วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 14:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อืม....
อุบาสก อย่างผม ทำได้ดีแค่ มีศีล 5 อย่างครบถ้วนแต่หาได้บริบูรณ์ไม่ เพราะกิเลสหนาอยู่มากๆๆๆๆ
การจะไปปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานก็คงอีกนานมั้ง ก็เลยรู้แค่ยังงั้นๆ แหละ เพราะว่ารู้ แต่ยังทำบ่ได้

ภิกษุผู้นำทางวิญญาณ ท่านทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำเลยก็ตรงที่ แค่ศีล 5 ท่านยังทำไม่ได้
ดีแต่พูดให้คนอื่น รักษาศีล 5 นะ แต่คนเองก็ไม่พยายามรักษาเอาเสียเลย หลายวัดที่ผมเห็น พูดตรงๆ เลย ผมตำหนิท่านเหล่านั้นจริงๆ ไม่เคารพเลยก็ว่าได้ ยกมือไหว้คนทั่วไปที่เขาพอมีศีลอยู่บ้างยังได้บุญมากกว่ายกมือไหว้พวกทุศีลอีก(รู้จากพระไตรปิฎกนะครับเลยนำไปใช้บ้างบางโอกาส)

ผมไม่ไปตำหนิท่านเหล่านั้นหรอกครับถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าท่าน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจริงๆ ผมยินดีอุปถัมภ์ด้วยซ้ำไป

ทีนี้ก็มาพูดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในกระทู้นนี่แหละ สิ่งไหนที่ผมเห็นต่าง ผมก็จะนำเสนอในมุมที่ต่างให้ได้เห็นเพราะเมื่อผมเห็นว่ามันยังถูกปิดบังอยู่แล้วจะให้ผมไปเออออห่อหมกด้วยคงยากครับ ขอเพียงว่าสิ่งที่ผมค้านไปนั้นให้ท่านทั้งหลายได้ฉุกคิดกันขึ้นมาบ้างว่าจริงหรือเท็จ แล้วมาแสดงความคิดเห็นกันว่่าเท็จตรงไหนโดยอาศัยพระธรรมของพระพุทธองค์มาเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่าการ ชิงดีชิงเด่นกันไปเฉยๆ หรือเอาแค่แพ้ชนะกันเฉยๆ มันไม่เข้าที จริงไหมหละท่าน กรัชกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อืม....
อุบาสก อย่างผม ทำได้ดีแค่ มีศีล 5 อย่างครบถ้วนแต่หาได้บริบูรณ์ไม่ เพราะกิเลสหนาอยู่มากๆๆๆๆ
การจะไปปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานก็คงอีกนานมั้ง ก็เลยรู้แค่ยังงั้นๆ แหละ เพราะว่ารู้ แต่ยังทำบ่ได้



นั่นเป็นสิทธิส่วนตัวของคุณผ่านไป คุณจะทำหรือไม่ทำเรื่องของคุณ :b8: :b1:


อ้างคำพูด:
ภิกษุผู้นำทางวิญญาณ ท่านทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำเลยก็ตรงที่ แค่ศีล 5 ท่านยังทำไม่ได้
ดีแต่พูดให้คนอื่น รักษาศีล 5 นะ แต่คนเองก็ไม่พยายามรักษาเอาเสียเลย หลายวัดที่ผมเห็น พูดตรงๆ เลย ผมตำหนิท่านเหล่านั้นจริงๆ ไม่เคารพเลยก็ว่าได้ ยกมือไหว้คนทั่วไปที่เขาพอมีศีลอยู่บ้างยังได้บุญมากกว่ายกมือไหว้พวกทุศีลอีก(รู้จากพระไตรปิฎกนะครับเลยนำไปใช้บ้างบางโอกาส)

ผมไม่ไปตำหนิท่านเหล่านั้นหรอกครับถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าท่าน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจริงๆ ผมยินดีอุปถัมภ์ด้วยซ้ำไป



คห. ก่อนกรัชกายพูดโดยหลักการ ว่าพระสงฆ์เป็นผู้นำทางวิญญาณของพุทธบริษัท เพราะอยู่ใกล้ชิด
พระไตรรัตน์กว่า หมายความว่ามีเวลาศึกษาค้นคว้าหลักธรรมมากกว่าบริษัทที่เหลือ
ศึกษาค้นคว้า แล้วก็นำเอาหลักธรรมนั้นมาแนะนำอุบาสกอุบาสิกา นี่คือการสืบทอดพระศาสนาต่อๆกันมาแต่ครั้ง
บรรพกาล
ส่วนตัวคุณจะเลื่อมใสพระองค์ใดหรือไม่เลื่อมใครเลย ก็เป็นสิทธิส่วนตัวแล้ว ไม่เกี่ยวกับหลักดังกล่าว

อ้างคำพูด:
ทีนี้ก็มาพูดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในกระทู้นนี่แหละ สิ่งไหนที่ผมเห็นต่าง ผมก็จะนำเสนอในมุมที่ต่างให้ได้เห็นเพราะเมื่อผมเห็นว่ามันยังถูกปิดบังอยู่แล้วจะให้ผมไปเออออห่อหมกด้วยคงยากครับ ขอเพียงว่าสิ่งที่ผมค้านไปนั้นให้ท่านทั้งหลายได้ฉุกคิดกันขึ้นมาบ้างว่าจริงหรือเท็จ แล้วมาแสดงความคิดเห็นกันว่่าเท็จตรงไหนโดยอาศัยพระธรรมของพระพุทธองค์มาเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่าการ ชิงดีชิงเด่นกันไปเฉยๆ หรือเอาแค่แพ้ชนะกันเฉยๆ มันไม่เข้าที จริงไหมหละท่าน กรัชกาย



คุณเห็นว่าบังอยู่ นั่นแนวคิดของคุณก็ว่าไป

กรัชกายว่าไม่บัง จึงแสดงไปตามลำดับขั้นดังกล่าวแล้ว ต่างคนต่างก็แสดงความเห็นไป
ก็อย่างที่บอก อุบาสกอุบาสิกาที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย ก็ต้องอาศัยวัตถุเป็นเครื่องยึด แล้วค่อยพัฒนาความคิดต่อๆไป ต่างคนต่างก็มีมุมมองก็ว่ากันไป ไม่เห็นว่าเอาแพ้เอาชนะอะไร
จริงไหม ท่านคนขวางโลก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 มิ.ย. 2009, 18:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
งั้นเอาหลักฐานมาคุยกันดีกว่านะงับ

จะไม่บิดเบือนแบบไหนลองแก้ที่ท่านกล่าวมานะงับ ขอให้ท่านกรัชกายเป็นพยานละกัน



ไม่รับปากว่าจะเป็นพยานนะงับ แต่มีความคิดว่า ท่านขงเบ้ง กับ ท่านพลศักดิ์ ถึงเวลาที่ควรตั้งกระทู้สนทนากัน ๒ คน แล้ว เอาเลยงับ จะได้ทำความเข้าใจกันสะ :b1:
ส่วนกรัชกายขอเป็นผู้ดูเหมาะกว่าเป็นพยาน :b32:



สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณกรัชกาย

จากกระทู้ที่ว่าตัวรู้นี่ร้ายนักหรือตัวไมรู้นี่ร้ายนัก นะครับ

มีข้อถามท่านนิสนึ่ง(นิดเดียว) คือว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงต้องให้ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐานนี่แหละต้อง
ปลีกวิเวก ให้ไปยึดป่า เขา ถ้ำ อะไรอย่างนี้เป็นที่เจริญภาวนา ทำไมพระองค์ถึงไม่จัดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานไปเลย สร้างให้กว้างใหญ่ สามารถให้คนมาปฏิบัติธรรมกันเยอะๆ เหมือนในปัจจุบันหนอ

ท่านกรัชกาย ให้ความเห็นหน่อยครับ เพราะเท่าที่สนทนากับท่านแล้ว อืม...รู้เยอะดีครับ สติดีใช้ได้

อีกอันหนึ่ง มีหลวงปู่องค์หนึ่งกล่าวว่า
ถ้าเปรียบนิพพานคือยอดเขา พระพุทธองค์สอนวิธีให้ขึ้นไปสู่ยอดเขา
ด้วยวิธีการ ปีนป่าย ก้าวเดิน กระโดด อย่างมีสติ แต่หลวงปู่บอกว่า ไม่สำคัญหรอกว่าจะใช้วิธีไหนขอให้ขึ้น
ให้ถึงยอดเขาก็พอ ดังนั้นหลวงปู่จึงใช้วิธีขี่เครื่องบินขึ้นไปก็ถึงเหมือนกันว่างั้น

ผมคิดว่า หลวงปู่องค์นี้ คงถือตนว่า ฉลาดกว่าพุทธองค์ไปแล้วเพราะสามารถทำได้นอกเหนือจากที่พระองค์กล่าว แล้วท่านกรัชกายหละคิดเห็นเป็นประการใดกับคำกล่าวนี้หนอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


นึกถึงใบประดู่ลาย 3 ใบ ที่ ท่านขวางฯ เคยพูดถึง :b6: :b6:

กระผมพิจารณาอยู่ว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงทำเช่นนั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ศึกษาเฉพาะใบไม้ 3 ใบที่ทรงหยิบมาสอน แต่ว่าใบไม้ทั้งป่า ศึกษาได้จากใบไม้ 3 ใบที่ทรงหยิบมาสอน

หลวงปู่ท่านคงไม่ได้ศึกษาจากใบประดู่ลาย 3 ใบ
แต่คงศึกษาจากใบอื่นด้วยวิธีการเดียวกันกับการศึกษาจากใบประดู่ลาย 3 ใบนั้น

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 16:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




imagesCAS3VB6Z.jpg
imagesCAS3VB6Z.jpg [ 3.72 KiB | เปิดดู 3817 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:

ทำไมพระองค์ถึงไม่จัดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานไปเลย สร้างให้กว้างใหญ่ สามารถให้คนมาปฏิบัติธรรมกันเยอะๆ เหมือนในปัจจุบันหนอ


คุณแน่ใจอย่างไรว่า :b1: ครั้งพุทธกาลไม่มีสถานที่ปฏิบัติเช่นว่านั้น เพราะวัดแต่ละวัดๆ ที่มหาเศรษฐี
สมัยสร้างขึ้น ก็กว้างใหญ่ใช้เงินไปมิใช่น้อย


แต่เอาเถอะสมมุติว่า ไม่มีก็แล้วกัน

แต่ก็มีภิกษุใช้กุฎีที่พักของตนทำกรรมฐานเดินจกรม ตัวอย่าง เช่น พระจักขุบาลเถระ ฯลฯ
ท่านก็เดินจงกรมที่ที่ตนพักอยู่นั่นแล แม้ตนตาบอดก็ตาม นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าตรงไหนก็ทำได้ปฏิบัติได้

พระพุทธเจ้า ไม่ได้บังคับตายตัวว่า จะต้องเข้าป่า เข้าถ้ำเสียทุกเม็ดทุกดอกทุกรูปทุกองค์
เท่าที่อ่านพบ อย่างถือธุดงค์นี่ก็ไม่บังคับ ให้เป็นไปตามความสมัครใจ

อ้างคำพูด:
มีข้อถามท่านนิสนึ่ง (นิดเดียว) คือว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงต้องให้ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐานนี่แหละ
ต้องปลีกวิเวก ให้ไปยึดป่า เขา ถ้ำ อะไรอย่างนี้เป็นที่เจริญภาวนา


ตอบ เพราะสถานที่ที่เป็นป่า เขา ถ้ำ (เรือนว่าง) ไร้ผู้คนเดินเข้าเดินออกพลุกพล่าน
มีแต่ตนเพียงลำพัง จึงเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต กว่าสถานที่ที่จ้อกแจ้กจอแจ
แค่นี้เองน่าจะเป็นเหตุผล


ต่อไปอีกหน่อยเพื่อให้เห็นภาพกว้างขึ้น :b16:

ตัวหนังสือเดิมเขาบันทึกไว้อย่างไรก็อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้กาลเวลาล่วงเลยมาหลายพันปี
ก็คงอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ต่อให้สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เปลี่ยน เช่น ป่าไม้ถูกทำลายสิ้นแล้ว ที่ดินมีผู้คนจับจองหมดแล้ว

พื้นที่ที่เคยมีปาไม้อุดมสมบูรณ์ ก็กลายเป็นทุ่งโล่ง ภูเขาเป็นเขาหัวโล้น พื้นดินนำมาเป็นที่เพาะปลูกพืชผล
ทางการเกษตรไปแล้ว
ฯลฯ
สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปถึงอย่างนี้ แต่ตัวหนังสือที่เขียนบันทึกไว้เกี่ยวกับป่าไม้ถ้ำไม่เปลี่ยน ยังอยู่ตามนั้น
ตามที่คุณยกมาถาม

ตัวหนังสือไม่เปลี่ยน แต่สภาพแวดล้อมเปลี่ยน

หากเถนตรงจะยึดตามตัวหนังสือที่ว่า (...ปลีกวิเวก ให้ไปยึด ป่า เขา ถ้ำ) ประเทศไทย เลิกปฏิบัติธรรมเลิกทำกรรมฐานไปเลย เพราะป่าหมดแล้ว

(ยังเหลืออยู่ก็แต่ป่าเขาใหญ่ ซึ่งวนอุทยาน จะขึ้นไปก็ต้องขออนุญาต ไม่ให้พระขึ้นก็มีแอบขึ้นไปเอง
มีพระธุดงค์หลงป่า จนเกือบเอาชีวิตไปทิ้งในป่านั้นก็เคยมี :b32: )

เพื่อความสะดวกของทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันคนมีกะตัง + มีศรัทธา จึงบริจาคที่ดินออกเงินสร้างวัด
สร้างสำนักปฏิบัติใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ดังที่คุณตั้งข้อสังเกต

แม้บางแห่ง อาจพลุกพล่าน (คนมากกว่าพื้นที่) ไม่เงียบสงบเหมือนอยู่คนเดียวในป่าดงดิบ แต่ก็ยังดีกว่า
ไม่เริ่มต้นสะเลยมิใช่หรือ


อ้างคำพูด:
ท่านกรัชกาย ให้ความเห็นหน่อยครับ เพราะเท่าที่สนทนากับท่านแล้ว อืม...รู้เยอะดีครับ สติดีใช้ได้

คุณคนขวางโลกจะว่า กรัชกายยังไม่บ้าใช่ไหม ครับ :b10:

อ้างคำพูด:
อีกอันหนึ่ง มีหลวงปู่องค์หนึ่งกล่าวว่า
ถ้าเปรียบนิพพานคือยอดเขา พระพุทธองค์สอนวิธีให้ขึ้นไปสู่ยอดเขา
ด้วยวิธีการ ปีนป่าย ก้าวเดิน กระโดด อย่างมีสติ
แต่หลวงปู่บอกว่า ไม่สำคัญหรอกว่า จะใช้วิธีไหนขอให้ขึ้น ให้ถึงยอดเขาก็พอ ดังนั้นหลวงปู่จึงใช้วิธีขี่เครื่องบินขึ้นไปก็ถึงเหมือนกันว่างั้น

ผมคิดว่า หลวงปู่องค์นี้ คงถือตนว่า ฉลาดกว่าพุทธองค์ไปแล้วเพราะสามารถทำได้นอกเหนือจาก
ที่พระองค์กล่าว แล้วท่านกรัชกายหละคิดเห็นเป็นประการใดกับคำกล่าวนี้หนอ



กรัชกายไม่รู้จักชื่อหลวงปู่ดังกล่าวนั้น ต้องมีข้อมูลมากกว่านี้ อย่างน้อยๆรู้จักชื่อท่าน
อีกพอๆรู้ว่า ท่านปฏิบัติอย่างไร ด้วยวิธีใด นี้ไม่มีข้อมูลเลย

ตอบเท่าที่ให้ข้อมูลมานะครับ คือ เราควรขอดูย่ามหลวงปู่ก่อนว่า มีกะตังพอค่าเครื่องบินไหม ถ้าไม่มีเงิน
หรือเงินไม่พอเขาก็ไม่ให้ขึ้น ประเด็นหนึ่ง

อีกประเด็นหนึ่ง ถามอายุท่านด้วย เพราะว่าเครื่องบินบางครั้งตกหลุมอากาศ อายุมากอาจช๊อคหัวใจวาย
มรณภาพได้หนอ

(หุหุ ใช่หลวงปู่ที่อายุยังไม่มากเท่าไหร่ แต่เรียกตนเองว่าหลวงปู่หรือไม่หนอ :b9: )

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




parrot01.jpg
parrot01.jpg [ 3.16 KiB | เปิดดู 3767 ครั้ง ]
images.jpg
images.jpg [ 3.82 KiB | เปิดดู 3765 ครั้ง ]
นอกประเด็นคำถามแต่แถมให้ พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ :b1: :b3:

แม้มีหลักการอย่างนั้นแล้ว ก็มิใด้หมายความว่าใครจะนำไปใช้ได้ผลทุกคนทุกรายไป

หากไม่รู้อุบายวิธีพลิกแพลง เพียงท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ก็มีสภาพเช่นคนที่สอนให้เด็ก

ปฏิบัติอย่างคลิปนี้

http://www.youtube.com/watch?v=yMvbgckInow

อย่างนั้นท่านเรียกว่า รู้แต่เปลือก แต่เช้าไม่ถึงเนื้อใน :b7:

คนประเภทนี้นำอะไรไปใช้ มีแต่ให้โทษทั้งแก่ตนและผู้อื่น :b25:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 มิ.ย. 2009, 13:28, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ



พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ ดังกล่าวข้างบน มิใช่ท่องรัวๆๆเรื่อยเปื่อย ดังที่บุคคลในคลิปบอกเด็กก็หา
ไม่ มีเป้าหมายมีจุดหมายอยู่
พอง คือ อาการท้องที่พองขึ้น (ลมเข้าท้องก็พอง)
ยุบ คือ อาการยุบของท้อง (ลมออกท้องก็ยุบ)
ท่านใช้อาการท้องพอง อาการท้องยุบนั่นเป็นกรรมฐาน (ส่วนกายานุปัสสนา)

ส่วนคำว่า หนอ ถ้าให้เปรียบก็เหมือนคำสร้อยเท่านั้น ขณะใดลมเข้า ลมออกเร็วๆถึ่ๆ ลงหนอไม่ทัน ก็ไม่ต้อง
หนอ ก็แค่นี้
พลิกแพลงได้ ไม่ตายตัว ว่าต้องหนอๆๆ ทุกครั้ง ไม่ใช่ ลมเข้า ลมออกถี่ๆเร็วๆก็ภาวนาเพียง
พองยุบๆๆๆ ตามลมเข้าออกสั้นนั้น เท่านี้เอง

ขณะใดพองกับยุบยาววววว ก็เสริมคำว่า หนอ ด้วย เพื่อให้พอดีสุดพองสุดยุบ เท่านี้แหละ

ส่วน นั่งหนอ กับ ถูกหนอ เขาจะเพิ่มให้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติไปนานพอสมควรแล้ว คือ จิตใจสงบลงบ้างแล้ว ท้องพองท้องยุบยาวววววว (ตามลมเข้าลมออก) จิตใจนิ่งขึ้น ไม่กระสับกระส่ายเหมือนตอนแรกๆ ก็เพิ่ม
นั่งหนอเข้าอีก เหตุผลเพราะ ท้องพองท้องยุบยาววววววว เพียง พองหนอ ยุบหนอ สั้นไปแล้ว
ก็เพิ่ม นั่งหนอ เข้าอีก โดยเอาอาการนั่งทั้งองคาพยบในขณะนั้นเป็นอารมณ์ภาวนา นั่งหนอ ก็เท่านี้

ส่วนเพิ่ม ถูกหนอ ก็มีลักษณะเดียวกัน ต้องใช้เวลาปฏิบัตินานอีกหน่อย จึงจะเพิ่มได้
เพิ่มแล้ว ก็ไม่ใช่ตายตัวว่าจะต้องคงไว้อย่างนั้นเรื่อยไป ไม่ใช่ พลิกแพลงได้อีก เมื่อท้องพองท้องยุบเปลี่ยน สั้นก็ตัด ยาวก็เติม จุดหมายเป็นอย่างนี้

ไม่ใช่ไปยุเด็กให้ท่องรั่วเข้าๆๆ เร็วๆๆ จะผ่านแล้วๆ (ผ่านอะไร) ทั้งที่เด็กร้องระงม บ้างร่างกายหงิกงอไปแล้ว

คนสอนให้เขาปฏิบัติแบบนี้ มิใช่รู้แค่วิธีการ ไปจำๆมาไม่ได้หรอก ไม่พอ ฝืนไปแนะนำใครเขา ก็เท่ากับเพาะมิจฉาทิฏฐิให้แก่ผู้ปฎิบัติเสียคู่เสียคน

การฝึกจิตเจริญปัญญาแบบภาวนามัยนี้ สรูปสั้นๆก็ว่า ขณะนั้นตนรู้สึกอย่างไร จะต้องกำหนดจิตอย่างนั้น กำหนดที่ความรู้สึก มีอาการอย่างไรก็ต้องกำหนดจิตอย่างนั้น ตามที่รู้สึก ตามที่มันเป็น ตามเป็นจริง

บางคนเข้าใจผิด ว่ากำหนดแล้วไปเร้าให้มันเป็นให้มันเกิด ไม่ใช่ๆ แสดงว่า ไม่เข้าใจการทำงานหรือหน้าที
ของนามธรรม ไม่เข้าใจหลักสติปัฏฐาน

ขณะที่กำหนดรู้สภาวธรรม (ทุกข์) นั้นๆ ตามเป็นจริง สภาพนั้นๆได้เป็นอารมณ์ของสติของสัมปชัญญะแล้ว
สัญญาได้ทำหน้าที่จำสภาวะนั้นแล้ว นามธรรมที่กำลังหมุนวนก็ขาดตอน (วัฏฏะขาด)
วงจรเช่นนั้นก็ไม่หมุนต่อ จะเริ่มวิถีจิตใหม่ ทำนองนี้ทุกขขณะ

นามธรรมละเอียด ผู้ซึ่งไม่เคยทำการบริกรรมภาวนาฟังเรื่องนี้ไม่เข้าใจเลย
ถ้าเป็นผู้กำลังปฏิบัติอยู่ พูดเท่านี้เขารู้เข้าใจทันที

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 มิ.ย. 2009, 18:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นภาพเรื่องดังกล่าวนั้นบ้าง จะนำตัวอย่างสิ่งที่ปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติมาให้ดูสักสองสามตัวอย่าง
ไม่จำเป็นต้องตั้งชื่อให้มันก็ได้ เพราะธรรมชาติเป็นอย่างนั้นก็อย่างนั้น
ตัวเองรู้สึกยังไง ก็ยังงั้น กำหนดจิตลงไปตามที่ตนรู้สึกนั้น จบ นี่คือหลักปฏิบัติ

(พึงศึกษาความหมายคำว่า อวิชชา - ความไม่รู้สภาวะตามเป็นจริง ซึ่งตรงข้ามความหมาย
คำว่า วิชชา -ความรู้สภาวะตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น - มันเป็นยังไงรู้ยังงั้น ไปเรื่อยๆ)

ดูรายแรกสงสัยสั้นๆ



ตอนนั่งสมาธิเหมือนมีอะไรอยู่ใหญ่ๆ บนฝ่ามือใครรู้ช่วยบอกที่คับ

คือวันก่อนผมนั่งสมาธิพอจิตนิ่ิง ผมก็แผ่เมตตา แล้วผมรู้สึกว่า ตรงฝ่ามือทั้งสองของผมมันเล็กลงแล้วเหมือนมีอะไรใหญ่ ๆ อยู่บนฝ่ามือนะคับ
อยากรู้ว่าคืออะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รายที่สอง


เสียงประหลาดจากสมาธิ

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวันเป็นประจำ สวดมนต์วันหนึ่งก็ประมาณ1ชั่วโมง เมื่อ 2 วันที่

ผ่านมา หลังจากสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ จากนั้นก็นั่งสมาธิขณะที่จิตสงบ มีเสียงประหลาดเกิดขึ้น

ว่า " การปฎิบัติธรรมสมาธิภาวนานั้น เราต้องใช้หลักโยนิโสมนสิการ อันจะเป็นหนทางสู่มรรคผล

นิพพาน"
หลังจากออกสมาธิผมก็มาพิจารณาว่ามันคืออะำไรทำไมเราได้ยินเสียงประหลาดแล้วหลัก

โยนิโสมนสิการมันคืออะไรมีความหมายอย่างไรผมไม่เคยรู้มาก่อนและไม่เคยได้ยิน ทำให้ผมต้องหาคำตอบ

ให้ได้ว่าโยนิโสมนสิการ คือ อะไรและแล้วผมก็ได้ทราบคำตอบว่า หลักโยนิโสมนสิการคือ การหยั่งรู้ในจิต

ใจโดยแยบคาย

พูดง่ายๆก็คือ การเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงตามกฎไตรลักษณ์ แล้วใช้สติปัญญาพิจราณาสภาวธรรมที่เกิด

ขึ้น โดยหาเหตุปัจจัยต่างๆ มาแยกแยะวิเคราะห์ รู้รูปนาม ขันธ์ 5 การมีสติอยู่กับปัจจุบันตามแนวทาง

สติปัฐฐาน 4 การคิดแบบอริยสัจ 4

สรุปแล้วหนทางมรรคผลนิพพานมันรวมหมดอยู่ตรงนี้เอง ทำให้ผมมีกำลังใจในการปฏิบัติมาก

นี่นะหรือที่เขาว่าสอนกันทางสมาธิ แต่ผมไม่ทราบนะว่า เสียงประหลาดนั่นเป็นใคร แต่เป็นเสียงผู้ชาย

หนุ่มน้ำเสียงไพเราะมาก แต่จิตผมมีความรู้สึกว่า น่าจะเป็นพุทธองค์ครับ

แล้วเพื่อนๆมีความเห็นว่า อย่างไรโปรดชี้แนะด้วยครับ

http://board.palungjit.com/f126/เสียงประหลาดจากสมาธิ-189397.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 มิ.ย. 2009, 15:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกรายหนึ่ง พิจารณาดีดี



อาการแบบนี้เรียกว่าหลงผิดเรื่องสติปัฏฐานสี่ หรือเปล่าคะ (วอนผู้รู้ช่วยตอบ)


ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบศึกษาเรื่องศาสนาและปรัชญามานาน จนกระทั่งวันหนึ่งได้นั่งวิปัสสนากรรมฐานจน

กระทั่งจู่ ๆ เกิดเสียงดังก้องในโสตประสาทราวกับเสียงสวรรค์ (ใช่หรือไม่ก็ไม่ทราบ) ตรัสว่า
อันทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเกิดจากธรรมชาติ เกิดขึ้นและดับลงทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าไร้ซึ่งอัตตา
วินาทีนั้น

ดิฉันรู้สึกปลื้มปิติราวกับได้พานพบกับโลกแห่งแสงสว่าง ถึงขั้นที่ว่าไม่ยอมลุกจากที่นั่ง ไม่รับรู้สิ่งภายนอก

ไร้ซึ่งอารมณ์ทุกอย่างล้วนว่างเปล่าไปหมด

ตอนนั้นดิฉันยอมรับว่าหลงคิดไปว่า นี่แหล่ะคือสุขแท้ คือความว่าง คือนิพพานที่เฝ้าค้นหา

จนระยะหลังเกิดยึดติดกับความปิตินี้ จึงถึงขั้นไม่สามารถรับรู้โลกภายนอกได้อีกต่อไป เวลามีใครมาเรียกดิฉัน

ก็จะไม่ได้ยิน ไม่ตอบสนอง หรือถ้าตอบก็จะตอบเพียงสั้น ๆ และล้วนแต่เป็นหลักธรรมคำสอนไปเสียหมด

(ใครไม่เคยเห็นก็จะหลงเข้าใจไปว่าเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ไปโน่น)

อาการของดิฉันเป็นหนักมาก

จนภายหลังต้องเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาลและใช้เวลานานกว่าจะหายเป็นปกติ

ภายหลังเคยเห็นผู้รู้ท่านหนึ่ง มาตั้งกระทู้ไว้เกี่ยวกับข้อควรระวังเรื่องหลงผิดเรื่องสติปัฏฐานสี่

จึงทำให้รู้ว่า อาการของตนนั้นน่าจะเกิดจากการนั่งวิปัสสนาแบบผิด ๆ และรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ดังกล่าว

ไม่ทราบว่า ผู้ใดเคยมีอาการแบบดิฉันบ้างคะ และถ้ามีควรจะแก้ไขอย่างไร เคยมีคนบอกว่า นั่งวิปัสสนาต้อง

ควบคู่ไปกับสติ แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร

ทุกวันนี้ยังนึกกลัวอยู่ว่า ถ้านั่งแล้วเกิดความรู้สึกอย่างเดิมอีก แล้วจะดึงตัวเองกลับคืนสู่โลกแห่งความจริง

ได้หรือเปล่า และถ้าปล่อยไปจะเป็นอะไรไหม เพราะตอนนั้นยอมรับว่ามีความสุขมาก จนถึงขั้นยอมตาย

เลยก็ว่าได้ดิฉันควรทำยังไงดีคะ

รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยค่ะ


http://board.palungjit.com/f4/อาการแบบนี้เรียกว่าหลงผิดเรื่องสติปัฏฐานสี่-หรือเปล่าคะ-วอนผู้รู้ช่วยตอบ-193828.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: เข้ามาอ่านแล้วน่าสนใจ เกี่ยวกับเรื่อง"ตัวรู้" นี่จังเลยค่ะ ไอ้เจ้าตัวรู้นี่ มันเป็นแบบว่าชอบสอนหรือเปล่าไม่รู้นะ มันจะสอนและบอก แล้วมันชอบใช้คำนี้นะ "เฮ้ย" ไม่ใช่แบบนี้หรอกนะ ต้องอย่างนี้ มันชอบสกิดให้ฉุกคิด พิจารณาว่าสิ่งเราทำนั้นมันถูกหรือผิด เคยทดสอบบ่อย ๆ แล้วมันก็เป็นเพื่อนที่ดีกับเราเท่านั้นเอง ไม่ได้พิเศษอะไร เพราะมันบอกว่า "กระโหลกแกนี่หนา ๆ จริง ๆ แกยังเป็นเชื้อโรคอาศัยอยู่แถวขั่วโลกเหนืออยู่นะ อย่าเสนอหน้าไปทำการรับรักษาศีล ไปนั่งกรรมฐาน พิจารณาอะไร ให้แกตั้งใจมีพระรัตนตรัยให้บริบูรณ์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งปนเปื้อน(เช่นวัตถุที่พระทั้งหลายทำการเสกเป่า รดน้ำมนต์ พ่นน้ำมัน เจิม เบิกเนตร) ในพระศาสนา เพราะข้อนี้สำคัญ ทำให้พระรัตนตรัยแกขาดสะบั้นทันทีถ้าแก ยังตัดไม่ขาดกับวัตถุปนเปื้อนในศาสนาพุทธ เหล่านั้น แกจะไปประกาศปาว ๆ ว่าขอมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดเวลานั้นแกโกหก พระรัตนตรัยโดยแท้ ก็สิ่งที่แกกราบอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งให้ทำให้สร้างให้ปั้นแทนตัวพระพุทธองค์ได้ และแกก็เป็นคนปุถุชนทำมาหากินไปวัน ๆ เท่านั้น ความสามารถของแกที่ประกาศว่า ขอมอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แกโกหก ถ้าแกประกาศว่ามอบแล้วแกต้องทำความสามารถรักษาศีลให้ได้หรือบวช และสละการครองบ้านครองเรือน เสียแล้วไปตั้งใจปฏิบัติให้หลุดพ้น นี่แกทำไม่ได้สักอย่าง แกไปประกาศป่าวร้องทำไมทุกพิธีกรรม แกนี่เป็นคนโกหกสุด ๆ แถมด้วยแกจะไปนั่งกรรมฐาน กังวลมีอยู่ 10 อย่างแกยังตัดไม่ได้ยังห่วงพะวงกับลูกหลาน ทรัพย์สมบัติ ความเจ็บป่วย ความทุกข์ยาก แล้วแกจะไปนั่งกดถ่วงอารมณ์ ให้มันสงบนั้น เดี๋ยวแกจะได้ความบ้ากลับบ้านหรอกแก .....เพราะฉะนั้น" ตัวรู้ "บอกว่า ให้อยู่แบบอย่างสถานภาพตัวเองอยู่ได้ โดยแก้ไขปัญหาชีวิตด้วย "บุญ" และทำตัวเองให้มีพระรัตนตรัยให้บริบูรณ์และระลึกถึง พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์และบุญบ่อย ๆ แบบถี่ยิบทุกลมหายใจเข้าออก ก็เกินพอแล้วสำหรับกระโหลก หนา ๆ อย่างแก ............"ตัวรู้"บอกและเตือนอย่างนี้ เพราะลองปฏิบัติใช้วิธีการแบบนี้แล้วเลยมี"ตัวรู้"เป็นเพื่อนตลอดเวลา แม้แต่โดนวิบากกรรมเล่นงาน เช่นโดนเจ้านายด่าโดยที่เราพิจารณาเหตุและผลแล้วว่าเราไม่ได้มีความผิดในเรื่องนี้ ก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย "ตัวรู้"จะเตือนว่า "เออแกข้าจะบอกให้" แกเคยทำแบบนี้กับเขามาก่อนแต่ไม่รู้ชาติไหนว่ะ แกยอมรับกรรมนั้นเสีย อย่าเสียใจเลยนะ แกได้ชดใช้แล้วหละ แกอย่าอาฆาตต่อเลยนะ หรือ แกอย่าทิ้งมันไปนะไอ้ความโกรธ ความเสียใจ หลั่งไหลมาเลย อย่าไปจากข้าอยู่กับข้า"แหมมันหายตัวไปไม่บอกสักคำ ที่กล่าวมาทั้งหมดเรียกว่า"ตัวรู้ " อะไรนั่นหรือเปล่าคะ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




avatar43362_1.jpg
avatar43362_1.jpg [ 7.37 KiB | เปิดดู 3702 ครั้ง ]
ถามไคงับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่สายเกินไป เขียน:
:b12: เข้ามาอ่านแล้วน่าสนใจ เกี่ยวกับเรื่อง"ตัวรู้" นี่จังเลยค่ะ ไอ้เจ้าตัวรู้นี่ มันเป็นแบบว่าชอบสอนหรือเปล่าไม่รู้นะ มันจะสอนและบอก แล้วมันชอบใช้คำนี้นะ "เฮ้ย" ไม่ใช่แบบนี้หรอกนะ ต้องอย่างนี้ มันชอบสกิดให้ฉุกคิด พิจารณาว่าสิ่งเราทำนั้นมันถูกหรือผิด เคยทดสอบบ่อย ๆ แล้วมันก็เป็นเพื่อนที่ดีกับเราเท่านั้นเอง ไม่ได้พิเศษอะไร เพราะมันบอกว่า "กระโหลกแกนี่หนา ๆ จริง ๆ แกยังเป็นเชื้อโรคอาศัยอยู่แถวขั่วโลกเหนืออยู่นะ อย่าเสนอหน้าไปทำการรับรักษาศีล ไปนั่งกรรมฐาน พิจารณาอะไร ให้แกตั้งใจมีพระรัตนตรัยให้บริบูรณ์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งปนเปื้อน(เช่นวัตถุที่พระทั้งหลายทำการเสกเป่า รดน้ำมนต์ พ่นน้ำมัน เจิม เบิกเนตร) ในพระศาสนา เพราะข้อนี้สำคัญ ทำให้พระรัตนตรัยแกขาดสะบั้นทันทีถ้าแก ยังตัดไม่ขาดกับวัตถุปนเปื้อนในศาสนาพุทธ เหล่านั้น แกจะไปประกาศปาว ๆ ว่าขอมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดเวลานั้นแกโกหก พระรัตนตรัยโดยแท้ ก็สิ่งที่แกกราบอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งให้ทำให้สร้างให้ปั้นแทนตัวพระพุทธองค์ได้ และแกก็เป็นคนปุถุชนทำมาหากินไปวัน ๆ เท่านั้น ความสามารถของแกที่ประกาศว่า ขอมอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แกโกหก ถ้าแกประกาศว่ามอบแล้วแกต้องทำความสามารถรักษาศีลให้ได้หรือบวช และสละการครองบ้านครองเรือน เสียแล้วไปตั้งใจปฏิบัติให้หลุดพ้น นี่แกทำไม่ได้สักอย่าง แกไปประกาศป่าวร้องทำไมทุกพิธีกรรม แกนี่เป็นคนโกหกสุด ๆ แถมด้วยแกจะไปนั่งกรรมฐาน กังวลมีอยู่ 10 อย่างแกยังตัดไม่ได้ยังห่วงพะวงกับลูกหลาน ทรัพย์สมบัติ ความเจ็บป่วย ความทุกข์ยาก แล้วแกจะไปนั่งกดถ่วงอารมณ์ ให้มันสงบนั้น เดี๋ยวแกจะได้ความบ้ากลับบ้านหรอกแก .....เพระฉะนั้น" ตัวรู้ "บอกว่า ให้อยู่แบบอย่างสถานภาพตัวเองอยู่ได้ โดยแก้ไขปัญหาชีวิตด้วย "บุญ" และทำตัวเองให้มีพระรัตนตรัยให้บริบูรณ์และระลึกถึง พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์และบุญบ่อย ๆ แบบถี่ยิบทุกลมหายใจเข้าออก ก็เกินพอแล้วสำหรับกระโหลก หนา ๆ อย่างแก ............"ตัวรู้"บอกและเตือนอย่างนี้ เพราะลองปฏิบัติใช้วิธีการแบบนี้แล้วเลยมี"ตัวรู้"เป็นเพื่อนตลอดเวลา แม้แต่โดนวิบากกรรมเล่นงาน เช่นโดนเจ้านายด่าโดยที่เราพิจารณาเหตุและผลแล้วว่าเราไม่ได้มีความผิดในเรื่องนี้ ก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย "ตัวรู้"จะเตือนว่า "เออแกข้าจะบอกให้" แกเคยทำแบบนี้กับเขามาก่อนแต่ไม่รู้ชาติไหนว่ะ แกยอมรับกรรมนั้นเสีย อย่าเสียใจเลยนะ แกได้ชดใช้แล้วหละ แกอย่าอาฆาตต่อเลยนะ หรือ แกอย่าทิ้งมันไปนะไอ้ความโกรธ ความเสียใจ หลั่งไหลมาเลย อย่าไปจากข้าอยู่กับข้า"แหมมันหายตัวไปไม่บอกสักคำ ที่กล่าวมาทั้งหมดเรียกว่า"ตัวรู้ " อะไรนั่นหรือเปล่าคะ :b10:



ที่ถามตรงนี้ไม่ใช่ตัวรู้ แต่ตัวรู้ตรงนี้หมายถึงตัวรู้ที่ว่ากายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัดตัวนี้ก็จบงานในหนึ่งขั้น

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร