วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
ผมเข้าใจว่าคุณไม่ใช่คนโง่ เหมือนที่คุณกำลังตำหนิตัวเอง
แต่คุณทำถูกแล้ว ที่คุณตำหนิตัวคุณเองว่าคุณโง่
เพราะคนที่ตำหนิตัวเองอยู่ นั่นหมายถึงเขากำลังมองเห็นข้อผิดพลาด
และจะต้องแก้ข้อผิดพลาดนั้น

ขอเป็นกำลังใจให้คุณสู้ต่อไปนะครับ แค่มั่นใจมากๆ และนิ่งให้มาก
อะไรๆก็น่าจะดีขึ้นครับ :b4:


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


ผมชอบท่อนนี้มากจริง ๆ ครับ...
จริง ๆ ข้อความของคุณ อิงตามหลักพิชัยสงครามเลยล่ะ
ตอนที่เพื่อน ๆ เห็นผมหยิบมานั่งศึกษา...ต่างพากันหัวเราะ...
แต่นั่นล่ะ คืออาหารทางปัญญา...

:b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 23:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคงต้องขออภัยคุณ ที่แสดงความเห็น

เกี่ยวกับคำว่า โง่ แต่ขยัน ไปตามแนวทางที่คุณไม่รู้จัก
และเป็นคนละความหมายที่ตรงกับตัวคุณ


จริงๆคำว่า โง่ แต่ขยัน เป็นคำที่มีมานานแล้ว
และเป็นข้อที่ปราชญ์ บางท่าน ได้วินิจฉัยเอาไว้ถึงความน่ากลัว
ของคนที่มีลักษณะดังนี้ หากคุณผ่านชีวิตยาวขึ้น
คุณอาจได้เจอคนประเภทนี้ และอาจได้รู้ว่าน่าเหนื่อยยากขนาดไหน



หลวงพ่อพุทธทาสท่านเคยเปรียบความอดทนของคนไว้หลายระดับ
ซึ่งตอนนี้ผมก็จำได้ลางเลือน แต่พอจำได้คร่าวๆว่า

ทนต่อความทุกข์ยาก เจ็บปวดนี้หยาบสุด

ทนต่อความบีบคั้นของกิเลสอันนี้ทนได้ยากขึ้นอีก

อันสุดท้ายที่ทนได้ยากที่สุด ที่ผมอ่านเจอก็ยังสงสัย ว่ามันจะทนยากตรงไหน

นั่นก็คือ.........ทนต่อความโง่ของคน แต่พอผ่านวันคืน
ได้พบคนมากขึ้น ต้องเกี่ยวข้องรับผิดชอบ ในการบริหารคน
ก็ทำให้ได้รู้จักว่า โง่ แต่ขยันนั้นน่ากลัวจริงๆ และทนได้ยากด้วย

คงเพราะคุณ ใช้คำว่าโง่ แต่ขยัน ผมจึงมองลงไปตามความหมาย
ที่ผมเคยสัมผัส ซึ่งมันไม่ตรงกับความหมายที่เป็นตัวคุณ
ผมต้องขออภัยด้วย ถ้าทำให้คุณไม่สบายใจยิ่งขึ้น


จริงแล้วคงเพราะเป็นคนชอบคิดลึกเกินไป ในบางเรื่องที่ไม่ควรคิดลึก
แล้วผมก็จะตายน้ำตื้น ให้ชาวบ้านหัวเราะอยู่เสมอ


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


น้องหมูตอนอย่าเครียดเลยนะ
พี่มีประวัติพระอริยะสาวกที่ชื่อ พระจุลปันถก(อ่านว่าจุน ละ ปัน ถะ กะ)มาให้อ่าน คิดว่าจะเกิดแง่คิดและเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองถามได้ดีกว่านี้ ตามข้างล่าง
พระจุลปันถก
พระมหาปันถกผู้เป็นพี่ชาย เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้ว ก็พยายามสอนพระน้องชายชื่อพระจุลปันถก เพื่อจะให้บรรลุธรรมตาม แต่พระจุลปันถกท่านเป็นคนโง่ เพราะในอดีตชาติเคยหัวเราะเยาะคนโง่มา เลยทำให้ท่านไม่สามารถท่องจำคาถาแค่ ๔ บรรทัดได้ ทั้งที่ใช้เวลาถึง ๓-๔ เดือน พระมหาปันถกต้องการลงโทษจึงขับไล่ พระจุลปันถกน้อยใจจึงไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อขอลาสึก แต่พระพุทธเจ้าไม่ยอมสึกให้ พร้อมทั้งมอบผ้าขาวให้ ๑ ผืนให้พระจุลปันถกเอามือลูบ พร้อมทั้งท่องว่า รโชหรณังๆๆ ซึ่งแปลว่า ผ้าเช็ดธุลีๆๆ พระจุลปันถกลูบไป จนผ้าสีขาวกลายเป็นสีเทา เนื่องจากเหงื่อไคลในกายติดผ้า ท่านจึงเกิดปัญญาว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ขาวแล้วกลับไม่ขาว จนเกิดญาณเห็นโทษในสังขาร บรรลุอรหัตผลขณะที่เอามือลูบผ้าขาวนั้นเอง

คาถา 4 บรรทัดที่พูดถึงมีดังนี้
โค้ด:
เชิญท่านดูพระอังคีรส ผู้รุ่งเรืองอยู่
ดุจพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ในอากาศ
เหมือนดอกปทุมวิเศษชื่อโกกนุทะ
มีกลิ่นหอมบานอยู่แต่เช้าไม่ปราศจากกลิ่นฉะนั้น

-เป็นเวลา ๔ เดือนก็ไม่สามารถท่องจำได้ :b40:
ส่วนคาถาที่ทำให้พระจุลปันถกะเข้าถึงพระอรหันต์ โดยพระพุทธองค์เป็นเปล่งวาจาให้ฟัง มีดังนี้
โค้ด:
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นละธุลีนั้นได้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี
โทสะ เรียกว่าธุลี แต่ฝุ่นละอองไม่เรียกว่า ธุลี คำว่าธุลีนี้ เป็นชื่อของโทสะ
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นละธุลีนั้นได้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี
โมหะ เรียกว่า ธุลี แต่ฝุ่นละอองไม่เรียกว่า ธุลี คำว่าธุลีนี้ เป็นชื่อของโมหะ
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นละธุลีนั้นได้แล้วย่อมอยู่ในศาสนสของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี

จะเห็นได้ว่า การที่เราไม่ฉลาดหรือโง่นั้น ย่อมมาจากผลแห่งกรรมที่ไม่ได้ในกาลก่อนมาบดบัง
ปัญญาในชาตินี้ หากมีบุญอยู่บ้างก้มีผู้มาชี้แนะก็ทำให้เขาผู้นั้นกลับมาฉลาดมีปัญญาอีกครั้งได้
คนที่เคยโง่ก็อาจกลับมาฉลาดเฉลียวได้ และคนที่สติปัญญาดีอยู่แล้วก็อาจกลับมาเป็นคนโง่ได้เหมือนกัน ดูได้จาก พระจุลปันถก เป็นตัวอย่าง ชัดเจนมาก


บุรพกรรมที่ทำให้ท่านปัญญาทึบมีดังนี้
ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า
ครั้นท่านจุติจากภาพนั้นแล้วไปบังเกิดในเทวโลก เมื่อ ๒ พี่น้องเวียนว่ายอยู่ใน เทวดาและมนุษย์ล่วงไปถึงแสนกัป จุลปันถกะได้ออกบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เจริญโอทาตกสิณ ตลอดเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี ครั้งหนึ่งในระหว่างที่บวชอยู่นั้นท่านเป็นผู้มีปัญญา และได้กรรมโดยทำการหัวเราะเยาะ ในเวลาที่ภิกษุผู้เขลารูปหนึ่งเรียนอุเทศ ภิกษุนั้นเกิดความอายเพราะการเย้นหยันนั้นจึงไม่เรียนอุเทศ ไม่ทำการสาธยาย จึงเป็นผลกรรมส่งผลในสมัยปัจจุบันที่ท่านได้เป็นผู้โง่เขลา ไม่สามารถเรียนรู้พระธรรมได้เร็ว
นับแต่นั้น เขาได้สั่งสมบุญทั้งหลาย ท่องเที่ยวไปในภูมิเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เสวยสมบัติทั้งสองอยู่ :b39: :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตาแสนกลอ่านสามก๊กอะดิ

เตียวหุยโดนพลทหารชั่นล่างสุดมาลอบตัดศรีษะในเวลากลางคืน
ขุนพลคนนี้ มีคนเก่งมาพยามฆ่าตั้งหลายศึกหลายเพลา แต่ไม่ตาย
มาตายเอาง่ายๆเพราะทหารชั้นล่างใกล้ตัวสองคน
คือทหารมันโง่แต่ขยัน นายเลยเดือดร้อน

ขงเบ้งนี้เลย สั่งฆ่าคนโง่หลายคนแล้ว
เกรงว่ามันจะขยันผิดเวลาเสียกลศึก

มีอยู่ครั้งหนึ่งขงเบ้งตามมาทีหลัง
เมื่อมาถึงทัพหน้า ปรากฏว่ากองทัพตั้งค่ายไม่เหมาะสม เป้นค่ายที่แพ้ไฟ
ขงเบ้งปริ๊ดแตก เลยตะหวาดหาตัวคนที่แนะนำให้ตั้งค่ายแบบนี้
ปรากฏว่า เล่าปี่นั่นแหละ สั่งเอง
ขงเบ้งเลยอึ้งกิมกี่ไปเลย ตัวฉลาดแต่เจอนายโง่(เอาในเวลานี้)
ขงเบ้งก้ร้องไห้ว่าราชวงศ์ของเล่าปี่คงจะสิ้นในวันนี้

และก็เป้นดังขงเบ้งคาดไว้ ค่ายนี้โดนย่างสดเกือบหมด
นี่คือฉลาด แต่นายโง่


ถ้าขงเบ้งอยู่กับโจโฉนะ โอว...มายก๊อดจิ... :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 00:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมนี่ยังเอาตัวไม่รอด

ทำยังไงดี

คือหัวหน้าโง่ในงาน แต่ฉลาดในเกมส์
ชะตาผมเลยอยู่ในกำมือหัวหน้า เจ้านายสูงสุดเขาไม่มารับรู้อะไรด้วยหรอก
หัวหน้าว่าดี ก็แปลว่าดี ถ้าว่าไม่ดีก็แปลว่าไม่ดี

คิดจะหาวิธีสู้ ตอนนี้กำลังศึกษา
conflict management อยู่

ทำยังไงดีน๊า :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอถือโอกาส แนะนำท่านเซียนกระบี่ สักเล็กน้อย เพราะคุณอุตส่าห์ถาม
แต่ไม่รู้ถามใคร

กรณีย์อย่างเช่นที่คุณชายชาติสยามได้ประสพ ผมคิดว่า
คุณก็คงต้องทำอย่างที่คุณทำอยู่นั่นหละ คือ


ทำใจให้สงบ แล้วเปลี่ยนคำด่าในใจมาภาวนาพุทโธ
ตกเย็นย่ำ ค่ำแล้ว ก็มาสร้างบุญกุศล ด้วยการให้ปัญญา
แก่ชาวโลก ผู้ยังต้องการมธุรสวาจา ของคุณมาโปรยอาบ
ถึงแม้บางครั้งจะไม่ได้ความรู้ แต่ก็ยังได้ความอบอุ่นจากน้ำมิตร

หวังว่าสักวันหนึ่ง บุญกุศลที่คุณ ได้สั่งสมกระทำจากการให้ธรรมในยามค่ำ
จะช่วยส่งผล ให้ไอ้ส่วนที่ฉลาดของเจ้านายคุณ มันโง่ลงบ้าง
และไอ้ส่วนที่โง่อยู่แล้วของเจ้านายคุณ มันจะมีโอกาสฉลาดเหมือนชาวโลกเขาได้

หรือไม่ คุณก็อาจจะต้องพลัดพรากกับเจ้านายเก่า และได้เจ้านายใหม่
ทั้งๆที่ใจคุณสุดจะเห็นใจ แต่คุณก็ยินดี หรืออาจมีแอบสะใจผสม

ผมคงไม่กล้าแนะนำอะไรท่านเซียนกระบี่อย่างคุณให้มากไป
เพราะคุณคงคร่ำหวอดในวงการ ยุทธจักรมานานหนักหนา
หากคุณจะปวดหัว ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมของคุณ...........สาธุ สาธุ


และเนื้อความที่ผมนำมาอธิบายถึง ก็มีบ้างที่เข้าใจมาจากการอ่าน สามกก
ซึ่งผมก็อ่านอยู่หลายรอบ แต่พยายามไม่ให้ครบสามจบ เพราะกลัวคนคบไม่มี
อ่านบ้าง กระโดดข้ามบ้าง ถึงจะอ่านมาแล้วหลายรอบ มันก็ยังไม่ครบสามจบอยู่ดี


คำกล่าวที่ว่า โง่.....แต่ขยัน ผมนำมาจาก คำพูดของ......นโปเลียนครับ

เขากล่าวไว้ว่า ในจำนวนคนหลายจำพวก

คนที่ฉลาด ..........และขยัน เหมาะที่จะเป็นแม่ทัพใหญ่ ผู้บัญชาการรบในสมรภูมิ

คนที่ฉลาด..........แต่ขี้เกียจ ก็ยังสามารถทำหน้าที่เป็น ที่ปรึกษา หรือผู้วางแผน


คนที่โง่.............แต่ขี้เกียจ ก็ยังมีประโยชน์ โดยเอาไปเป็น ทหารเลว ผู้มีหน้าที่
คอยแบกหามสัมภาระ เพราะถึงจะขี้เกียจยังไง ก็ยังควบคุมได้ ให้อยู่ในสายตา

คนที่โง่..........แต่ขยัน คนพวกนี้เป็นภัย เพราะอาจพละการทำอะไรที่ไม่ได้สั่ง
จนนำความพินาศมาสู่ส่วนรวมได้ทุกเวลา เป็นบุคคลที่ควบคุมได้ยาก
เพราะไม่รู้ว่า เวลาไหนเธอจะขยันขึ้นมา

คนประเภทโง่..........แต่ขยัน จึงควรที่จะรีบเอาไปฝังดินเพียงอย่างเดียว


ผมอาจเรียบเรียงไม่ได้ตามทุกถ้อยคำที่เขากล่าว เป๊ะๆ แต่ก็คงไม่ขาดใจความสำคัญ

หวังว่าท่านเจ้าของกระทู้จะไม่ถือสา เพราะผมไม่ได้หมายถึง โง่...แต่ขยัน
ตามความหมายของคุณ และก็ไม่ได้เกี่ยวกับตัวคุณครับ


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้มีเรื่องอันใด แล้วเครียดอะไรล่ะ :b6: :b6: :b6:

จากข้างบน มันเป็นพิชัยสงครามซุนวูน่ะ มีการแบ่งคนออกเป็นหลายกรณี ในกรณีโง่-ฉลาด เขาแบ่งออกเป็น 4 แบบ
ฉลาดและขยัน ให้เป็นแม่ทัพ เพราะจะช่วยสร้างค่าย พัฒนากองทัพให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
ฉลาดแต่ขี้เกียจ ให้เป็นเสนาธิการ คอยวางแผนให้คำปรึกษา
โง่และขี้เกียจ ให้เป็นคนเลี้ยงม้า หรือแบกหามไป
ส่วนโง่แต่ขยัน ให้เอาไปประหาร เพราะมันจะขยันในเรื่องโง่ๆ อิอิ :b32: :b32: :b32:

ถ้าจะให้ขยายความอีกหน่อยก็คือ คนโง่นั้น (ไอคิวต่ำ คือสมองทึบ เรียนรู้ได้ยาก เป็นคนละเรื่องกับปัญญา ซึ่งหมายถึงความเข้าใจ อันกินความต่อเนื่องไปถึง ความรู้และประสบการณ์) คนโง่นั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นจะส่งผลอะไรตามมา เมื่อมองไม่เห็น จึงมักคิดว่า ไม่มีอะไร และนี่แหล่ะคือปัญหา มันเป็นที่มาของคำว่า ขยันในเรื่องโง่ๆ และปัญหาที่มากกว่านั้นคือ เมื่ออธิบายแล้วมันก็ไม่เข้าใจ เพราะมองไม่ออกว่า สิ่งที่อธิบายนั้น มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
พิชัยสงครามจึงว่า ให้เอาไปประหาร...

แต่ในโลกแห่งความจริงนั้น ยากที่จะฟันธงว่า ลูกน้องโง่หรือนายโง่ และบ่อยครั้งที่กลายเป็นว่า นายโง่เสียเอง ซึ่งในกรณีนี้มันเป็นเรื่องที่เครียดจริงๆ เพราะหากลูกน้องแย้ง บ่อยเข้าๆ ก็จะเกิดข้อหา มีปัญหากับผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นข้อหาหนักที่อธิบายได้ยาก เพราะจริงๆ แล้ว เรามีปัญหากับนายโง่ๆ ต่างหาก และนายโง่ๆ นี่แหล่ะ ที่ชอบด่าลูกน้องว่าโง่...

เรื่องพวกนี้เป็น "ชะตากรรม" ที่พบได้เฉพาะบุคคลเป็นรายๆ ไป ซึ่งหากไม่เจอกับตัวก็ยากจะเข้าใจ และเราเคยเจอทั้ง นายโง่ๆ หรือนายไม่โง่ แต่แมร่งมากวนตีน แล้วเราไม่ยอม ภาพลักษณ์ของเราจึงเป็นคน มีปัญหากับผู้มีอำนาจ เสมอ (จริงๆ มีปัญหากับคนทุกระดับแหล่ะ อิอิ) แต่เราก็ไม่แคร์ เพราะเราไม่เคยกวนใครก่อน สงสัยออร่าแรงไป พวกผีก็เลยร้อนรนกระวนกระวาย หน้ากากหลุด :b32: :b32: :b32:


ปล. คำว่านายนี้ มีความหมายรวมถึง คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยนะ แล้วก็... เขาไม่ได้พูดถึงเรื่อง ความดีความเลว นะ


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 14 มิ.ย. 2009, 18:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2009, 11:31
โพสต์: 149


 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 29.5 KiB | เปิดดู 3796 ครั้ง ]
ขอบคุณพี่ทุกคน มากๆ นะคะ หนูสบายใจขึ้นมากละค่ะ

เมื่อโตขึ้น เราก็จะเจอคนหรือเหตุการณ์ต่างๆมากขึ้น ทั้งดีบ้างและไม่ดีบ้าง ไม่เหมือนตอนเรียนประถมมัธยม

เมื่อเจอเรื่องไม่ดี จึงเกิดทุกข์ เมื่อหาทางออกไม่ได้ จะบอกว่าหนูหาเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจก็ได้นะ

และจึงหันมาสนใจธรรมมะ

พูดถึงนักศึกษา หากอยากรู้อะไร ค้นหาอะไรที่อยากรู้ ทางเลือกต้นๆนั่นคือ อินเตอร์เน็ต

หนูเข้ามาอ่านเวบนี้ และได้เข้ามาเป็นสมาชิกของเวบนี้ได้ไม่นาน และความที่หนูชอบอ่านหนังสือ เมื่อเข้ามาอ่านบทความธรรมมะ แล้วก็ชอบเวบนี้มากเลย จะว่าติดก็ว่าได้อ่ะค่ะ

หรือตั้งกระทู้ไว้ในเรื่องที่ไม่เข้าใจหรือเรื่องที่ทุกข์ ก็จะได้คำตอบที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

จากคนที่เคยทุกข์ ยึดติด หาทางออกไม่เจอ ตามธรรมดาของคนทั่วไป มันเปลี่ยนไปจริงๆนะคะ

อาจจะด้วยครอบครัวของหนูก็ปลูกฝังทัศนะคติที่ดีกับพุทธศาสนาด้วย จึงเข้าใจชีวิตตัวเองงงงงงมากขึ้น




คือหนูไม่ได้มีความรู้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมมากมาย รวมถึงประสบการณ์ในการมองสิ่งต่าง และเรื่องการทำงานเหมือนเช่นพวกพี่ๆ หนูก็รู้ตัวนะว่าบางความคิดหนูก็ผิด แต่ในบางประเด็นหนูก็ไม่เข้าใจจริงๆ จึงได้ถามค่ะ


สำหรับกระทู้บางกระทู้ที่หนูเคยไปอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่post หรือคนที่ตอบ บางท่านจะอธิบายเกี่ยวกับธรรมะในเชิงทฤษฎี เช่น นำเอาพระไตรปิฎกมาอธิบาย หรือใช้ศัพท์ทางบาลี หรือในเรื่องเกี่ยวกับสมาธิ เกี่ยวกับจิตบ้าง จะมีการเข้าถึงฌานบ้างที่แบ่งเป็นระดับต่างๆ โดยจะใช้ศัพท์เฉพาะ หนูยอมรับเลยว่า ถ้ามันเป็นธรรมมะยากๆหรือลึกซึ้งหนูไม่เคยศึกษา พออ่านแล้วหนูจะรู้สึกว่ามันยากไปหน่อย

สำหรับพี่บัวศกล ในความคิดเห็นของพี่ในลำดับแรกนั้น อาจจะเป็นความเห็นที่ไม่ตรงประเด็นกัน จริงๆความคิดของพี่ก็คงถูก แต่มันอาจจะลึกซึ้งไปหน่อย ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะที่หนูอาจจะไม่เข้าใจ


:b8: :b8: :b8: :b46: :b51: :b52: :b46: :b8: :b8: :b8:

และขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากมายเลย ต้องยอมรับว่าหนูเครียดจริงๆ ก็เลยบ้าๆไปหน่อย ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นมากมายแล้ว เพราะได้ไปปรึกษาเรื่องกลุ้มใจกับคุณแม่ด้วยส่วนหนึ่ง

:b26: :b32: :b32:

.....................................................
ธรรมมะนี้คือการมีชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ความจริงของชีวิต
ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้
หากยังยึดติด ไม่ปล่อยวาง ย่อมยังเป็นทุกข์
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2009, 11:31
โพสต์: 149


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
ไม่ได้มีเรื่องอันใด แล้วเครียดอะไรล่ะ :b6: :b6: :b6:

จากข้างบน มันเป็นพิชัยสงครามซุนวูน่ะ มีการแบ่งคนออกเป็นหลายกรณี ในกรณีโง่-ฉลาด เขาแบ่งออกเป็น 4 แบบ
ฉลาดและขยัน ให้เป็นแม่ทัพ เพราะจะช่วยสร้างค่าย พัฒนากองทัพให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
ฉลาดแต่ขี้เกียจ ให้เป็นเสนาธิการ คอยวางแผนให้คำปรึกษา
โง่และขี้เกียจ ให้เป็นคนเลี้ยงม้า หรือแบกหามไป
ส่วนโง่แต่ขยัน ให้เอาไปประหาร เพราะมันจะขยันในเรื่องโง่ๆ อิอิ :b32: :b32: :b32:

ถ้าจะให้ขยายความอีกหน่อยก็คือ คนโง่นั้น (ไอคิวต่ำ คือสมองทึบ เรียนรู้ได้ยาก เป็นคนละเรื่องกับปัญญา ซึ่งหมายถึงความเข้าใจ อันกินความต่อเนื่องไปถึง ความรู้และประสบการณ์) คนโง่นั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นจะส่งผลอะไรตามมา เมื่อมองไม่เห็น จึงมักคิดว่า ไม่มีอะไร และนี่แหล่ะคือปัญหา มันเป็นที่มาของคำว่า ขยันในเรื่องโง่ๆ และปัญหาที่มากกว่านั้นคือ เมื่ออธิบายแล้วมันก็ไม่เข้าใจ เพราะมองไม่ออกว่า สิ่งที่อธิบายนั้น มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
พิชัยสงครามจึงว่า ให้เอาไปประหาร...

แต่ในโลกแห่งความจริงนั้น ยากที่จะฟันธงว่า ลูกน้องโง่หรือนายโง่ และบ่อยครั้งที่กลายเป็นว่า นายโง่เสียเอง ซึ่งในกรณีนี้มันเป็นเรื่องที่เครียดจริงๆ เพราะหากลูกน้องแย้ง บ่อยเข้าๆ ก็จะเกิดข้อหา มีปัญหากับผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นข้อหาหนักที่อธิบายได้ยาก เพราะจริงๆ แล้ว เรามีปัญหากับนายโง่ๆ ต่างหาก และนายโง่ๆ นี่แหล่ะ ที่ชอบด่าลูกน้องว่าโง่...

เรื่องพวกนี้เป็น "ชะตากรรม" ที่พบได้เฉพาะบุคคลเป็นรายๆ ไป ซึ่งหากไม่เจอกับตัวก็อยากจะเข้าใจ และเราเคยเจอทั้ง นายโง่ๆ หรือนายไม่โง่ แต่แมร่งมากวนตีน แล้วเราไม่ยอม ภาพลักษณ์ของเราจึงเป็นคน มีปัญหากับผู้มีอำนาจ เสมอ (จริงๆ มีปัญหากับคนทุกระดับแหล่ะ อิอิ) แต่เราก็ไม่แคร์ เพราะเราไม่เคยกวนใครก่อน สงสัยออร่าแรงไป พวกผีก็เลยร้อนรนกระวนกระวาย หน้ากากหลุด :b32: :b32: :b32:


ปล. คำว่านายนี้ มีความหมายรวมถึง คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยนะ แล้วก็... เขาไม่ได้พูดถึงเรื่อง ความดีความเลว นะ




คนบางคน บริษัทบางบริษัท ถ้าเค้าจะมองว่าคนนั้นเก่งคนนั้นฉลาด แล้วเค้าคิดว่าคนนี้มีประสิทธิภาพ คุณคิดว่าเค้าดูที่อะไร สถาบันที่จบมารึป่าว เกรดเฉลี่ยรึป่าว คนที่เกรดเฉลี่ยสูง จะมีประสิทธิภาพในการทำงานจริงหรือ จะเป็นคนที่บริษัทต้องการจริงหรือ ส่วนใหญ่ทั้งนั้นแหละ เค้าต้องการคนเก่งไม่ใช่คนดีอ่ะ

คือหนูได้ยินมาเยอะแล้วสำหรับรุ่นพี่ที่จบไป บางคนได้เกรดเยอะจริงแต่ทำงานไม่ประสบความสำเร็จตอนไปทำงาน แต่บางคนเกรดเฉลี่ยน้อย แต่กลับทำงานได้ดี

คือเรื่องที่หนูเครียดเนี่ย มันเกี่ยวกับอาจารย์ที่ทำโปรเจคด้วย จับฉลากได้เค้า คือเค้าชอบคนเก่งอ่ะ ใครๆก็บอก รุ่นพี่หลายๆคนก็บอก เป็นเทพในภาคได้ยิ่งดี แต่สิ่งที่เค้าพูดกับหนูคือ คล้ายๆกับว่าหนูกับเพื่อนอีกคนคือพวกหนูไม่มีความสามารถอ่ะ(เค้าไม่ได้พูดออกมาตรงๆนะคะ) คือเกรดหนูก็ไม่ได้ตกต่ำอะไรขนาดนั้น เอาตัวรอดได้ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนแน่ และไม่เป็นตัวถ่วงให้ใครด้วย แต่คงน้อยในสายตาเค้ามั้ง

.....................................................
ธรรมมะนี้คือการมีชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ความจริงของชีวิต
ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้
หากยังยึดติด ไม่ปล่อยวาง ย่อมยังเป็นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณชายแสนกลครับ :b32: (เรียกเราว่าคุณชาย เราชอบบบบบ)


ผมก้คิดถึงงานใหม่ ที่ใหม่อยู่นะครับนี่

เราเป้นปลาอะนะ งานถนัดคือว่ายน้ำ
ใช้เราไปบินแล้วก็มาบอกว่าต้อง multitasking จะได้มีคุณค่า
ฟังเผินๆดูดีนะว่า เป็นคนเก่งต้องทำหลายอย่างได้

แต่ความเป็นจริง ปลามันชอบว่ายน้ำ
ถ้าจะ multitasking อะไรมันก็ต้องเป็นอะไรที่ไปทำนองเดียวกัน เสริมกัน ต่อยอดกัน เช่น
หัดว่ายให้ไวขึ้น หัดว่ายเข้าไปในน้ำเค็ม พัฒนาการว่ายน้ำ
หัดกระโดดแสดงกายกรรมแบบปลาโลมา อะไรทำนองนั้น
คือต่อยอดไปทางเดียวกัน แล้วค่อยไปประเมินว่าปลาตัวนี้มันเก่งหรือเปล่า

นี่เล่นให้ไปทำอะไรก็ไม่รู้ พอเราไม่ถนัด ทำไม่ได้ดี
ก็ประเมินว่าเราไม่เอาไหน ไม่มีความสามารถในการทำหลายอย่าง
(เหมือนวางยายังไงไม่รู้)

เอาวิธีพระพุทธเจ้าเข้าสู้ดีกว่าเนาะ
คือวางเฉยกับนางมารทั้งสาม (กิเลสทั้งสาม)
เมื่อไม่สู้ซะอย่าง ใครจะชนะได้ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว ............นโปเลียน แกไปเอาตำราซุนวู มาพูดเหรอเนี่ย

ชะ ชะ ชะ............ที่แท้ก็ไปลอกชาวบ้านเขามา


:b14: :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เอ่อ ลองไปค้นดู แต่หาไม่เจอแฮะ แต่เป็นของจีนแน่ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ขงเบ้งนี้เลย สั่งฆ่าคนโง่หลายคนแล้ว
เกรงว่ามันจะขยันผิดเวลาเสียกลศึก

มีอยู่ครั้งหนึ่งขงเบ้งตามมาทีหลัง
เมื่อมาถึงทัพหน้า ปรากฏว่ากองทัพตั้งค่ายไม่เหมาะสม เป้นค่ายที่แพ้ไฟ
ขงเบ้งปริ๊ดแตก เลยตะหวาดหาตัวคนที่แนะนำให้ตั้งค่ายแบบนี้
ปรากฏว่า เล่าปี่นั่นแหละ สั่งเอง
ขงเบ้งเลยอึ้งกิมกี่ไปเลย ตัวฉลาดแต่เจอนายโง่(เอาในเวลานี้)
ขงเบ้งก้ร้องไห้ว่าราชวงศ์ของเล่าปี่คงจะสิ้นในวันนี้

และก็เป้นดังขงเบ้งคาดไว้ ค่ายนี้โดนย่างสดเกือบหมด
นี่คือฉลาด แต่นายโง่


ถ้าขงเบ้งอยู่กับโจโฉนะ โอว...มายก๊อดจิ... :b5:

ขอแก้ไขข้อมูลสักเล็กน้อยครับ.... :b13: (มันผิดพลาดน่ะครับ)ความจริงแล้วศึกคราวนั้น เล่าปี่ ตายไปแล้วครับ...เป็นยุคที่เล่าเซี่ยงปกครองจ๊กก๊ก และแม่ทัพที่สั่งตั้งค่ายบนยอดเขาเป็นคนสนิทของขงเบ้งที่ชื่อว่าม้าเจ็ก ที่ปกติขงเบ้งจะขอคำปรึกษาอยู่เป็นประจำ เพราะม้าเจ็กเป็นคนที่ศึกษาพิชัยสงครามมาจนช่ำชอง(แต่ไม่เคยบัญชาการรบจริง) และที่ทำให้ขงเบ้งต้องอึ้งก็เพราะนึกถึงคำสั่งเสียของเล่าปี่ก่อนตายว่า "ม้าเจ็กเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง อย่าได้ใช้ให้ทำงานใหญ่" แต่ขงเบ้งก็ไม่ใช่ว่าจะลืมเรื่องนี้ ยังได้แต่งตั้งรองแม่ทัพเพื่อให้คอยคัดค้านหากไม่ทำตามแผนที่สั่งมา แต่ก็ไร้ผลเพราะได้ให้อำนาจสั่งการไว้ที่ม้าเจ็กแล้ว...

ส่วนโจโฉก็ตายไปก่อนเล่าปี่แล้วครับ :b32: และที่ขงเบ้งไม่ไปอยู่กับวุยก๊กก็เพราะ ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


หมูตอน เขียน:
คนบางคน บริษัทบางบริษัท ถ้าเค้าจะมองว่าคนนั้นเก่งคนนั้นฉลาด แล้วเค้าคิดว่าคนนี้มีประสิทธิภาพ คุณคิดว่าเค้าดูที่อะไร สถาบันที่จบมารึป่าว เกรดเฉลี่ยรึป่าว คนที่เกรดเฉลี่ยสูง จะมีประสิทธิภาพในการทำงานจริงหรือ จะเป็นคนที่บริษัทต้องการจริงหรือ ส่วนใหญ่ทั้งนั้นแหละ เค้าต้องการคนเก่งไม่ใช่คนดีอ่ะ

คือหนูได้ยินมาเยอะแล้วสำหรับรุ่นพี่ที่จบไป บางคนได้เกรดเยอะจริงแต่ทำงานไม่ประสบความสำเร็จตอนไปทำงาน แต่บางคนเกรดเฉลี่ยน้อย แต่กลับทำงานได้ดี

ถูกต้องครับเขาต้องเลือกคนที่ดูว่าเก่งก่อนครับ
เพราะความดีนั้นมันไม่มีออกมาเป็นเกรดให้ดูครับเนื่องจากมันออกเป็นเกรดไม่ได้เพราะมันไม่มีมาตรฐานสากล มีแต่มาตรฐานบุคคล
อีกอย่างนึง...นักศึกษาที่ผลการเรียนดี ก็สะท้อนถึงความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง
ส่วนเรื่องของสถาบันนั้นก็มีส่วนครับ เพราะสถาบันที่เป็นที่ยอมรับของภาคธุรกิจว่าผลิตบุคลากรคุณภาพ มักมีการบริหารจัดการที่ดีกว่า... :b6:

อ้างคำพูด:
คือเรื่องที่หนูเครียดเนี่ย มันเกี่ยวกับอาจารย์ที่ทำโปรเจคด้วย จับฉลากได้เค้า คือเค้าชอบคนเก่งอ่ะ ใครๆก็บอก รุ่นพี่หลายๆคนก็บอก เป็นเทพในภาคได้ยิ่งดี แต่สิ่งที่เค้าพูดกับหนูคือ คล้ายๆกับว่าหนูกับเพื่อนอีกคนคือพวกหนูไม่มีความสามารถอ่ะ(เค้าไม่ได้พูดออกมาตรงๆนะคะ) คือเกรดหนูก็ไม่ได้ตกต่ำอะไรขนาดนั้น เอาตัวรอดได้ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนแน่ และไม่เป็นตัวถ่วงให้ใครด้วย แต่คงน้อยในสายตาเค้ามั้ง

ขอแนะนำให้มองให้เป็นเรื่องของโปรเจคครับ...ไม่ใช่เรื่องของเรา อาจารย์เขาวิจารณ์โปรเจค ไม่ได้วิจารณ์เรา(พอจะเข้าใจไหมครับ) :b16:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
หมูตอน เขียน:
ถูกต้องครับเขาต้องเลือกคนที่ดูว่าเก่งก่อนครับ
เพราะความดีนั้นมันไม่มีออกมาเป็นเกรดให้ดูครับเนื่องจากมันออกเป็นเกรดไม่ได้เพราะมันไม่มีมาตรฐานสากล มีแต่มาตรฐานบุคคล
อีกอย่างนึง...นักศึกษาที่ผลการเรียนดี ก็สะท้อนถึงความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง
ส่วนเรื่องของสถาบันนั้นก็มีส่วนครับ เพราะสถาบันที่เป็นที่ยอมรับของภาคธุรกิจว่าผลิตบุคลากรคุณภาพ มักมีการบริหารจัดการที่ดีกว่า... :b6:

ขอแนะนำให้มองให้เป็นเรื่องของโปรเจคครับ...ไม่ใช่เรื่องของเรา อาจารย์เขาวิจารณ์โปรเจค ไม่ได้วิจารณ์เรา(พอจะเข้าใจไหมครับ) :b16:


"ค่ะ...อาจารย์ Nud ...นู๋เข้าใจแล้วค่ะ..."

อิ อิ ...อาจารย์พ่อตัวจริง เสียงจริง...
นู๋หมูตอนจ๊ะ...ถ้าสบายใจขึ้นมากแล้ว อย่าลืมหันกลับมาให้กำลังใจอาจารย์พ่อด้วยนะจ๊ะ...

เพราะอาจารย์พ่อ...กำลัง...งานเข้า...

:b4: :b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร