ท่านเรียกว่าแม่ ท่านก็บอกว่าไม่ใช่คนนี้เป็นน้อง เห็นยายมาท่านก็บอกว่าคนนี้ไม่ใช่ยายแต่เป็นแม่ ถามท่านว่าชื่ออะไร ท่านก็บอกว่าเดิมชื่อ "เล็ง" มีเมียชื่อนั้น มีลูกชื่อนี้ มีไร่มีนา มีควายกี่ตัว ท่านบอกถูกหมด

บรรพชาเป็นสามเณร
พอท่านอายุ ๑๖ ปีเต็ม มารดานำไปฝากพระอาจารย์ดุลย์ อุตโล พระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ท่านสามารถอ่านหนังสือขอมและหัดเขียนได้โดยไม่ได้เรียน ท่านบอกคงจะเป็นเพราะท่านชำนาญมาแล้วจากชาติก่อนที่เป็นนายเล็ง
ตอนอายุ ๑๖ ปี บิดาได้พาไปฝากหลวงน้าฉิมที่วัดนาแห้ว ให้บวชเรียนและได้ศึกษาพระไตรปิฎกขอมจนมีความรู้แตกฉาน ได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๑๐ ปี จึงได้ลาสิกขาบทอกมาเป็นฆราวาสครองเรือน มีภรรยาและบุตรสาว ๓ คน

อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ในชาติปัจจุบันหลังจากท่านบวชเณรได้ ๔ ปี ก็อุปสมบทเป็น พระภิกษุโชติ คุณสัมปันโน ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ ระหว่างบวชเรียนท่านได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานมาโดยตลอดมิได้ขาด และได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๗

คนที่ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นคนใหม่ทันที จะสามารถระลึกชาติได้ ๑ ชาติ ก็เพราะเหมือนคนที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา จึงสามารถจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องมีการฝึกทิพพจักขุญาณเพื่อระลึกชาติ.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 09:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๒๐ ตายจากคนที่ถูกเพื่อนฆ่าตาย กลับมาเกิดเป็นคนใหม่


"..มีเด็กคนหนึ่งอายุประมาณ ๔-๕ ปี ได้มาคุยกับอาตมา พอคุยไปคุยมาเด็กบอกว่า "ก่อนที่จะมาเกิดแกเกิดเป็นคน เกิดที่อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มาเกิดใหม่อยู่ในเขตจังหวัดกำแพงเพชร" เด็กเล่าให้ฟังอีกว่า "สมัยนั้นแกเป็นหนุ่มไปรักสาวคนเดียวกับเพื่อน วันหนึ่งเพื่อนชวนไปเที่ยวก็โดนฟันตาย" คดีนี้ปลัดอำเภอคนที่สอบสวนยังอยู่ ก็เลยไปตามปลัดอำเภอว่าคนชื่อนี้มีไหม ปลัดอำเภอก็บอกว่าสำนวนยังอยู่

การตายจากคนมาเกิดเป็นคนใหม่ จะระลึกชาติได้ ๑ ชาติ ความจำเดิมยังไม่สลายตัว เหมือนคนนอนหลับแล้วฝันไป ตื่นขึ้นมาก็จำความฝันได้ แต่ถ้าตายจากคนไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ใช้เวลานานเป็นกัป ถ้ามาเกิดเป็นคนใหม่จึงจำอะไรไม่ได้.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 10:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ ๖ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี


1 เรื่องที่ ๑๒๑ ท่านอายุวัฒนกุมารจะต้องตายเพราะอุปฆาตกรรม พระพุทธเจ้าทรงช่วยไว้จึงไม่ต้องเป็นสัมภเวสี

2 เรื่องที่ ๑๒๒ เด็กชายณัฐพร ครุฑานนท์ ตายจากคนเป็นสัมภเวสี

3 เรื่องที่ ๑๒๓ นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี

4 เรื่องที่ ๑๒๔ ตายจากคนซึ่งอยู่ข้างๆ วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปเกิดเป็นสัมภเวสี

5 เรื่องที่ ๑๒๕ ศีลขาดเป็นปกติตายแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเป็นสัมภเวสี

6 เรื่องที่ ๑๒๖ ออกลูกตายไปเกิดเป็นสัมภเวสี เข้ามาขอบุญหลวงพ่อในโบสถ์

7 เรื่องที่ ๑๒๗ หลวงพ่อเห็นผีปอบที่ท่าลาน




เรื่องที่ ๑๒๑ ท่านอายุวัฒนกุมารจะต้องตายเพราะอุปฆาตกรรม พระพุทธเจ้าทรงช่วยไว้จึงไม่ต้องเป็นสัมภเวสี


"..ท่านอายุวัฒนกุมาร เป็นลูกของพราหมณ์ พ่อแม่ของท่านมีเพื่อนเป็นพราหมณ์อยู่คนหนึ่งได้ทิพพจักขุญาณ ทราบข่าวว่าเพื่อนคนนี้จะเข้ามาในเขตเมืองก็พากันไปหา เมื่อคุยกันพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกชายอายุยังไม่ถึง ๗ ปี ให้แก่แม่ กราบลาเพื่อกลับ เพื่อนก็บอกว่า "ทีฆายุโก โหตุ" แปลว่า "ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด" เมื่อท่านพ่อกราบแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "ขอให้ท่านมีอายุยืนยาวเถิด"

แล้วจับลูกให้กราบ ท่านพราหมณ์ก็นิ่งเฉยไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่ก็สงสัยเลยถามว่า "เวลาที่ผมกับเมียกราบลาท่าน ท่านบอกว่า จงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมท่านจึงทำเฉยๆ" ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "ก็ลูกของท่านจะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิด" เขาก็เลยถามว่า "ท่านรู้วิธีแก้ไหม" ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้ไม่รู้ คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียวคือ สมเด็จพระสมณโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตาย ก็ไปหาพระพุทธเจ้าเถิด ท่านแก้ได้"

พ่อแม่ของเด็กทราบว่าเด็กจะตายภายใน ๗ วัน ก็ตกใจเพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายด้วย จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงก็ทำแบบนั้นที่ทำกับเพื่อนพราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ ตอนลูกชายกราบลา ท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่า "ลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน" เขาก็ถามว่า "ทำอย่างไรจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้ พระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าก็บอกว่า "ถ้าต้องการแบบนั้นได้ เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ อุปฆาตกรรมเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีของเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อนจะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนาแล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่เวลานี้กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาลิดรอนจึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน" และพระองค์ก็ตรัสแนะว่า "พราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้า แล้วนิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน ถ้าทำได้อย่างนี้ลูกท่านก็จะไม่ตาย"

พราหมณ์พ่อแม่เด็กก็กลับไปทำโรงพิธี นิมนต์พระไปนั่งล้อมโรงพิธีไม่ต้องใช้สายสิญจน์เพราะพระสมัยนั้นมีมาก เมื่อล้อมแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้างแต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียว พอถึงวันที่เจ็ดพระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา และคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นลูกน้องของ ท่านท้าวเวสสุวัณ ตอนนี้เมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูทรงประทับนั่งตั้งแต่เริ่มต้นของวันจนที่สุดของวันคืออรุณใหม่ เพราะว่าผู้ที่จะมาเอาชีวิตของเด็กเป็นยักษ์ที่ได้รับพรจากท่านท้าวเวสสุวัณได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้นเมื่อมาคอยอยู่ ๖ วันแล้ว พระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้นก็เข้าไม่ได้ ได้แต่ตั้งท่าว่าถ้าเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น แต่พอวันที่ ๗ เป็นวันสุดท้าย ก็ตั้งใจว่าวันนี้จะเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มากที่เป็นโทษปาณาติบาต แต่ความดีก็มีมาก

ในเมื่อเห็นท่าว่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่ารอให้พระเผลอ แต่พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง เมื่อพรหมลงมา ยักษ์ตนนี้ก็ต้องถอยหลังไปพ้นเขตพรหม และเทวดาลงมา ยักษ์ตนนี้มีบุญน้อยกว่าก็ต้องถอยหลังออกไปอีก ในที่สุดต้องออกไปอยู่ขอบจักรวาลเพราะพรหมและเทวดามีปริมาณมาก และสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประทับนั่งจนหมดเวลา

เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตาย เกินเวลา ๗ วันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้ เมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้วถึงเวลาอายุ ๗ ขวบ ท่านอายุวัฒนกุมารก็บวชเณรแล้วก็ได้อรหัตผล อยู่มาได้ถึงอายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสไว้

บรรดาพุทธบริษัทโปรดทราบไว้ว่า กรรมที่เป็นอุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทำให้คนตายก่อนอายุขัย ตายแล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี บรรดาสัมภเวสีที่เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมาในโลกมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น มีความกังวลอยู่อย่างหนึ่งคือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก ถ้าญาติของเราตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุขัย เช่น ฟ้าผ่าตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกรถชนตาย เป็นต้น แต่ก็ไม่แน่นักบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่ก็เผื่อเหนียวไว้ก่อน สมมติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป อย่าทุบแม้แต่ไข่สัก ๑ ฟอง เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่ามีเหล้ายาปลาปิ้ง เมื่อทำบุญเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด พวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน.."

เรื่องที่ ๑๒๒ เด็กชายณัฐพร ครุฑานนท์ ตายจากคนเป็นสัมภเวสี


"..ต่อไปนี้จะเล่าเรื่องตายแล้วไปเป็นผี คือไม่ใช่กลับฟื้นหรือยังไม่เกิดเป็นคน ท่านจะได้ทราบว่า ชีวิตของคนสมัยเป็นผีนั้นมันเต็มไปด้วยความรำเค็ญเพียงใด โปรดทราบไว้ด้วย คำว่า "ผี" เป็นศัพท์ไทยสมัยก่อน ศัพท์จริงของเขาออกเสียงว่า "ปี๋" แปลว่า "มืด" แต่คนไทยเมืองใต้ ลิ้นอ่อนเกินไปนิดหนึ่ง จึงทำให้เสียงเพี้ยนไปกลายเป็นผี ศัพท์ว่าผีนี้ ดูตามภาษาบาลีที่จัดว่าเป็นแม่ภาษาก็ไม่เห็นมี บาลีเรียกผีว่า "อสุรกาย" แปลว่า มีกายไม่กล้า คือคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าประชาชน เหมือนคนผีๆ ที่คอยหลบๆ ซ่อนๆ เกรงเขาจะลงโทษเพราะตนมีความผิด

ผีนี้คนเรารวมหมด คือยกยอดเอาตั้งแต่สัมภเวสีจนถึงพรหมรวมเรียกว่า "ผี"ผีถ้าว่ากันตามที่ปรากฏมีอยู่ ๒ พวกคือ
พวกที่หนึ่ง ได้แก่ผีประเภทรับผลของกรรม คือมีความสุขเพราะบุญบันดาล หรือมีความทุกข์เพราะการบีบคั้นของบาป

พวกที่สอง ที่เรียกว่า "สัมภเวสี" แปลว่า ผีที่ต้องแสวงหาที่เกิด คือตายเมื่อยังไม่ถึงกำหนดอายุขัย เป็นการตายเพราะอกุศลบางอย่างเข้ามาตัดรอนชีวิต ที่พวกชาวบ้านเรียกว่า "ผีตายโหง"นั่นเอง พวกนี้ตายแล้วยังไม่เสวยผลความดีหรือความชั่ว คือยังไม่ไปนรกหรือสวรรค์ ต้องรอจนกว่าจะสิ้นอายุขัย จึงจะได้รับผล การตายประเภทนี้ ถ้าพบท่านผู้รู้จริงๆ ท่านยับยั้งไม่ให้ตายได้
อย่าง ท่านอายุวัฒนกุมาร จะต้องตายเมื่อเป็นเด็กเล็ก เพราะอกุศลกรรมบีบคั้น ครั้นเมื่อพ่อแม่นำไปให้พระพุทธเจ้าช่วย พระองค์สงเคราะห์ตัดกรรมนั้นให้ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ในที่สุดท่านอายุวัฒนกุมารกลับ มีอายุอยู่มาได้ถึง ๑๒๐ ปีจึงตาย

ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบเรื่องของผีที่เรียกว่า "สัมภเวสี" ต่อไปนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ท่านผู้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังชื่อ "ร.ต.สุภักดิ์ อนุกูล" ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. เด็กชายณัฐพร ครุทานนท์ ชื่อเล่นๆ ว่า "หนุ่ม" เป็นบุตรชายคนรองสุดท้ายของนายสุนทร-นางสุภาพ ครุทานนท์ อยู่บ้านเลขที่ ๔๑/๓ ตำบลบางแพ ได้รับอุบัติเหตุถูกสายไฟฟ้าที่ขาดห้อยอยู่ดูดถึงแก่ความตาย เรื่องของความตายนี้ ทางพระท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกันหมด จะตายด้วยโรคอะไรหรืออาการอย่างไร ในที่สุดก็ตายเหมือนกัน พระท่านสอนไม่ให้เสียใจเพราะเหตุแห่งความตายมาถึง คนรับฟังมีมาก แต่รับปฏิบัติคือตัดใจไม่ยอมเศร้าโศกถึงคนตายนี้หายาก เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัยในเมื่อมีคนที่รักตายนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง คนที่จะทำได้แน่นอนไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้นที่จะเห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา เหมือนเห็นใบไม้ที่แกว่งจนล่วงลงจากต้น ไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใดๆ ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร คนที่เกี่ยวข้องเช่นสามีหรือภรรยาของผู้ตายไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจ เขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก ต้องแสดงออกถึงความเศร้าโศกรำพัน นั่นแหละเขาจึงจะนิยมว่าเป็นคนดี รักกันจริง เรื่องของความเห็นของพระกับชาวบ้านไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

เป็นอันว่าเมื่อเด็กชายณัฐพรลูกชายตาย คุณสุนทรและคุณสุภาพก็ต้องร้องไห้ตามแบบฉบับของชาวบ้านที่รักลูกทั่วโลก มีการทำบุญตามพิธีสงฆ์ คือพระมาสวดและก็เลี้ยงพระ ในที่สุดก็ยังไม่เผาเอาไปเก็บไว้ที่โกดังวัดใกล้บ้าน เป็นสุสานทำเป็นตัวตึก ท่านผู้เล่าให้ฟังคือ ร.ต.สุภักดิ์ ได้บอกว่าในระยะที่เด็กชายหนุ่มหรือณัฐพรตายตอนแรกๆ ยังไม่มีอะไรปรากฏการณ์ เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนครบ ๘ เดือนเศษ ค่ำวันหนึ่ง น.ส.เฉลียง เด็กที่มาอยู่บ้านนายสุนทรหลังจากเด็กชายหนุ่มตายไปแล้วและไม่เคยรู้จักเด็กมาก่อน

น.ส.เฉลียง อายุ ๑๖ ปี ขณะที่เธอกำลังนั่งทำงานอยู่นั้นก็เกิดร้องกรี๊ดขึ้นมาเฉยๆ ทุกคนในบ้านพากันแปลกใจ จึงเข้าไปถามสาเหตุที่ร้องส่งเสียงแสดงความหวาดกลัวนั้น น.ส.เฉลียงได้บอกแก่ทุกคนที่เข้าไปถามว่า "เห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๓ ปี เข้ามาทางช่องกระจกบานเกล็ด พร้อมกันนั้นก็มีพระสงฆ์ ๒ องค์ตามมา เมื่อทันกันพระทั้ง ๒ องค์ก็ช่วยกันจับเด็กชายคนนั้นคนละแขน พาออกไปทางช่องกระจกบานเกล็ด เธอเห็นอย่างนั้นก็ตกใจกลัวจึงร้องออกมา และเด็กคนที่เห็นนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนภาพถ่ายเด็กที่แขวนอยู่ที่ห้องรับแขก" เรื่องที่น.ส.เฉลียงบอกนั้นสร้างความสนใจแก่ทุกคนในที่นั้นเป็นพิเศษ เพราะเด็กชายหนุ่มตายเมื่ออายุ ๓ ปี จึงพากันสนใจและแปลกใจไปตามๆ กัน

วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง
ต่อมาอีกไม่กี่วัน น.ส.เฉลียงทำงานอยู่กลางลานบ้านก็เกิดล้มลงเฉยๆ มีอาการมือเท้าเกร็ง มีเสียงร้องคล้ายเด็กร้องไห้ นางสุภาพเข้าไปสอบถามอยู่นานเกือบชั่วโมง น.ส.เฉลียงจึงพูดด้วย แต่ไม่ได้พูดด้วยสำเนียงเดิมที่เคยพูด กลับออกเสียงเป็นเสียงเด็กบอกชื่อตัวเองว่า "หนูชื่อหนุ่ม คิดถึงแม่สุภาพถึงได้มา คิดถึงพ่อ คิดถึงน้องและครูปั๊ก" (ตามสำเนียงที่เด็กชายหนุ่มเคยเรียก ร.ต. สุภักดิ์ ออกสำเนียงเป็นปั๊กเสมอ เพราะยังพูดไม่ค่อยชัด) แล้วสั่งว่า "วันพรุ่งนี้อย่าให้ครูปั๊กไปไหน หนุ่มมีธุระจะคุยด้วย"

เมื่อพูดจบอาการของน.ส.เฉลียงก็เป็นปกติ ร.ต.สุภักดิ์บอกว่าบ้านของเขาอยู่ติดกับบ้านของนายสุนทร ทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก เด็กชายหนุ่มก็มีความสนิทสนมกับร.ต.สุภักดิ์มาก เคยมาหาร.ต.สุภักดิ์และเคยติดตามไปในที่ต่างๆ เป็นปกติ คุณสุภักดิ์เป็นคนโสดและมีนิสัยรักเด็ก บางคราวเขาจะเพาะถั่วงอกเพื่อทดลอง เด็กชายหนุ่มก็มาช่วยทำงาน ทำตามประสาเด็กและชอบซักถามเพื่อความเข้าใจ คุณสุภักดิ์รักและชอบในความสนใจของเด็กชายหนุ่มมาก

ต่อมาเมื่อเด็กชายหนุ่มต้องตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูด คุณสุภักดิ์ก็เอาถั่วงอกที่เด็กชายหนุ่มช่วยปลูกนั้นมาผัดและถวายพระ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อทราบจากนางสุภาพว่า เด็กชายหนุ่มต้องการพบ ตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อแต่เพื่อจะทราบความจริงว่า เด็กชายหนุ่มจะมาเข้าทรงจริงหรือน.ส.เฉลียงจะเล่นตลกกันแน่ จึงคอยพบตามเวลาที่เด็กนัดไว้

วันนั้นเป็นวันที่ ๒๑ มิถุนายน เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. น.ส.เฉลียงก็มีอาการเหมือนเดิม คือมีอาการคล้ายเป็นลมหน้ามืดแล้วก็ล้มลง เป็นอันว่าทราบทั่วกันว่าอาการอย่างนั้นปรากฏก็แสดงว่า วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง เมื่อเข้าทรงแล้ว ก่อนจะถามถึงใคร เด็กชายหนุ่มก็ถามหาครูปั๊ก ถามว่า "วันนี้ครูปั๊กมาหรือเปล่า" เมื่อร.ต.สุภักดิ์ตอบว่า "มาและอยู่ที่นี่แล้ว" วิญญาณของเด็กชายหนุ่มก็พูดว่า "หนุ่มคิดถึงครูปั๊กมาก" เขาถามว่า "เวลานี้หนุ่มอยู่ที่ไหน" ตอบว่า "ขณะนี้หนุ่มอยู่ที่ตึก" ถามว่า "ตึกที่หนุ่มอยู่ตั้งอยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ที่วัดใกล้ๆ บ้านนี่เอง"

เป็นอันทราบได้ว่าวิญญาณของเด็กชายหนุ่มอยู่ที่สุสานวัดใกล้บ้านนั่นเอง เพราะสุสานคือที่เก็บศพเขาทำเป็นตึก ถามว่า "หนุ่มอยู่คนเดียวหรือมีเพื่อนอยู่ด้วย" ตอบว่า "มีพระอยู่ด้วยสององค์ และคนอื่นๆ อีกหลายคน แต่หนุ่มไม่รู้จักชื่อเขาเหล่านั้น"

สำหรับพระ ๒ องค์ ที่เด็กชายหนุ่มบอกนั้นคือ พระภิกษุเหมือนอายุ ๒๒ ปี และพระภิกษุทองใบอายุ ๕๐ ปี ตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดเหมือนกัน เด็กชายหนุ่มบอกต่อไปว่า "ขณะที่หนุ่มจะต้องตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดนั้น เห็นพระ ๒ องค์นี้มาจับมือจูงไปและบังคับให้จับสายไฟฟ้าที่ขาดตกห้อยลงมา หนุ่มจึงต้องตายจากคน"

เรื่องการสนทนาระหว่าง ร.ต.สุภักดิ์กับวิญญาณของเด็กชายหนุ่ม เป็นเหตุให้ทราบข้อเท็จจริงที่เป็นข่าวลือกันมานานแล้วว่า คนที่จะต้องตายโหง คือผูกคอตาย ดำนํ้าตาย เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่แก้ไขฟื้นคืนชีพมาแล้ว มักจะเล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นไม่รู้ตัวว่าทำอย่างนั้น แต่กลับเห็นว่าตนเองกำลังเพลิดเพลินกับอะไรสักอย่างหนึ่ง บางคนก็บอกว่ามีคนมาท้าให้ไปตีกัน จะนำเรื่องที่พบมานี้มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง เพื่อเป็นการรับรองเรื่องของเด็กชายหนุ่มหรือณัฐพรคนนี้สัก ๒ เรื่อง ขอเล่าสั้นๆ

คนผูกคอตาย

เรื่องแรก เกิดขึ้นในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า รายนี้เป็นผู้หญิงชื่อ "จันทร์" ลูกชายพาหญิงสาวคนหนึ่งมาเพื่ออยู่ร่วมเป็นสามีภรรยา เป็นลูกของคนที่ค่อนข้างจะมั่งคั่งสักหน่อย ท่านแม่ก็พอใจในลูกสะใภ้ พอเวลาล่วงเลยไป ๓ วัน เป็นระยะเวลาสมควรที่จะไปติดต่อรับรองเรื่องบุตรพาลูกสาวเขามา แกก็แต่งตัวเรียบร้อยออกเดินทางจากบ้าน เพื่อจะไปบ้านบิดามารดาของลูกสะใภ้ เพราะเป็นคนรู้จักกันดี บิดามารดาฝ่ายหญิงก็ทราบว่าลูกชายของแม่จันทร์คนนี้พาลูกสาวของเขามา ก็ไม่มีความรังเกียจ ส่งข่าวมาเพื่อให้ไปรับรองตามประเพณี เมื่อออกจากบ้านไปแล้วแทนที่แกจะไปบ้านฝ่ายหญิง ปรากฏว่าแกแวะไปที่ป่าช้าวัดใกล้ๆ กับส้วม แกไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง บังเอิญขณะนั้นมีพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านกำลังนั่งถ่ายอุจจาระอยู่ในส้วม ท่านเห็นเหตุการณ์ตลอด ท่านบอกว่าท่านเห็นแม่จันทร์คนนั้นได้ขึ้นไปบนต้นไม้ มีหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่งขึ้นตามไป

เมื่อทั้งสองคนขึ้นไปบนต้นไม้เรียบร้อยแล้ว หญิงชื่อจันทร์นั้นก็เปลื้องผ้าสไบออก และเอาชายหนึ่งผูกกับกิ่งไม้ เอาอีกชายหนึ่งผูกที่คอ เมื่อผูกเสร็จหญิงที่ขึ้นตามไปนั้น ก็เอาเท้าถีบแม่จันทร์ให้ตกลงมา ร่างห้อยกับกิ่งไม้ แล้วหญิงคนนั้นก็ขึ้นเหยียบสองบ่าช่วยขย่มพระที่กำลังถ่ายอุจจาระเห็นเข้าอย่างนี้ก็ตกใจ รีบออกจากห้องส้วมวิ่งเข้าไปถึงต้นไม้และไต่ต้นไม้ขึ้นไปช่วยแก้ให้แม่จันทร์พ้นอันตราย พระท่านว่าท่านไม่เห็นหญิงที่เหยียบบ่าลงสวนมาเลย และก็ไม่ทราบว่าหายไปทางไหน เมื่อท่านแก้ให้แม่จันทร์ลงมาแล้ว ด้วยเหตุที่ท่านส่งเสียงเอะอะโวยวายด้วยความตกใจ เป็นเหตุให้เพื่อนพระและคนที่อยู่ใกล้เคียงมากันหลายคน ต่างช่วยกันปฐมพยาบาลเพื่อแก้ไข

เมื่อฟื้นแล้วสอบถามเรื่องที่มาผูกคอตายและหญิงคนที่มาช่วยให้ตายเร็วเข้า แม่จันทร์ตอบว่า "ไม่รู้ว่าผูกคอตายตามที่ปรากฏ" แกบอกว่าขณะที่ออกจากบ้าน ก็ประสงค์จะไปติดต่อทาบทามขอขมาเรื่องลูกชายพาลูกสาวเพื่อนบ้านมา แต่เมื่อออกจากบ้านปรากฏว่ามีขบวนแห่ มีคนมากเขากำลังเล่นรำกัน คงจะเป็นกลองยาว เพราะสมัยนั้นกำลังนิยมกลองยาว แกก็เข้าไปรำกับเขา ขณะที่ถูกแก้ให้ฟื้นนั้นกำลังรำเพลิน ได้ยินเสียงพระเรียกให้กลับ แกจึงกลับมา

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า พวกที่จะต้องตายโหง มักจะมีวิญญาณอื่นมาชักนำให้เห็นอาการที่จะทำลายตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรง คือทำให้เกิดความเพลิดเพลินในทางสนุกไปเสีย

คนดำนํ้าตาย

อีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นในเขตตำบลโรงเฆ่ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร คนนี้ชื่อ "มาก" เมื่อปี ๒๔๙๗ ปรากฏว่าเป็นฤดูนํ้ามาก นายมากแกนั่งจักตอกอยู่บนชานเรือนพร้อมด้วยเพื่อนบ้านหลายคนมานั่งจักตอกรวมกัน และคุยกันเพื่อแก้รำคาญ ขณะที่นายมากนั่งจักตอกอยู่ อยู่ๆ แกก็ลุกขึ้นแล้วก็เดินลงไปที่บันได ขณะนั้นนํ้าท่วมพื้นดินมีระดับเกือบถึงชานเรือน เมื่อแกลงบันไดไปแล้วก็เลยลงไปในนํ้า ดำนํ้าลงไป พวกเพื่อนบ้านคิดว่านายมากคงจะร้อนมาก ถึงได้ลงนํ้าไปทั้งๆ ที่มือถือมีด แต่เมื่อแกดำลงไปในนํ้าเป็นเวลานานเกินไป พวกเพื่อนบ้านเกิดสงสัยจึงลงไปดู เพื่อนบ้านคนหนึ่งดำนํ้าลงไปสำรวจ พบนายมากนั่งกอดบันไดอยู่ จึงช่วยกันดึงเอาตัวขึ้นมา ต้องทำปฐมพยาบาลกันอย่างหนัก เพราะปรากฏว่าแกกินนํ้ามากเกินไป เมื่อแก้ไขฟื้นแล้วเพื่อนบ้านถามว่า "ลงไปในนํ้าทำไม"

แกตอบว่า "ขณะที่นั่งจักตอกอยู่ด้วยกันนั้น มีคนมาท้าให้แกไปตีกับเขา" ปกติแกเป็นคนไม่ยอมกลัวคน แต่ไม่ข่มเหงใคร ถ้าใครมารุกราน นายมากก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าสู้ชนิดเข็มเย็บตาทีเดียว มาคราวนี้เมื่อมีคนมาท้าถึงที่บ้าน แกบอกว่า "เขาขึ้นมาท้าบนชานเรือน ก็เลยลุกขึ้นและเอามีดที่เป็นเครื่องมือจักตอกนั่นแหละ ไปสู้กับผู้บังอาจมาท้าแก" ขณะที่เพื่อนแก้ไขอยู่นั้น แกบอกว่า "กำลังสู้กันนัวทีเดียว"

นี่แหละท่านทั้งหลาย คนที่จะตายโหง คือตายด้วยอุบัติเหตุ มักจะมีเหตุอื่นมาทำให้หลงผิด เรื่องอย่างนี้เคยรับฟังมาหลายสิบราย มีเรื่องคล้ายคลึงกัน จึงเป็นเหตุให้ชวนสันนิษฐานว่า คนที่จะตายโหง มีผีมาหลอกล่อให้ตาย เพราะบางคนที่มีทุกข์ยิ่งกว่าคนที่ฆ่าตัวตาย เขายังไม่ยอมตาย คนที่ฆ่าตัวตายบางคนมีเรื่องกระทบใจนิดเดียวก็ฆ่าตัวตาย

การอุทิศส่วนกุศล

ตอนนี้ขอวกเข้าเรื่องของเด็กชายหนุ่มต่อไป เธอมาบอกว่า "หลังจากพระ ๒ องค์นั้นมาบังคับ คือจับมือให้จับสายไฟฟ้าแล้ว รู้สึกว่ามีกายอีกกายหนึ่ง (โดยเธอใช้คำพูดว่ามีตัวอีกตัวหนึ่ง) เกิดขึ้น เห็นตัวเดิมนอนนิ่ง ส่วนตัวที่เกิดภายหลังก็มีสภาพรูปร่างเหมือนตัวเดิมทุกอย่าง พระ ๒ องค์นั้นบังคับให้ไปอยู่ด้วย โดยช่วยกันจูงมือให้เดินตามไป กำลังเธอสู้พระ ๒ องค์ไม่ได้ ก็จำต้องเดินไปกับพระทั้ง ๒ องค์นั้น" เมื่อพูดจบเธอก็บอกว่า "เมื่อหนุ่มไปอยู่กับพระใหม่ๆ ครูปั๊กเอาถั่วงอกที่หนุ่มช่วยปลูกผัดถวายพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้นั้น หนุ่มได้รับและกินแล้วอร่อยดีเหมือนกัน แต่เผ็ดมากไปหน่อย หนุ่มไม่ชอบเผ็ดมาก"

ตรงนี้น่าคิด ที่คนทั้งหลายเข้าใจว่าผีจะคอยกินอาหารที่คนจัดสำรับให้นั้น เรื่องของเด็กชายหนุ่มยืนยันว่า จะได้กินต่อเมื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ใช่เอาสำรับกับข้าวไปวางข้างโลงแล้วก็เรียกผีให้มากิน ร.ต.สุภักดิ์รับปากว่าจะทำบุญส่งไปให้ใหม่ รุ่งเช้าก็เอาถั่วงอกผัดถวายพระ คราวนี้ไม่ใส่พริกด้วยเกรงว่าเด็กชายหนุ่มจะเผ็ด อีกสองสามวันวิญญาณเด็กชายหนุ่มมาเข้าน.ส.เฉลียงบอกว่า "ถั่วงอกที่ทำบุญไปให้นั้นได้กินแล้วอร่อยมาก ขอบใจครูปั๊ก ครูปั๊กใจดีมาก หนุ่มรักครูปั๊กมาก" แล้วก็บอกว่า "หนุ่มอยากกินองุ่น ขอให้ช่วยหาองุ่นถวายพระแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้หนุ่มด้วย" (คำว่าอุทิศนั้นก็คือการกรวดนํ้านั่นเอง แต่อันที่จริงไม่ต้องกรวดนํ้าก็ได้ใช้ภาษาพูดธรรมดา บอกขออุทิศผลบุญที่ทำนี้ให้แก่ผู้ตายชื่อและนามสกุลอะไร ให้โมทนาในผลบุญทั้งหมดนี้ ผู้ตายก็จะได้รับผลบุญนั้น)
ร.ต.สุภักดิ์ก็รับคำแล้วก็จัดองุ่นถวายพระอุทิศส่วนกุศลไปให้ คราวนี้ร.ต.สุภักดิ์ก็คิดว่าผีอื่นก็คงต้องการเหมือนกัน การอุทิศส่วนกุศลจึงแผ่เสียหมดจักรวาล

ต่อมาเมื่อวิญญาณของเด็กชายหนุ่มมาเข้าสิงน.ส.เฉลียงบอกว่า "องุ่นหนุ่มไม่ได้กินเลย เด็กบ้านํ้าลายไหลยืดข้างบ้านแย่งกินหมด เวลาครูปั๊กบอกให้ทำไมบอกให้คนอื่นด้วยล่ะ คือเด็กบ้านํ้าลายไหลยืดคนนั้นมันตัวโตกว่าหนุ่ม มันแย่งหนุ่ม หนุ่มสู้มันไม่ได้ หนุ่มก็เลยอด"

ร.ต.สุภักดิ์รับปากว่า "ต่อไปจะส่งให้หนุ่มคนเดียว" หนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วก็ลากลับไป ผีบ้านํ้าลายไหลยืดข้างบ้านที่เด็กชายหนุ่มบอกนั้นคือ เด็กชายธีระยุทธ บุตรชายนางสังเวียน ถูกสุนัขบ้ากัดตาย เมื่อก่อนตายอาการของโรคคือพิษสุนัขบ้ากำเริบ มีอาการนํ้าลายไหลและร้องคล้ายเสียงสุนัข เธอตายเมื่ออายุ ๗ ปี ส่วนเด็กชายหนุ่มตายเมื่ออายุ ๓ ปี ตัวเธอจึงโตกว่า

เรื่องร่างกายของผีนั้นเมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้รับความรู้ใหม่ ตามที่ทราบมาตามบาลีว่า เทวดานั้นเมื่อปรากฏวาระแรกก็เป็นหนุ่มเป็นสาวทันที ไม่มีใครเป็นเด็กและก็ไม่มีแก่หรือร่างกายร่วงโรย สำหรับผีประเภทสัมภเวสีนี้ กลับมีร่างกายไม่เสมอกัน คือตอนตายร่างกายมีสภาพอย่างไร เมื่อเป็นผีก็คงมีสภาพอย่างนั้น ตายเมื่อเด็กก็เด็กตลอดไป ตายเมื่อแก่ก็แก่ตลอดกาล เป็นความรู้ใหม่ที่รับทราบ ถ้าจะถามว่าเชื่อหรือไม่ ก็ขอตอบว่าลองเชื่อไว้พลางๆ ก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ผีบอกเอง ผีบอกเรื่องผีไม่เชื่อ แล้วจะมัวเชื่อคำบอกเล่าของคนที่ไม่เคยเห็นผีได้อย่างไร

ร.ต.สุภักดิ์เองบอกว่า ตามปกติแกก็ไม่ใคร่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้อะไร แต่เมื่อมาประสบเข้ากับเรื่องของเด็กชายหนุ่มนี้เข้า รู้สึกว่าเชื่อจนหมดสงสัย เพราะพยายามพิสูจน์หาความจริงอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งที่วิญญาณของเด็กชายหนุ่มมาเข้าสิงน.ส.เฉลียงบอกว่า "อยากดูทีวี" เขาจึงเปิดเครื่องทีวีให้ดู น.ส.เฉลียงนั่งหลับตาพริ้มหันหน้าไม่ตรงกับตู้ทีวี แต่เมื่อถูกถามถึงรูปร่างลักษณะของผู้แสดงละครในทีวีขณะนั้น ก็บอกได้ตรง ถามว่าขณะนี้คนนั้นกำลังทำอะไร หยิบอะไร เอามือวางไว้ที่ใด ก็บอกได้ตรงทุกอย่าง ร.ต.สุภักดิ์บอกว่า "ถ้าจะลองนั่งอย่างนั้นบ้าง จะไม่เห็นภาพในจอทีวีเป็นอันขาด"

และก็ยังพิสูจน์แบบอื่นๆ อีกหลายวาระ เป็นที่น่าอัศจรรย์เวลาที่วิญญาณเด็กชายหนุ่มเข้ามาสิงน.ส.เฉลียงนั้น บอกอะไรได้ถูกต้องตามที่ถาม ทั้งๆ ที่เรื่องราวอย่างนั้นเป็นความลับ นอกจากเขาเท่านั้นเป็นผู้รู้แต่ผู้เดียว นี่ก็เป็นอีกตอนหนึ่งที่ทำให้ร.ต.สุภักดิ์จำต้องเชื่อเรื่องของวิญญาณ

ตามที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็มิได้มีความมุ่งหมายให้ท่านทั้งหลายเชื่อเรื่องผีเจ้าเข้าสิงแต่ประการใด เห็นว่าเรื่องนี้พอจะลงกันได้กับพระสูตร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า"เมื่อคนตายไปจากโลกนี้ ผู้ที่หวังสงเคราะห์ผู้ตาย ท่านให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ท่านผู้ตายจึงจะได้รับ ไม่ใช่เอาสำรับไปวางไว้ให้"

สมัยที่อาตมายังรับนิมนต์สวดพระอภิธรรม เคยเห็นบ่อยๆ เกือบทุกราย เมื่อเวลาพระจะให้ศีล เจ้าภาพก็ไปเคาะข้างหีบศพบอกคนตายว่า "พระจะให้ศีลแล้วขอจงตั้งใจรับศีล" เวลาที่จะถวายอาหารพระ ก็เอาสำรับกับข้าวไปตั้งไว้แล้วก็บอกคนตายว่า "เอาข้าวมาให้แล้ว กินข้าวเสียเถอะ" เมื่อเห็นและได้ฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจ ด้วยทราบมานานแล้วว่าการทำอย่างนั้น ผีไม่มีโอกาสจะได้กิน

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ขณะทำบุญเพื่อให้คนตาย ส่วนใหญ่มักจะมีของที่เป็นศัตรูกับบุญผสมอยู่ด้วย เช่น ล้มวัว ล้มควาย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ เป็นต้น เวลาพระให้ศีล เวลาถวายทาน เวลาพระสวดหรือเทศน์ เจ้าภาพไม่ว่าง เมื่อเวลาอุทิศส่วนกุศลผีจะรับบุญจากไหน

ทางที่ดีถ้าญาติฉลาด ก็เผื่อเหนียวไว้ก่อน พอตายปั๊บไม่ต้องทำบุญมาก แต่ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ คือหาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป ผ้าไตร ๑ ไตร พระพุทธรูป ๑ องค์ ถวายเป็นสังฆทานกับพระสงฆ์ ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบไข่แม้แต่ลูกเดียว เมื่อทำบุญเสร็จ ก็ให้อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครอื่นทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ คนที่ตายไปเป็นสัมภเวสีจะได้รับผลบุญทั้งหมดทันที จะมีความสุข มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด ท่านพวกนี้ก็จะไปถึงด้านสวรรค์ก่อน.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 10:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๒๓ นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี


"..คำว่า "สัมภเวสี" ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ผีตายโหง"สำหรับผีตายโหงนี้จะถือว่าเป็นสัมภเวสีเสมอไปก็ไม่ได้ เพราะบางรายเมื่อถึงเวลาจะต้องตายแบบนั้นตามกฎของกรรม เมื่อตายแล้วก็ไปรับสุขและรับทุกข์ตามอำนาจกฎของกรรมอย่างนี้ไม่เรียกว่า "สัมภเวสี" ตายจากคนไปเกิดเลย เช่นเกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม หรือไปพระนิพพาน อาการตายแล้วไปพระนิพพานที่ตายแบบตายโหงก็มีมากราย
อย่างในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ คนฟังเทศน์จบได้สำเร็จอรหัตผล

ตามธรรมดาพระองค์ตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" ผ้าไตรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จะลอยมาในอากาศสวมตัวท่านผู้นั้นพอดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาต้องเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อนๆ มาแล้ว สมัยนั้นพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นใหม่ๆ นักบวชก็ยังไม่ค่อยมากนัก ดังนั้นร้านขายผ้าไตรจีวรสำหรับพระจึงไม่มีเหมือนสมัยนี้ พระต้องลำบากในการหาผ้าใช้ ต้องไปเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาปะๆ ประกอบกันเข้าจากผืนเล็กมาเป็นผืนใหญ่ แล้วนำมานุ่งห่ม แต่ถ้าฟังเทศน์จบแล้วเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วว่าผู้นั้นไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเป็น "สัพพัญญู" แปลว่า "รู้ทั้งหมด" ก็จะตรัสว่า "เมื่อเจ้าปรารถนาจะบวช จงไปหาผ้าไตรจีวรมา ถ้าได้ผ้าไตรจีวรมาแล้วเราจะบวชให้"

ปรากฏว่าในขณะที่ไปหาผ้าไตรจีวรขณะที่ร่างกายเป็นฆราวาสแต่ใจเป็นพระอรหันต์ ร่างกายที่มีความเลวอยู่มากไม่สามารถจะทรงความเป็นพระอรหันต์ไว้ได้ก็เลยต้องตาย
ทีนี้ถ้าจะป่วยตายก็ป่วยไม่ทันและก็ตายไม่ทัน ในที่สุดจึงต้องตายเพราะอุบัติเหตุ เช่นวัวขวิดตายบ้าง มีการกระทบกระทั่งอะไรตายบ้าง เป็นต้น

เรียกว่าการทรงความเป็นพระอรหันต์สำหรับฆราวาสไม่มี คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วถ้ายังไม่ได้บวช อย่างช้าวันรุ่นขึ้นก็ตาย ไม่ใช่ ๗ วัน

สำหรับผู้ที่ตายไปแล้วเรียกกันว่าเป็น "สัมภเวสี" จะตายด้วยกรณีใดๆ ก็ตามแต่ยังไม่ครบอายุขัยที่จะตาย (อายุขัยของคนปัจจุบันอายุ ๗๕ ปี) เมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรยังไม่ได้ หมายถึงจะไปลงนรกก็เข้านรกยังไม่ได้ จะไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม ก็ยังเป็นไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจะไป ก็เลยต้องท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เดินไปเดินมาหิวโซ

พวกนี้ที่พวกหมอผีชอบเรียกเอาไปเลี้ยง เพราะว่าลำบากมีความหิว เมื่อมีใครมาชวนและนำไปเลี้ยงก็ต้องไป โดยคิดว่าทำงานให้เขาเพียงแค่กินอิ่มก็พอ จะเห็นว่าสภาพความรู้สึกของผีก็เหมือนคน เพราะผีก็คือจิตของคนที่เคลื่อนออกจากร่างกายเนื้อ สภาพความรู้สึกจึงเหมือนกันไม่แตกต่างจากของเดิม

นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี

ดังตัวอย่างสัมภเวสีที่ไปพบมาเอง สัมภเวสีรายนี้สมัยเป็นมนุษย์มีนามว่า "นายเสนอ" นามสกุลจำไม่ได้แล้ว เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี ตามปกตินายเสนอเป็นคนดีมาก เรียกว่าคนทั้งตำบลหรือหลายๆ ตำบลใกล้เคียงชอบใจ รักใคร่ เพราะนายเสนอเป็นคนดี ไม่เกเรไม่ใช่เป็นคนอันธพาล ดีในด้านสงเคราะห์ช่วยเหลือ จัดว่าเป็น สังคหวัตถุ นิยมในการสงเคราะห์ ใครจะมีงานมีการที่ไหนนายเสนอก็ไปที่นั่น เจ้าของงานก็ดีใจเพราะช่วยทำงานทุกอย่างถ้าไม่เกินความสามารถ พูดจาก็ดีเป็นที่รักของคนทั่วไป

วันหนึ่งที่วัดสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีงานประจำปี ในงานนั้นพวกนักเลงการพนันไปเล่นการพนันในวัด ก็มีเรื่องกัน นายเสนอก็วิ่งเข้าไปแล้วก็ยกมือไหว้คนนั้นทีไหว้คนนี้ที เรียกเขาว่าพี่ป้าน้าอาบอกว่า "ขอโทษเถอะเป็นงานวัด อย่าให้มีเรื่องเอะอะโวยวายเลย ท่านจะเล่นก็เล่นกันไป ถ้าหากไม่พอใจจะเล่น จะเลิกก็ตามใจไม่ได้ว่าอะไร" ก็พูดดีๆ ปรากฏว่าคนคุมบ่อนเป็นตำรวจ เขาโกรธที่ไปตักเตือนคนในบ่อนของเขา จึงเอาพานท้ายปืนยาวตีหน้าเข้าให้ นายเสนอล้มนอนหงายผลึ่งเกือบจะชัก พอลุกขึ้นมาได้ก็มีโทสะเลยชักมีดแทงตำรวจเข้าให้ ตำรวจก็ยิงปืนเข้าใส่ เลยต่างคนต่างตาย ปรากฏว่าศพของนายเสนอถูกประคับประคองอย่างดี ชาวบ้านทั้งตำบลและตำบลใกล้เคียงต่างจัดงานศพหรูหรา แต่ศพตำรวจไม่มีใครสนใจ เพราะชาวบ้านไม่มีใครแยแสปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นจนเน่า ปล่อยให้เหี้ยบ้าง ตะกวดบ้าง สุนัขบ้าง ทึ้งกันตามอัธยาศัย เครื่องแบบก็ไม่มีใครถอดให้ นานหลายวันกว่าทางการจะมาเอาไป

ผีนายเสนอออกอาละวาด

เมื่อนายเสนอตายแล้ว ก็มาแสดงตัวในฐานะที่เป็นสัมภเวสีให้ปรากฏบ่อยๆ มีหลายคนมารายงานให้ทราบว่า "ผีนายเสนอดุจริงๆ ลูกหลานไปทำงานหลังบ้านมาหลอกอยู่เสมอ" วันหนึ่งมีโอกาสไปที่ตำบลสารี จังหวัดสุพรรณบุรี ขณะคุยกับเจ้าของบ้านอยู่ มีเด็กสาวๆ อายุ ๑๕-๑๖ ปีคนหนึ่งอยู่บ้านติดกัน ออกไปเก็บผักหลังบ้านมาทำอาหาร ประเดี๋ยวเดียวก็วิ่งเข้าบ้านมานอนร้องครวญครางดังมาก และเอามือกุมที่หน้าอก ใครถามว่า "เป็นอะไร" ก็ไม่ตอบ ตามธรรมดาผีที่ตายจะมาเข้าใคร ถ้าเป็นโรคอะไรก็จะแสดงอย่างนั้นให้รู้ หมายความว่าเวลาที่ตาย ทุกขเวทนาครอบงำมากอย่างไหนก็จะแสดงให้ปรากฏอย่างนั้น เช่นคนขาเป๋ตายแล้ว เวลามาเข้าคนก็จะแสดงอาการขาเป๋ หรือก่อนจะตายแขนคอก ตายแล้วก็มาทำท่าแขนคอก แต่ความจริงพอตายแล้วเป็นผี ขาไม่ได้เป๋ แขนไม่ได้คอก

เด็กสาวคนนี้ร้องครวญคราง พวกผู้ใหญ่จึงไปนิมนต์อาตมามาดู ก็ไปนั่งข้างๆ เด็กคนนั้นแล้วถามว่า "อีหนูเป็นอะไร" ก็ไม่ตอบมองหน้าเฉยๆ แล้วก็ร้อง เห็นนายเสนอนั่งข้างๆ เด็กคนนั้นแล้วเอานิ้วจี้ที่ตรงเด็กบอกว่าปวด ก็คือตรงอกที่เดียวกับที่นายเสนอถูกยิงพอดี ท่านก็เลยพูดดังๆ ว่า "เหนอไปทำอะไรหลาน มีเรื่องอะไรก็ไปคุยกันที่บ้านโน้น อย่ามายุ่งกับเด็กมันเลย ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้นะ" นายเสนอก็ปล่อยมือ เด็กคนนั้นก็หายปวด ลุกขึ้นทำงานได้เป็นปกติ ถามเธอว่า "เป็นอะไร" เธอตอบว่า "ไม่รู้ มันเจ็บทะลุหลัง" ก็เพราะนายเสนอถูกยิงทะลุหลัง แล้วก็เดินมาบ้านหลังที่ท่านพัก

ถามนายเสนอว่า "เอ็งไปทรมานหลานทำไม" เขาตอบว่า "ไม่ได้ทรมาน ผมแสดงแบบนี้ที่ใครเขาลือกัน มีคนไปฟ้องท่านหลายคนแล้ว ผมก็รู้ เขาหาว่าผมดุร้ายมากเที่ยวหลอกคนนั้นหลอกคนนี้ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคน ทุกคนที่ผมแสดงให้ปรากฏเป็นคนที่ชอบกันอยู่ก่อนทั้งนั้น รักกันมากเคยช่วยงานเขา และเขาเคยปวารณาว่า มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกเขาจะทำให้เต็มที่ แต่ทว่าเวลานี้ผมต้องการความช่วยเหลือขอรับ" ถามว่า "เอ็งตายแล้ว เอ็งไปไหน เอ็งไปนรกหรือไปสวรรค์"

เขาตอบว่า "ไม่ได้ไปนรก ไม่ได้ไปสวรรค์ เวลาเหลืออีก ๔๓ ปีจึงจะไปได้ นับปีมนุษย์ระยะเวลา ๔๓ ปี นี่ผมลำบากมากต้องเดินไปเดินมา ผลบุญใดๆ ที่ทำไว้ก็ยังไม่ปรากฏ ยังกินไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจะได้รับ ส่วนผลบาปที่ทำไว้ก็ยังไม่ให้ผล เวลานี้ผมต้องเป็นผีเดินไปเดินมาเข้าไปหาคน เพื่อหวังจะให้เขาสงเคราะห์ช่วยเหลือ แต่เขาก็หาว่าผมไปหลอกเขา บางทีเขาก็สาปแช่งเอาบ้าง ความรู้สึกของคนกับผีไม่เหมือนกัน เวลาที่ผมยังไม่ตายเขาก็รักผมมาก ดีกับผมทุกอย่าง ทุกคนปวารณาตัวจะช่วยผมเวลาผมทำงานให้เขาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่เวลาผมตายไปแล้ว ไม่มีใครสนใจผมเลย"

ก็เลยบอกว่า "ก็เอ็งเป็นผีนี่เขาก็กลัว เวลาเอ็งไปแสดงตัวให้ปรากฏเอ็งทำอย่างไรบ้าง" เขาตอบว่า "ส่วนใหญ่ไม่ได้หลอก ผีไม่มีเวลาจะหลอกคน เพราะมีความลำบากอยู่แล้ว ผมมาแสดงตัวให้ปรากฏเป็นเงาบ้าง เป็นเสียงบ้าง บางคนก็เห็นชัดหน่อย บางคนก็เห็นไม่ชัด ผมก็ประกาศว่าตัวผมคือนายเสนอ พอบอกได้เท่านั้น ทุกคนพอฟังแล้วก็วิ่งหนี ถ้าอยู่ในบ้านก็นอนคลุมโปงกัน และบางบ้านก็บอกว่า ขอให้ไปที่ชอบๆ เถอะ บางบ้านก็แช่งชักหักกระดูกเลย ผมก็เสียใจไม่มีใครจะช่วยผมจริงๆ"

ฟังแล้วก็เห็นใจ เพราะทราบจากพระพุทธเจ้าแล้วว่า ผีไม่มีไร่ไม่มีนา ไม่มีการค้าขาย ไม่มีอาชีพใดๆ ถ้าบุญเก่าไม่ส่งผลก็ต้องอาศัยบุญใหม่ที่คนมีชีวิตอยู่ส่งไปให้ และก็ต้องส่งเป็น ถ้าส่งไม่เป็นส่งเท่าไรก็ไม่มีผล ก็เลยถามต่อว่า "เอ็งต้องการอะไรล่ะ" นายเสนอก็บอกว่า "เวลานี้ผมลำบากมาก หนาวก็หนาว หิวก็หิว กำลังก็ไม่มี สิ่งที่ผมต้องการก็คือ ต้องการพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วสักองค์หนึ่ง ผ้าไตรจีวร ๑ ไตร และอาหารอีกชุดหนึ่ง อะไรก็ได้ไม่จำกัด" ถามว่า "จะให้ทำอย่างไร" ตอบว่า "นิมนต์พระมาแล้วถวายเป็นสังฆทาน" ก็ถามต่อว่า "ถ้าทำได้ตามที่บอกมา ผลจะพึงมีกับเอ็งอย่างไร" ตอบว่า

อานิสงส์ของการถวายสังฆทาน
๑) พระพุทธรูป ถ้าผมโมทนาแล้วกำลังจะดีมาก ถ้าเป็นเทวดาก็มีศักดิ์ศรีใหญ่ มีรัศมีกายสว่างมาก
๒) ผ้าไตรจีวร ถ้าโมทนาแล้ว จะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์
๓) อาหาร ข้าวและนํ้านี้ เมื่อโมทนาแล้วจะมีกำลัง ร่างกายจะมีแรงมากและมีความเบายิ่งขึ้น

จึงบอกว่า "ตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว เวลาเขาทำบุญให้แล้ว จะให้ทำอย่างไรอีก" ตอบว่า "เมื่อพระรับสังฆทานเสร็จ เวลาอุทิศส่วนกุศล ขอให้คนที่ทำบุญส่งผลเฉพาะให้แก่ผมคนเดียว อย่าให้แก่คนอื่น เพราะพวกสัมภเวสีที่มีความลำบากมีอยู่มาก มีกรรมยังหนักอยู่ เป็นกรรมในระหว่างที่ต้องถูกทรมาน ถ้าเฉลี่ยให้คนอื่นพวกสัมภเวสีก็ไม่ได้รับ แต่ถ้าไม่เฉลี่ยให้แก่คนอื่น พวกสัมภเวสีจะได้รับสมบูรณ์บริบูรณ์ การอุทิศส่วนกุศลต้องว่าเป็นภาษาไทยตรงๆ ให้เฉพาะเจาะจง"

ก็เลยบอกว่า "ตกลง วันพรุ่งนี้ค่อยมารับนะ" นายเสนอถามว่า "แล้วท่านจะบอกใครเขาทัน" ตอบว่า "บุญนี้ข้าจะทำเอง ไม่ต้องการไปรบกวนคนอื่น แต่จะบอกเขาเหมือนกัน เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ช่างเขา ประเดี๋ยวเอ็งกลับไปเข้าเด็กคนนั้นอีกนะ แต่อย่าไปทำให้เขาเจ็บร้องครวญคราง ไปเข้าเฉยๆ เดี๋ยวชาวบ้านเขาสงสารเด็กจะด่าเอา และก็แสดงตัวให้ปรากฏว่าเป็นเอ็ง" ถามว่า "เด็กคนนั้นร้องลิเกเป็นไหม" ตอบว่า "ไม่เป็นขอรับ" จึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นดีแล้ว เอ็งเป็นลิเกอยู่ก่อนมีชื่อเสียงมาก ไปเข้าก็แสดงท่าเป็นเอ็งแล้วก็ร้องลิเกไปด้วย บอกบทเล่าเรื่องราวของเอ็งไปด้วย ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นสนุก" นายเสนอก็รับคำแล้วถามว่า "เมื่อไร" ตอบว่า "ไปเดี๋ยวนี้เลย จะได้พูดให้ชาวบ้านเขาได้รู้เรื่อง"

ต่อมาชาวบ้านรู้เรื่องนายเสนอจากการร้องลิเกว่าตายเพราะอะไร เวลานี้มีความทุกข์เป็นประการใดบ้าง ไปหาใครบ้าง ใครแช่งด่าบ้างก็บอกชื่อหมด ร้องเพราะเสียด้วย ชาวบ้านฟังแล้วชอบใจ นำมาเล่าให้ฟัง จึงบอกว่า "นายเสนอต้องการอะไรบ้างให้ชาวบ้านฟัง" และบอกนายเสนอว่า "พรุ่งนี้จะถวายสังฆทานให้ตอนในเพล เอ็งมาโมทนานะ เวลาโมทนาแล้วถ้าได้บุญจริงๆ แล้ว เวลากลางคืนเอ็งไปที่บ้านคนที่เขาช่วยร่วมบุญร่วมกุศลในวันพรุ่งนี้ ให้เขาเห็นทุกคนและส่งกลิ่นหอมให้ปรากฏทั้งบ้าน" เขาก็รับคำ

พอรุ่งขึ้นเช้าก็บอกบุญว่า "ใครจะร่วมบ้าง ร่วมเท่าไรก็ได้หรือใครไม่ร่วมฉันก็ทำคนเดียว เพราะนายเสนอมีความดีกับฉันมาก ช่วยกิจการงานทุกอย่าง เขาไม่เคยรังเกียจ เมื่อบอกแล้วก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจจริงๆ ไม่เคยท้อถอย"

การอุทิศส่วนกุศล

ในที่สุดชาวบ้านก็มารวมตัวกัน บอกเขาเวลาบ่ายพอตอนเช้าได้ผ้าไตร ๕ ไตร พระพุทธรูป ๕ องค์ อาหารเต็มบ้านไปหมด ตั้งใจจะนิมนต์พระมาถวายสังฆทานองค์เดียวเป็นผู้แทนสงฆ์ ตอนสายๆ อาหารมาเต็มบ้าน ก็เลยต้องไปนิมนต์พระมาหมดวัด วัดอยู่ไม่ไกลนัก พระมี ๒๒ หรือ ๒๓ องค์ เป็นสังฆทานเต็มที่ ผ้าไตรไม่พอเลยให้คนไปซื้อผ้าสบง ผ้าห่มและผ้าเช็ดตัวมาให้พอกับพระที่เหลือ เวลาที่เขากำลังจัดงานกัน เห็นนายเสนอมาช่วยงาน เวลาเขาจะปัดจะกวาด จะปูเสื่อ จะวางหมอน ก็มาช่วยเขาทำวุ่นไปหมด แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เมื่อถวายสังฆทานพระเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลบอกว่า

"ผลบุญที่ทำแล้วในวันนี้ มีการบูชาพระรัตนตรัยก็ดี สมาทานศีลก็ดี ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ก็ดี ถวายผ้าไตรจีวรแก่คณะสงฆ์ก็ดี ถวายภัตตาหารก็ดี ผลบุญทั้งหลายนี้ข้าพเจ้าจะพึงมีเพียงใด ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่นายเสนอ ขอนายเสนอจงมาโมทนาและได้รับส่วนกุศลผลความดีเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ บัดนี้เถิด"

นายเสนอโมทนาแล้วก็ยังไม่ไป นั่งยิ้มหน้าตาสวย ถามว่า "เหนอ เอ็งมารับหรือเปล่า ถ้ามารับก็แสดงอาการให้ปรากฏ ส่งกลิ่นให้ปรากฏแต่ไม่ใช่กลิ่นผีนะ เป็นกลิ่นปกติสมัยนี้ของเอ็ง" พอพูดจบทุกคนได้กลิ่นหอมฟุ้งโดยไม่ต้องสูด หอมจริงๆ ส่งกลิ่นฟุ้งไปหมด หมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้านมีประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน ไกลออกไปกระทั่งหลังบ้านยังได้กลิ่น ทุกคนก็ดีใจ ชักใจกล้าอยากเห็นนายเสนอว่ามีรูปร่างหน้าตาเวลานี้เป็นอย่างไร และขอให้ไปเข้าฝันให้เห็นตอนกลางคืน
ถามว่า "ทำได้ไหม" เขาตอบว่า "ทุกคนเวลาจะนอน ให้ภาวนาว่า พุทโธ ทำใจสบาย เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจะเห็นง่าย คือให้เห็นในฝันง่าย"

ก็บอกชาวบ้านทำตามที่นายเสนอบอก ทุกคนอยากเห็นก็ตั้งใจทำตามนั้นกัน
พอรุ่งเช้าทุกคนมาพูดให้ฟังเหมือนกันว่า "เมื่อคืนผีนายเสนอมาหาและคุยด้วย รูปร่างหน้าตาสวยจริงๆ ไม่เหมือนเก่า เครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม"
แสดงว่า นายเสนอเป็นผีกึ่งเทวดาเข้าให้แล้ว และก็พร้อมที่จะเคลื่อนไปสู่วิมานใดวิมานหนึ่งอันเป็นสมบัติของตน เพราะเคยช่วยสร้างโบสถ์ช่วยสร้างศาลา.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๒๔ ตายจากคนซึ่งอยู่ข้างๆ วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปเกิดเป็นสัมภเวสี


"..เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๑๖ ให้ชื่อเรื่องว่า "ผีนายดวง" นายดวงเป็นคนข้างๆ วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ทำปืนลั่นถูกตัวเองตาย เมื่อนายดวงตายแล้วก็เที่ยวอาละวาดแสดงตนให้ปรากฏอยู่เสมอ ต่อมาหลวงพ่อปานก็สั่งพระว่า ผีเจ้าดวงอาละวาดมากแต่ความจริงมันไม่ได้หลอกใครหรอก เป็นแต่เพียงว่ามันต้องการความช่วยเหลือ แต่หาคนช่วยเหลือจริงจังไม่ได้ ท่านจะช่วยเองโอกาสก็ยังไม่มี เพราะนายดวงยังไม่ได้แสดงตนให้ปรากฏเฉพาะท่าน ท่านสั่งว่าอย่าล้อเล่นกันเรื่องผีนะ ผีมันจะผสมเอา

ผีเจ้าดวงอาละวาด

ต่อมาวันหนึ่งท่านจะเดินทางไปก่อสร้างที่เขาวงพระจันทร์ ท่านไปพร้อมกับพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นพระสำคัญๆ ทั้งหมด เหลือแต่พระลูกวัด บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นในเมื่อแมวไม่อยู่หนูก็จะคะนองเป็นเรื่องธรรมดา ตอนกลางคืนทำเป็นผีหลอกกัน บางคราวก็เอาผ้าคลุมส่งเสียงเป็นผีหลอกกันบ้าง บางทีก็เขียนหน้ากากทำเป็นผีแล้วก็ชูขึ้นตามหน้าต่างบ้าง ทำกันอย่างนี้อยู่หลายวัน อาตมากับเพื่อนอีกสององค์ก็เตือนพระเหล่านี้ แต่เพราะเป็นเพื่อนกันไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาจึงบอกเขาว่า เรื่องนี้หลวงพ่อปานเตือนไว้แล้วนะพวกเรา อย่าทำเลยถ้าขืนทำดีไม่ดีเจ้าดวงมันจะผสม แต่เขาก็ไม่เชื่อเล่นเป็นแบบสนุกกันไป เมื่อเตือนแล้วเขาไม่รับฟังก็เลยปล่อยเขา อาตมากับเพื่อนอีกสององค์ก็เข้าไปอยู่ในป่าช้าตามสบาย

เวลาล่วงเลยไปไม่กี่วันก็ปรากฏว่าผีเจ้าดวงอาละวาด เมื่อพระหลอกกันเล่นหลายๆ วันเข้าผีเจ้าดวงก็เริ่มผสม อันดับแรกพระบอกว่ากลางคืนนั่งฉันนํ้าร้อนกันอยู่ในกุฏิ เจ้าดวงก็โผล่ขึ้นมาทางหน้าต่างบ้าง ส่งเสียงเรียกทางด้านประตูบ้าง มาขอนํ้าร้อนกินบ้าง ขอนํ้าตาลกินบ้าง วันแรกๆ พระก็ยังคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน ต่อมานั่งประชุมรวมกันถามว่า เมื่อคืนใครไปหลอกไปล้อเล่น ใครไปยืนทางหน้าต่างหรือว่าใครทำภาพผีโผล่ทางหน้าต่างบ้าง พระทุกองค์ก็บอกว่าไม่มีใครทำ แต่ว่าพระด้วยกันก็ยังสงสัยว่าบางทีพระด้วยกันจะปกปิดกัน

ทีนี้มาคืนหนึ่งปรากฏว่าพระมานั่งรวมกันทั้งหมด ปรากฏว่าเจ้าดวงโผล่หน้ามาทางหน้าต่าง พระก็รวมตัวกัน คราวนี้รู้ตัวว่าการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นของไม่ดีแสดงว่ากลัวขึ้นมาแล้ว จึงนอนรวมกุฏิเดียวกัน พอวันรุ่งขึ้นตอนกลางคืนไม่มีพระไปสวดมนต์เย็มตามปกติ ต่างมารวมอยู่กุฏิเดียวกัน เจ้าดวงมาเคาะประตูเรียก เมื่อเคาะเรียกหนักๆ เข้าพระก็ไม่ออกมา

พอดีอาตมากับเพื่อนอีกสององค์ออกมาจากป่าช้าเห็นว่าวันนี้พระเงียบสงัดดี จึงหาพระตามกุฏิก็ไม่พบจนไปถึงกุฏิสุดท้าย ปรากฏว่าพระมานอนรวมกันอยู่ที่นั่น ก็เลยถามว่า "ทำไมถึงมานอนรวมกันอยู่ที่นี่ ไม่กระจายกันอยู่ ประเดี๋ยวใครก็มาลักของสงฆ์ไปหมด หลวงพ่อปานก็ไม่อยู่" พระก็บอกว่า "จะไปแยกกันอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าดวงมาอาละวาด" จึงบอกว่า "ก็ผมบอกพวกท่านแล้ว หลวงพ่อปานก็สั่งแล้ว แต่พวกท่านก็ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา มันก็เป็นอย่างนี้แหละ โบราณท่านบอกไว้ว่าถ้าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด พวกท่านพยายามหลีกทางจากผู้ใหญ่ เรื่องเจ้าดวงนี่หลวงพ่อปานท่านเตือนแล้วว่าท่านยังไม่มีโอกาสจะช่วยมัน ท่านก็ยังฝืนทำ"

ขณะกำลังคุยกันอยู่นั่นเอง ผีนายดวงแสดงเดชมาเคาะประตูโครมๆ แล้วก็พูดว่า "ผม ดวงมาแล้วครับ ใครอยากจะรู้จักก็เชิญ" อาตมากับเพื่อนอีกสององค์รู้สึกว่ามีอาการชินกับผีอยู่สักหน่อย เพราะเชื่อแล้วว่าผีมีจริง โดนผีหลอกเสียจนชิน ทั้งสามองค์ก็พรวดพราดออกไปก็เห็นเจ้าดวงวิ่งหนี ก็เลยวิ่งกวดเจ้าดวงมันก็วิ่งไปทางป่าช้า ก็วิ่งตามกันไปรวมทั้งพระทั้งหลายก็มีกำลังใจวิ่งตามไปด้วย พอไปถึงโลงศพที่เขาเก็บมันไว้มันก็วิ่งเข้าไปในโลงศพพอดี ก็เลยไปยืนล้อมกันแล้วก็บอกว่า "ดวง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่าอาละวาดอีกนะ ถ้าต้องการอะไรก็บอกฉันหรือพวกฉัน ฉันจะให้เธอ การที่เธอทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร" ศพที่นอนอยู่ในโลงนั้นมันก็เงียบไม่มีเสียงพูด ก็เลยสั่งพระบอกว่า "นิมนต์กลับไปสวดมนต์ตามปกติ และเวลากลางคืนยามว่างควรจะภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ เสียบ้างก็ดี พวกท่านนี้ไม่เอาถ่านเลย บวชเข้ามาแล้วแบบนี้มันก็ลงนรกหมด เพราะว่าพระจะต้องศึกษาอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา แต่ว่าพวกท่านทำตนเป็นฆราวาส ผีสางนางไม้ดูถูกดูหมิ่นกันหมด อย่างนี้ก็แย่"

บรรดาพระก็ไม่ว่าอะไรก็เดินกลับกุฏิ ก็เลยบอกว่า "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกองค์นอนประจำกุฏิของท่าน ไม่ต้องกลัว ผมรับรองว่าเจ้าดวงมันไม่อาละวาดท่านอีก ถ้ามันจะแสดงอะไรมันก็ต้องแสดงกับผมสามองค์" ตอนเช้าถามพระว่า "นอนหลับไหม" ทุกองค์ตอบว่า "ไม่ค่อยจะหลับเพราะหวาดเจ้าดวง"

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าดวงมันก็เงียบ ต่อมาอีกประมาณเดือนเศษหลวงพ่อปานก็กลับวัด อาตมาก็รายงานให้ท่านทราบ ท่านก็บอกว่านางตะเคียนไปบอกว่าลูกศิษย์ไม่เชื่อฟังท่าน แกก็เลยปล่อยให้เจ้าดวงมาปราบ เมื่อคนพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องปล่อยให้ผีสอนเสียบ้าง วันนั้นตอนใกล้คํ่าท่านก็เดินไปที่กุดังไปจำวัดตามปกติ เวลาใกล้ ๒ ทุ่ม ท่านถึงจะกลับ อาตมากับเพื่อนสององค์ก็ไปรับท่านที่กุดังช่วยถือกานํ้า ถือหมอน ถือเสื่อของท่านเอามาเก็บที่กุฏิเพราะท่านจะกลับมาจำวัดที่กุฏิ พอไปถึงท่านก็ยิ้มบอกว่า "ข้าเก็บเจ้าดวงแล้ว เวลาที่ข้าเดินมา เจ้าดวงมันโผล่ขึ้นมาข้างๆ ทาง หัวมันใหญ่เท่าพ้อมเห็นจะได้เข้ามาถามว่า "ท่านจะไปไหน" ข้าก็เลยบอกว่า "ข้าจะไปนอน" แล้วมันก็หายไป พอข้าเข้าไปนอนในกุดังมันก็โผล่หน้านอกประตู ทำหัวใหญ่มากและต่อจากนั้นก็ทำตัวเท่าคนธรรมดา แล้วก็นั่งลงกราบท่านบอกว่า "ลำบากมากต้องการให้ท่านสงเคราะห์"

สัมภเวสี ต้องอุทิศส่วนกุศลเฉพาะบุคคล

ข้าก็เลยบอกว่า "ในฐานะที่เจ้าดวงมันเป็นสัมภเวสีนี่ช่วยง่าย ข้าก็เลยอุทิศส่วนกุศลให้แก่มัน" แล้วมันก็กราบ ๓ หน พอกราบครั้งที่ ๓ ลุกขึ้นมาปรากฏว่าร่างกายของเจ้าดวงสวยมากแล้วบอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปมันมีความสุขแล้ว จะไม่รบกวนใคร" ท่านก็ถามว่า "เอ็งรบกวนเขาทำไม" เจ้าดวงตอบว่า "ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะหลอก การที่ไปหาใครหรือทำให้ใครเห็นและก็บอกว่าชื่อเจ้าดวงประกาศให้ฟังทุกราย ก็เพื่อให้เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แต่หลายคนที่เขาทำบุญอุทิศส่วนให้เขาก็ว่า ยังกิญจิบ้าง อิมินาบ้าง ก็ไม่มีโอกาสจะได้รับ เพิ่งได้รับจากหลวงพ่อปานวันนี้เอง" เพราะว่าเวลาหลวงพ่อปานท่านอุทิศส่วนกุศลให้สัมภเวสีก็ดี หรือผีที่มาขอส่วนบุญก็ดี ท่านสอนว่าอย่าไปว่าภาษาบาลีให้ว่าภาษาไทยชัดๆ และก็อุทิศส่วนกุศลเฉพาะบุคคลที่จะพึงให้ ถ้าหว่านสาดๆ ไปคนที่มีกรรมหนักนิดหนึ่งก็ไม่มีโอกาสได้รับ หากให้เฉพาะเจาะจงเขาก็มีโอกาสได้รับ.."

เรื่องที่ ๑๒๕ ศีลขาดเป็นปกติตายแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเป็นสัมภเวสี


"..วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๑ เวลา ๘ นาฬิกาตรง ท่านลุงพุฒิ (พระยายมราช) มาชวนไปสำนักงานท่าน มีธุระด่วนแต่เรื่องมีไม่มาก บอกแล้วท่านก็เดินกลับไป เวลานั้นหลวงพ่อกำลังนมัสการพระอยู่ พระท่านบอกว่า "ไปเถอะมีธุระไม่มากแต่เนื่องด้วยเธอ ท่านพุฒิท่านจะสงเคราะห์คนบาปที่หาบุญได้ยากเต็มที" จึงคิดในใจว่าท่านลุงนี่ท่านสงเคราะห์ดะ คนมีแต่บาปไม่มีบุญท่านจะช่วยได้อย่างไร แต่เมื่อท่านมาตามและพระท่านก็เห็นชอบจึงไปตามที่ท่านสั่ง เมื่อไปถึงพบแม่น้อย แก้วแดง และตานา นั่งอยู่ก่อน ทั้งสองท่านมีความสุขไปนานแล้ว ท่านแต่งตัวสวยในเครื่องแบบปกติของท่าน

แม่น้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกที่เริ่มสอนพระกรรมฐาน
เป็นอันว่า เมื่อพบท่านทั้งสองแล้ว ถามท่านว่า "ท่านมาทำไม" ท่านตอบว่า "ท่านพระยายมราชไปเชิญให้มา ยังไม่รู้เหมือนกันว่าให้มาทำไม" เมื่อพบท่านลุงท่านบอกว่า "คอยประเดี๋ยว เจ้าหน้าที่กำลังไปพาจำเลยมา" เห็นเจ้าหน้าที่เข้าไปในกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ เข้าไปเกือบถึงก้นกลุ่ม จึงพาคนนั้นออกมา คนนี้รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาเหมือนคนเมาอยู่ตลอดวัน เมื่อเธอมาถึงแล้ว ท่านลุงบอกว่า "ความจริงยังไม่ถึงวาระที่จะสอบสวนเธอ แต่เห็นว่าวันพรุ่งนี้คุณจะไปกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานหนักมากใช้เวลาหลายวัน และเมื่อวาระของเธอคนนี้ถึงการสอบสวน ก็เป็นขณะที่คุณอยู่กรุงเทพฯ พอดี ผมก็ไม่มีโอกาสตามคุณมาได้ จึงลัดคิวให้ออกมาก่อน" ถามท่านว่า "เขามีบาปอะไรบ้าง"

ท่านบอกว่า "บาปไม่มากแต่บาปเป็นอาจิณคือดื่มสุราเป็นปกติ ศีลขาดเป็นปกติ ร่วมมือกับคนที่โกงเงินสงฆ์มาเป็นส่วนตัว เพราะได้ส่วนแบ่งเป็นปกติ แต่เห็นว่ายังมีความเป็นธรรมอยู่บ้างที่ไม่นินทาคุณและจิตไม่เลวไปตามพวกพ้องที่เลว จึงให้คุณมา อภัยสิ่งที่เธอพลาดพลั้งไปในคุณ เพื่ออโหสิกรรมให้เธอ แม่น้อย พ่อนา นี่ก็เหมือนกัน เธอเคยนินทาตามคนอื่น จึงขอร้องให้มาเพื่อให้อภัยเธอ จะได้ประวิงเวลาลงนรก" ถามท่านว่า "จะเอาไปไหน" ท่านบอกว่า "หลายขุมและมากขุมอยู่ แต่ขุมแรกที่จะลงคือขุมที่ ๗ ก่อน"

แล้วท่านก็จัดการให้เธอขอขมาโทษ ทั้งสามท่านก็กล่าวอโหสิกรรมให้เธอ ถามท่านว่า เมื่ออโหสิกรรมแล้ว เธอจะอยู่ที่ไหน" ท่านบอกว่า "ไปรอการลงนรกอยู่ก่อนโดยมีโอกาสเป็นสัมภเวสี ๓๐ ปีมนุษย์ ในระหว่างนี้ถ้าญาติทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ถูกจังหวะ ก็สามารถไปเป็นเทวดาได้ ถ้าทำไม่ถูกจังหวะและเมื่อครบ ๓๐ ปีแล้วก็ไปนรกขุมที่ ๗"

ถามท่านว่า "ทำอย่างไรชื่อว่าถูกจังหวะ" ท่านบอกว่า "ให้ถวายสังฆทานของครบกับพระ สุปฏิปันโนตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เธอแต่ผู้เดียว เท่านี้พ้นไปสวรรค์ก่อน หรือจะถวายพระองค์เดียวแทนสงฆ์ แต่พระองค์นั้นต้องเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้จึงพ้นได้ แต่ถ้าบุญหมด เมื่อเป็นเทวดาไม่ทำบุญต่อให้ได้ถึงพระโสดาบัน หมดบุญก็ลงมาเข้านรกขุมที่ ๗ ทันที" ถามท่านว่า "แล้วโอกาสสำหรับเขาจะมีไหม" ท่านส่ายหน้าบอกว่า "คนนี้ไร้ปัญญาไม่เคารพพระดี บูชาคนเลวที่ไม่ได้บวชพระ หรือถ้าจะบูชาพระก็ชอบบูชาพระเลวที่ไม่เคารพในพระธรรมวินัย ฉะนั้นเท่าที่พูดมาไม่มีผลสำหรับเธอเลย แต่ผมก็ช่วยตามกำลังของผม ช่วยแล้วเธอช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นกรรมของเธอ" ถามท่านว่า "เมื่อเป็นสัมภเวสีช่วยตัวเองได้อย่างไร"

ท่านบอกว่า "สัมภเวสีเป็นผีอิสระไม่ได้อยู่ในกรอบบังคับของใคร ถ้าเห็นว่า บุตร ธิดา ภรรยา ญาติหรือเพื่อน ที่พอมีอารมณ์จะรับได้ก็เข้าฝันบอกจริยาที่ทำบุญ เมื่อเขาทำให้ตามนั้นก็มีผลเป็นเทวดา แต่ทว่าจิตใจของเธอมัวมาก คิดว่ายากที่จะพ้นนรกขุมที่ ๗"

เรื่องที่ ๑๒๖ ออกลูกตายไปเกิดเป็นสัมภเวสี เข้ามาขอบุญหลวงพ่อในโบสถ์


"..มีอยู่คราวหนึ่งอาตมาลงปาติโมกข์ในโบสถ์ ผีตายโหงมันเพิ่งตาย อายุ ๒๗ ปี ออกลูกตาย วิ่งเข้ามาในโบสถ์เลย ท้าวมหาราชจับขามันไว้ แสดงว่ามันต้องมีกำลังใจสูงพอสมควร ถึงพุ่งเข้ามาที่โบสถ์ได้ ผีบอกว่า "จะมาหาหลวงพ่อ" หลวงพ่อจึงบอกท้าวมหาราชให้ปล่อยเข้ามา แล้วถามว่า "อีหนูเป็นอย่างไร" ตอบว่า "หนูคิดถึงหลวงพ่อ หนูเป็นสัมภเวสีอยู่"

อาตมาก็ให้โมทนาบุญ ธรรมดากำลังลงปาติโมกข์กันอยู่ เข้ามาไม่ได้ ท่านท้าวมหาราชท่านดูแลอยู่ แต่มันวิ่งเข้ามาได้ แสดงว่าต้องมีกำลังสูง.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 10:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๒๗ หลวงพ่อเห็นผีปอบที่ท่าลาน


"..สมัยเมื่ออาตมายังอยู่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เคยพบผีปอบ คราวนั้นหลวงพ่อไปเรือยนต์ขนาดเล็กไปจอดนอนพักที่ท่าลาน เพื่อไปสืบราคาค่าเหล็ก ค่าปูน ว่าราคาเท่าไร พอไปจอดก็มีคนมาทำบุญ ตอนกลางคืนเวลาตี ๒ ตื่นขึ้นมาเห็นคนผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัวไม่ดี วิ่งมายืนที่หน้าตลิ่ง และก็มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนหลังคาเรือยนต์ แล้วกวักมือบอกว่า "มึงเก่งจริงมาซิวะ"

ผลที่สุดพวกนั้นมองเห็นคนบนหลังคาเรือเข้าจึงวิ่งหนีไปหมดเลย จึงถามคนบนหลังคาเรือว่า "เป็นใคร" ให้ลงมา ท่านบอกว่า "ท่านชื่อพรสวรรค์" และพวกที่มาเป็นพวก "ผีปอบ" ตอนเช้าถามพวกแถวนั้นว่ามีผีปอบไหม เขาบอกว่า "มีมาก"
ผีปอบก็เป็นผีที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนธรรมดาอย่างพวกเรานี่เอง
"ผ้ายันต์แดง" คือ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" นี่ผีปอบหนี อาตมาเคยใช้มาแล้ว และให้ขอบารมีท่านพรสวรรค์ท่านอยู่บนพระนิพพานแล้ว ให้ท่านช่วยสงเคราะห์เพราะท่านปราบผีเก่ง.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ ๗ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน


1 เรื่องที่ ๑๒๘ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"

2 เรื่องที่ ๑๒๙ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นตัวหนอนอยู่ในกองขี้ควาย

3 เรื่องที่ ๑๓๐ พระติสสะก่อนตายจิตนึกถึงจีวรแพรผืนใหม่ ตายแล้วไปเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน

4 เรื่องที่ ๑๓๑ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเต่า

5 เรื่องที่ ๑๓๒ ตายจากคนไปเกิดเป็นสุนัข,เป็นเทวดาที่มีเสียงดังกึกก้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

6 เรื่องที่ ๑๓๓ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนกยาง

7 เรื่องที่ ๑๓๔ ตายจากคนไปเกิดเป็นวัว



เรื่องที่ ๑๒๘ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"


"..ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธกัสสป" ได้มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถํ้าติดชายทะเล คือภูเขาชายทะเล เวลานั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ท่านบวชเป็นพระจำศีลภาวนานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดาที่เรียกว่า "สมมุติสงฆ์"

วันหนึ่งท่านอาบนํ้าอยู่ชายทะเล มีเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นมาช้าๆ เพราะลมอ่อน เฉียดเข้ามาใกล้ที่ท่านอาบนํ้า ท่านเห็นตะไคร่นํ้าจับข้างเรืออยู่มันยาวมาก เรือเดินทะเลต้องเดินทางกันเป็นเดือนๆ ตะไคร่ก็จับมาก ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมาโผกายไปจับตะไคร่นํ้า ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย ร่างกายของท่านหนัก ตะไคร่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้จึงหลุดออกมา ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือแต่ไม่เป็นไรเพราะนํ้าตื้น

การพรากของเขียว คือการทำให้ตะไคร่นํ้าหลุดออกจากที่เดิม พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มีโทษไม่เหมือนกับอาบัติปาจิตตีย์การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นลงนรก แต่ปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พลัดพรากจากที่เดิมของท่านก็คือ ท่านเป็นพระอยู่องค์เดียวจึงไม่มีการแสดงอาบัติ คือไม่มีโอกาสระงับโทษนี้ เวลาตายอาบัติก็คาใจนิดเดียวเท่านี้ การจำศีลภาวนาของท่านไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม แต่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นพญานาค ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญบารมีมานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีสภาวะเป็นทิพย์มีความเป็นอยู่คล้ายเทวดา มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช" ก็เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา มีสภาพเหมือนตะไคร่นํ้าคือ ทั้งตัวรุ่มร่ามนุงนังไปหมด เหมือนตะไคร่นํ้าลอยนํ้า
ต่อมาพญาเอรกปัตตนาคราชก็ได้ นางนาควิกา คือนาคนารีอีกตัวหนึ่งมาเป็นคู่ครอง มีลูกสาวมีนามว่า "นางนาคมาณวิกา"

ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้น พญานาคตนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นนาคแต่มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ มีความคิดอยู่เสมอว่าเมื่อไรหนอพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จะทรงอุบัติขึ้น ท่านมีอายุนานเหลือเกินเพราะท่านเกิดเป็นนาคในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป และพระองค์ทรงนิพพานไปแล้ว สิ้นเวลาเป็นล้านๆ ปี ท่านพญานาคตนนี้ก็ยังมีอายุยืนเป็นพญานาคอยู่ ถ้าหากว่าท่านตายจากความเป็นนาค ความดีเดิมปรากฏก็จะบันดาลให้ท่านเป็นเทวดาได้ แต่ทว่าอายุของท่านมันนานเกินไป แต่จิตใจก็ยังน้อมไปด้วยกุศล

วันหนึ่งท่านเกิดไม่สบายใจคิดว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือยัง ทนไม่ไหวจึงได้เรียกลูกสาวคือ นางนาคมาณวิกาให้แปลงเป็นมนุษย์สาวสวย ตัวท่านเองก็แผ่พังพานให้ลูกสาวยืนอยู่บนพังพานของท่าน แล้วก็ร้องเพลงเป็นพุทธภาษิต ที่ท่านแต่งขึ้นโดยตั้งจิตคิดว่า เพลงนี้มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงแก้ได้ คนธรรมดาไม่สามารถจะแก้ได้ เพลงของท่านเป็นพุทธภาษิตที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป ตรัสไว้ ท่านจำได้เพราะจิตเป็นทิพย์
เมื่อท่านแผ่พังพานลอยขึ้นมาในน่านนํ้า นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงที่พ่อแต่งให้ โดยมีสัญญาว่า "ถ้าใครร้องเพลงแก้เพลงนี้ได้ เราจะยอมเป็นภรรยา" รูปร่างหน้าตาของลูกสาวท่านสวยมาก ไม่ว่าใครๆ ที่ทราบข่าวก็พากันไปร้องเพลงแก้ เมื่อร้องเพลงแก้แล้วนางก็ตอบว่า "ไม่ถูก" ท่านพ่อก็เป็นพยานบอกว่า "ยังไม่ถูก" ถ้าร้องเพลงแก้ถูกเมื่อไรก็ยกลูกสาวของเราให้เป็นภรรยาทันที เพราะสภาวะท่านเป็นทิพย์ ท่านก็พูดภาษาคน

อุตตรมาณพบรรลุพระโสดาบัน
ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นคู่ครองกันมากับนางนาคมาณวิกา จะได้เป็นพระโสดาบัน เวลานั้นอุตตรมาณพได้ยินข่าวเขาลือว่า นางนาคมาณวิกามีรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงสวยยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆ ในโลกที่จะพึงสวยเท่า มาร้องเพลงให้คนแก้ ถ้าใครแก้ได้จะยอมเป็นภรรยา จึงได้ศึกษาว่าเพลงเขาร้องว่าอย่างไร ก็ตั้งใจจะร้องแก้ ก็เดินออกจากบ้านไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบอุปนิสัยว่าเขาจะได้ พระโสดาปัตติผล พระองค์จึงได้ไปนั่งดักกลางทาง ครั้นอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าจึงเข้าไปถวายนมัสการเพราะรู้จัก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า "เธอจะไปไหน"

อุตตรมาณพจึงได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะไปร้องเพลงแก้นางนาคมาณวิกา"พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เขาจะต้องเป็นคู่ครองกันแน่ และอีกประการหนึ่ง เมื่อเป็นคู่ครองกันแล้วได้ฟังเทศน์ของพระองค์ เขาจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงต้องการอย่างเดียวคือพระโสดาปัตติผล ให้เขาเจริญเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระองค์จึงตรัสถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่เธอจะไปร้องแก้ เธอจะร้องว่าอย่างไร" อุตตรมาณพจึงเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระองค์จึงได้บอกว่า "แก้แบบนี้ไม่ถูก ต้องแก้แบบนี้" แล้วพระองค์ก็ทรงผูกเพลงเป็นพุทธภาษิตไปให้ร้องเพลง และอุตตรมาณพก็ไปขอรับอาสาจะร้องเพลงแก้ นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงคำถาม อุตตรมาณพก็ร้องเพลงแก้

พญาเอรกปัตตนาคราชตั้งใจฟังอยู่ พอได้ฟังการร้องเพลงแก้นี้ถูกต้องตามที่ตนตั้งใจไว้ ก็คิดในใจว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะต้องอุบัติขึ้นแล้ว ก็ดีใจจึงได้เอาพังพานตีนํ้า นํ้าเป็นคลื่นทำเอาคนที่ยืนอยู่ริมแม่นํ้า หล่นลงไปในนํ้าตามๆ กันเพราะถูกคลื่น พญาเอรกปัตตนาคราชจึงค่อยๆ เอาหางประคองคนทั้งหมดขึ้นไปบนตลิ่ง แล้วตนเองก็แปลงเป็นมนุษย์ขึ้นไปถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่ท่านนำมาแก้นี้ ท่านคิดได้เองหรือว่าใครสอนท่าน" อุตตรมาณพจึงตอบว่า "เพลงนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้" ท่านจึงถามว่า "เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน" อุตตรมาณพบอกที่แล้วก็พากันไป

เมื่อไปถึง พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตตรมาณพเป็นพระโสดาบัน นางนาคมาณวิกาและพญาเอรกปัตตนาคราชเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ แล้วยกลูกสาวพร้อมด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ให้อุตตรมาณพ คือนำสมบัติส่วนนั้นมาไว้เมืองมนุษย์ จะนำไปไว้บาดาลไม่ได้ อุตตรมาณพกลายเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า การฟังพระธรรมเทศนาคราวนั้น ถ้าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็จะได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น ที่ฟังแล้วไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ก็เพราะว่าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่ใช่คน เป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล

การที่นำเรื่องราวของพญาเอรกปัตตนาคราชมาเล่านี้ ก็เพื่อให้บรรดาพุทธบริษัทรู้จักลีลาของพระว่า พระองค์ใดท่านปฏิบัติไม่ดีเพียงแค่ความชั่วเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าพระองค์มีนิสัยไม่ดี คือมีจิตอิจฉาริษยาบุคคลอื่นที่ทำตนได้ดีกว่าก็ตาม หรือเรี่ยไรทรัพย์สินทั้งหลายมาแล้ว ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์กลับเอาไปประกอบกิจเป็นประโยชน์ของตนก็ตาม ให้เป็นประโยชน์แก่พวกพ้องก็ตาม เหล่านี้เป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลง อเวจีมหานรก ถ้าท่านทั้งหลายไปเคารพ ปฏิบัติตามพระพวกนี้เข้า พระไปนรกท่านก็ไปนรกด้วย พระไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานท่านก็ไปเกิดด้วย เพราะนิยมตามแบบฉบับเดียวกัน.."

เรื่องที่ ๑๒๙ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นตัวหนอนอยู่ในกองขี้ควาย


"..ตำนานเดิมมีพระสงฆ์บวชอยู่ด้วยกัน ๒ องค์เป็นเพื่อนกัน ได้มีสัญญากันว่าถ้าหากว่าเราสองคนนี้ต่างตายจากกันไป ถ้าใครตายแล้วไปมีความสุข ต้องมาช่วยคนที่มีความทุกข์ ปรากฏว่าต่อมาไม่นานนักพระทั้งสององค์ก็ตาย

องค์หนึ่งก่อนตายมีอารมณ์ผ่องใส จิตใจไม่มีกังวล ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเทวดา
ส่วนอีกองค์ก่อนจะตายมีอารมณ์มัว คือเศร้าหมองนิดหน่อย จิตใจจึงกระสับกระส่ายแต่อารมณ์ไม่ชั่ว ตายไปแล้วจึงไปเกิดเป็นตัวหนอนตัวใหญ่อยู่ในกองขี้ควาย

อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ให้ทำอารมณ์จิตให้ผ่องใส" จึงมีความสำคัญมาก เพราะถ้ามีอารมณ์เศร้าหมองถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม อย่างในเรื่องนี้ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พระองค์ที่ไปเกิดเป็นเทวดาได้มาพิจารณาดูว่า เวลานี้เรามาเกิดเป็นเทวดามีวิมานเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าเป็นบริวารหนึ่งพันองค์ ส่วนเพื่อนของเราเวลานี้ไปอยู่ที่ไหน มองไปด้วยความเป็นทิพย์ของเทวดา ก็เห็นเพื่อนเป็นตัวหนอนตัวใหญ่อยู่ในกองขี้ควาย ก็นึกถึงสัญญาที่เคยมีกันไว้สมัยเป็นพระสงฆ์ด้วยกัน ท่านจึงได้แปลงเป็นนกกระยางขาวปลอดบินมายังเมืองมนุษย์ เห็นเพื่อนซึ่งเป็นหนอนตัวใหญ่กำลังกินกำลังนอนแบบสบาย เรียกว่าที่กินที่นอนอันเดียวกัน มีความสุขอย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า "หนูตกถังข้าวสาร"

เพื่อนที่เป็นเทวดาทราบว่าหนอนเป็นสัตว์ที่มีอายุสั้น ถ้าตายจากหนอนเมื่อไร ด้วยอำนาจบุญเก่าที่ทำไว้ก็จะบันดาลให้ไปเกิดเป็นเทวดาทันที จะมีวิมานและมีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวารเหมือนกัน นกกระยางขาวปลอดที่แปลงกายมา ก็ย่องเข้าไปใกล้ทำท่าจะจิกหนอน เพื่อทำลายซากให้หมดไป จิตของหนอนจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา แต่หนอนตัวนั้นได้ร้องบอกว่า "ช้าช้า เจ้าโจรร้ายจะมาทำลายชีวิตข้าเพื่อประโยชน์อะไร" นกกระยางจึงตอบว่า "เราเคยเป็นเพื่อนกันกับท่านสมัยบวชเป็นพระด้วยกัน และมีสัญญาเดิมกันไว้ว่า ถ้าใครมีความสุขต้องมาช่วยคนที่มีความทุกข์ เวลานี้ท่านเป็นหนอนอยู่ในกองขี้ควาย สมัยที่เป็นมนุษย์เราพากันรังเกียจว่าขี้ควายสกปรก และเหยียดหยามสัตว์เดรัจฉานว่าเป็นสัตว์ชั้นตํ่า เราจะทำลายซากภายนอกของท่านเพื่อให้จิตของท่านไปเกิดเป็นเทวดามีวิมานเป็นที่อยู่และมีนางฟ้าสวยๆ เป็นบริวาร" พระหนอนตอบว่า "เรามีความสุขกว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลาย เพราะมนุษย์ต้องทำมาหากิน เหน็ดเหนื่อย ถูกติฉินนินทาว่าร้าย ถูกกลั่นแกล้ง มีความทุกข์นานาประการ แต่เรามีความสุขกว่าคนมากมาย เพราะว่าบ้านของเราเป็นอาหารของเราเสร็จ กินที่นี่นอนที่นี่ ที่นอนก็นุ่มนิ่มดี เป็นอาหารเสร็จไปในตัว ไม่ต้องกลัวอด ไม่มีความลำบาก"
เป็นอันว่าพระหนอนไม่ต้องการให้ทำลายร่างกายของตน เพราะพอใจแบบนั้น เพื่อนที่แปลงตัวเป็นนกกระยางขาวปลอดก็ต้องบินกลับไป.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๓๐ พระติสสะก่อนตายจิตนึกถึงจีวรแพรผืนใหม่ ตายแล้วไปเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน


"..ท่านติสสะ ท่านบวชในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะพระองค์ยังมี พระชนมายุอยู่ ต่อมาวันหนึ่งท่านเห็นเพื่อนเขาห่มจีวรแพร ท่านก็อยากจะห่มจีวรแพรบ้าง พอดีท่านมีจีวรอยู่ผืนหนึ่งรู้สึกว่าจะเป็นผ้าเนื้อหยาบสักหน่อย ท่านจึงเอาไปให้พี่สาวจัดการทำให้ พี่สาวเห็นผ้าของพระน้องชายเนื้อหยาบมาก ก็ทุบเสียไปสะไปสางไปกรอใหม่เป็นผ้าเนื้อนิ่ม ทำให้เป็นผ้าเนื้อละเอียดเย็บแล้วก็นำมาย้อมดูเป็นผ้ามีราคาสูง แล้วเอาไปให้พระน้องชาย

เวลานั้นพระติสสะท่านป่วยมากจนไม่สามารถจะครองจีวรนี้ได้ เมื่อเห็นผ้าที่พี่สาวนำไปให้เป็นผ้าเนื้อละเอียดดีมาก แต่ผ้าของท่านที่ให้ไปเป็นผ้าเนื้อหยาบ อาศัยกำลังใจที่สะอาดมากของท่านจึงบอกกับพี่สาวว่า "ผ้าผืนนี้อาตมารับไม่ได้" พี่สาวก็ถามว่า "ทำไม" ท่านก็บอกว่า "ผ้าอาตมาที่ให้พี่ไปเป็นผ้าเนื้อหยาบ แต่ผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่มีเนื้อดีมาก ไม่ควรแก่การที่จะรับไว้เพราะผิดพระวินัย เกรงว่าจะเป็นการขโมยหรือโกงผ้าของบุคคลอื่น"

พี่สาวจึงบอกว่า "ความจริงผ้าผืนนี้เป็นผ้าของท่าน เมื่อท่านนำผ้าเนื้อหยาบมาให้ ฉันก็เลยทุบทำเสียใหม่ เอาด้ายมากรอเสียใหม่ ทำใหม่หมดเป็นด้ายเส้นเล็กๆ เนื้อถึงได้บางสวยแบบนี้" ท่านก็ยอมรับเห็นว่าไม่ผิดพระวินัย เมื่อพี่สาวกลับไปแล้ว ท่านก็อยากจะห่มจีวรผืนนี้เต็มที แต่ห่มไม่ไหวเพราะป่วยจนลุกไม่ขึ้น จิตใจก็มีความรู้สึกรักจีวรผืนนี้มาก แต่ไม่นานนักไม่ทันได้ห่มจีวรท่านก็ถึงแก่ความตาย ก่อนจะตายจิตแทนที่จะนึกถึงพระรัตนตรัย จิตท่านไปกระหวัดนึกถึงจีวร แทนที่จะไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ กลับไปเกิดเป็นเล็นตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในตะเข็บของจีวรอยู่ ๗ วัน

ตามพระวินัยถ้าพระตายไปแล้ว ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดต้องตกเป็นของสงฆ์ ญาติพี่น้องจะถือว่าฉันมีสิทธิ์เป็นทายาทผู้รับมรดกไม่ได้ ถ้าจะให้กันต้องให้ก่อนตาย ถ้าไม่ให้ก่อนตายตกเป็นของสงฆ์หมด เมื่อพระติสสะตายแล้ว บรรดาพระทั้งหลายก็ไปจัดการว่าทรัพย์สมบัติของพระติสสะมีอะไรบ้าง ก็หยิบโน่นหยิบนี่ตามที่มีอยู่ หยิบอย่างอื่นไม่มีเรื่อง พอพระองค์หนึ่งไปจับจีวรแพรผืนนั้นเข้า เล็นติสสะร้องตะโกนเสียงดังว่า "ไอ้ขโมยปล้นจีวร ไอ้ขโมยปล้นจีวร" แต่เป็นการบังเอิญจริงๆ พระที่ไปนั้นไม่มีพระหูทิพย์เลย เลยไม่ได้ยิน

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระคันธกุฎีได้ยินเสียงเล็นตะโกนแบบนั้น ทรงบอกพระอานนท์ว่า "ไห้รีบไปที่กุฏิท่านติสสะเดี๋ยวนี้ บอกพระทั้งหลายว่าจีวรผืนนั้นให้วางไว้ก่อน ภายใน ๗ วันนี้ห้ามมาแตะต้องเด็ดขาด วันที่ ๘ จึงแตะต้องได้" พระอานนท์กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "เป็นเพราะอะไร" พระองค์ก็ตรัสว่า "พระติสสะก่อนที่จะตายห่วงจีวร และมีความรักในจีวรผืนนี้มากเพราะเนื้อดีมาก ดีกว่าทุกผืนที่เคยมีอยู่ เธอตั้งใจจะครองผ้าผืนนี้แต่ว่าโอกาสไม่มีมาตายเสียก่อน ก่อนจะตายจิตใจก็นึกถึงจีวรผืนนี้ ตายแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน" เพราะเล็นมีอายุแค่ ๗ วัน หลังจากนั้นวันที่ ๘ เล็นตัวนี้ก็จะตาย อายุขัยของเขาแค่นั้น มีอายุขัยแค่ ๗ วันเหมือนกับยุง

เล็นติสสะตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

การที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงแนะนำให้เจริญพระกรรมฐาน ทำสมาธิจิตและวิปัสสนาญาณก็เพื่อจิตมุ่งอะไร ใจจะไปอย่างนั้นตามกำลังของใจเมื่อตายไปแล้ว ขณะทรงชีวิตอยู่ให้มีความรู้สึกนึกถึงความตายไว้เป็นปกติและไม่ประมาทในชีวิต อย่าไปหลงใหลใฝ่ฝันกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เกินไป ให้คิดถึงความจริงของคนว่า ถ้าตายไปแล้วไม่มีโอกาสที่จะครองทรัพย์สมบัติใดๆ ได้อีก ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยมันไว้ ตายแล้วก็เลิกกัน ถ้าอารมณ์จิตของท่านเป็นอย่างนี้ จิตใจก็จะผ่องใส ถ้าจิตใจของเราในระหว่างเป็นมนุษย์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตายเมื่อไรก็ไปพระนิพพานเมื่อนั้น.."

เรื่องที่ ๑๓๑ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเต่า


"..มีเต่าตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เจ้าของมีความรู้สึกว่าเต่าอยากจะมาหาหลวงพ่อ จึงพามาที่บ้านสายลม วันแรกมาถึงเจ้าของจับใส่ไว้ในกล่อง เต่าอยากตะกายออกจากกล่องท่าเดียว พอพ้นออกมาได้ก็คลานมาหาอาตมาทันที วันรุ่งขึ้นเจ้าของพามาอีก ขณะที่หลวงพ่อเทศน์และให้นั่งเจริญพระกรรมฐานตอนกลางคืน เต่าอยู่นิ่งไม่คลานไปไหน มองตลอดเวลา พอเจริญพระกรรมฐานเสร็จ มองดูเต่า เต่ายื่นหัวออกมาจากกระดองจนสุดแล้วก้มหัวติดพื้น เต่านํ้าตาไหล อาตมาบอกว่า "เต่าตัวนี้ตายคราวนี้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์" พอเห็นภาพนั้นก็นึกในใจว่าอยากจะรู้กฎของกรรมว่าเป็นเพราะอะไร

พอตอนเย็นขึ้นพักอาบนํ้าแล้วก็นอน วันนี้เพลียมากใจสั่นอารมณ์ไม่ทรงตัวนัก คุมอารมณ์แบบนี้มันก็จะแถไปแบบโน้น แต่มันไม่ลงตํ่ามันอยู่สูง แต่มันไม่ไปตามที่เราชอบ นึกในใจถ้ามีเรื่องอะไรจะต้องรู้ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าคุมอารมณ์ทรงตัวเราจะไม่รู้เรื่องนั้น ถ้าเรื่องจำเป็นจะต้องรู้มีอยู่ จะคุมอารมณ์ทรงตัวไม่ได้ จะเป๋ไปไม่เข้าทางตามที่เราต้องการนัก ก็เลยหยุด พอหยุดปั๊บก็มีเสียงบอก "ให้ทำฌานสมาบัติ" พอจับก็อยู่ เมื่ออยู่แล้วจิตก็นึกถึงเต่าว่า "เต่ามีความเป็นมาอย่างไรจึงสนใจพระ สนใจคน สนใจกับสิ่งที่เป็นกุศลมาก"

พระท่านก็บอกว่า "เต่าตัวนี้ก่อนที่จะมาเป็นเต่าเป็นพระสงฆ์"

เป็นอันว่าเต่าตัวนี้มาจากพระสงฆ์ ถามท่านว่า "เป็นพระตายแล้วน่าจะเป็นเทวดาเป็นพรหม" ท่านบอก "แน่นักหรือ พระนี่ไปอบายภูมิมากกว่าเกิดเป็นคน พระที่มาเกิดเป็นคนก็น้อยกว่าที่ไปเกิดเป็นเทวดา พระที่ไปเกิดเป็นเทวดาก็ยังน้อยกว่าที่ไปเกิดเป็นพรหม" ได้ถามความเป็นมาตอนต้นเขามีความประพฤติดี รักษาศีล รักษาธรรม ทำทาน รู้สึกดีมากในเกณฑ์ของศีลไม่ใช่สมาธิ สมาธิมีเล็กน้อย มีการเสียสละ มีการให้ทาน มีการก่อสร้าง เห็นประวัติเขาดีมากแต่ว่าตอนปลายมือจิตมัวไปหน่อย ตอนใกล้จะตายก็มีบริวารมากขึ้น มีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้น ก็ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง อารมณ์ก็เลยรักลูกศิษย์มากไป ลูกศิษย์ทำไม่ดีก็ไปโกรธ โกรธจนฝังใจ โกรธประเดี๋ยวเลิกมันก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แต่นี่โกรธค้างคืน ก็พอดีเวลาตายอารมณ์เศร้าหมองก็ไปเกิดเป็นเต่า เป็นเต่าแค่ชาติเดียวตายแล้วก็จะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตอนพูดถึงเต่าหันหน้ามานํ้าตาไหล อาตมาเลยสงสาร

รวมความว่า อย่าลืมอารมณ์โทสะ ทุกคนต้องมีแต่พยายามฝึกอย่าให้มันค้างนาน แต่รายนี้ไม่ได้โกรธจะฆ่าใครหรอก แค่ลูกศิษย์บางคนทำไม่ดี จิตก็ไปเกาะมากเกินไป ต้องคิดว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า "อักขาตาโร ตถาคตา" แปลว่า "ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก" บอกแล้วทำดีเราก็คบหาสมาคม เมื่อไม่ทำดีเราก็เฉย หมดเรื่องกันไป คำว่าเฉยหมายความว่าไม่คบ ถ้าหนักเกินไปก็ลงพรหมทัณฑ์ ก็ต้องถือว่าตัวใครตัวมัน นี่เป็นเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้าพูดตามส่วนก็ถือว่าโทษไม่มาก

แต่จิตไปเศร้าหมองไปขุ่นมัวเมื่อลูกศิษย์ทำชั่ว และก็มีอารมณ์ขัง เมื่อตอนจะตายมันกระตุกขึ้นมา นึกถึงไอ้เจ้านั่นขึ้นมา อารมณ์จึงมัวและก็ตายตอนนั้น จึงมาเกิดเป็นเต่า.."

เรื่องที่ ๑๓๒ ตายจากคนไปเกิดเป็นสุนัข,เป็นเทวดาที่มีเสียงดังกึกก้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


"..สุนัขตัวนี้เดิมทีเดียวเป็นคน ชื่อ "โกตุหลิกะ" อยู่เมืองๆ หนึ่งเกิดโรคระบาดขึ้น ก็พาเมียกับลูกน้อยเพิ่งคลอดได้ ๒-๓ เดือนยังคลานไม่ได้ อุ้มเดินทางผ่านป่าไปยังอีกเมืองหนึ่ง ในที่สุดหลายวันเข้าอาหารที่นำมาก็หมด สองคนผัวเมียก็อดอาหาร สามีก็บอกภรรยาว่าอุ้มลูกไม่ไหวแล้วทิ้งเสียเถิด เธอยังสาวอยู่ พี่ก็ยังหนุ่ม พี่จะสร้างให้ใหม่ ฝ่ายภรรยามีความรักในลูกก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงเอาลูกมาอุ้มแทนเสียเอง

ต่อมาตอนเย็นใกล้ค่ำสามีก็หาอุบายบอกภรรยาว่า เธออุ้มลูกมานานแล้วผลัดกันเถิด ฉันก็รักลูกเหมือนกัน ภรรยาก็เชื่อยอมให้สามีอุ้มลูก สามีก็แกล้งเดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปข้างหน้าก่อน เมื่อเห็นภรรยาเดินไปไกลแล้ว ก็เอาลูกไปไว้โคนต้นไม้แล้วเอาใบไม้กลบ แล้วก็เดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปไกลๆ ก่อน จึงค่อยๆ เดินไปทันก็เป็นเวลาคํ่ามากแล้ว ภรรยาก็ถามว่า "ลูกไปไหน" สามีก็บอกตามความเป็นจริงว่าทิ้งไว้ตรงโคนต้นไม้โน้น ภรรยาก็เสียใจเดินย้อนกลับมาใหม่แต่ก็หาลูกไม่พบ ผลที่สุดต่างคนต่างเดินตามกันไป

พอมาถึงอีกเมืองหนึ่งอาศัยความหิวโหยมา ๒-๓ วัน มันจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว เห็นบ้านสวยหลังใหญ่มีคนมาก ก็คิดว่าบ้านนี้คงจะมีอาหาร สองคนจึงเข้าไปในบ้าน คลานเข้าไปหาเจ้าของบ้านขออาหารกิน ท่านคหบดีเวลานั้นกำลังกินข้าวอยู่และมี สุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง หมอบอยู่ข้างๆ ท่านกินบ้างแบ่งให้สุนัขกินบ้าง ข้าวที่สุนัขกินเป็นข้าวมธุปายาสที่ท่านคหบดีกิน เป็นข้าวชั้นเลิศของคนสมัยนั้น

เมื่อสองสามีภรรยาเข้าไปขออาหาร ท่านก็สั่งคนใช้ไปนำอาหารมาให้ เมื่อเขานำอาหารมาให้แล้วภรรยามีความรักในสามีมากก็ยังไม่กิน ให้สามีกินก่อน สามีก็แสนดีกินเสียจนกระทั่งไม่เหลือ ภรรยาก็ถามว่า "อิ่มหรือยัง" สามีก็ตอบว่า "ยังไม่อิ่ม" ยังไม่พอ ภรรยาก็ส่งส่วนของตนให้อีกโดยยอมหิว ทีนี้เมื่อกินจานที่สองเข้าไปมันก็อึดอัด ผลที่สุดก็แน่นจุกเสียด ก่อนที่จะตายขณะที่กำลังกินอาหาร ท่านโกตุหลิกะคิดถึงเจ้าสุนัขตัวนี้ว่ามีบุญดีกว่าเราซึ่งเป็นคนเสียอีก เราเป็นคนอดๆ อยากๆ แต่เจ้าสุนัขตัวนี้มันมีความสุข กินอาหารดีๆ ที่อยู่ก็สบาย ท่านคหบดีกินอะไรมันก็ได้กินอย่างนั้น รู้สึกว่ามันดีกว่าคนใช้ในบ้าน และคนใช้ในบ้านก็ยังดีกว่าเรา แต่เรามีความเป็นอยู่เลวกว่าสุนัข ขณะกินข้าวท่านก็มองดูสุนัขไป จิตก็นึกถึงแต่สุนัข ก็ตายเวลานั้น เมื่อตายแล้วจิตเลยเข้าท้องสุนัขตัวนั้นไป

ตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข

ต่อมาเจ้าสุนัขตัวนั้นก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ เป็นสุนัขแสนรู้เพราะตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข จึงรู้ภาษาคนทุกอย่าง ดังนั้นเวลาท่านคหบดีจะทำอะไร จะใช้อะไร มันทำได้ทุกอย่างตามที่สุนัขสามารถจะพึงทำได้

เวลาออกพรรษา ท่านคหบดีมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาก ได้นิมนต์มาฉันภัตตาหารเป็นประจำตลอดจนกว่าจะเข้าพรรษา มาอยู่ที่ภูเขาใกล้ๆ บ้าน ตอนเช้าท่านก็ไปรับพระปัจเจกพุทธเจ้า พอถึงพุ่มไม้ท่านก็เอาไม้ตีส่งเสียงดังเป็นการไล่สัตว์ร้ายที่อยู่ในพุ่มไม้นั้น พอไปถึงถ้ำในภูเขาที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ก็เข้าไปกราบนิมนต์ท่าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็จำ บางวันท่านคหบดีไปนิมนต์ไม่ได้เพราะมีธุระ ก็ใช้ให้เจ้าสุนัขตัวนี้ไปแทน เมื่อไปถึงพุ่มไม้ที่ท่านคหบดีเคยเอาไม้ตี เจ้าสุนัขตัวนี้ก็ส่งเสียงเห่าโฮ้งๆ เป็นการไล่สัตว์ที่อยู่ในนั้น พอไปถึงวิหารพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็หมอบคลานเข้าไปส่งเสียงโหยหวนเล็กน้อย เป็นการแสดงว่านิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ตามมันมา เจ้าสุนัขก็เดินนำหน้า พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านก็เลี้ยวเข้า ทำอย่างนี้เป็นปกติ

บางครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลองดูว่า เจ้าสุนัขตัวนี้จะรู้จริงหรือไม่ พอท่านเดินถึงทางที่เจ้าสุนัขเลี้ยว ท่านก็ไม่ยอมเลี้ยวท่านเดินตรงไป เจ้าสุนัขก็เข้าขวางหน้า เมื่อท่านไม่ยอมกลับมันก็ดึงชายสบงให้เข้าทาง ผลที่สุดพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องตามไป

รวมความว่าเจ้าสุนัขก็ปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำและมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก รวมทั้งมีความเคารพด้วย เพราะเวลาไปถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าก็หมอบคลานเข้าไปแล้วก็ส่งเสียงนิดหน่อย ลีลาคล้ายจะนิมนต์ท่าน เป็นการแสดงความเคารพ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็นั่งอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา

ตายจากสุนัขไปเกิดเป็นเทวดา

พอถึงเวลาเข้าพรรษาพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านต้องกลับภูเขาคันธมาทน์ ท่านก็ลาท่านคหบดี อาจจะบอกลาเจ้าสุนัขด้วยก็ได้ หลังจากนั้นท่านก็เหาะไป เจ้าสุนัขตัวนี้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปมันก็คิดถึง จึงเห่าบ้างหอนบ้างแสดงความอาลัย เมื่อท่านลับไปเจ้าสุนัขตัวนี้ก็ขาดใจตายทันที อาศัยที่มีความเคารพและรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาหลายเดือน เมื่อตายจากสุนัขก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมีนามว่า "โฆษกเทพบุตร" (โฆษกะแปลว่ากึกก้อง) แปลว่า "เทวดาที่มีเสียงดัง" พูดตามปกติธรรมดาเสียงเบาๆ ดังไปไกล ๖๐ โยชน์ ถ้าพูดเต็มเสียงจะดังก้องทั่วดาวดึงส์และมีเสียงเพราะด้วย เป็นผลของการส่งเสียงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าและส่งเสียงขับไล่สัตว์ร้ายที่จะมีระหว่างทาง และก็ส่งเสียงแสดงความรักความอาลัยในพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไป

เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน

การที่เจ้าสุนัขตัวนี้เห่าหอนจนขาดใจตายทันทีเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะลับไป ก็เพราะมีความเคารพรักและอาลัยในท่านมาก ความรู้สึกอย่างนี้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า "พุทธานุสสติกรรมฐาน" ถ้าจะถามว่าสัตว์เจริญกรรมฐานได้หรือ ก็ขอตอบว่า "เจ้าสุนัขตัวนี้นั้นเจริญพระกรรมฐาน" ถ้าจะถามอีกว่า "ถ้าเจริญพระกรรมฐานมันนั่งสมาธิไม่ได้"

ก็ต้องตอบว่า "กรรมฐานไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิ กรรมฐานอยู่ที่อารมณ์ของใจหรือสมาธิเป็นอารมณ์ของใจ และวิปัสสนาเป็นอารมณ์ของใจ ร่างกายจะอยู่ท่าไหนนั้นไม่มีความสำคัญ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จะนอนก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าให้จิตจับอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราต้องการ"

อย่างเจ้าสุนัขตัวนี้จิตใจจับอยู่ในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นปกติ ถ้าจะถามว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมจึงเรียกว่า พุทธานุสสติ" ก็ต้องตอบว่า "ปัจเจกพุทธะ คือ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่บรรลุเองโดยไม่ต้องมีครูสอนเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ทว่าไม่มีหน้าที่สอนโดยตรงกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ใครสนใจธรรมไปหาท่านก็ช่วยแต่ท่านไม่เดินไปสอนเป็นสาธารณะทั่วไปเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ถ้ามีความจำเป็นท่านก็ไปหาเหมือนกันเป็นบางรายเท่านั้น

ฉะนั้น การที่สุนัขตัวนี้นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็น "พุทธานุสสติ"
ต่อมาเกิดใหม่ภายหลังกรรมที่ทิ้งลูกให้ตายในป่า กรรมนี้เข้ามาสนองให้ท่าน ถูกทอดทิ้งให้ตายถึง ๗ ครั้ง

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑ เมื่อหมดบุญบารมีจากความเป็นเทวดา ท่านโฆษกเทพบุตรก็จุติลงมาเกิดเป็นลูกหญิงงามเมืองคือโสเภณีในเมืองโกสัมพี เกิดเป็นลูกผู้ชาย แต่หญิงงามเมืองย่อมเลี้ยงเฉพาะลูกผู้หญิง ไม่เลี้ยงลูกผู้ชายเพราะเชื้อสายของเธอจะสืบไม่ได้ จึงเอาทารกใส่กระด้งแล้วเอาไปทิ้งที่กองขยะ ก็มีกาบ้าง สุนัขบ้าง ต่างพากันมาจับกลุ่มแวดล้อมเด็กไว้ ป้องกันไม่ให้มีอันตราย ผลแห่งการเห่าการหอนด้วยความเคารพรักพระปัจเจกพุทธเจ้า และเห่าหอนป้องกันอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อมาถึงพุ่มไม้ที่จะเป็นอันตรายก็เห่ากรรโชกไล่สัตว์ เป็นเหตุให้กาก็ดี สุนัขก็ดีมาแวดล้อมป้องกันอันตราย แม้แต่มด เล็น ไร ตัวหนึ่งก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ได้ ขณะนั้นมีคนผู้หนึ่งออกไปนอกบ้านเห็นการจับกลุ่มของกาและสุนัข จึงเดินเข้าไปที่นั้นเห็นเด็กทารกก็เกิดความรักเหมือนกับรักลูกของตัวเอง ได้เข้าไปอุ้มนำไปสู่เรือนด้วยความดีใจว่าเราได้ลูกชายแล้ว

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒ ในเวลานั้นได้มีเศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีเดินมาพบท่านปุโรหิตออกมาจากพระราชวังจึงได้ถามว่า "ท่านอาจารย์ วันนี้จะมีเหตุร้ายเหตุดีกับชาวบ้านชาวเมืองบ้างไหม" ท่านปุโรหิตก็บอกว่า "อย่างอื่นไม่มีแต่เด็กที่เกิดวันนี้จะเป็นมหาเศรษฐีในเมืองนี้ในวันหน้า" เวลานั้นภรรยาของท่านเศรษฐีกำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงให้คนใช้ไปดูว่าคลอดหรือยังมาบอกให้ทราบ เมื่อสั่งคนใช้แล้วก็ไปเฝ้าพระราชา เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้งให้มีฉัตร ๓ ชั้นและมีกิจในการเฝ้าพระราชาเหมือนกับเสนาบดีผู้ใหญ่ เมื่อเฝ้าพระราชาแล้วก็กลับมาบ้านเมื่อทราบว่าภรรยายังไม่คลอดจึงเรียกหญิงคนใช้ชื่อ "กาลี"
"กาลี" ไม่ได้แปลว่า "ระยำ" กาละแปลว่ากาลเวลา

คือผู้หญิงคนนี้เป็นคนรับใช้ต้องทำงานตามเวลาที่เขาสั่งเรียกมาให้เงินหนึ่งพันกหาปณะ (๑ กหาปณะเท่ากับ ๔ บาท ๑,๐๐๐ กหาปณะก็เท่ากับ ๔,๐๐๐ บาท) สมัยนั้นเงินพันมีค่าสูงมาก ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ทองคำหนัก ๑ บาทราคา ๑๐ บาทเศษๆ ท่านเศรษฐีบอกให้นางกาลีไปซื้อเด็กที่เกิดวันนี้มา เมื่อนางกาลีไปถึงเรือนเด็กคนนั้นก็ถามว่า "เด็กคนนี้เกิดเมื่อไร" เขาตอบว่า "เกิดวันนี้" จึงขอซื้อเด็กประมูลราคาตั้งแต่ ๑ กหาปณะไปจนถึงหนึ่งพันกหาปณะ แล้วนำเด็กนั้นไปให้ท่านเศรษฐี ท่านก็คิดว่าถ้าลูกของเราเป็นผู้หญิงเราจะให้มันอยู่กับลูกสาวของเรา แล้วทำให้มันเป็นเจ้าของตำแหน่งมหาเศรษฐี แต่ถ้าลูกของเราเกิดเป็นชาย เราจะฆ่ามันเสีย จึงได้รับเด็กคนนั้นไว้ในเรือน

โคอสุภะนายฝูงช่วยชีวิตเด็ก

ต่อมาภรรยาของเศรษฐีคลอดบุตรออกมาเป็นชายล่วงไป ๒-๓ วัน ท่านเศรษฐีจึงคิดว่า ถ้าไม่มีเจ้าเด็กคนนี้ลูกชายของเราก็จะได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐี ดังนั้นเราควรจะฆ่ามันเสียเถิด จึงเรียกนางกาลีให้เอาเด็กคนนี้ไปนอนขวางทางกลางประตูคอกโค เวลาที่พวกโคออกจากคอกจะได้เหยียบมันให้ตาย แต่ต้องคอยดูให้รู้ว่าโคเหยียบหรือไม่เหยียบ แล้วกลับมาบอกเรา

พอนายโคบาลคือคนเลี้ยงวัวเปิดประตูคอกเท่านั้น นางกาลีก็เอาเด็กไปวางไว้ตามที่ท่านมหาเศรษฐีสั่ง โคอสุภะซึ่งเป็นนายฝูง ตามธรรมดาจะออกหลังโคตัวอื่นทั้งหมด แต่ทว่าวันนี้ออกไปก่อนโคอื่นทั้งหมด ไปยืนคร่อมเด็กทารานั้นไว้ในระหว่างเท้าทั้งสี่ แม่โคทั้งหลายต่างก็พากันเบียดเสียดทั้งสองข้างของโคอสุภะออกไป ท่านโฆษกเทพบุตรมีบาปเพราะทิ้งลูกให้ตายในกลางป่า แต่ด้วยอานิสงส์ที่เกิดเป็นสุนัขไปเห่าหอนถวายความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า และก็ป้องกันอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงไม่ตกนรกเลยต้องมาถูกทิ้งแบบนี้ แต่ได้รับความช่วยเหลือเพราะความดีที่มีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง

คนเลี้ยงโคก็คิดว่าเจ้าโคตัวนี้เมื่อก่อนมันออกทีหลังเขา ทุกตัวออกไปก่อนมันจึงออกแต่วันนี้ออกไปก่อนโคอื่นๆ ทั้งหมดแล้วก็ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูคอก จึงเดินเข้าไปดูก็เห็นเด็กนอนอยู่ภายใต้ท้องโคนั้น ก็เกิดความรักคิดว่าเราได้ลูกชายแล้วจึงนำไปสู่เรือน

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓ เมื่อท่านเศรษฐีทราบจากนางกาลีว่าลูกเลี้ยงยังไม่ตาย จึงให้เงินไปหนึ่งพันกหาปณะไปบอกกับคนเลี้ยงวัวว่า ท่านต้องการเด็กคนนี้ไว้เป็นลูกบุญธรรม เมื่อนำเด็กมาแล้ว ท่านเศรษฐีก็บอกกับนางกาลีว่าในเมืองนี้มีเกวียน ๕๐๐ เล่มเขาค้าขายกันอยู่ เขาออกเดินทางในเวลาเช้ามืด ให้เอาเด็กคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนเพื่อให้โคเหยียบ ถ้าโคไม่เหยียบล้อก็ทับมันก็จะต้องตาย แล้วให้คอยดูว่าเด็กจะตายหรือไม่ ความจริงนางกาลีเธอก็มีความสงสาร แต่เมื่อนายใช้ก็จำเป็นจะต้องทำ ถ้าไม่ทำก็มีความผิด
ในตอนดึกเธอจึงได้นำเด็กทารกคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนให้ตรงรอยเกวียนพอดี เพราะตามปกติรอยเกวียนกับรอยเท้าโคจะขนานกัน
ในเวลาเช้ามืดหัวหน้าเกวียน ๕๐๐ เล่มนำเกวียนออกหน้า ลูกน้องก็ตามเป็นลำดับไป แต่พอไปถึงเด็กยังมืดอยู่คนบนเกวียนก็ไม่เห็นเด็ก แต่เป็นเหตุอัศจรรย์ปรากฏว่าโคเดินถึงตรงนั้นแล้วไม่ยอมเดินต่อไป สลัดจนกระทั่งแอกหลุดจากคอทั้งๆ ที่เจ้าของบังคับให้เดินด้วยการตีบ้าง แทงด้วยปฏักบ้าง ทำอย่างไรก็ไม่ไป รอจนกระทั่งสว่าง นายเกวียนก็มองไปด้านหน้าพบเด็กคนหนึ่งนอนขวางทางล้อเกวียน เขาวางเอาตัวขวางไว้ ถ้าโคก้าวไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะต้องเหยียบเด็กตาย ถ้าโคไม่เหยียบเกวียนก็จะทับตาย จึงเกิดความอาลัยตัดสินใจจะนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม จึงเข้าไปอุ้มเด็กนำขึ้นมาบนเกวียน โคก็เดินต่อไปตามปกติไม่มีพยศใดๆ

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔ นางกาลีรีบมาบอกท่านเศรษฐี ท่านเจ็บใจว่าเด็กคนนี้มันจะมาแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา จึงได้บอกนางกาลีว่า ในเมื่อมันยังไม่ตายฉันยอมเสียเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะ จงไปซื้อเด็กมาจากพ่อค้าเกวียน แล้วก็นำเด็กกลับมาให้ ท่านมหาเศรษฐีก็คิดว่าทิ้งที่ไหนๆ มันก็ไม่ตาย เจ้าจงนำเอาไปไว้ในป่าช้าผีดิบให้ลึกแสนลึกอย่าให้คนเห็น ตามธรรมดาป่าช้าผีดิบจะมีเสือ สิงห์ กระทิง แรด มีงูร้ายอยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่ตายเพราะสัตว์ร้ายก็ต้องตายเพราะอดตาย ตามปกติป่าช้าไม่มีใครอยากเข้าไป อย่างมากก็หนึ่งวันก็ต้องตายแน่ ในตอนเช้าวันนั้นก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ มีพ่อค้าเลี้ยงแพะไว้สำหรับขายนับเป็นแสนตัว ก็นำแพะมาเลี้ยงที่ป่าช้าผีดิบเพราะไม่มีใครว่าและก็ปลอดภัย บังเอิญมีแพะแม่ลูกอ่อนอยู่ตัวหนึ่งบุกป่าฝ่าดงเข้าไปไกลออกไปจากฝูงแพะเข้าไปในป่าลึก เข้าไปถึงเด็กน้อยแล้วก็ย่อตัวลงมาเอานมให้เด็กดูดกิน เจ้าของแพะเห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าแพะตัวนี้ลุยผ่าเข้าไปทำไม แยกฝูงออกไป เขาหาทางตวาด เอาไม้ขว้าง อิฐขว้างเท่าไรแพะก็ไม่ยอมถอยออกมา เห็นมันย่อตัวผิดปกติจึงเข้าไปหมายจะตีแพะให้เข็ด แต่พอเข้าไปก็เห็นเด็กน้อยกำลังกินนมแพะ ใจก็เกิดความรักขึ้นมา เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ เราก็ไม่มีลูกอยากได้ลูกมานานแล้ว จึงดีใจเข้าไปอุ้มนำเอาไปเลี้ยง
หลวงพ่อท่านบอกว่าขึ้นชื่อว่า บุญก็ช่วยไม่เลือกสถานที่เหมือนกัน เป็นอันว่าคนที่เกิดมานี้ต้องรับผลของกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล กรรมที่เป็นอกุศลของท่านโกตุหลิกะเป็นเหตุให้ ถูกทอดทิ้งหวังจะประหารชีวิต เพราะทิ้งลูกให้ตายในป่า แต่ว่าบุญที่มีความจงรักภักดีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ช่วยพร้อมกันนั่นคือ แพะให้นํ้านมกิน

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕ เมื่อนางกาลีมาบอกท่านเศรษฐี ท่านก็เกิดความเจ็บใจว่าทำอย่างไรๆ มันก็ไม่ตาย จะต้องเอาชนะให้ได้ จึงมอบเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะให้ไปขอซื้อกลับมา ถ้าอกุศลไม่สนองเขาคงไม่ให้ แต่เพราะอกุศลยังสนองจึงจำจะต้องถูกทอดทิ้งต่อไป ท่านเศรษฐีก็วางแผนต่อไปว่าคราวนี้ไม่มีใครช่วยมันได้ ให้เอาไปทิ้งเหวลึกในป่า คนเข้าไปยากมีดงไผ่มาก โยนมันลงไปในนั้นไม่ช้ามันก็ตายไม่มีใครจะไปช่วยเหลือได้ นางกาลีก็นำเด็กไปโยนลงกลางเหว ก็เป็นเหตุอัศจรรย์กลางเหวมีกอไผ่อยู่มาก ไผ่งามมาก คนที่จะจักสานเขาก็ไปเอาไม้ไผ่ในนั้น บนยอดไผ่ก็บังเอิญมีเถาวัลย์เกาะอยู่หนาทึบมาก ปรากฏว่าเด็กน้อยคนนี้พอเขาโยนลงไปก็ไปค้างบนเถาวัลย์พอดี

ในตอนสายวันนั้นนายช่างจักสานเกิดขาดไม้ไผ่ที่จะจักสานขึ้นมา จึงได้พาลูกชายเข้าไปในป่าหาทางลัดเลาะเข้าไปในเหวเพราะไม้ไผ่ในนั้นงามดี พอเข้าไปตัดไม้เถาวัลย์ก็ไหว เด็กที่อยู่บนนั้นก็ร้องจ้าขึ้นมา เขาก็ตกใจว่าผีหรือคนกันแน่ ป่าลึกอย่างนี้ไม่น่าจะมีคน สองคนพ่อลูกก็เข้าไปดูก็พบเด็กจึงรับไว้เป็นลูกชายคนรองต่อไป

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖ หลังจากที่ทิ้งเหวแล้ว ท่านเศรษฐีให้นางกาลีนำเงินหนึ่งพันกหาปณะไปไถ่ตัวกลับมา ท่านจึงคิดว่าการทอดทิ้งแบบนี้ไม่มีผลแน่ จะต้องจัดการฆ่าเป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ท่านโฆษกเทพบุตรมาเกิดเป็นเด็กคนนี้ ท่านมีความรู้สึกว่าท่านเศรษฐีเป็นบิดาของท่านจริงๆ แต่ท่านเศรษฐีกลับคิดว่าเด็กคนนี้เป็นหนามยอกอก เกรงว่าจะแย่งตำแหน่งเศรษฐีของลูกชายตามที่ท่านปุโรหิตพยากรณ์ไว้ จึงได้คิดฆ่าตลอดมา การคิดฆ่าต้องใช้เวลาตามความเหมาะสมจึงนานจนกระทั่งท่านโฆษกเป็นหนุ่มมีเมียได้แล้ว ท่านเศรษฐีจึงคิดว่าใกล้บ้านท่านมีนายช่างหม้อ เขาทำหม้อขาย ทำตุ่มขาย ในเตาที่สุมหม้อหรือสุมตุ่มให้สุกต้องใช้ไฟแรงมาก จึงนำเงินไปหนึ่งพันกหาปณะก็เท่ากับเงินสักสองสามแสนสมัยนี้ เมื่อนายช่างหม้อรับเงินแล้วก็บอกว่าจะให้ทำอะรก็ทำให้ได้ทุกอย่าง

พอวันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีก็เขียนจดหมายสั่งให้นายช่างหม้อจัดการฆ่าผู้ถือจดหมายมาให้แล้วใส่เข้าเตาเผาให้เรียบร้อย ทำงานเสร็จให้รีบแจ้งให้ทราบจะให้รางวัลยิ่งกว่าที่ให้ไปแล้ว เมื่อเขียนจดหมายเสร็จก็เรียกท่านโฆษกให้ถือจดหมายนี้ไปหานายช่างหม้อ แต่พอท่านโฆษกลงไปจากบ้านก็ปรากฏว่าน้องชายคือลูกแท้ๆ ของท่านเศรษฐีกำลังเล่นคลีอยู่กับเพื่อนและแพ้เพื่อนสิบกระดานกว่า ท่านโฆษกเป็นผู้ฉลาดในการเล่นคลี น้องชายก็คิดว่าท่านเป็นพี่ชายจริงๆ เหมือนกัน เพราะไม่มีใครบอก จึงบอกให้พี่ชายมาช่วยเล่นคลีแก้ตัวให้ก่อน

ท่านก็บอกน้องว่า "ไม่ได้หรอก เวลานี้พ่อใช้ให้ไปธุระที่บ้านนายช่างหม้อ ต้องถือจดหมายฉบับนี้ของพ่อไปให้แล้วพี่จะรีบกลับมา"
น้องชายบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พี่เล่นแทนฉันนะแก้ตัวให้ได้เพราะฉันแพ้เขามามากแล้ว ฉันจะนำจดหมายไปเอง งานเสร็จเมื่อไรจะรีบกลับมาหาพี่"
เป็นการบังเอิญจริงๆ ลูกชายของท่านเศรษฐีอ่านหนังสือออก แต่ถือว่าเป็นจดหมายธุระของพ่อ จึงไม่คลี่ออกอ่าน พอไปถึงนายช่างหม้ออ่านจดหมายเสร็จก็จัดการตามคำสั่ง ร่างกายของลูกชายท่านเศรษฐีก็วอดวายเป็นขี้เถ้าผสมไปกับถ่าน ท่านโฆษกเล่นคลีจนกระทั่งเย็น น้องชายก็ยังไม่กลับมา จึงขึ้นมาบนบ้าน ท่านเศรษฐีเห็นเข้าก็ถามว่า "พ่อสั่งให้ไปหานายช่างหม้อ ลูกยังไม่ไปหรือ" ท่านก็ตอบว่า "น้องเล่นคลีแพ้เขาขอรับ ให้ผมเล่นแก้ตัว น้องเลยไปแทน" พอได้ฟังเท่านั้นท่านเศรษฐีก็ผลุนผลันรีบวิ่งไปบ้านนายช่างหม้อ

พอไปถึงนายช่างหม้อก็รีบมารายงานทันทีว่า "งานที่สั่งเรียบร้อยทุกอย่าง" ท่านเศรษฐีร้องไห้แทบจะเป็นลมตาย แทนที่จะฆ่าท่านโฆษกตายกลับต้องมาเสียลูกไป

ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗ เมื่อลูกชายของตนตายไปแล้ว ท่านเศรษฐีกลับโทษว่าท่านโฆษกเป็นต้นเหตุให้ลูกชายตาย จึงคิดหาอุบายใหม่จะต้องฆ่าลูกเลี้ยงให้ได้ จึงส่งไปยังสำนักคนเก็บส่วย ท่านเศรษฐีมีบ้านส่วย ๑๐๐ หลังคล้ายๆ กับบ้านเช่า พระราชามอบบ้านให้เมื่อตั้งเป็นเศรษฐีแล้ว มีอำนาจในการเก็บส่วยคือเก็บภาษีอากรเป็นประจำปี โดยส่งไปให้นายเสมียนหรือคือเจ้าหน้าที่เก็บส่วยฆ่าเสียให้ตาย จึงได้เขียนจดหมายบอกว่า "ถ้าผู้ถือจดหมายนี้มาถึงบ้านนี้เมื่อไรให้จัดการฆ่าทันที และก็จัดการเผาแล้วนำไปโยนลงในส้วม ถ้าทำเสร็จเรียบร้อยฉันจะให้รางวัลเธออย่างงามในภายหลัง"

ท่านโฆษกก็บอกท่านเศรษฐีว่า "ตำบลที่จะไปมันไกล จะต้องนำอาหารไปกินตามทางบ้างเพราะต้องค้างคืน" ท่านเศรษฐีก็บอกว่า "ไม่ต้องเอาไปหรอกลูก พ่อมีเพื่อนเป็นเศรษฐี บ้านอยู่ระหว่างกลางทางที่จะผ่านไปอยู่หลังหนึ่ง เจ้าจงแวะไปรับประทานอาหารที่นั่น หลังจากนั้นก็เดินทางไปบ้านส่วยไปหานายเสมียนที่เก็บส่วย"

พอไปถึงบ้านเศรษฐีก็เข้าไปในบ้าน ภรรยาท่านเศรษฐีเห็นหน้าท่านโฆษกก็มีความรู้สึกรักเหมือนลูก บ้านนี้มีลูกสาวอายุ ๑๕ ยังไม่ถึง ๑๖ กำลังสาวและสวยด้วย เวลานั้นก็เป็นเวลาพอดีที่ลูกสาวของเศรษฐีบ้านนี้อยู่บนชั้น ๗ ได้สั่งให้หญิงคนใช้ไปซื้อของที่ตลาด แต่พอหญิงคนใช้ลงมาจากข้างบนก็พอดีภรรยาของท่านเศรษฐีใช้ให้จัดห้องพักให้แก่ท่านโฆษกซึ่งเดินทางมาเหนื่อยอ่อน พอกินอาหารเสร็จก็นอนหลับ เมื่อหญิงรับใช้ไปตลาดเสร็จก็กลับขึ้นไปข้างบน เจ้านายคอยนานผิดปกติก็ดุ เธอจึงรายงานเรื่องราวให้ทราบ พอได้ยินเท่านั้น ความรักเกิดขึ้นมาทันทีทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า ทนไม่ไหวต้องการจะไปเห็นหน้า
บุพเพสันนิวาส

ลูกสาวท่านเศรษฐีคนนี้เดิมเป็นภรรยาของท่านโฆษกสมัยที่เป็นโกตุหลิกะ เมื่อท่านโกตุหลิกะตายจากความเป็นคนแล้ว ท่านเศรษฐีได้มอบข้าวสารให้เธอหนึ่งทะนาน เธอได้จัดการหุงต้มถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า และอยู่รับใช้ท่านเศรษฐีบ้านนั้น ต่อมาได้มีโอกาสปฏิบัติและไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้างตามสมควร อาศัยบุญนี้เมื่อเธอตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากนั้นลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็มาเกิดเป็นลูกของอนุเศรษฐี บ้านนี้

ฉะนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อาศัยที่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน เยื่อใยแห่งความรักมันก็เกิดขึ้น"

ลูกสาวเศรษฐีจึงลงไปจะดูหน้าชายหนุ่ม ได้ย่องๆ แอบลงไปไม่ให้มารดาเห็น เวลานั้นท่านโฆษกกำลังหลับ เมื่อเห็นเข้าก็เกิดความรักหนักขึ้นเพราะอาศัยบุญเก่าที่เคยเป็นสามีภรรยากัน ต้องพลัดกันเพราะกำลังบุญไม่เสมอกัน ท่านโฆษกทิ้งลูกแต่เธอสงสารลูก ท่านโฆษกคิดถึงสุนัขจึงไปเกิดเป็นลูกสุนัข แต่ตอนเป็นสุนัขมีความรักและเห่าหอนป้องกันอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไปเกิดเป็นเทวดา แต่ภรรยานึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้า เมื่อเธอเข้าไปมองไปก็เห็นชายผ้าขมวดอยู่จึงแก้ดูเห็นจดหมายก็นำมาอ่าน พออ่านเสร็จก็ตกใจว่าถือจดหมายฆ่าตัวเองมาได้อันตรายมาก จึงจัดการแปลงสาส์นเขียนขึ้นใหม่ ให้นายเสมียนจัดการแต่งงานลูกชายของท่านเศรษฐีกับลูกสาวของอนุเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกันในชนบท และจัดการปลูกเรือนหอให้ดี จัดเวรยามอย่าให้ใครเข้าไปรบกวนหรือให้ใครไปทำอันตรายเป็นอันขาด เป็นอันว่าท่านโฆษกไม่ได้เห็นนางเลย

พอวันรุ่งขึ้นรับประทานอาหารเสร็จก็ลาท่านเศรษฐี เดินทางไปหานายเสมียน เมื่อได้อ่านจดหมายแล้วก็ดีใจว่าท่านเศรษฐีไว้วางใจเราถึงขนาดนี้ ก็จัดการปลูกบ้านจัดคนระวังรักษา ใครจะเข้าจะออกต้องได้รับอนุญาตก่อน แล้วก็ไปสู่ขอลูกสาวเศรษฐีจัดการแต่งงานให้ เมื่อแต่งงานแล้วลูกสาวก็มาอยู่บ้านของท่านโฆษก นางได้สั่งนายเสมียนว่า ถ้าผู้ใดจะมาหาสามีจงอย่าให้เข้าไปพบ ให้มาพบเธอก่อน เป็นการป้องกันสามีเพราะท่านบิดาของสามีใจร้าย ถ้าทราบว่าท่านโฆษกยังไม่ตาย ก็จะต้องหาทางฆ่าให้ได้อีก

หลังจากนั้นมาหลายวัน ท่านเศรษฐีไม่ได้ข่าวจากนายเสมียน จึงส่งคนไปสืบก็ได้ความว่าเวลานี้ท่านโฆษกแทนที่จะตายกลับกลายเป็นได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นภรรยา ก็เจ็บใจเกิดความทุกข์หนัก จิตใจเศร้าโศกคิดถึงลูกชายที่ตายไปแล้วด้วย ตัวท่านก็แก่แล้วมีอารมณ์ครุ่นคิดแต่ประหัตประหาร ความสุขกายสุขใจจึงไม่มีก็เลยล้มป่วย ขณะล้มป่วยใหม่ๆ สั่งคนให้ไปตามท่านโฆษกมาหา ด้วยมีเจตนาให้ทนายประจำตระกูลบอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดไม่ยอมยกให้ท่านโฆษก แต่พอคนที่ท่านเศรษฐีส่งไปถึงบ้านท่านโฆษก นายเสมียนก็นำไปหาภรรยาท่านโฆษกก่อนและได้ถามว่า "เวลานี้ท่านบิดาป่วยมากหรือน้อย" เขาตอบว่า "ยังไม่มากขอรับ เพิ่งป่วยใหม่ๆ แต่ว่าบ่นถึงท่านโฆษกอยากให้ไปหา" ภรรยาท่านโฆษกก็ทราบว่าการไปหาเวลานี้ไม่เหมาะ จึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้จัดบ้านพักและให้เลี้ยงอาหารการบริโภคให้อยู่อย่างเป็นสุข และบอกว่า "ถ้าจะกลับต้องรับคำสั่งจากฉันก่อน เธอกับฉันจะไปพร้อมกัน"

ท่านเศรษฐีอาการไข้หนักลงไปทุกที ถามทนายประจำบ้านว่า "ท่านโฆษกมาหรือยัง" พอบอกว่ายังก็สั่งให้คนไปตามอีกพวกหนึ่ง ภรรยาท่านโฆษกก็ถามคนที่มาตามว่า "ท่านบิดาอาการเป็นอย่างไร" เขาก็บอกว่า "อาการป่วยมากขึ้น แต่สติสัมปชัญญะยังสมบูรณ์" นางก็จัดการให้พักอย่างดีตามเดิมเป็นการถ่วงเวลาไว้

ในที่สุดอาการของท่านเศรษฐีหนักลงไปมาก กินเข้าไปเท่าไรถ่ายออกมาหมดเท่านั้นที่เรียกว่าทวารเปิดใกล้จะตายเต็มที ก็สั่งให้คนไปตามอีกเป็นชุดที่สาม ภรรยาท่านโฆษกก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง คนที่มาตามก็บอกตามความเป็นจริงว่า "เวลานี้ท่านเศรษฐีแย่แล้วครับ พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว เสียงก็แห้ง อาการร่อแร่เต็มที" สองรายที่มาตามภรรยาไม่ได้บอกท่านโฆษกให้ทราบ แต่ครั้งที่สามจึงได้รายงานให้ทราบว่า "บิดาของท่านกำลังป่วยหนัก เราเป็นลูกต้องไปหาและไปพยาบาลท่าน" และได้มีการนัดหมายกันว่าเวลาไปถึงที่นั่นแล้ว ขอให้สามียืนอยู่ด้านปลายเท้าบิดา เธอจะยืนอยู่ด้านศีรษะ แล้วทำการปฐมพยาบาลตามโอกาสที่จะพึงมี และการไปคราวนี้ก็ควรนำของจากบ้านส่วย ๑๐๐ หลังนี้ไปฝากคุณพ่อด้วย ใช้เกวียนหลายเล่มบรรทุกไป เจตนาของนางก็เพื่อจะถ่วงเวลาไว้ แต่ท่านโฆษกคิดว่าภรรยาปรารถนาดี รู้ไม่เท่าทัน ท่านโฆษกถึงแม้จะมีวาสนาบารมีเคยเป็นสามีมาก่อนแต่ปัญญาก็สู้เธอไม่ได้

เพราะชาติสุดท้ายเธอมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ถวายทานกับท่านและอธิษฐานว่า "ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันได้เห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ"แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ให้พรว่า "เอวัง โหตุ" แปลเป็นใจความว่า "เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา"

พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเป็นอรหันต์บรรลุเอง ความฉลาดย่อมมีมาก ในเมื่อเขาอธิษฐานต้องการความฉลาดอย่างท่านก็ต้องฉลาดเหมือนท่าน

ฉะนั้น ภรรยาของท่านโฆษกนี้จึงมีความฉลาดลํ้าลึก รู้เท่าทันเหตุการณ์ทุกอย่าง จึงทราบว่าไปคราวนี้ท่านพ่อเลี้ยงก็จะประกาศไม่ยกทรัพย์สมบัติให้ ตามธรรมดาถ้าไม่ประกาศแจ้งให้ทนายทราบก่อน บุคคลผู้เป็นบุตรก็จะต้องได้สมบัติและเป็นทายาทคนเดียว การที่นางจัดของมาหลายเล่มเกวียนทำให้การเดินทางก็ช้า เมื่อเดินทางไปได้ ๒-๓ วัน นางก็หานโยบายถ่วงให้ช้าไปกว่านั้นอีก จึงรายงานท่านโฆษกว่าบิดาป่วยหนัก ถ้านำของไปมากๆ อย่างนี้นานกว่าจะถึง ทางที่ดีควรให้เกวียนเบา จึงได้สั่งให้เกวียนย้อนกลับมาบ้านเพื่อขนของลง กว่าจะเดินทางไปใหม่ก็กินเวลาหลายวัน เมื่อไปถึงบ้านบิดาปรากฏว่า ท่านเศรษฐีป่วยหนักขนาดพูดไม่รู้เรื่อง นางก็เข้าไปด้านศีรษะ ท่านโฆษกก็ไปยืนด้านปลายเท้า ท่านเศรษฐีตาพร่าเต็มทีมองไม่เห็นว่าใครอยู่ที่นั้นบ้าง จึงถามทนายว่าท่านโฆษกมาหรือยังทั้งๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทนายบอกว่าเวลานี้บุตรชายของท่านยืนอยู่ปลายเท้าแล้ว ท่านก็อยากจะพูดว่าสมบัติทั้งหมดนี้ไม่ยกให้ท่านโฆษก แต่ประสาทมันใช้ไม่ได้จึงกล่าวว่า "สมบัตินี้เราให้"

พอพูดเพียงเท่านี้ภรรยาของท่านโฆษกผู้มีปัญญาดีก็ทุ่มศีรษะลงมาที่อก แสดงอาการร้องไห้สะอึกสะอื้นตัดเสียงของท่านเศรษฐี โดยนางคิดว่าถ้าขืนปล่อยให้พูดต่อไป ต้องกลับคำว่าไม่ให้ แต่ท่านพูดเผลอไปเพราะลิ้นมันแข็ง นางร้องห่มร้องไห้เกลือกกลิ้ง พยายามเอาหัวกระแทกอกท่านเศรษฐีตายไปเลย
ท่านโฆษกได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐี

เมื่อท่านเศรษฐีตายไปแล้ว ทำการเผาเสร็จ ท่านโฆษกก็ไปรายงานให้พระราชาทราบคือ พระเจ้าอุเทน ตอนที่จะเข้าไป พระเจ้าอุเทนยืนอยู่ที่หน้าต่างเห็นท่านโฆษกเดินเข้าไปถึงลำรางเล็กๆ ก็กระโดดข้าม ที่มีหลุมมีบ่อมีนํ้าก็กระโดดข้าม พอเข้าไปถึงก็กราบทูลพระราชาตามความจริง พระองค์ก็บอกว่า "เมื่อพ่อของเธอตายแล้ว ทายาทคนอื่นก็ไม่มี เราจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่เจ้าแทนพ่อ" แล้วท่านก็สั่งให้กลับได้ เมื่อท่านโฆษกกราบลามาแล้ว เวลาเดินมาถึงบ่อนํ้าหรือลำรางแทนที่จะกระโดดข้ามกลับลุยนํ้าไปโดยสุภาพ เรียกว่าเดินแบบสุภาพ เมื่อพระเจ้าอุเทนเห็นดังนั้นแล้ว ก็สงสัยทำไมจริยาเปลี่ยนไป ก็ทรงสั่งให้ท่านโฆษกกลับเข้าไปเฝ้าใหม่แล้วถามว่า "เมื่อขณะที่มาถึงลำรางมีนํ้า เจ้ากระโดดข้าม ขากลับทำไมเดินแบบสุภาพลุยนํ้าไป" ท่านโฆษกก็กราบทูลว่า "เมื่อขณะมา ข้าพระพุทธเจ้ายังเป็นเด็กจึงทำอาการอย่างนั้น เมื่อรับคำสั่งจากพระองค์ว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ จึงเดินอย่างผู้ใหญ่มีอาการสุภาพตามสมควร"

พระเจ้าอุเทนฟังแล้วก็ปลื้มใจในความดีของท่านโฆษก จึงแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้ในวันนั้น ให้ฉัตร ๓ ชั้น ให้ข้าทาสหญิงชาย ช้าง ม้า วัว ควาย และบ้านส่วย รวมความว่าได้เป็นเศรษฐีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภรรยากำลังคุยกับนางกาลีอยู่ ท่านโฆษกจึงถามว่า "คุยอะไรกัน" เธอก็ไม่บอก ท่านโฆษกก็ชักดาบแล้วบอกว่า "ถ้าไม่บอกฉันจะฆ่า" ภรรยาก็เลยบอกว่า "ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ท่านได้เพราะอาศัยฉันช่วย" แล้วก็เล่าความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง ท่านโฆษกฟังแล้วก็ไม่เชื่อ นางกาลีเลยเล่าความเป็นมาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนอวสาน ท่านโฆษกได้ฟังแล้วก็มีความสลดใจว่า เรามีกรรมหนักมากตั้งแต่เล็กจนโต เขาคิดจะฆ่าเราก็ไม่ทราบ เราคิดว่าท่านผู้นี้เป็นบิดา แต่จริงๆ คนนี้ก็คือศัตรูเป็นเพชฌฆาตนั่นเอง

แล้วท่านก็คิดต่อไปว่าเมื่อกรรมหนักเป็นเช่นนี้ ถ้าเรามีความประมาทอยู่ ไม่ทำความดี ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้วกรรมหนักจะซํ้าเติมเราหนักขึ้น อาจจะมีความลำบากยิ่งไปกว่านี้ ถ้ากรรมดีไม่มีสนองเราอาจจะถูกฆ่าตายในระหว่างนี้ก็ได้ ท่านจึงตัดสินใจสละทรัพย์วันละพันกหาปณะหรือวันละพันตำลึงให้ นายมิตตกุฎุมพี เป็นผู้จัดการตั้งโรงทานเลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จากเรื่องนี้จะเห็นว่าการเกิดเป็นคนนี้ บางคนคิดว่าการเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ถ้าคิดดูจริงๆ แล้วความจริงคนจะมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมีความวุ่นวายไม่เท่าคน อย่างท่านโฆษกเป็นคนดีแสนดีเกิดมาชาตินี้ไม่เคยทำอันตรายกับใคร แต่ถูกจองล้างจองผลาญอยู่ตลอดเวลา พวกเราก็เช่นเดียวกัน คิดกันดูให้ดีเราไม่เคยมีความสุขจริง ร่างกายนี้เป็นพิษเป็นภัยกับเราจริงๆ ที่เรามีทุกข์จริงๆ ก็เพราะอาศัยร่างกายอย่างเดียว ทุกข์เพราะความหิว ทุกข์เพราะความกระหาย ทุกข์จากการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากความตายเข้ามาถึงในที่สุด รวมความว่าทุกข์นับไม่ถ้วน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสกับคณะลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรีว่า "เธอจงทำใจให้เข้าถึง อากิญจัญญายตนฌาน ไว้เป็นปกติ คือมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น วัตถุธาตุต่างๆ ในที่สุดก็สลายตัวเหมือนกัน ถ้าเราหวังจะยึดโลกนี้เป็นที่พึ่งเราก็ยึดผิด เพราะเราอยู่ได้ไม่นานร่างกายก็สลายตัวคือตาย ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้เธอจะมีความสุขและจะพาเธอเข้าถึงพระนิพพาน"

เป็นอันว่ากรรมที่ท่านโกตุหลิกะทิ้งลูกให้ตายในป่า ก็ต้องมาถูกทอดทิ้งให้เขาจะฆ่าให้ตายถึง ๗ ครั้ง แต่บังเอิญไม่ตายก็เพราะอาศัยที่ตนเคยมีความเคารพรักและเคยช่วยเหลือพระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยที่เกิดเป็นสุนัข เป็นผลให้ท่านได้เป็นมหาเศรษฐี คนเกิดมาในชาตินี้จะได้รับผลกรรมทั้ง ๒ อย่างคือ
เวลาใดกรรมที่เป็นกุศลให้ผล เวลานั้นก็มีความสุข

เวลาใดกรรมที่เป็นอกุศลในชาติก่อนให้ผล เวลานั้นก็มีความทุกข์
ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทำใจให้สบายว่า ชาตินี้กุศลหรืออกุศลจะให้ผลก็ตามที เราเกิดมาพบศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ท่านสอนให้เรารู้จักให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เราก็ทำทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธประสงค์ อย่างนี้ถ้าตายแล้วอย่างต่ำก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ หรืออาจจะเป็นสวรรค์ชั้นไหนก็ได้ไม่จำกัด อย่างกลางก็ไปพรหมได้ อย่างดีที่สุดก็ไปพระนิพพานได้.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 10:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๓๓ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนกยาง


"..ท่านสุชาดา เป็นภรรยาคนที่ ๔ ของท่านมาฆมาณพหรือท่านพระอินทร์ในปัจจุบันนี้ ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนสวย ไม่สนใจเรื่องบุญ ถือว่าเราเป็นเมียต้องบำรุงผัวให้มีความสุข แต่งตัวสวยๆ สร้างความสุขใจให้เกิดกับผัวเวลากลับมาบ้าน แต่คนที่มีอารมณ์อย่างนี้ก็อดจะมีอารมณ์อิจฉาริษยาคนอื่นไม่ได้เป็นของธรรมดา อาจจะสร้างความรำคาญให้อีกฝ่ายหนึ่งเพราะเข้าใจว่าตัวสวย ความจริงความสวยสดงดงามของร่างกายนี้มันไม่คงทนและไม่เที่ยงแท้ เพราะร่างกายมีความสกปรก ผิวพรรณที่คิดว่าสวยมันก็สวยไม่จริง ประเดี๋ยวเดียวมันก็สกปรกโสโครก ภายในร่างกายของทุกคนมีสภาพเหมือนกันหมดมีแต่สิ่งสกปรกโสโครก แล้วร่างกายก็แก่เหี่ยวลงไปทุกวันๆ ความเบื่อหน่ายของร่างกายก็ย่อมมี

เหตุฉะนี้นี่เองท่านมาฆมาณพจึงมีความเบื่อหน่ายสตรี คิดว่าชาติหน้าไม่ต้องการจะพบ
เมื่อนางสุชาดามีความประมาทอย่างนั้น ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปมาโท มัจจุโน ปทัง" แปลว่า "ความประมาทเป็นทางของความตาย" ท่านมีความประมาทมาก ความสวยช่วยคนไม่ได้ หลงความสวยมากเท่าไร ก็มีทุกข์มากเท่านั้น และมีความเร่าร้อนมากเท่านั้น ผลสุดท้ายจะมีอารมณ์เต็มไปด้วยความทุกข์เพราะความสวยลดตัวลงไป เมื่อเธอประมาท ตายจากความเป็นคน ก็ไม่ได้เป็นนางฟ้ากับเขา แต่ไปเกิดเป็นนางนกยาง

ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นนกยาง
ท่านมาฆมาณพ หรือ ท่านพระอินทร์ ก็พิจารณาว่าเมีย ๓ คนตามมาแล้ว แต่น้องแก้วสุชาดาหายไปไหน ท่านก็ใช้กำลังใจที่เป็นทิพย์ก็พบว่า ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นนกยาง ไปยํ่านํ้าเตาะแตะๆ นํ้าตื้นๆ หาปลากิน ท่านพระอินทร์ก็ไปทรมานให้นางนกยางรู้จักรักษาศีล ๕ แสดงองค์ให้ทราบว่า "ฉันคือพระอินทร์หรือมาฆมาณพเป็นสามีของเธอในชาติก่อน เวลานี้ภรรยา ๓ คนของฉันเขาไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว แต่เธอก็มีความสวยงามขาว สวยมาก แต่ไม่ไหวมาหากินแบบนี้มันเป็นบาป" ท่านสอนให้นางนกยางรู้จักรักษาศีล ๕ ไม่ทำปาณาติบาต นางนกยางก็เชื่อ แต่หาอาหารยาก เมื่อหาอาหารไม่ได้ตามต้องการ ร่างกายก็ผอมลงๆ ๆ ผลที่สุดก็ตาย ในฐานะที่เป็นนกมีศีล ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นลูกสาวนายช่างหม้อ เป็นคหบดีมีความรํ่ารวย

ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นลูกสาวนายช่างหม้อ
ในที่สุดท่านพระอินทร์ก็แปลงตัวไป เอาทองเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวคนไปถามว่า "ใครรู้จักศีล ๕ บ้าง" เป็นอันว่าคนในเมืองนั้นทั้งเมืองไม่มีใครรู้จักศีล ๕ แต่ว่าลูกสาวนายช่างหม้ออาศัยที่เคยมีศีล ๕ มาตั้งแต่เป็นนกยาง อารมณ์เดิมก็ปรากฏยังจำได้นึกออก (บารมีติดตาม) ก็ตอบว่า "ฉันรู้จักศีล ๕ และกำลังรักษาศีล ๕ อยู่" ท่านมาฆมาณพจึงให้เธอมารับทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวคนเอาไปไว้กินไว้ใช้ แล้วบอกว่า "จะได้เป็นสมบัติเลี้ยงตัวต่อไป จงรักษาศีลอย่าให้ขาด" แล้วก็แสดงตัวว่าเป็นพระอินทร์ เคยเป็นสามีของเธอในกาลก่อน ให้ตั้งใจทำบุญทำกุศลเพื่อไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยกัน

ท่านสุชาดาไปเกิดเป็นลูกอสูร
เมื่อลูกสาวนายช่างหม้อตายจากชาตินั้นก็ไปเกิดเป็นลูกอสูร อสูรพวกนี้เดิมทีอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ต่อมาเมื่อเทวดาไปอยู่ใหม่ มีบารมีสู้ไม่ได้ก็ลงตํ่าลงมาหน่อย ในเมื่อไปอยู่ในเขตอสูรก็ไม่สามารถจะพบกันได้อีก ท่านพระอินทร์ก็ต้องแปลงเป็นอสูรแก่ ในขณะที่ท้าวอสูรผู้เป็นพ่อประกาศหาสามีให้ลูกสาว โดยให้ลูกสาวเลือกสามี เธอดูแล้วก็ไม่ชอบใจ มาพบอสูรแก่ซึ่งเป็นคู่เก่าคือพระอินทร์เข้าแล้วก็ชอบ โยนพวงมาลัยให้ เมื่อพระอินทร์รรับพวงมาลัยแล้วก็คว้าข้อมือขึ้นรถขับหนีทันที เพราะเกรงว่าอสูรจะรู้เข้า เพราะไม่ค่อยจะถูกกัน บรรดาอสูรทั้งหลายเหล่านั้นแปลกใจ ต่างพากันกวดแต่กวดพอจะเข้าเขตฉิมพลีก็ถูกครุฑต่อต้าน ไม่สามารถจะมาได้ ในที่สุดท่านพระอินทร์ก็พาท่านสุชาดามาไว้ในเวชยันตวิมาน

ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็คิดตามว่าทำแบบไหนดี ทำแบบไหนไม่ดี แบบหลงตัวว่าสวยแบบนี้เกิดเป็นนกยาง ถ้าต้องการมีความสุขก็รักษาศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐.."

เรื่องที่ ๑๓๔ ตายจากคนไปเกิดเป็นวัว



"..มีผู้มาถามว่า เรื่องตายจากคนแล้วเป็นผีนั้นไม่สงสัย แต่อยากทราบว่าคนที่ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์รับใช้มีบ้างไหม ก็พอดีอาตมาไปพบเข้าเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของอดีตใกล้ปัจจุบัน เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๔๖๕ พระภิกษุศรี วัดแก้วแจ่มฟ้า ได้เล่าเรื่องนี้ให้ พันโทพระพินิจศาลา ฟัง อาตมาทราบมาจากพระพินิจศาลาอีกทอดหนึ่ง
เรื่องมีอยู่ว่า มีชายจีนคนหนึ่งชื่อ "เก๊า" มีภรรยาเป็นคนไทยชื่อ "ทองคำ" ตั้งร้านค้าขายอยู่ที่ตลาดน้อย จังหวัดพระนคร สมัยที่คุณพระเล่าเรื่องนี้ เขายังนิยมเรียกว่าเมืองบางกอก กรุงเทพฯ หรือพระนครนั้นเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลัง

นับถอยหลังจาก พ.ศ. ๒๔๖๕ ไป ๓๗ ปี สมัยนั้นแกค้ายาฝิ่นได้ถูกไฟไหม้ร้านค้า ขณะที่เกิดเพลิงไหม้ร้านค้านั้นเป็นเวลาดึกสงัด แกรู้สึกตัวขึ้นต่อเมื่อไฟลุกลามมากเสียแล้ว แกเก็บสมบัติส่วนอื่นไม่ทันเลย คว้าเอาบัญชีค้าขายออกมาได้อย่างเดียว โดยคิดว่าเอาอะไรไม่ได้ก็ช่าง ได้บัญชีไว้คงไม่อดตาย เพราะยังมีลูกหนี้ที่มาซื้อยาฝิ่นที่ยังไม่ได้ชำระเงินอีกหลายราย

ต่อมาแกก็เลิกค้ายาฝิ่น หันมาค้าขายชันและนํ้ามันยาง จึงไปซื้อวัวมาตัวหนึ่งสำหรับบดชันขาย แกบดชันขาย แกก็ค่อยๆ รํ่ารวยขึ้นตามลำดับ จนปลูกตึกเป็นที่อยู่และร้านค้า ตอนนี้แกรวยมากก็คิดถึงความดีของเจ้าวัวคู่ยาก เพราะหลังจากไฟไหม้ร้านค้าฝิ่นแล้ว แกก็เกือบสิ้นทรัพย์ ต่อมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ พอมีทุนบ้าง ก็ซื้อวัวตัวนี้มาบดชัน เป็นเหตุให้มีฐานะมั่นคงจนมีตึกมีร้านอยู่ จึงไม่อยากจะรบกวนเจ้าวัวเพื่อนยากให้ลำบากอีกต่อไป จะขายให้ชาวบ้านเอาไปใช้งานหรือก็เกรงว่าวัวจะต้องทำงานหนักอีก จะขายให้แขกก็เกรงว่าแขกจะฆ่า จะเอาไว้ที่ร้านค้าก็ไม่มีที่เหมาะสม ตรึกไปตรองมาก็คิดได้ว่าที่ วัดทองนพคุณ ฝั่งธนบุรี สมัยนั้นเป็นวัดอยู่ในสวนมีบริเวณกว้างมาก สนามหญ้าก็ใหญ่โต

คุณเถ้าแก่เก๊าแกมองเห็นประโยชน์ ๒ ทาง คือ
๑) ถ้าแกเอาเจ้าวัวตัวนี้ไปถวายพระ พระท่านไม่มีงานใช้ จ้าวัวก็จะอยู่เป็นสุขสมกับความตั้งใจของแก ปรารถนาจะให้มันพักผ่อน ไม่ต้องทำงานต่อไป
๒) พระจะได้อาศัยวัวเก็บหญ้าในลานวัดกินเป็นอาหาร เป็นการช่วยพระปราบหญ้าไปในตัว
เมื่อแกหารือกับคุณนายทองคำศรีภรรยาเป็นที่ตกลงกันแล้ว แกก็นำเจ้าวัวของแกข้ามจากฝั่งพระนครมาฝั่งธน สมัยนั้นสะพานข้ามแม่นํ้าเจ้าพระยายังไม่มี ต้องอาศัยเรือจ้างข้ามฟาก ตอนที่แกเอาวัวข้ามแม่นํ้าแกให้เจ้าวัวตัวนั้นว่ายนํ้า ตัวแกเองนั่งบนเรือ ถึงแม้วัวจะเหนื่อยหน่อยแกก็คิดว่าเป็นการเหนื่อยครั้งสุดท้าย

เมื่อข้ามฟากไปฝั่งธนบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แกก็จูงเจ้าวัวเพื่อนยากไปฝากเจ้าอาวาส เมื่อท่านเจ้าอาวาสรับฝากแล้ว แกก็กลับบ้านมานอนสบายใจที่ได้สงเคราะห์วัวตัวที่แกรักได้สมเจตนา พอเช้าวันรุ่งขึ้นแกก็ต้องแปลกใจที่เห็นเจ้าวัวตัวนั้นมายืนอยู่หน้าประตูตึก สมัยนั้นวัวหรือม้าหรือควายเดินในท้องถนนหลวงไม่ใช่ของแปลก เพราะสัตว์พวกนี้มีมากในถนนหลวง รถหาได้ยากเต็มทน วันหนึ่งมีรถยนต์ผ่านหน้าไม่เกิน ๔ เที่ยวเป็นอย่างมาก รถที่ใช้เป็นพาหนะส่วนใหญ่ก็เป็นรถม้า นานๆ จะพบรถเจ๊ก เมื่อแกกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว แกก็นำเจ้าวัวตัวนั้นกลับไปให้พระวัดทองนพคุณใหม่

ตายจากคนไปเกิดเป็นวัว

คืนวันนั้นเองคุณเถ้าแก่เก๊าแกนอนหลับฝันไปว่า เจ้าวัวตัวนั้นมันมาหาบอกชื่อตัวเองว่าชื่อ "ลก" เมื่อสมัยที่แกขายยาฝิ่นนั้น นายลกหรือวัวตัวนั้นเคยซื้อยาฝิ่นเป็นสินเชื่อไว้ ยังชำระหนี้ไม่หมด เห็นว่าเลิกขายยาฝิ่น ก็เลยไม่ยอมจ่ายเงินให้

เจ้าวัวตัวนั้นที่มาเข้าฝันก็พูดต่อไปว่า
"เมื่อฉันเป็นหนี้นายและยังไม่ได้ชำระหนี้ ฉันจึงมาเกิดเป็นวัวเพื่อให้นายใช้งาน เป็นการชำระหนี้ด้วยแรงงาน ขอนายจงไปเอาฉันมาใช้งานจนกว่าฉันจะตายไปตามสภาพ ฉันจึงจะพ้นหนี้ ถ้านายไม่เอาฉันมาใช้ ชาติต่อไปฉันก็ยังจะต้องเกิดเป็นวัวให้ใช้งานต่อไป โอกาสที่จะหมดโทษก็จะไม่มี ถ้านายสงสารฉัน ขอให้นายไปรับฉันมาใช้งานตามเดิมเถิด..."

พอรุ่งเช้าคุณเถ้าแก่เก๊าก็สำรวจตรวจสอบบัญชีลูกหนี้ พบชื่อ "ลก" จริงๆ มีหนี้ตามบัญชีอยู่ ๓๖ บาท เมื่อหลักฐานมีตรงตามความฝัน แกก็ไปนำเจ้าวัวแสนซื่อของแกมาไว้ที่บ้าน ใช้งานแต่เพียงวันละนิดหน่อยพอเป็นธรรมเนียมจนกว่ามันจะตาย

เรื่องนี้คุณพระพินิจบอกว่า เจ้าพวกวัว ควาย ช้าง ม้าที่ถูกใช้งานหนักๆ โดยไม่มีค่าจ้างแรงงาน แต่ผลที่ได้รับเป็นเครื่องตอบแทนความเหนื่อยยากก็คือ หญ้าสดบ้าง หญ้าแห้งบ้าง เห็นจะเป็นเพราะสมัยเป็นมนุษย์คงจะโกงเงิน คือเป็นหนี้แล้วไม่ยอมชำระหนี้สินแบบนายลกนี้เป็นแน่ บางทีเจ้าของเงินเขาไม่ว่าแต่กฎของกรรมว่าเสียเอง ทั้งๆ ที่เจ้าของเงินไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวเรื่องการถูกลงโทษ ส่วนพวกวัวควายที่ถูกเขาใช้งานแล้ว เมื่อเขาหมดความต้องการก็ถูกเจ้าของจับฆ่าเป็นอาหาร ก็คงจะเนื่องมาจากชาติก่อนเคยฆ่าสัตว์ประเภทนั้นตาย จึงต้องไปเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้น และต้องถูกฆ่าตายจนกว่าจะครบจำนวนตามที่เคยฆ่ามาแล้ว

ก็เป็นอันว่าคนที่คิดจะหลบหนี้ด้วยการฆ่าตัวตาย เพื่อเจ้าหนี้จะได้ตามทวงไม่พบ ถ้าเรื่องนี้มีผลตามที่ท่านคุณพระพินิจเล่าให้ฟังแล้ว ก็หนักใจแทนท่านที่หลบหนี้ เพราะถ้ารับใช้สมัยเป็นคนเพื่อการชำระหนี้ด้วยแรงงาน ยังมีโอกาสกินข้าวกินขนมได้อย่างเจ้าหนี้ เหนื่อยก็ขอร้องผลัดผ่อนได้ ร้อนก็บอกได้ แต่ตอนที่เกิดเป็นวัวเป็นควายนั้นแสนจะระทม หิวอาหาร กระหายนํ้า เหนื่อย ยุงกินริ้นกัด หมดทางที่จะรายงานเพราะพูดไม่มีใครรู้เรื่อง มันเป็นกรรมที่แสนจะทรมาน.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 15:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๘ ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์


1 เรื่องที่ ๑๓๕ ตายจากควายป่ากลับมาเกิดเป็นคน ฆ่าคนเป็นพัน เมื่อพบพระพุทธเจ้าก็ได้บรรลุอรหัตผล

2 เรื่องที่ ๑๓๖ ตายจากค้างคาวไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกแล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล

3 เรื่องที่ ๑๓๗ ตายจากงูเหลือมไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล

4 เรื่องที่ ๑๓๘ ตายจากช้างและลิงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

5 เรื่องที่ ๑๓๙ ตายจากช้างมาเกิดเป็นคนแล้วบวชเป็นแม่ชี

6 เรื่องที่ ๑๔๐ ตายจากแมวไปเกิดเป็นคน



เรื่องที่ ๑๓๕ ตายจากควายป่ากลับมาเกิดเป็นคน ฆ่าคนเป็นพัน เมื่อพบพระพุทธเจ้าก็ได้บรรลุอรหัตผล


"..ท่านองคุลีมาลเป็นลูกของปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อท่านเกิดปรากฏว่าพระแสงประจำพระองค์ลุกเป็นเปลวไฟ ในที่สุดท่านปุโรหิตก็มากราบทูลว่า ลูกชายของท่านเองที่เกิดเมื่อคืนนี้เกิดในฤกษ์โจร และจะเป็นโจรที่ใครๆ ก็ปราบไม่ได้ ขอให้พระราชาสั่งประหารชีวิตลูกชายเสียเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม คือไม่ให้ลุกลามต่อไป

พระเจ้าประเสนทิโกศลท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเป็นนักบุญที่ทรงความยุติธรรม ท่านจึงถามท่านปุโรหิตว่า "ลูกชายของท่านเวลานี้เป็นโจรหรือยัง" ท่านปุโรหิตก็กราบทูลว่า "เวลานี้เด็กเพิ่งเกิดได้ไม่ครบ ๒๔ ชั่วโมง ยังไม่เป็นโจร แต่ทว่าต่อไปเมื่อโตเป็นหนุ่มจะเป็นโจรที่ไม่มีใครสามารถปราบได้" พระราชาจึงตรัสว่า "เมื่อเด็กยังไม่เป็นโจรก็ยังไม่ผิดกฎหมาย กฎหมายมีบัญญัติไว้เฉพาะคนที่เป็นโจรแล้ว จึงจะลงโทษได้" แล้วพระองค์ก็ถามต่อไปว่า "จะเป็นโจรที่มีคณะพรรคพวกมากหรือเป็นโจรคนเดียว" ท่านปุโรหิตก็ตอบว่า "เป็นโจรคนเดียว ไม่มีคณะและพรรคพวก แต่เป็นโจรที่ดุร้ายมาก ใครๆ ก็ปราบไม่ได้" พระราชาทรงดำริว่า "คนๆ เดียวเป็นโจร การปราบปรามไม่หนัก เรามีกองทัพทั้งกองทัพ ทำไมจะปราบคนๆ เดียวไม่ได้" ทรงสั่งให้เลี้ยงไว้ก่อน ต่อเมื่อเธอเป็นโจรท่านจะปราบปรามเอง
อหิงสกะกุมาร

เมื่อถึงวาระที่ฤกษ์งามยามดีที่สุด ท่านปุโรหิตก็จัดพิธีตั้งชื่อลูกชาย หาชื่อที่ดีที่สุดที่จะสามารถแก้อาถรรพณ์ จะไม่ให้ลูกชายเป็นโจรตามฤกษ์ที่หาได้ เมื่อถึงเวลาก็ขนานนามว่า "อหิงสกะกุมาร" แปลว่า "กุมารผู้ไม่เบียดเบียน" ชื่อนี้ศักดิ์สิทธิ์เมื่อท่านโตขึ้นมานับตั้งแต่พูดได้ ท่านมีความประพฤติดีมาก เป็นที่รักของคนทั่วไป เมื่อโตพอสมควรท่านปุโรหิตก็ให้ติดตามไปเฝ้าพระราชาทุกครั้งที่ถึงเวลาเข้าเฝ้า

เมื่ออายุถึง ๑๖ ปี ก็ให้ไปเรียนวิชาความรู้ที่ เมืองตักศิลา ตามหลักสูตรเขาเรียน ๔ ปี แต่ท่านอหิงสกะกุมารเรียน ๒ ปีจบหมดและเก่งมาก ครูให้ทำการสอนแทนครู เพื่อนรุ่นเดียวกันก็เริ่มริษยาเพราะเห็นว่าเพื่อนมาเรียนพร้อมกัน แต่กลับมาเป็นครูกันเสียเอง ตอนนี้ความเลวของเพื่อนเริ่มยั่วยุจะให้เป็นโจรแล้ว ท่านอหิงสกะกุมารเรียนเก่งทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๊น คือเก่งทั้งวิชาการรบและการปกครองและกฎหมาย ทุกอย่างเก่งเพียบพร้อมจริงๆ วิชาการรบนั้นเก่งเป็นพิเศษ เวลาซ้อมรบหรือซ้อมเพลงอาวุธ เพื่อนรวมตัวล้อมกรอบ ๔ คนยังสู้ท่านคนเดียวไม่ได้เลย จัดเป็นศิษย์ที่เก่งที่สุดทั้งสองประการเป็นคนแรกตั้งแต่ตั้งสำนักมาไม่เคยมีคนเก่งทั้งสองประการอย่างนี้มาก่อนเลย

บุพพกรรมของท่านองคุลีมาล

กรรมเก่าของท่านองคุลีมาลมาสนอง ก่อนที่ท่านองคุลีมาลจะมาเกิดเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่าที่มีความเก่งกล้าสามารถมาก สามารถปราบสัตว์ป่าทุกประเภทให้แพ้ท่านได้ เมื่อปราบสัตว์ในป่าได้ก็เลยออกจากป่ามาปราบควายที่ชาวบ้านเลี้ยง ในที่สุดก็ปราบได้ราบคาบ ขวิดวัวควายช้างม้าของชาวบ้านตายบ้าง บาดเจ็บใช้งานไม่ได้บ้าง ชาวบ้านเขาก็โกรธ ต่อมาเขาก็รวมตัวกันคิดฆ่าควายป่าตัวนี้ จึงทำคอกที่แข็งแรงมาก ทำทางเข้าแต่เข้าได้ไม่ถึงควายที่กักไว้ในคอก ทางที่เข้าคอกปากทางใหญ่ แต่พอใกล้จะถึงคอกก็เล็กคับตัวมา แล้วเขาก็เตรียมไม้ไว้เพื่อสอดเข้าไปกันออก เมื่อเสร็จแล้วจึงเอาควายเลี้ยงไว้ในคอกเพื่อเป็นนกต่อ ควรจะเรียกว่าควายต่อมากกว่า

เมื่อถึงเวลาควายป่าองคุลีมาลก็ออกจากป่าเพื่อล่าสังหารศัตรู ความจริงไม่มีใครเป็นศัตรูท่านเองเที่ยวเป็นศัตรูกับคนอื่น เดินออกมาก็หาช้างม้าวัวควายไม่พบ เมื่อเดินเข้ามาถึงเขตคอก พวกควายในคอกก็กลัวแต่ไม่ยอมหนี เพราะไม่มีทางหนีออกจากคอกได้ ควายป่าก็เดินไปเดินมาก็เห็นควายพวกนั้นไม่หนี ก็คิดว่าเจ้าพวกนี้ไม่รู้จักราชสีห์ควายเสียแล้ว จะต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าเราคือราชสีห์ควาย เดินวนไปวนมาหาทางเข้าไปปราบปรามก็ไม่มีทางเข้า

พอมาถึงประตูที่เขาทำลวงไว้ ไม่ทันสังเกตก็พุ่งตัวโดยแรงเข้าประตู เมื่อถึงช่องแคบตัวก็ติดกลับตัวออกก็ไม่ได้เพราะคับมาก ชาวบ้านเห็นเจ้าควายป่าเกเรติดช่องแคบก็รีบมา เอาไม้ใส่สกัดไว้ไม่ให้ออกมา ควายป่าก็หมดทางขยับตัว ต่อจากนั้นชาวบ้านที่ต้องเสียหายเพราะสัตว์เลี้ยงถูกทำร้ายใช้งานไม่ได้ เพราะเจ้าควายตัวนี้ รวมกันทั้งหมดพันคนเศษก็ร่วมมือกันตีควายป่าจนตาย คนที่ลงมือตีจริงๆ คงไม่กี่คนนัก แต่คนที่ร่วมคิดร่วมทุนกันจัดทำคอก และร่วมใจว่าเจ้าควายตัวนี้เราต้องฆ่าให้ตาย ขืนปล่อยไว้สัตว์เลี้ยงเราจะตายหมด ความจริงเขาก็คิดในมุมเมตตาสัตว์เลี้ยงและให้ความเป็นธรรมถูกต้องแล้ว

แต่กฎของกรรมท่านไม่เห็นด้วย ก่อนจะตายควายป่าตัวนั้นมันลืมตาดูคนที่รุมฆ่ามันและคิดว่า "ชาติหน้ากูขอฆ่ามึงบ้าง ชาตินี้กูคนเดียวมึงรุมฆ่ากู ชาติหน้ากูคนเดียวจะฆ่าพวกมึงทั้งหมด" เป็นการจองเวรกันชัดๆ

พวกคนที่รุมฆ่าควายตัวนั้น ในชาตินี้มาเกิดเป็นคนในเขตเมืองพาราณสีและในเมืองใกล้เคียง แม่ของท่านองคุลีมาลเองก็อยู่ในกลุ่มคนที่ฆ่าท่านมาในชาติก่อนด้วย ชาตินี้ท่านจึงมาเกิดในครรภ์ของคนที่จองจะฆ่าตั้งแต่ชาติก่อน

ทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้แล้วช่วยกันคิดว่า ลูกที่เราหวังดีบางคนทำไมจึงไม่เห็นใจและไม่เห็นความดีของพ่อแม่ กลับทำลายล้างและเป็นศัตรูกับพ่อแม่ ให้เอาเรื่องนี้เป็นเครื่องเปรียบเทียบก็แล้วกัน

เมื่อกรรมเก่าของท่านที่กล่าวมาแล้วเริ่มเข้าสนองใจ ก็เป็นเหตุบันดาลให้คณะศิษย์ที่มาเรียนร่วมกันทั้งหมดมีอารมณ์ริษยามากขึ้น ตอนนี้จะเห็นว่าอกุศลกรรมที่ทำไว้เข้าสิงใจพวกเพื่อนก่อน ทุกคนจึงไปยุครูว่า "อหิงสกะกุมารจะฆ่าท่านครู และจะยึดสำนักนี้เป็นอาจารย์เจ้าของสำนักเสียเอง และเวลานี้กำลังรวบรวมพรรคพวกจะลงมือฆ่าท่านในไม่ช้านี้"

เมื่อลมปากพัดบ่อยๆ หูนุ่นและสำลีก็อดหวั่นไหวไม่ได้ แต่หวั่นไหวก็ไม่เป็นไร มันถึงขั้นปลิวลมเลย ครูบาอาจารย์เลยวางแผนฆ่าท่านองคุลีมาล คิดว่าเราจะฆ่าเองนั้นไม่ยาก คนอยู่ในสำนักมันมีเวลาหลับ หลับเมื่อไรก็จัดการได้เมื่อนั้นไมมีอะไรยาก แต่การฆ่าลูกศิษย์ลูกหาด้วยมือตนเองหรือใช้ให้ใครฆ่าในสำนัก ความเสียหายใหญ่จะเกิดขึ้น จะหากินไม่ได้ในอาชีพนี้ต่อไป ควรยืมมือคนอื่นฆ่าดีกว่า

วิษณุมนต์
ในที่สุดท่านอาจารย์เจ้าสำนักก็เรียกท่านองคุลีมาลเข้าไปหาบอกว่า "ครูมีมนต์พิเศษอยู่บทหนึ่งมีชื่อว่า "วิษณุมนต์" มนต์บทนี้ถ้าใครเรียนได้แล้วสามารถปราบได้ทั่วไตรภพคือ ปราบมนุษย์ เทวดา พรหม ได้ทั้งหมด ไม่มีใครสู้ได้" แล้วก็ถามว่า "เธอจะเรียนไหม ที่ครูเรียกเธอมาบอกนี้ก็เพราะเห็นว่าเธอดีมีความสามารถยิ่งกว่าศิษย์ทุกคนที่เคยสอนมา เห็นว่าควรจะเรียนได้ มนต์นี้ยังไม่เคยให้ใครเรียนเลย เพราะศิษย์ทุกคนที่สอนมาไม่มีใครที่คู่ควรกับมนต์บทนี้ มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรและสมควรจะเรียนได้"

เมื่อเจอลูกยอเข้าแบบนี้ และคนที่เก่งอยู่แล้วก็อยากจะเก่งถึงที่สุด ก็ยอมรับว่าจะเรียน แต่ท่านอาจารย์ก็บอกว่า "มนต์นี้จะเรียนต้องยกครูก่อน การยกครูหรือการเสียค่าครูนี้ใช้เงินทองของใช้ไม่ได้ ต้องฆ่าคนถึงพันคนก่อนจึงจะเรียนได้"

เมื่ออกุศลกรรมเก่าเข้าสนอง ท่านอหิงสกะกุมารหรือท่านองคุลีมาลก็พร้อมจะทำตาม
หลังจากวันนันเป็นต้นมาก็ออกล่าชีวิตคน ตอนต้นคนยังไม่ทราบก็ฆ่าได้มากหน่อยเพราะฆ่าสะดวกคนยังไม่รู้ แต่พอชาวบ้านรู้ข่าวว่ามีคนดักฆ่าคนเขาก็ระวังตัว ทราบข่าวว่าท่านอยู่ทางไหนเขาก็ไม่ไปทางนั้น กว่าจะฆ่าได้แต่ละคนก็แสนจะลำบาก เมื่อฆ่าคนมาหลายวันเข้าก็ลืมจำนวนคนที่ฆ่า ต่อมาจึงใช้วิธีใหม่ ฆ่าได้หนึ่งคนต้องตัดเอานิ้วไว้หนึ่งนิ้ว

องคุลีมาลโจร
ตอนนี้จึงมีนามใหม่ว่า "องคุลีมาลโจร" แปลว่า "โจรผู้ฆ่าเอานิ้วมือ"
ในที่สุดก็ได้นิ้วมือ ๙๙๙ นิ้ว ขาดอีกนิ้วเดียว ถ้าคิดจำนวนคนที่ฆ่ามาแล้วก็เกินกว่าหนึ่งพันคน ตอนนี้หาคนที่จะฆ่ายากมาก เดินหาเรื่อยไปจนเข้าเขตเมืองพาราณสี คืนวันหนึ่งแม่ของท่านซึ่งเป็นศัตรูเก่าคิดถึงลูก ทราบว่าลูกมาใกล้ที่อยู่ จึงตั้งใจว่าตอนเช้ากินข้าวเช้าแล้วจะไปหาลูก จะไปขอร้องให้ลูกเลิกการฆ่าคน

การที่ท่านองคุลีมาลเกิดเป็นลูกของท่านปุโรหิต ซึ่งเป็นครูสอนธรรมะของพระราชาแสดงว่าบุญเก่าที่สั่งสมไว้มีมาก แต่กรรมเก่าที่เป็นอกุศลเข้าแทรกแซง เมื่อบุญเก่าเข้าสนองได้ กำลังใจที่จะทำบาปก็เริ่มคลายตัว แต่ทว่าความเข้มข้นของอกุศลก็ยังมีไม่น้อย

ท่านองคุลีมาลบรรลุมรรคผล

ตอนเช้ามืดพระพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ เห็นมรรคผลจะมีแก่ท่านองคุลีมาล และทรงทราบว่าตอนสายวันนี้แม่ของท่านองคุลีมาลจะออกไปหาลูก และท่านองคุลีมาลก็ตั้งใจไว้แล้วว่า วันรุ่งขึ้นจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพบแล้วจะฆ่าเพื่อให้ได้นิ้วมือครบพันนิ้ว ถ้าแม่ออกไปพบก่อน อาศัยการจองเวรกันไว้เธอจะฆ่าแม่ เมื่อฆ่าแม่ตายมีกรรมเป็น อนันตริยกรรม บุญมีเท่าไรจะยังให้ผลไม่ได้ ต้องลงนรกก่อน

ด้วยความกรุณา พระพุทธเจ้าจึงตัดสินพระทัยเสด็จไปโปรดตอนเช้าตรู่ เมื่อท่านองคุลีมาลเห็นสมเด็จพระบรมครูก็ออกวิ่งไล่กวด พระพุทธเจ้าทรงแสดงฤทธิ์ให้ไล่กวดไม่ทัน ท่านองคุลีมาลจึงร้องตะโกนออกไปว่า "สมณะหยุดก่อน" พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า "เราหยุดแล้ว" แต่พระองค์ก็ยังเดินต่อไป ท่านองคุลีมาลก็ไล่กวดใหม่แต่ก็กวดไม่ทัน จึงร้องตะโกนไปใหม่ว่า "สมณะ ทำไมจึงพูดมุสาวาท ท่านยังเดินอยู่แต่บอกว่าหยุดแล้ว" พระพุทธเจ้าทรงหันมาบอกว่า "องคุลีมาล ตถาคตหยุดจากบาปธรรมกรรมอันลามกแล้ว เธอยังไม่หยุดอีกหรือ" พระพุทธเจ้าดำรัสเพียงเท่านี้ กุศลกรรมที่เข้ามาสนองใจก็มีกำลังเพราะปีติ

ท่านองคุลีมาลได้สติคิดว่านี่เราทำชั่วเสียแล้วหรือ จึงวางดาบถอดพวงนิ้วมือออกวางลง แล้วสยายผมคลายผ้าหยักรั้ง วิ่งเข้าไปหมอบที่พระบาทของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงให้โอวาท ในที่สุดท่านก็ขออุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเวลาพอดีที่แม่ท่านไปถึง แล้วในที่สุดท่านองคุลีมาลก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

การที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะให้เข้าใจว่า การทำบาปอาจจะเป็นความจำเป็นเพราะการจองเวรจองกรรมกันก็ได้ เพราะเราเกิดทุกชาติก็มีการฆ่าสัตว์ทุกชาติ บางชาติเราอาจจะเป็นสัตว์ถูกเขาฆ่าและอาจจะจองเวรอย่างท่านองคุลีมาลจองไว้ก็ได้ เพื่อความมั่นใจถ้าต้องการผลจริง ขอให้ทุกคนตั้งใจเวลาทำบุญ เวลานั้นจงอย่านึกถึงบาป เมื่อเจริญภาวนาจงอย่านึกถึงบาป หลังจากทำบุญแล้วให้อุทิศส่วนกุศลถึงสัตว์ที่ฆ่ามาแล้ว ขอให้อโหสิกรรมจนกว่าจะเข้านิพพาน ถ้าทำอย่างนี้เสมอๆ กำลังใจจะคลายจากอารมณ์คิดถึงบาป เมื่อเวลาจะตาย ใจนึกถึงบุญที่ทำจนชินที่เรียกว่า "ฌาน" จะเป็นบุญประเภทใดก็ได้ ทางที่ดีภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นปกติ ท่านที่ได้ฌานสามารถไปสวรรค์ พรหม พระนิพพานได้ ใช้กำลังใจจับอยู่สถานที่ที่เราชอบมากที่สุดไว้ทุกเช้าเย็น เมื่อเริ่มป่วยจับอารมณ์ไว้ว่า ถ้าเราตายขอมาที่นี้แห่งเดียว ทางที่ดีควรคิดและทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ตื่นนอนตอนเช้า ถ้าทำอย่างนี้เป็นประจำวัน ก่อนจะตายอารมณ์ก็จะจับกุศลก่อน เมื่อจิตออกจากร่างเมื่อไรก็จะไปตามที่เราต้องการทันที และถ้าหากขณะที่ไปเป็นเทวดาหรือพรหม พบพระศรีอาริยเมตไตรยเมื่อไร ฟังเทศน์จบเดียวก็จะบรรลุมรรคผล ในที่สุดก็สามารถไปพระนิพพาน พ้นจากการกลับมาเสวยทุกข์อีกต่อไป.."

เรื่องที่ ๑๓๖ ตายจากค้างคาวไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกแล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล


"..ตัวอย่างวิธีเข้านิพพานแบบลัดๆ สบายๆ ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยกันกี่ชาติกี่กัป เพราะเราไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ

เรื่องมีอยู่ว่าในสมัย สมเด็จพระพุทธกัสสป เวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลาย ท่องปกรณ์ ๗ ประการคือ พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ เมื่อท่องแล้วก็ไปซ้อมในถํ้าเพื่อความคล่องแคล่วสำหรับไว้พิจารณาและสำหรับปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าสำหรับไว้สวดผี ขณะนั้นเป็นเวลากลางวัน ค้างคาว ๕๐๐ ตัว ภายในถํ้านอนห้อยหัวเอาเท้าเกาะไว้ ได้ยินเสียงพระท่านสวดพระอภิธรรมพร้อมๆ กัน เสียงสมํ่าเสมอกัน ฟังแล้วก็เพลิน แต่ไม่รู้หรอกว่าพระสวดเพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพลินในเสียงชอบใจในเสียง เพลินไปเพลินมาขาก็เลยหล่นจากที่เกาะ ลงมาตายพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ ตัว อาศัยที่จิตเป็นกุศล ฟังเสียงพระอภิธรรมชอบใจทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคนสวดเป็นพระหรือเป็นใคร และเสียงนั้นจะเป็นเสียงพระอภิธรรมหรือเสียงอะไร ไม่รู้เรื่องแต่ว่า พอใจในธรรม

เมื่อหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัวก็ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกทั้งหมด พอมาถึงสมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันลงมาตรัส บรรดาเทวดาทั้ง ๕๐๐ นั้นก็จุติ คือตายจากเทวดาลงมาเกิดในตระกูลของชาวประมง มีอาชีพหาปลาหาสัตว์นํ้า เรียกว่าทำบาปกันตลอดเวลา
ต่อมาได้มาพบท่านพระสารีบุตรเข้า ทั้ง ๕๐๐ คนมีความเลื่อมใสในพระสารีบุตร ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร อยู่กับท่านมาตลอดพรรษาไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ยังไม่ได้ เรียกว่าอยู่ด้วยความดีปฏิบัติตามโอวาทด้วยดี

ต่อมาวันหนึ่งองค์สมเด็จพระชินสีห์พบพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี จึงเรียกพระสารีบุตรเข้ามาหาบอกว่า "สารีบุตร ดูก่อนสารีบุตร บริวารของเธอทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น ในชาติก่อนเขาเป็นค้างคาวเคยฟังเสียงพระอภิธรรม พอใจในเสียงนั้นแล้วก็พากันหล่นลงมาตายพร้อมกันแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น สารีบุตรจงเรียนอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไปจากตถาคต เมื่อกลับไปจากบิณฑบาตแล้วฉันข้าวเสร็จ เรียกบริวารของเธอเข้ามาแล้วก็เทศน์อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ให้ฟัง เขาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อฟังจบแล้วจะได้เป็นพระอรหัตผล"

เมื่อตรัสแล้ว องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสอนพระสารีบุตร เรื่องพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ เมื่อสอนเสร็จท่านพระสารีบุตรก็จำได้ เมื่อพระสารีบุตรกลับมาถึงวัดฉันข้าวเสร็จ ก็เรียกพระทั้ง ๕๐๐ องค์เข้ามาประชุมแล้วก็เทศน์อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ให้ฟัง พอเทศน์จบเพราะอาศัยปัจจัยเดิมที่เคยฟังอภิธรรมมาก่อน พระทั้ง ๕๐๐ รูปปรากฏว่าเป็นพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาขั้นสูงสุดทั้งหมด

การที่หลวงพ่อนำเรื่องราวค้างคาว ๕๐๐ ตัว มาเล่าให้ฟังก็เพื่อเป็นตัวอย่าง จะได้ทราบว่าคนที่จะเข้าถึงพระนิพพานนั้นเข้าไม่ยาก.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 16:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๓๗ ตายจากงูเหลือมไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล

"..ในสมัยสมเด็จพระพุทธกัปสป มีงูเหลือมแก่ตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงพระสวดอภิธรรมได้คล่อง จิตก็พอใจในเสียงชอบบทอายตนะ จักขุนทริยัง โสตินทริยัง ฆานินทริยัง ฯลฯ มันลงยังๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงพระสวด แล้วก็ตาย เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้นในโลก ท่านก็ลงมาเกิดเป็น อเจลกแก้ผ้ามีนามว่า "สรสาณาชีวก" ผลความดีสมัยที่เป็นงูเหลือมชอบใจในเสียงพระสวดอภิธรรมในด้านอายตนะ ด้วยความดีเพียงแค่นี้ เป็นเหตุให้ท่านได้ทิพพจักขุญาณ

หลังจากที่พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ท่านสรสาณาชีวกเป็นอาจารย์สำคัญของพระมารดาของ พระเจ้าอโศกมหาราช เพราะวันหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชยังเล็กอยู่นั่งอยู่บนตักพระบิดา เกิดขี้แตกขึ้นมา ท่านพ่อก็จับเหวี่ยงลงไป พระแม่เจ้าก็นำไปล้างตัวแล้วก็นำไปเดินเล่นข้างนอก ก็ไปพบท่านสรสาณาชีวกแก้ผ้าเดินมาท่านบอกว่า "เลี้ยงให้ดีนะ ลูกชายคนนี้ต่อไปจะเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจและมีความสำคัญมาก และจะต้องฆ่าพระน้องต่างพระมารดาถึง ๙๙ พระองค์ เพราะว่าพวกนั้นจะขบถ"

ต่อมาเมื่อพระราชบิดาพระเจ้าอโศกมหาราชทิวงคต ท่านก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านมีน้องชายร่วมพระมารดาองค์หนึ่งชื่อ "ลิตตกุมาร" และมีน้องชายต่างมารดาอีก ๙๙ องค์ น้องต่างมารดาร่วมมือกันยกกองทัพใหญ่เข้ามาล้อมพระราชวัง กำลังของพระเจ้าอโศกมหาราชมีไม่มากจึงถามน้องชายว่า "สู้ไหม" น้องชายบอก "สู้ ไม่สู้เขาก็ฆ่า ต้องสู้ไหนๆ จะตายก็ต้องตายอย่างลูกผู้ชาย" ในที่สุดท่านก็สู้ ด้วยอำนาจของบุญญาธิการก็จับน้องชายต่างมารดาทั้ง ๙๙ องค์ได้ กองทัพแตกกระจัดกระจายไป ก็เลยสั่งประหารชีวิตทั้งหมด

เมื่อท่านเป็นกษัตริย์แล้วไม่มีศัตรูแล้ว ก็ถามพระแม่เจ้าว่า "เรื่องราวทั้งหมดนี้ใครพยากรณ์ไว้" ท่านแม่ก็บอกว่า "ท่านสรสาณาชีวก อาจารย์ใหญ่พยากรณ์ไว้ เวลานี้ท่านอยู่ไกลไปประมาณ ๑๐๐ โยชน์" พระเจ้าอโศกมหาราชจึงสั่งให้คนนำวอไปรับมาเป็นที่ปรึกษา เมื่อขบวนใหญ่ไปรับอาจารย์ใหญ่เป็นอเจลกคือแก้ผ้า พอมาถึงหน้าวัดในป่าสงัด ท่านสรสาณาชีวกเห็นเป็นวัดพระด้วยกันแต่คนละนิกาย ก็ทำท่าจะเบ่ง จึงบอกให้อำมาตย์วางคานหาบแล้วบอกว่า "จะไปเยี่ยมพระด้วยกันสักหน่อย" ทำท่าเบ่งว่าพระห่มผ้าเหลืองนับถือพระพุทธศาสนาพระราชาไม่เคารพ ฉันอ๋องกว่า

พอท่านเดินนวยนาดเข้าไป พระองค์นั้นท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านมองดูใจก็ทราบว่าเจ้างูเหลือมฟังอภิธรรมบทอายตนะ แต่ไม่รู้จักอายตนะ จิตเลื่อมใสในธรรมเมื่อตายจากงูเหลือมก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตอนนี้จะเป็นอรหันต์แล้วต้องจี้จุด พระอรหันต์ท่านดูใจคนไม่ได้ดูลีลา ไม่ได้ดูการแก้ผ้านุ่งผ้า ไม่ได้ดูกาย พอท่านสรสาณาชีวกเดินเข้าไป พระท่านก็ถามว่า "ชื่ออะไร" ท่านก็ตอบตามจิตเดิมว่าชื่อ "อายตนะ" พระท่านก็เลยถามว่า "ไงพ่ออายตนะ คุณลืมอายตนะเสียแล้วหรือ หรือเราจะเรียกก็ได้ว่าท่านงูเหลือม" ท่านตกใจถามว่า "ทำไมเรียกอย่างนี้" พระท่านก็บอกว่า "ท่านเป็นงูเหลือมในสมัยพระพุทธกัสสป ฟังพระสวดพระอภิธรรม ชอบอภิธรรมบทอายตนะ ทำไมมาลืมเสียเล่า"

แล้วพระท่านก็พูดเรื่องอายตนะนิดหน่อย ความรู้สึกเดิมบุญเก่ามาสนองใจ ท่านเกิดความละอายนั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยน พระท่านก็เลยไปหยิบสบงจีวรให้เอามาห่ม และก็อธิบายเรื่องอายตนะพอสมควร ท่านฟังแล้วก็เลื่อมใสคิดว่าที่นี่น่าอยู่ จึงไปบอกให้พวกนั้นกลับไปหาพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะอยู่ที่นี่ ให้ไปกราบทูลพระราชาว่า "เวลานี้ท่านอยู่ที่วัดมีกิจที่จะต้องทำ พอเสร็จแล้วจะมา" แล้วท่านก็เข้าไปใหม่ พระท่านก็สอนอายตนะให้

ในที่สุดท่านสรสาณาชีวกก็ได้สำเร็จอรหัตผล

พระเจ้าอโศกมหาราชก็อาศัยท่านสรสาณาชีวก ท่านแนะนำว่า "การนับถือศาสนาอื่นไม่ดีเท่าพระพุทธศาสนา" ความเลื่อมใสเกิดขึ้นกับท่านอเจลกที่เป็นชีเปลือย และก็เป็นพระอรหันต์ ขึ้นชื่อว่าธรรมขององค์สมเด็จพระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าเราจะฟังการสวดไม่รู้เรื่องแต่ว่าจิตเลื่อมใสในเสียง เรามีอารมณ์ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานคือท่านงูเหลือม ไม่รู้ว่าเป็นเสียงธัมมะธัมโม พอใจในเสียงเท่านั้น ตายแล้วยังเกิดเป็นเทวดาได้ จากเทวดามาเกิดเป็นคนก็เลยได้เป็นพระอรหันต์ สำหรับพวกเรานั้นก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสวดอะไรกันบ้าง ก็ทำใจเลื่อมใสไว้ก่อนว่านี่เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร อย่างเลวที่สุดตายแล้วเราก็เป็นเทวดาได้ ถ้าจิตฝักใฝ่มีอารมณ์ถึงฌานเราก็เป็นพรหมได้ ถ้าบังเอิญจิตใจของเรานั้นมีความเบื่อหน่ายในร่างกายเราก็ไปพระนิพพานได้.."

เรื่องที่ ๑๓๘ ตายจากช้างและลิงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


"..ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ๒ รูป ต่างองค์มีบริวารกันองค์ละ ๕๐๐ รูป อยู่ที่โฆสิตารามใกล้เมืองโกสัมพี ได้เกิดทะเลาะวิวาทกันแบ่งเป็น ๒ พวก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงมาห้ามปรามให้ภิกษุทั้ง ๒ ฝ่ายสามัคคีกัน ทรงห้ามถึงวาระที่ ๓ พวกเขาก็ไม่ยอมเลิกทะเลาะกัน พระองค์ก็ทรงระอา มีความรังเกียจ ทรงหลีกออกจากหมู่พวกนี้ไปอยู่แต่ผู้เดียว ได้เสด็จไปบิณฑบาตในเมืองโกสัมพีโดยไม่ตรัสบอกภิกษุทั้งหลาย ทรงถือบาตรจีวรของพระองค์เสด็จไปแต่พระองค์เดียว ไปจำพรรษาอยู่ที่โคนต้นไม้สาละใหญ่ในป่าชื่อ "รักขิตวันสัณฑะ" ซึ่งมี ช้าง มีนามว่า "ปาริไลยกะ" เป็นอุปัฏฐาก ช้างตัวนี้ละจากฝูงช้างมาจากป่า เข้ามาปฏิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทำทุกอย่าง น้ำใช้นํ้าฉันก็ดี ช้างก็ใช้งวงจับกระบอกตักเอานํ้ามาถวาย ปรากฏว่าในป่านั้นมีอากาศหนาวมาก นํ้าสรงของพระพุทธเจ้า เวลาช้างจะทำนํ้าร้อนก็เอางวงจับไม้สีกันให้เป็นไฟ เมื่อไฟติดแล้วก็กลิ้งหินเข้าไปในกองไฟ แล้วก็เอาไม้เข้ามาใส่ พอเห็นว่าหินร้อนดีแล้วก็เอางวงจับไม้มางัดหินนั้นไปแช่ไว้ในนํ้า ซึ่งเป็นอ่างน้ำไม่ใหญ่โตนัก หลังจากนั้นก็เอางวงจุ่มนํ้าดู เมื่อนํ้าร้อนแล้วก็เข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระองค์จึงตรัสถามว่า "ปาริไลยกะ เจ้าต้มน้ำแล้วหรือ" ช้างก็แสดงให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปที่นั้น ในเวลานั้นพญาช้างก็ได้นำผลไม้ต่างๆ มาถวายแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จเข้าไปบิณฑบาต พญาช้างก็ถือบาตรจีวรไว้บนตระพองตามเสด็จพระพุทธเจ้าไป เมื่อพระองค์เสด็จถึงแดนบ้านแล้วจึงรับสั่งว่า

"ปาริไลยกะ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่อาจจะไปได้ เจ้าจงเอาบาตรจีวรของเรามา"
ช้างก็ส่งบาตรจีวรถวาย แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ส่วนพญาช้างก็ยืนคอยอยู่ตรงนั้นจนกว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จออกมา

ในเวลาที่พระองค์เสด็จมา ช้างก็ทำการต้อนรับถือบาตรจีวรนำไปวางไว้ ณ ที่ประทับก่อน แล้วถวายงานพัดด้วยกิ่งไม้ เป็นอันว่าช้างแสดงอาจริยวัตร ปฏิบัติอยู่ตลอดในเวลากลางวัน สำหรับในเวลากลางคืนช้างก็นำท่อนไม้มาท่อนหนึ่งเป็นท่อนใหญ่ใช้งวงจับไว้ เที่ยวเดินไปรอบๆ ในราวป่าจนกว่าอรุณจะขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่จะพึงมีแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เป็นอันว่าช้างตัวนี้ตั้งใจไว้ว่า เราจะรักษาพระพุทธเจ้าอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต แสดงถึงน้ำใจของช้างซึ่งมีความจงรักภักดีในพระพุทธเจ้า จริยาอย่างนี้ถือว่าเหมือนกับ เราสมาทานพระกรรมฐานด้วยการใช้คำว่า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

ช้างปาริไลยกะเชือกนี้เป็นพระโพธิสัตว์ ในกัปนี้จะมีพระพุทธเจ้า ๑๐ องค์ หลังจาก พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นองค์ที่ ๕ จัดว่าเป็นชุดที่ ๑
ชุดที่ ๒ คือ
๑. พระราม
๒. พระเจ้าปเสนทิโกศล
๓. ช้างปาริไลยกะ เป็นต้น

ในกาลต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้วมีภิกษุมาจากในทิศทั้งหลายรวมกัน ๕๐๐ รูป ได้เข้าไปหาพระอานนท์ อ้อนวอนบอกว่า "จงช่วยอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพาข้าพเจ้าทั้งหลายไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าเถิด"

พระอานนท์จึงได้พาพระภิกษุทั้งหลายไป ณ ที่นั้นแล้ว จึงสั่งให้พระ ๕๐๐ รูป พักอยู่ข้างนอกก่อน ท่านเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ผู้เดียวก่อน เวลานั้นช้างปาริไลยกะเห็นพระอานนท์เถระเข้ามา จึงเอางวงถือท่อนไม้แล้วก็วิ่งไปจะทำร้ายพระอานนท์คิดว่าเป็นศัตรู

สมเด็จพระบรมครูทอดพระเนตรเห็นแล้วจึงได้ตรัสว่า
"ปาริไลยกะ หลีกไปเสีย อย่าห้ามเธอเลย ภิกษุองค์นั้นเป็นผู้ปฏิบัติเราคืออุปัฏฐากของเรา"
พญาช้างปาริไลยกะก็ทิ้งท่อนไม้เสียในที่นั้นเอง แสดงความเอื้อเฟื้อจะเข้าไปรับบาตร และจีวร พระเถระก็มิได้ให้ พญาช้างก็คิดว่า ถ้าภิกษุรูปนี้จะมีวัตรอันตนได้เรียนแล้ว ท่านคงจะไม่วางบริขารของตนไว้บนแผ่นหินที่ประทับของพระพุทธเจ้า พระอานนท์เมื่อเข้าไปก็ไม่ยอมวางบาตรบนที่นั้นเพราะท่านมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "อานนท์ เวลานี้เธอมาคนเดียวหรือ"
พระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้ามากับพระ ๕๐๐ รูปด้วยกันพระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าเธอได้มาจากทิศต่างๆ ปรารถนาจะนมัสการสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงขอร้องให้ข้าพระพุทธเจ้าพามานมัสการ"
พระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "พระพวกนั้นเวลานี้อยู่ที่ไหน"
พระอานนท์จึงได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่า เวลานี้พระองค์ต้องการจะให้เธอทั้งหลายเหล่านั้นเข้ามานมัสการหรือไม่ จึงให้พักอยู่ภายนอก"

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เธอจงเรียกพระทั้งหลายนี้เข้ามาเถิด ตถาคตอนุญาต"ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเข้ามาถวายบังคมองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงทำปฏิสันถารกับเธอทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เสด็จประทับพระองค์เดียวตลอดไตรมาส ผู้ปฏิบัติถวายนํ้าสรงพระพักตร์ก็คงจะไม่มี พระองค์คงจะลำบากมาก พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจทั้งปวงของเรา อันพญาช้างมีนามว่า ปาริไลยกะ ทำแล้ว อันบุคคลผู้ได้สหายเห็นปานนี้อยู่ด้วยกัน เป็นการสมควร เมื่อไม่ได้สหายเห็นปานนี้ ความเป็นอยู่ผู้เดียวประเสริฐกว่า"

ความจริงขึ้นชื่อว่าพระโพธิสัตว์เมื่อถึงโอกาสพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตั้งใจไปโปรดช้างปาริไลยกะซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์มากกว่า เพราะว่าเมื่อท่านเห็นว่าพระเมืองโกสัมพีปฏิบัติไม่ดี พระองค์จะเสด็จไปกรุงราชคฤห์หรือกรุงสาวัตถีก็ไปได้ วิหารก็มีอยู่ พระก็มีมาก
เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสนี้มีประโยชน์มาก ท่านทั้งหลายควรจะยึดถือถ้อยคำของพระองค์ไว้ว่า
"ถ้าเราได้เพื่อนที่ดีเราควรอยู่กับเพื่อน ถ้าเพื่อนเลวเราก็ไม่ควรอยู่ เพราะจะพาเราเลวไปด้วย เราอยู่สำหรับตนคนเดียวดีกว่า"

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสคาถานี้จบ ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปก็ได้สำเร็จอรหัตผล
หลังจากนั้นพระอานนท์ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "เวลานี้มีพระอริยสาวกอีกประมาณ ๕ โกฏซึ่งมีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและพระนางวิสาขาเป็นหัวหน้า หวังในการเสด็จไปโปรดขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า"
พระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธดำรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นเธอจงรับบาตรจีวร"
พระอานนท์รับบาตรจีวรแล้ว พระพุทธเจ้าจึงเสด็จออกไป พญาช้างได้ไปยืนขวางทางไว้ บรรดาภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงได้ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างทำอะไรพระเจ้าข้า" จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างหวังจะถวายอาหารแก่เธอทั้งหลาย และช้างเชือกนี้แหละที่ให้อุปการะแก่เราตลอดราตรีนาน ๓ เดือน การทำให้ช้างนี้ขัดเคือง ไม่เป็นการสมควร ฉะนั้นขอพวกเธอทั้งหลายจงพากันกลับเถิด เพื่อเป็นการสนองความดีที่ช้างตั้งใจไว้แล้ว"
พระพุทธเจ้าก็ทรงพาภิกษุทั้งหลายเสด็จกลับ ฝ่ายช้างเข้าสู่ป่าแล้วรวบรวมผลไม้ มีผลขนุนและกล้วย เป็นต้น นำมาไว้เป็นกองๆ แล้ว ในวันรุ่งขึ้นได้ถวายแก่พระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปฉันไม่หมดเพราะช้างนำมามาก เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าทรงถือบาตรจีวรเสด็จออกไป พญาช้างก็เดินตามไปคือ พระพุทธเจ้าเดินหน้า บรรดาพระเดินตามหลัง ช้างเดินคั่นกลางระหว่างพระพุทธเจ้ากับบรรดาพระ

ต่อมาช้างก็มายืนขวางหน้าพระพุทธเจ้าไว้ บรรดาภิกษุทั้งหลายเห็นจึงกราบทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างทำอะไรพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ช้างนี้จะส่งพวกเธอไป แล้วก็ชวนให้เรากลับ"
องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสกับช้างว่า "ปาริไลยกะ การไปคราวนี้ของเรา เราไปไม่กลับเพราะว่าถ้าเราจะอยู่ ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคผลก็ดี ย่อมไม่มีแก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้ เจ้าจงหยุดเถิด"
พญาช้างได้ฟังคำสั่งดังนั้นแล้ว ได้สอดงวงเข้าปาก ร้องไห้เดินไปข้างหลัง พญาช้างคิดว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกลับมา เราจะปฏิบัติเช่นนี้แด่องค์พระพุทธเจ้าตลอดชีวิต ฝ่ายพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงแดนบ้านแล้วตรัสว่า

"ปาริไลยกะ แต่นี้ไปมิใช่ที่ของเจ้า มันเป็นที่อยู่ของบรรดาหมู่มนุษย์ทั้งหลาย อันตรายที่จะเบียดเบียนเจ้ามีอยู่รอบข้าง เจ้าจงหยุดอยู่เถิด"
ช้างเมื่อได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วก็ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นไม่กล้าตามไป ครั้นเมื่อสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จไปกับหมู่พระสงฆ์มองจนกระทั่งลับตาไปแล้ว
ช้างก็มีหัวใจแตกตายและไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานสูง ๓๐ โยชน์และมีนางเทพอัปสรหนึ่งพัน เพราะมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช้างตัวนั้นมีนามว่า "ปาลิไลยกเทพบุตร"

ในขณะที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่ที่โคนต้นไม้สาละใหญ่ในป่า เวลานั้นก็ยังมี วานรอีกตัวหนึ่ง ลิงตัวนี้เห็นช้างนั้นทำการปฏิบัติในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดว่าช้างทำได้ เราก็จักทำอย่างนั้นได้ เมื่อช้างถวายผลไม้พระพุทธเจ้าได้ ช้างทำวัตรปฏิบัติพระพุทธเจ้าได้ ช้างไม่มีมือมีแต่งวง เรามีมือสองมือ มีเท้าสองเท้า มือของเราจะใช้เป็นมือก็ได้ จะใช้เป็นเท้าก็ได้ เป็นอันว่าเราได้เปรียบช้างแต่ตัวเราเล็กกว่าช้าง แม้เราจะเล็กเราก็มีความสามารถ

ฉะนั้น เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ลิงมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงเที่ยวไป วันหนึ่งไปเห็น รวงผึ้งที่กิ่งไม้ หาตัวผึ้งไม่มีแล้ว จึงได้หักกิ่งไม้นั้นมาแล้วก็นำรวงผึ้งนั้นมาพร้อมทั้งกิ่งไม้เข้าไปถวายพระพุทธเจ้า ได้เด็ดใบตองรองถวาย พระพุทธเจ้าทรงรับ

ลิงมองดูเห็นพระพุทธเจ้าทรงนิ่งเฉยอยู่ไม่เสวย จึงคิดว่าพระพุทธเจ้าเห็นว่าเราเป็นลิงเล็กมีค่าไม่เท่าช้าง ความจริงน้ำผึ้งก็หวานดี จึงย่องเข้าไปดูใกล้ๆ เอามือจับปลายกิ่งไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงถือ แล้วก็พิจารณาดู ก็เห็นผึ้งตัวอ่อนๆ มีอยู่ ๒-๓ ตัว จึงค่อยๆ นำเอาผึ้งตัวอ่อนนั้นออก แล้วจึงเข้าไปถวายใหม่ ตอนนี้พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วก็เสวย

เมื่อพระองค์เสวยน้ำผึ้ง ลิงก็ดีใจ คิดว่าช้างตัวใหญ่ทำการปฏิบัติพระพุทธเจ้าได้ เราเป็นลิงตัวเล็ก เราก็ทำได้ เราไม่แพ้ช้าง ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นไปตามเพลงของลิง เวลานั้น กิ่งไม้ที่ลิงโดดไปจับและกิ่งไม้ที่ลิงไปเหยียบมันหักขึ้นมาพร้อมกัน ลิงตัวนั้นก็เลยตกลงมา โดนที่ปลายตอๆ หนึ่ง ตัวลิงถูกปลายตอแทงเข้าไป

เพราะอาศัยที่จิตเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตายจากความเป็นลิง ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำสูง ๓๐ โยชน์ มีนางเทพอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร

รวมความว่า ช้างปาริไลยกะ มีความรักในพระพุทธเจ้า ลิงมีความรักในพระพุทธเจ้า ตายแล้วก็เป็นเทวดา การที่มีบางคนพูดว่า สัตว์ทำบุญไม่ได้ สัตว์ไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญกุศล นั้นไม่จริง อย่างในเรื่องนี้ช้างและลิงก็ปฏิบัติรับใช้พระพุทธเจ้าได้ และที่ว่าเทวดาทำบุญไม่ได้ต้องทำบุญในขณะที่เป็นมนุษย์เท่านั้นก็ไม่จริง อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก่อนจะเป็นเทวดาก็อาศัยก่อนตายมีจิตนึกถึงพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์พระพุทธเจ้าจบเดียวเป็น พระโสดาบัน บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เราเลี้ยงก็เหมือนกัน เราก็เลี้ยงตามที่เราจะพึงทำได้ สัตว์ก็มีความรักในเรา จิตก็เป็นกุศล สัตว์ทุกตัวที่เราเลี้ยงเมื่อตายแล้วเป็นเทวดาหมด.."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร