วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 281 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




user161925_pic11531_1224404244.jpg
user161925_pic11531_1224404244.jpg [ 74.65 KiB | เปิดดู 5099 ครั้ง ]
ไม่ใช่..แค่ใบไม้ไหว...

แค่ใบไม้ไหว...หัวใจก็สั่น ดอกหญ้า รำพัน ว่าหวั่นไหว
สายลม โบกพัด ระบัดใบ เงาไม้ หม่นไหม้ ดั่งใจตน

แค่ใบไม้ไหว...หัวใจก็สั่น ฝ่าข้าม คืนวัน อันสับสน
ใจเอ๋ย ใจหนอ นอนร้อนรน เปียกฟ้า เปียกฝน จนร้าวรอน

แค่ใบไม้ไหว...หัวใจก็สั่น แม้ยาม หลับฝัน ยังหลอกหลอน
ลมหวน ห่วงหา ว่าอาวรณ์ เอนกาย ทอดถอน อยู่ลำพัง

แค่ใบไม้ไหว...หัวใจก็สั่น ดอกหญ้า รำพัน อย่างสิ้นหวัง
สายน้ำ หยาดฝน ยังพรูพรั่ง หลั่งรด หยดซ้ำ ให้ช้ำใจ

แค่ใบไม้ไหว...หัวใจก็สั่น ดอกหญ้า รำพัน แอบฝันไว้
ฝนพราก จากฟ้า ณ คราใดจะซับห้วง ดวงใจไว้ ไม่เปียกปอน

ชีวิตเราก็หวั่นไหวเช่นใบไม้แห้ง เริ่มหมดแรงกรรมเหมือนลมเป่ามาหา
ใบไม้ไหว...ต้องหลุดร่วงหล่นไปตามลม ชีวิตเราก็ต้องไปเช่นกรรม..เมื่อถึงกาลเวลา

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 08 ก.ค. 2009, 11:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับตาลงตรงนี้เถิดเพื่อนรัก
หากอยากถักทอฝันในวันหวาน
ร้อยดอกบัวระบำเป็นธรรมทาน
ระกิ่งก้านหนามกิเลสแห่งเภทภัย

ดวงดอกไม้ร้อยสีที่ว่าหอม
หากได้ดอมดมปาริชาติฤๅวาดไหว
คงตระหนักจักรู้สู่ถิ่นใด
มาจากไหนกี่ภพชาติอาจรู้จริง

อุตสาห์เวียนวนว่ายหลายภพชาติ
เพื่อถักร้อยบ่วงบาศก์ผูกสรรพสิ่ง
เหลือเพียงตัวแหละหัวใจให้พักพิง
เพื่อได้สิงสู่สวรรค์อนันตกาล

แม้จะได้เรียนธรรมนำประจักษ์
แต่ใจรักไม่ฉลาดและอาจหาญ
สู่หนห้วงสรวงทิพย์แห่งนิพพาน
โพธิญาณหวังเน้นหนักขอตักตวง

คงจักวนเวียนว่ายหลายหมื่นภพ
กว่าประสบสุขสันต์อันใหญ่หลวง
ตราบเท่าที่สรรพสัตว์ระบัดปวง
ยังไม่ล่วงสู่สัมโมโพธิญาณ

ยังขอวนเวียนว่ายทางสายโลก
เพื่อดับโศกดับทุกข์สร้างสุขสานติ์
แก่ปวงเทพสัตว์มนุสสุดห้วงกาล
เติมตำนานตราบสามโลกยังโศกตรม

ในโลกันต์อเวจีที่แสนมืด
ล้วนกำพืดสัตว์แสนต่ำกรรมสะสม
ส่วนในถิ่นดิรัจฉานผ่านนานนม
คลุกโคลนตมมาเป็นคนด้นดั้นมา

หากที่ใดได้ทิพย์ละลิบสวรรค์
เกิดเทวัญเทพสถานพิมานฟ้า
ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา
ตราบดาวดึงส์ยามามาพร้อมเพรียง

หรือสถิตย์นิ่งแน่นแดนพรหมสถาน
ในวิมานทิพย์รูปและทิพย์เสียง
หรืออรูปพรหมประทับดับสำเนียง
สถิตย์เพียงพร่างพรายในสายลม

อาจเป็นอากาสานัญจายะฯบรรเจิด
ก่อเกิดวิญญาณัญจาห้วงฟ้าห่ม
เป็นเนวะสัญญานาสัญญาฝ่าโลกตรม
ถ้วนทางถมในดิถีที่ต้องเป็น

เมื่อยังไม่เกิดกายกามทั้งสามโลก
ยังดับโศกยังไม่มีดังที่เห็น
จะขอเกิดให้ครบทุกภพเย็น
จึงค่อยเน้นทางสงบพบนิพพาน

ขอหลับตาลงตรงนี้นะเพื่อนเอ๋ย
หลับในตักความฝันอันแสนหวาน
สืบสายใยใจเอยเคยร้าวราน
สบสายธารธรรมเพื่อก่อเกื้อกูล

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:44, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 22:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




099878.jpg
099878.jpg [ 6.71 KiB | เปิดดู 5006 ครั้ง ]
รจนาธรรมทาน..
กับทุกสิ่งที่เล่าขาน....
ยาก!..ให้เข้าใจและเห็นใจมาก
เข้าใจความรู้สึกที่เพียรจะอธิบาย
คนดีสิ่งที่เห็น ที่พบ
สิ่งที่เปลี่ยนไปในโลกปัจจุบัน
มันเป็นไปตามกฎธรรมดาของโลก
โลกจะต้องเป็นอย่างนี้
คนดี คนชั่ว เกิดขึ้นเพราะ กรรม

ดังนั้น
เราจึงควรนำสิ่งที่เราเห็นนี้
มาสร้างให้เกิดปัญญาต่อจิต
มาสร้างให้เกิดความเบื่อหน่าย
คลายยึดในโลก
ถ้าเราเกิดมาอีก
เราก็ต้องเจอสภาพอย่างนี้
มันวนเวียนมาแบบนี้ทุกชาติภพ
ชาตินี้เราก็เห็นแล้ว ว่า เป็นยังไง

เราจึงต้องถามตัวเองว่า
เรายังปรารถนา
ที่จะเกิดมาพบกับสภาพเหล่านี้อีกไหม
แต่การคิดจะต้องคิด
ด้วย จิตที่ไม่เศร้า หมายถึง
เมื่อเราคิดพิจารณาอะไรก็ตาม
บนโลกใบนี้
ผลของการคิด
จิตเห็นตามความเป็นจริง
จิตจะไม่หดหู่ เศร้าหมอง
จิตจะสว่าง อิ่ม
เพราะมองเห็นโทษ
เห็นความจริง ณ เวลานั้น

จะต้องคิดจบลงตรงที่
ปรารถนาพระนิพพานนะจ๊ะ
คือ สุดท้ายให้น้อมจิตว่า
ขึ้นชื่อว่า
การเกิดเป็นคน เป็นเทวดา
เป็นพรหม
เกิดมาพบกับสิ่งเหล่านี้
จะไม่มีกับเราอีก
เราตั้งใจจะไปนิพพาน

ชาตินี้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน
หากข้าพเจ้าตาย
ขอจิตข้าพเจ้าไปสถิตอยู่
ณ ที่ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า
อยู่ด้วยเถิด

ทุกครั้งเวลาปฏิบัติธรรม
จะต้องน้อมคิดอย่างนี้นะจ๊ะยอดรัก
ดังนั้นหากสิ่งใดที่เกินวิสัย
ที่เราจะแก้ได้
เราต้องวางใจเป็นกลาง
ในธรรมดาของโลกนั้นจ้ะคนดี

ถามว่า.....
ถ้าคนดีรีบลาพุทธภูมิไป
คนดีก็หมด
จริงๆแล้ว ไม่มีใครดีหมด
ไม่มีใครชั่วหมด
คนจะดีจะชั่ว
อยู่ที่ กรรมเข้ามาสนอง
เมื่อไหร่ที่กรรมชั่วสนอง
ความดีเข้าไม่ถึง
เขาจะทำความดีไม่ได้เลย

เมื่อไหร่ ที่กรรมดีเข้าสนอง
กรรมชั่วจะเข้ามาไม่ได้
เขาจะทำความชั่วไม่ได้
ดังนั้น เราเจอคนไม่ดี เห็นคนไม่ดี
คนเหล่านี้ คือ คนทีน่าสงสาร
เพราะอกุศลกรรม ทำให้เขาพูดผิด คิดผิด ทำผิด

ตายไปแล้ว
เขาต้องไปเสวยผลบาปกรรม
ที่เราเห็นบนโลกเป็นแค่เศษกรรม
กรรมหนักจริงๆ กรรมชั่ว
เขาต้องไปเจอหลังจากตาย

ดังนั้น คนชั่วหรือทำไม่ดี
จึงเป็นคนที่เราต้องทำจิตให้เมตตาต่อเขา
ไม่ว่าเขาจะทำไม่ดีต่อเรา
เราอาจไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
(คนที่เราไม่รู้จัก ไม่ใช่ญาติ
ไม่ใช่คนที่สามารถเตือนได้)
เราก็ทำจิตเมตตา เขาอยู่ในใจ

แต่คนที่เราช่วยได้ รับฟังเรา
ถ้าเราทำดีที่สุด แล้ว เขาอาจทำตามเรา
หรืออาจไม่ทำตาม เราต้องทำใจวางเฉย
ทำใจให้สะเทือนใจน้อยที่สุดกับพวกเขา

แต่ละคนมีกรรม มีวาระของตัวเอง
คนดีที่มาเกิดจะต้องมี เพราะเป็นกฎของสังสารวัฎ
พระโพธิสัตว์
ที่ปรารถนาจะขนสัตว์ มีเยอะมาก
แต่ละองค์ก็จะมีกลุ่มของตนที่จะต้องโปรด
เราจะ ไปก้าวก่ายกันไม่ได้ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน

คนดีอย่าห่วงอะไรเลยนะ
เราไม่สามารถจะไปแก้กฎของกรรมในโลกนี้ได้
และไม่สามารถทำให้ใครเป็นได้ดั่งใจเรา
ดังนั้น ชาตินี้เราทำดีที่สุด เท่าที่เราทำได้ก็ชื่อว่า
ไม่เสียชาติเกิดแล้ว

จิตรจนาคิดดี
มองความสวยงามของดอกไม้ ธรรมชาติที่ถูกสร้างสรรไว้ให้โลกนี้
ให้มนุษย์อยู่ชื่นชมกับธรรมชาติตราบที่ยังมีมนุษย์ในโลกนี้
เมื่อมองโลกได้ลึกซึ้งย่อมก้าวข้ามโลกสู่กระแสธรรม
โลกงดงามเสมอ ดอกไม้ สายน้ำ ภูเขา ต้นไม้
สรรพสิ่ง คงอยู่ด้วยสุขสงบ และปล่อยวางว่าง

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 25 พ.ค. 2009, 13:00, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2009, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




124814.jpg
124814.jpg [ 10.04 KiB | เปิดดู 5013 ครั้ง ]
ส่องแสงฉายพรายรุ้งที่พุ่งพาด
ปราศรอยหม่นเศร้าหมองเคล้าครองจิต
แสงฉายฉานพวยพุ่งนิรมิตร
เพาะบ่มจิตให้งามอร่ามตา

คือแสงฉายธรรมชาติสะอาดล้ำ
มาพรมพร่ำฉุดกิเลสฝังแน่นหนา
ออกจากจิตภายในกระจ่างตา
บรรเจิดจ้าไร้ทุกข์สุขเข้าครอง

ค่อยค่อยเคาะแกะเกาหลาวดวงจิต
ให้คมชัดไววิบผุดงามผ่อง
ด้วยธรรมาธรรมชาติตามครรลอง
ดั่งแสงทองอาบหล้านภาลัย

อย่าเกราะกุมตัณหามาสุมอก
มัวหยิบยกความเขลาเฝ้าสงสัย
โสตสัมผัสเพรงพรหมกังวานไพร
กล่อมกายในสงบสยบมาร

จะทำการสิ่งใดใคร่ครวญคิด
หนาวร้อนจิตพินิจให้ตระหง่าน
อย่าหลงลมบ่มเพาะอันธพาล
อารมณ์มารสยบสพธรรมา

ยกเวทนายิ่งใหญ่เกิดในจิต
ศูนย์กลางทิศอารมณ์สู่สมหา
เป็นนายกองสำคัญคอยบัญชา
จะชั่วช้าหรือดีอยู่ที่ใจ

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 25 พ.ค. 2009, 12:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วสันต์ปรอยสายในวันหนึ่ง
นั่งซึ้งซึ้งทอดตาอย่างว้าเหว่
เห็นบึงบัวกว้างใหญ่ราวทะเล
เหลือคะเนมากมายหลายร้อยพัน

อุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด
โอบกอดด้วยขุนเขาเงาเมฆฝัน
อยากสบตาใครบางคนแล้วรำพัน
นี่สวรรค์หรือไรใจได้พบ

บัวในบึงบานไสวรับหยาดฝน
ในกมลแสนว่างสว่างสงบ
ทุกข์รานร้าวหนาวดายเดียวพลันลืมลบ
จากเจ็บจบมายาฝันวันธรรมดา

บัวบุญบานในจิตสถิตสอน
ทุกฉากตอนสัจจธรรมอันล้ำค่า
ลมหายใจพลีพร้อมการพรากลา
ในอ้อมกอดธารศรัทธาตราบนิรันดร์

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:37, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพชรของชีวิต......
คือความสำเร็จ ในทางที่ถูกที่ดีงาม
ในหน้าที่การงาน ต่อครอบครัว
และต่อสังคมส่วนรวม.......

เพชรของคนตาบอด.....
คือความหวังเรืองรอง
ที่ต้องการมีดวงตาสว่างไสว
มองเห็นโลกนี้ที่สวยงามสดชื่น มีสีสรร
ราวดวงตาสวรรค์ที่ฟ้าประทาน
ให้ทุกผู้ที่โชคดี..มีวาสนา สัมผัสเห็นงามตามใจนึก....

เพชรในใจแม่..พ่อ..ผู้ก่อกำเนิด..
คือลูกรัก...ปานดวงใจ.........

เพชรในใจหนุ่มสาว...
คือความรัก ความสมหวัง
การได้ครองคู่อย่างอบอุ่นเป็นสุข
ด้วยความเข้าใจ อภัย กรุณา ตราบจนชีวีนี้จะหาไม่...

และเมื่อรัก
สิ่งสูงค่าที่อยากนำมาแทนใจ คือเพชร
รักมาก เงินมาก ไม่เดือดร้อน
ก็แสดงออกบอกรักด้วยค่าของเพชรมาก กะรัต...
รักมาก เงินน้อย ไม่พึ่งพาเพชรพลอย
ก็...ไม่ผิดอันใด...

เพราะ.
ใจดวงดีที่มั่นคงจงรัก
และเปี่ยมล้นด้วยเข้าใจกันและกัน
ย่อมมากค่าเท่าเพชรได้เฉกเช่นเดียวกัน
สำคัญที่ใจ.

จันทร์คือเพชร ในใจคนอีกมากมาย...
ในจิต ในวิญญาณ ของผู้คนที่ทุกข์ตรม
คล้ายแสงแห่งคนดี มีน้ำใจ...ในสังคม
ผู้ถือโคมเพชรพราวราวแสงจันทร์
นำทางชีวิตให้สว่างไสว..ไม่ย่อท้อ...แพ้พ่าย....เงา
ชีวิตเรา...ต้องมีแสงส่องนำทาง

เพชร...
ในใจของนักเขียนคือ...
กำลังใจจากผู้อ่าน ที่ยามได้รับคำ ติชม ราวหยาดรุ้งงาม

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:36, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 23:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่ามกลางแสงจันทร์โลมไล้
ทะเลต้องจันทรานั้นงามสุดจะบรรยาย รัศมีจันทร์ส่องกระทบผืนน้ำ..
ราวกับทาทาบด้วย เกล็ดเพชร แสงเงาเลื่อมพรายพราว..วิบวับ..วิบวับ
งามจนน่าไหลหลง...หนาวน้ำทะเล... กลับอุ่นคล้ายอ้อมกอดคนที่รัก
ตระกองกอดใต้ฟองคลื่น...เล้าโลม..ทั้งใจ..กาย..นุ่มนวล..อ่อนหวาน.....
ในค่ำคืนแห่งความทรงจำอันงามงดนั้น..
ทะเลช่างแสนงามจับตา ..จับใจจนยากที่จะเลือนลืม

แม้บางเวลาทะเลจะดูน่ากลัว ....
ยามมีพายุร้าย......เหมือนชีวิต.....ที่ถูกพายุใจหอบพัดพา
โลกสีคราม....สวยสุดใจ......
ฝูงปลามากมายหลายหลากสีแหวกว่าย..ราวไร้ทุกข์ร้อน....

โลกสีคราม มีมนต์สะกดใจให้..นิ่ง..เงียบงัน..สงบสุข....ล้ำลึก...
แม้ความอ้างว้างสุดใจ ท่ามกลางทะเลใจที่แสนระทมเปล่าเปลี่ยว ร้างราดังอยู่ลำพัง
ดั่งเรือน้อยลอยล่องสายธารธรรม ตามรอยบุญแห่งชีวิตที่กว้างไกลในสากล

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:36, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากทุกคนวนว่ายตามความลุ่มหลง ใจก็คงวิ่งตามความฟุ้งเฟื่อง

เห็นสิ่งผิดติดตามตนผลรุ่งเรือง แล้ววางเขื่องเขียนดีชั่วด้วยตัวเอง

กว่าจักได้รู้สึกตัวกลัวก็สาย หลงวนว่ายนิยามกรรมทำอวดเก่ง

กิเลสใจไฟตัณหาพาบรรเลง ร่ายบทเพลงพรรณนาตัวข้าฯดี

ร่ายสังคีตดีดสีพร้อมตีเป่า ทุกหมู่เหล่าร้องลำนำคำเสียดสี

แสร้งเยินยอปอปั้นกลั่นวจี โหมดนตรีพัฒนาค่าหลอกลวง

ทั้งต้นทุนกำไรในผลผลิต มันพ่นพิษติดกระอักเจ็บหนักหน่วง

ทั้งครอบครัวพัวพันหมดจดกลกลวง ด้วยบาศบ่วงสัจธรรมของกรรมเวร.

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตของมนุษย์นั้นสามารถอยู่บนโลกนี้ได้ในเวลาที่ไม่เท่ากัน
บางคนมีเวลาบนโลกน้อย
แต่บางคนกลับมีเวลาอยู่บนโลกมากเหลือเกิน...
...แต่เวลาไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการอยู่บนโลกใบนี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความทรงจำที่อยู่บนโลกนี้
จะมีประโยชน์อะไร...
ถ้าหากว่ามีเวลาอยู่บนโลกนี้นาน 60 ปี 70 ปี
แต่ความทรงจำในทุก ๆ ปี คือความทรงจำที่เจ็บปวด
เวลา 60 ปี หรือ 70 ปี นั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

ในทางกลับกัน...
แม้ว่าจะอยู่ในโลกนี้ได้เพียง 15 ปี หรือ 20 ปี..
แต่ทุก ๆ นาทีที่มีอยู่นั้นล้วนเป็นความทรงจำที่ดี
15 ปี หรือ 20 ปี ของเขาก็ย่อมเต็มไปด้วยวามสุข

ค่าของชีวิตก็ไม่ได้อยู่ที่เวลาของความสุขเสมอไปเช่นกัน
เพราะในชีวิตย่อมมีความรู้สึกมากมาย
มันอยู่ที่ว่าใครจะยอมสัมผัสกับความรู้สึกไหน
แคร์กับความรู้สึกไหนมากกว่ากัน
และที่สำคัญใครทำประโยชน์ให้สังคมมากกว่ากัน

ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะแน่นอน เท่ากับกาลเวลา
และในความรอบรู้ของมนุษย์ไม่มีสิ่งไหนยิ่งใหญ่จริง สักอย่าง
เพราะแม้แต่กาลเวลาที่กลืนกินทุกสิ่ง ก็ยังคงกลืนกินตัวเองอยู่ทุกวัน
ฉะนั้น มนุษย์ผู้คิดว่าตัวเองปราชญ์เปรื่องในทุกเรื่อง สังหรใจไว้เถอะว่า
สักวันหนึ่งจะพบกับคำว่า ไม่มีสิ่งใดที่มั่นคงและแน่นอน

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันใดที่มีฝนตกพรำ ๆ
วันนั้นเป็นวันที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อน "กายและใจ"

วันที่มีสายฝนหยาดหล่นรินจากท้องฟ้า
วันที่นกในนภาโผผินบินกลับรัง
วันที่สายฝนชะกลิ่นดินให้หอมฟุ้ง
วันที่มีอากาศชุ่มชื้นด้วยไอน้ำในอากาศ
วันนั้นเป็นวันแห่งความสมดุลของความสงบ

สงบกาย สงบใจ
เหนื่อยนักพักสักหน่อย ในวันที่สมดุลเช่นนี้สามารถเติมพลังให้ชีวีที่มีชีวิต

ความสุขใดหนอจะสุขเท่าความสงบ
บรรยากาศหลังฝนตกสดชื่นรัญจวนใจ
บรรยากาศในผองไพรอิ่มเอมใจเหลือคณา
เสียงวิหคหลังฝนตกดังเสนาะก้องกังวาน
เสียงจักจั่นร้องขับขานแว่นได้ยินมาแต่ไกล

เสียงชีวิตเงียบสงัดด้วยความสงบ
เสียงหัวใจเความสุขต้นถูกกลบด้วยความนิ่งของสิ่งรอบกาย
มีเพียงลมหายใจเข้าออกเป็นสัญญาณบ่งบอกแห่งชีวิต
ความสมดุลแห่งจิตนี้พบแล้วต้องจำชั่วชีวี

ความสงบภายนอกนำพาสู่ความสงบภายในนี้อย่างหนึ่ง
ความสงบภายในนำพากายให้สงบนี้อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อพบสถานที่วิเวกแล้ว บรรยากาศอันเหมาะสมแล้ว
กายวิเวก วาจาวิเวก แล้วจะไม่ทำใจให้วิเวกก็กะไร

ความสุขสนุกสนานจากการวิ่ง การเต้น ไหนฤาจะเทียบเท่าสุขจากความสงบ
สงบอยู่ด้วยลมหายใจที่พอเพียงกับการดำรงชีวิต
สงบอยู่ด้วยปัจจัยสี่ที่เพียงพอกับการดำเนินชีวิต
ความสงบนี้คือความสุขแท้แห่งจิตใจ?
ความสงบจากความทะยานอยาก ไม่เร่าร้อน วุ่นวายนั้นหนอ สุขจริง

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...แสงแห่งจันทร์...

สองตาส่องจับจ้อง หมายแสง จันทรา

หนึ่งจิตหนึ่งใจจัก นำพา ลอยล่อง

ดาวน้อยดาวใหญ่ล้อม รวมแสง ส่องกาล

ณ แห่งใดในจักรวาล ฤา ณ ใจเรา

หากจุดหมายปลายทางคือความว่างเปล่า ดับสูญ

ขอมีเพียงความรักความเมตตาตลอดการเดินทาง

แสงแห่งจันทร์นี้ก็ยินดีจักสาดส่องทางสว่างให้เจ้าตลอดไป...

ขอบคุณ..คุรุรักษ์เซน

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


**ว่ายวน..บนทางกรรม..**
คนกุลา

วัฏจักรโลภโกรธหลงวงวิถี
บรรดามีท่านสอนสั่งไว้ดังหมาย
เหตุแห่งสุข ทุกข์ใจไม่เคยคลาย
กลับแตกสายออกดอกใบใหญ่ทุกวัน

เพราะรู้รับสรรพสิ่งไม่นิ่งได้
ใจซัดส่ายรักชังยังใฝ่ฝัน
ก่อยึดติดทุกประดาสารพัน
ก่อเกิดฝันอยากครอบครองเป็นของตัว

อยากลงหลักปักฐานแนวบ้านช่อง
เรือนหอห้องนั่นของกูใครรู้ทั่ว
ถลาล่มในหล่มพรางอย่างเมามัว
ก็เพราะกลัวสูญเสียไปได้ถึงคราว

เพราะมีกายมีสมองไว้ตรองคิด
กายก็ติดความสบายได้อุ่นหนาว
ใจหวังสุขทุกอย่างที่พร่างพราว
ทั้งถึงคราวคงเสื่อมแท้ไม่แน่นอน

ในวนวงกงเกวียนวงเวียนวัฒน์
อริยสัจจจ์จึงขลังดังคำสอน
สมุห์เหตุแห่งทุกข์สุขนิวรณ์
รู้ไถ่ถอนจากใจ...ได้เห็นธรรม

ขอบคุณคนกุลา

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2009, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Skeleton Bathing Bath Skull Sculpture Art Ralax Tub Water.jpg
Skeleton Bathing Bath Skull Sculpture Art Ralax Tub Water.jpg [ 21.13 KiB | เปิดดู 5035 ครั้ง ]
ตัณหา คือ ความทะยานอยาก ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ
ท่านบอกว่าเป็นศัตรู ต่อความสุขทุกอย่าง

ตัณหานั้น ท่านแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ

- กามตัณหา ความทะยานอยากด้วยอำนาจความใคร่ได้
ใคร่มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ

- ภวตัณหา ความอยากมี อยากเป็น เช่นเห็นใครเขาเป็นอะไร ก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง
พอได้เป็นเข้าจริง ๆ กลับอยากเป็นอย่างอื่นเสียอีก
รวมตลอดถึงการอยากเกิดในภพที่ดีของคนบางคนด้วย

- วิภวตัณหา ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น หมายถึงคนที่ได้รับแต่งตั้ง
หรือมอบหมายให้ทำอะไร ให้เป็นอะไร ก็ไม่ต้องการจะมีจะเป็นอย่างนั้น

ลักษณะของตัณหา คือใจที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอของคนนั้นเอง
เช่นสมมติว่าคนอยากได้รถ เมื่ออยากได้ก็พยายามแสวงหามาจนได้ตามต้องการ

ที่ จริงน่าจะหยุดความอยากได้แล้ว แต่หาหยุดไม่ กลับอยากติดแอร์ พอได้แอร์ตามอยาก
กลับอยากได้ติดวิทยุ อยากประดับอย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้น

พอ นานไปสักหน่อย ก็อยากเปลี่ยนรถทั้งคันเลย สมมติว่าเปลี่ยนได้มาจริง ๆ
ก็เอาอีกนั่นแหละ คือไม่เต็มใจ ไม่พอใจ หรือสมใจตนสักอย่างเดียว ดังนั้น ท่านจึงว่า

- แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี
- คนที่หยุดความอยาก ความปรารถนาได้ มีน้อยนักในโลกนี้

แม่น้ำจะใหญ่จะลึกอย่างไร ก็ยังมีสักวันหนึ่งที่เต็มฝั่งได้ แต่ความอยากของคนไม่มีโอกาสเต็มได้เลย คนจึงต้องวิ่งไล่ความอยากความปรารถนากันจนล้มฟุบไป และเกิดขึ้นมาใหม่ ก็หามีอะไรใหม่ไม่
ตนเองก็ต้องแสวงหา และแสวงหากันเรื่อย ๆ ไป จนกว่าจะตาย

ลักษณะ ของใจที่ถูกตัณหาครอบงำ ทำให้อยากได้ อยากมี อยากเป็นนั้น
จึงเหมือนกับคนวิ่งไล่เงาของตนไปทางตะวันตก ในเวลาเช้า วิ่งเท่าไร ๆ ก็หาอาจทันเงาอันนั้นไม่
ดังนั้น ท่านจึงว่า ตัณหาเป็นศัตรูต่อความสุขทุกอย่าง
เราจะจัดการอย่างไรกับศัตรูคือตัณหานี้ ? ละเสียเลยดีไหม ?

ถ้าละได้ก็ดี เพราะนั่นเป็นเป้าหมายในทางพระพุทธศาสนา
แต่ไม่ต้องถึงกับละก็น่าจะหาความสุข ที่ถูกตัณหาทำลายไปได้

อัน ที่จริงความสุข หรือความทุกข์ของคนนั้น อยู่ที่ความพอใจ หรืออยู่ที่ใจ
ถ้าใจเรารู้จักพอ รู้จักอิ่มในบางเวลา เราก็อาจจะหาความสุขได้ ดังที่กล่าวไว้ในอุทานธรรมว่า

"ทุกข์สุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส"
ใจไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจเราอยากได้ความทุกข์หรือสุขนา"

ใน ทางพระพุทธศาสนา ท่านสอนให้คนมีสันโดษ คือความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ได้อยู่
เช่นต้องการจะกินอาหารให้เป็นสุข อร่อย เราก็ต้องยินดีเฉพาะอาหารที่เรามีกิน
อย่าไปอยากกินอาหารที่ไม่มี

ใน เรื่องทรัพย์สมบัติก็ทำนองเดียวกัน เราใช้ความเพียรพยายามหามาได้เท่าไร
ก็ควรยินดีเฉพาะที่เราได้มา แต่มิได้หมายความว่า ท่านสอนให้คนงอมืองอเท้า
ยินดีเฉพาะที่ตนมีอยู่นะ

เพราะการกระทำอย่างนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ใครเลย เป็นแต่เพียงท่านสอนให้คนมี "ปฏิลาภฉนฺท"
คือ ยินดีเฉพาะสิ่งที่เราได้

เมื่อ เรายินดีเฉพาะสิ่งที่เราได้เช่นนี้ เราก็ได้ความสุขใจ ไม่ใช่ว่าบนโต๊ะมีปลาเค็ม
แต่เราเกิดอยากไปกินไข่ทอด อย่างนี้ออกจะลำบากสักหน่อย

การ กำจัดศัตรูคือตัณหาในฐานะธรรมดา ก็คือพยายามรู้จักอิ่ม รู้จักพอดังกล่าวแล้ว
เมื่อคนทำได้เช่นนี้ ถึงแม้เขาจะจนทรัพย์ แต่ก็ไม่จนที่ใจ

ใน ทางตรงกันข้ามคนรวยอย่างไร ถ้ายังไม่รู้จักยินดีในสิ่งที่ตนมี ก็จะต้องเป็นคนจน
และจนอยู่อย่างนั้นตราบเท่าสิ้นชีวิต ดังภาษิตที่ท่านกล่าวไว้ในอุทานธรรมว่า

"ความไม่พอใจจนเป็นคนเข็ญพอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาลจนทั้งนอกทั้งในไม่ได้การ
จงคิดออกแก้จนเป็นคนพอ"

อัน เป็นการบอกให้คนทราบว่า ถ้าไม่พอใจ ก็จะต้องจนอยู่อย่างนั้น ต้องแสวงหา
ต้องวิ่งไล่ความอยาก แต่ถ้าพอใจ ก็เป็นเศรษฐีมหาศาลทีเดียว

คนเราถึงแม้ว่าจนทรัพย์ แต่ถ้าไม่จนใจ ก็มีโอกาสที่จะประสพความสุขในชีวิตได้ ที่สำคัญก็คือ

" ให้เราสามารถควบคุมตัณหา อย่าให้ตัณหาควบคุมเรา โดยอาศัยสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่า อะไรควรจะอยาก และไม่ควร ไม่ใช่ปล่อยใจให้อยาก โดยขาดการคำนึงถึงความควรและไม่ควร"

เพียงแค่นี้ก็อาจจะหาความสุขได้ แต่การฆ่าตัณหาเสียได้เลยนั้น เป็นอุดมคติในพระพุทธศาสนา

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นเงาย้อน สะท้อนภาพ ระนาบไหว
แลเมฆขาว ไกลๆ ไร้หม่นหมอง
อยู่บังฟ้า เพื่อมิให้ ใครเฝ้ามอง
หวังจับจอง เคียงคู่ เกาะหมู่ลม

มองดูเงา ตนเอง ช่างสมเพช
เห็นกิเลส ทุกเส้นเอ็น ยันเส้นผม
ล้วนปรุงแต่ง ยังชอบเร้า เฝ้าตามดม
ตากลมๆ เอาไว้กลอก เพื่อหลอกตน

อนิจจัง ความเที่ยงแท้ หามีไม่
เดี๋ยวก็เจ็บ เดี่ยวก็ไข้ ในทุกหน
ไม่มีใคร เลี่ยงหลบ พบทุกคน
จะดิ้นรน เพื่อหลีกหนี ไม่มีทาง

มาเดินหน้า มาบ่มบุญ หนุนกุศล
มีหรือจน ไม่สำคัญ ควรหมั่นสร้าง
ไว้เป็นทุน ไปให้ถึง ซึ่งตรงกลาง
เพื่อถากถาง ทางไปสู่ ลู่มรรคา...

เฟื่องฟ้า

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 20 ส.ค. 2009, 02:51, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




8398~The-Hand-of-Buddha-Posters.jpg
8398~The-Hand-of-Buddha-Posters.jpg [ 40.47 KiB | เปิดดู 5025 ครั้ง ]

ชีวิตสำเร็จรูป

ใน ความเปลี่ยนแปลง และ ไม่เที่ยงแท้ สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ด้านหนึ่งคือความงอกงาม คือการดำรงอยู่ พร้อมๆ ไปกับอีกด้าน อันเป็นความเสื่อมสลาย ที่ทำลายอย่างไม่หยุดยั้ง บนเส้นทางของกาลเวลา ซึ่งไม่ง่ายนัก ที่จะคาดคะเน หรือประเมินคำนวณกับปรากฏการณ์ "เกิด" และ "ดับ" ดังกล่าว

บาง คน-บางกลุ่ม เชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น มีนัยของความเจริญวัฒนา ขณะที่จำนวนไม่น้อย ก็เชื่อว่า นั่นคือร่องรอยของความเสื่อมสลาย ที่นับวันจะแสดงตนชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที

นี่เป็นวิวาทะ ที่นำไปสู่ ๒ แนวทาง ๒ แนวคิด ระหว่างการโหม กระตุ้นเร้าให้เกิดอัตราเร่งที่สูงขึ้นของการพัฒนาในภาวะเกิดหลากหลายมิติ กับการระดมค้นหาสรรพวิธีการ สรรพความคิด เพื่อนำพามนุษย์และโลกธรรมชาติ อันประกอบไปด้วยสรรพสิ่ง ให้ดับไป หรือหลุดพ้นจากวังวน อันนำไปสู่ความเสื่อม ซึ่งอีกฝ่ายถูกกล่าวหาว่า ได้ก่อขึ้น

๒ ขั้วความคิดข้างต้นนี้ ต่างเชื่อว่า ตนรู้และเข้าใจในปรากฏการณ์ที่กำลังเกิด และต่างก็เชื่อว่า ตนและกลุ่มของตน กำลังกระทำภารกิจสำคัญในการนำพาสรรพสิ่งไปสู่สภาวะปลอดพ้นจากปัญหา

ถือ เป็นกระบวนทัศน์สำคัญ ที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันในแผนยุทธศาสตร์ของมนุษยชาติ ทั้งบนหน้ากระดาษ และบนสมรภูมิจริง โดยมีอนาคตของคนรุ่นต่อๆ ไปเป็นเดิมพัน

อย่างไรก็ตาม แม้ทุกฝ่ายจะได้รับผลกระทบของสองแนวคิดนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็มีจำนวนมาก ที่ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าแนวทางที่ตนเชื่อ หรือด้านที่ตนปฏิเสธ

และ มีจำนวนยิ่งน้อยลง ที่จะสามารถสรุปทั้งสองด้าน เพื่อเปรียบเทียบประเมินผล ซึ่งหมายถึงการมองในภาพรวม เพื่อทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และตัดสินใจอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยระบบการศึกษา ด้วยการดำเนินชีวิต การผลิต และการเสพบริโภค ที่มีนัยของการแยกขาด ตัดส่วน แบ่งซอย ที่เดิมทีกระทำไปตามความชอบ ความถนัด และความเชี่ยวชาญ

ปัจจุบัน การแบ่งงาน แบ่งหน้าที่ มีส่วนทั้งการกำหนดผลผลิตว่า จะออกมาอย่างไร และการที่ผลิตผล (ที่ต้องการ) ใช้อำนาจของอุปสงค์ กำหนดกระบวนการในการทำงาน จนได้สินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการออกมา ยิ่งนานวัน ความชำนาญของการทำงาน หน้าเดียว-ส่วนเดียว ก็ยิ่งทำให้ผู้เกี่ยวข้อง เกิดทักษะชนิดดิ่งลึกลงไปทุกขณะ และเล็งเห็นหรือสัมผัสได้ ในส่วนเสี้ยวระดับอนุภาค หรือเล็กกว่ายิ่งขึ้นไปทุกที

มิหนำซ้ำ กระบวนการผลิตที่แยกส่วนกลับถูกนำมาประสมประเสรวมกัน โดยแผนกประกอบชิ้นงาน ผู้ซึ่งไม่มีโอกาสได้เหลือบแลไปยังต้นทางการผลิต แต่ละแผนกเอาเลย

พัก อยู่ในห้องแบ่งเช่า แบ่งอยู่อาศัย บนอาคารแฟลต อพาร์ตเมนต์ คอนโดฯ ที่ไม่รู้จักมักคุ้น สวมใส่เสื้อผ้าอุตสาหกรรม นั่งรถประจำทาง ต่างคนต่างมา ต่างไม่รู้จัก มาทำงาน ในโรงงาน "แยกส่วน" ทั้งการผลิตและประกอบรวม บริโภคอาหาร และเครื่องดื่มสำเร็จรูป เสพงานศิลป์และข่าวสาร ที่ผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ฯลฯ และ ฯลฯ

การดำรงชีพเช่นนี้ จะมองเห็น "ภาพรวม" ได้โดยง่ายละหรือ?

และแม้ "ภาพรวม" ก็มองไม่เห็น มองไม่ออก มองแล้วไม่เข้าใจ จะไปรับรู้เรื่อง "กระบวนการ" ที่มีทั้งความเป็นมา และความเป็นไป ได้อย่างไร?

ท้าย ที่สุด เมื่อเรื่องราว "โลกย์ๆ" ยังเข้าใจไม่ได้ เรื่องในระดับ "โลกุตระ" จะไม่เหลือวิสัยยิ่งไปกว่าหรือ? หรือเป็นเพราะ "ชีวิตสำเร็จรูป" เช่นนี้ "ธรรมะสำเร็จรูป" จึงขายดียิ่งขึ้นทุกวัน?

"พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ"

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 02 มิ.ย. 2009, 12:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 281 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร