วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 16:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วจึงเกิดปัญญายิ่ง* (ตามที่คุณกรุณาแก้ไขให้)

ปัญญายิ่ง คือ ปัญญาที่เกิดจากการทำสมาธิ ได้แก่พวก อ่านใจคนออก มีตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ ฯ มีในทุกศาสนา ส่วนปัญญารู้แจ้งที่ได้จากการวิปัสสนาภาวนา ไม่ได้อยู่รวมกันกับปัญญาพวกนี้

อ้างคำพูด:
พอได้ปัญญา ศีล และสมาธิจะตามมาเอง

อันนี้อธิบายแล้ว แต่จะให้เข้าใจง่ายๆ อีกที ก็คือ ทำวิปัสสนาภาวนาทุกวัน ปัญญาก็จะเกิดจนมีความกล้าแข็ง ลองไปหาอ่านในพระไตรปิฎกดูนะครับ ในพระสูตร สังยุตตนิกาย เรื่องอวิชชา กับการประหารอวิชชา

ที่เราไม่มีศีลเพราะในตัวเรามีอวิชชา การรักษาศีลของคนปกติเหมือนการถือกฎหมาย ถ้าจะเปรียบพวกนี้ก็เหมือนพวกกาฝากหรือตัวพยาทที่อาศัยอยู่ในตัวเรา พอเราฆ่าตัวพวกนี้ได้ ที่จะพูดผิด ทำผิด คิดผิด ก็จะไม่เกิด นี่แหละที่เรียกว่าได้ศีล ไม่ต้องไปรักษาศีล

ส่วนสมาธินี่ต้องฝึกฝนเพิ่มเติม ไม่ต้องฝึกก็ได้ แต่ถ้าจะฝึก ก็จะได้ง่าย เป็นสมาธิที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ก็คือตัวอวิชชา หรือโมหะนั่นแหละ เพราะมันถูกฆ่าตายไปก่อนหน้านี้แล้ว

อ้างคำพูด:
แล้วคำว่า สติมาปัญญาเกิดนี่ ดิฉันก็เข้าใจว่าให้ตามรู้กายใจ คือมีสติตลอดเวลา

นี่ก็ถูกต้องครับ ตามรู้กายรู้ใจนี่เป็นการเจริญสติ แต่จริงๆ สติมันทำหน้าที่แค่ดึงสัญญาออกมา หรือเป็นตัวลากขึ้นมา การวิปัสสนาก็ต้องใช้สติ แต่ไม่ต้องไปเจริญเพิ่มหรอกครับ มันเป็นกิจของพระอริยะที่อยากบรรลุอรหันต์เร็วๆ คนปกติถ้าไม่มีสติก็พวกความจำเสื่อม หรือคนบ้าเท่านั้น แค่ให้ลุกมาวิปัสสนาแค่วันละชั่วโมง มันคงไม่ต้องไปหาสติเพิ่มหรอกมั้งครับ

ทำทานตักบาตรก็ยังจิตให้เป็นมหากุศลด้วยนะครับ กุศลธรรมดามันทำได้แค่ สวย รวย เทห์ ไปเป็นเศรษฐี ไปเป็นเทวดา ไม่ถึงมรรคผลนิพพาน



อ่านแล้วก็ขำๆ :b32:

พละ 5 ไปไหนหนอ ......

ถ้าจำไม่ผิดนะคะ ศรัทธาคู่กับปัญญา ศรัทธาแต่ปัญญาไม่มากพอ เขาก็เรียกว่า งมงาย

วิริยะคู่กับสมาธิ ต้องมีความเพียรอย่างต่อเนื่อง จิตจึงตั้งมั่นได้ ..

ส่วนสติ สัมปชัญญะนี่ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งดี ... เพราะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในพละ 5

ใช่แน่หรือที่กล่าวว่า สติมันทำหน้าที่แค่ดึงสัญญาออกมา หรือเป็นตัวลากขึ้นมา

พูดมากๆ อย่าขาดรายละเอียดนะคะ :b1:

อ่านให้ดีๆก่อนจะโพสลงมาค่ะ แล้วปัจจุบันธรรม หรือ สิ่งที่เกิดขึ้น ขณะ นั้นๆ เรียกว่า สัญญา ด้วยหรือเปล่าคะ?

ภาษาจะพางงนะคะ ควรศึกษาด้วยนะคะ ไม่ใช่ยึดเพียงทิฐิของตัวเองเพียงอย่างเดียวค่ะ

วิปัสสนาน่ะ ทำได้ทั้งวันเลยค่ะ ทำตอนไหนก็ได้ จะยืน เดิน นั่ง นอน เข้าห้องน้ำ ฯลฯ

ทำได้ทุ๊กอริยาบท ทำได้ทุ๊กเวลา


บอกแล้วว่าอย่าไปยึดติดอยู่กับคำศัพท์หรือตัวหนังสือให้มันมากไปนะคะ

เอาเถอะๆ .. บอกแล้วว่าใครเชื่อใคร เนื่องจากเขาเคยสร้างเหตุร่วมกันมา จึงมาเชื่อกัน :b12:

ตามความคิดของเรา ณ ขณะนี้ เราว่าผู้ปฏิบัติพึงไปอ่านข้อมูลความรู้ที่คุณกรัชกายนำมาโพสๆไว้

คงจะดีกว่ามาฟังการใช้คำศัพท์ผสมปนเปแบบนี้ หรือเรื่องสัมมาสมาธิ ที่คุณตรงประเด็นเคย

นำมาโพสไว้ ยังจะประโยชน์ในเรื่องคำศัพท์เพิ่มมากขึ้น และได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น

ถ้าถามว่า สิ่งที่คุณพูดมามันผิดหรือ ไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะมันเป็นเพียงรู้ของคุณเท่านั้นเอง

เพียงแต่เราแนะแนวทางให้ผู้ที่สนใจให้ศึกษาเพิ่มเติมในคำเรียกต่างๆ เวลานำมาสนทนากัน

จะได้ไปในแนวทางเดียวกัน จะทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้น

เวลาอธิบาย ช่วยอธิบายให้หมดด้วยค่ะว่า การยังจิตให้เป็นมหากุศลนั้น ยังจิตยังไง

แล้วกุศลธรรมดานั้น ทำไมถึงเรียกว่า ธรรมดา ..

หรือต้องการให้คนถามต่อ เลยเขียนไว้ด้วนๆแบบนั้นคะ :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ดูดู๋คุณ Supareak กล่าวตู่ธรรม มาว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
เวรก่ำเวรกำ มันจะไปกันใหญ่แล้วพุทธศาสนิกชน ไม่ไหวแล้ว เลอะเทอะ ยิ่งกว่าโดดลงใน
ปลัก...อีก

เรื่องศีลมีสอน เรื่องสมาธิมีสอน เรื่องปัญญามีสอน แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ให้ไปรักษาศีล -> เพื่อที่จะมาทำสมาธิ -> แล้วเอาปัญญาที่เกิดจากสมาธิมาดับทุกข์

อ้างคำพูด:
ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านเรียกว่า ไตรลิกขา หรือสิกขาสาม...

ไตรสิกขา หรือวิชาที่พระอริยะต้องเรียนสามวิชา ได้แก่ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔ อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

๑๐. ภวสูตร
[๓๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภพ ๓ นี้ควรละ ควรศึกษาในไตรสิกขา ภพ ๓ เป็นไฉน
คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพ ๓ นี้ควรละไตรสิกขาเป็นไฉน คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา
อธิปัญญาสิกขา ควรศึกษาในไตรสิกขานี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล
ภพ ๓ นี้ เป็นสภาพอันภิกษุละได้แล้ว และเธอเป็นผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาแล้วในไตรสิกขานี้...


สมาธิเป็นเครื่องอยู่สุข

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
๘. สัลเลขสูตร
ว่าด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ...
...
...
[๑๐๒] ดูกรจุนทะ ก็ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่
วิเวกอยู่ ภิกษุนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราย่อมอยู่ด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ดูกรจุนทะ
แต่ธรรมคือปฐมฌานนี้เราไม่กล่าวว่าเป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ เรากล่าวว่า
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในอัตภาพนี้ในวินัยของพระอริยะ
...
...



อะไรก่อน อะไรหลัง มันไม่สำคัญนี่คะ ..

สำคัญที่ว่าทำหรือเปล่า หรือเพียงแค่ท่องจำ แล้วนำมาพูด

บอกแล้วอย่าลืมเรื่องเหตุปัจจัยที่ได้กระทำกันมา เหตุสร้างมาเช่นนี้ๆๆๆ ผลจึงเป็นเช่นนี้ๆๆๆๆ

กุศลแต่ละคนสร้างสั่งสมมาไม่เท่ากันค่ะ :b12:

อ้อ .. คำว่า วิปัสสนาภาวนาน่ะค่ะ วิปัสสนาก็ส่วนวิปัสสนาค่ะ ภาวนาก็ส่วนภาวนา

อย่านำมาปนจนบางคนอ่านแล้วตีความกันอีก ควรแยกออกจากคนละตัวนะคะ ..

พอดีนึกถึงคำว่า หนอ เช่น พองหนอ ยุบหนอ ..

ถ้าว่าตามภาษาที่คุณเขียน ก็จะเป็นวิปัสสนาภาวนาเข้าล็อกเลย

อาการท้องพองยุบ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณขณะนั้นๆ นี่เรียกว่า วิปัสสนา

พอมากำหนดเป็นพองหนอ ยุบหนอ นี่ภาวนาแล้ว

เอา 2 ตัวมารวมกันก็จะเป็นวิปัสสนาภาวนา

แล้ววิปัสสนาภาวนาของคุณนี่เป็นแบบไหนคะ พอจะอธิบายให้เห็นภาพได้ไหมคะ?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามคุณ Murano อีกนิดหนึ่ง วันหยุดเสาร์- อาทิตย์ = 48 ชม.
เค้าจะเดินจงกรม 40 นาที นั่ง 40 นาที อย่างนี้ต้องไปบวชชีไหมขอรับ

หรือวันธรรมดา เลิกงานแล้วค่ำๆ ก่อนนอน จากหนึ่งทุ่มไปถึงสามทุ่ม
เค้าจะเดิน จงกรม 35 นาที นั่ง 35 นาที อย่างนี้ต้องไปบวชชี บวชพระไหมขอรับ
:b1:


โอเค นั่งเกิน 30 นาทีได้ โดยไม่ต้องไม่บวช พอใจไหม... YOU WIN


แก้ไขล่าสุดโดย murano เมื่อ 20 ก.ค. 2009, 18:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
เรื่องศีลมีสอน เรื่องสมาธิมีสอน เรื่องปัญญามีสอน แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ให้ไปรักษาศีล -> เพื่อที่จะมาทำสมาธิ -> แล้วเอาปัญญาที่เกิดจากสมาธิมาดับทุกข์
[/i]


อ้างพระสูตรมาซะอย่างดี อ้างมาด้ายยย :b16: :b16:

ไปดูโพธิปักขิยธรรมหน่อยนะ ๓๗ ประการ
มีครบเลย ทั้งสมาธิ ฯลฯ ยังดูดีกว่าทาน แล้วไปศีลแล้วไปภาวนาที่อ้างมาอีก
รู้จักศีลดีหรือยัง สงสัยรู้แค่เป็นข้อๆ เอางี้ เลี้ยงชีวิตชอบก็เป็นศีล
ฌานก็เป็นศีล วิปัสสนาก็เป็นศีล เยอะแยะไป ดูดีๆมีในคัมภีร์ที่คุณกอดอยุ่นั่นแหละ

รู้จักรถไถนาป่าว เป็นคันๆนี่ไม่ไช่มีแค่เครื่อง ล้อ ดุม น๊อต พวงมาลัย สายพาน ฯลฯ
ไม่ไช่อย่างเดียวแล้วปฏิเสธอย่างอื่น

รู้จักขลัดเกลาทางกายป่าว กายวิเวกอ่ะ นั่นละศีล ช่วยให้จิตวิเวก(สมาธิ) เพราะไม่มีอะไรมาฟุ้งทางกาย
เมื่อจิตวิเวกแล้ว ส่องสภาวะธรรมอะไรก็ชัด นี่ละปัญญา ทิ้งไม่ได้ถ้ายังต้องมี อิงกันอยู่ในกันและกัน

ตกลงจะไปถึงไหนนะคุณ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไตรสิกขา หรือวิชาที่พระอริยะต้องเรียนสามวิชา ได้แก่ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา


เอางั้นหรอขอรับ ถ้าอย่างนั้นเต็มๆ สิกขาสาม ได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ซึ่งเขาเรียกกันง่ายๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล = อธิศีลสิกขา
สมาธิ = อธิจิตตสิกขา
ปัญญา= อธิปัญญาสิกขา

เป้าหมาย คือ ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
อ้อ .. คำว่า วิปัสสนาภาวนาน่ะค่ะ วิปัสสนาก็ส่วนวิปัสสนาค่ะ ภาวนาก็ส่วนภาวนา

อย่านำมาปนจนบางคนอ่านแล้วตีความกันอีก ควรแยกออกจากคนละตัวนะคะ ..

พอดีนึกถึงคำว่า หนอ เช่น พองหนอ ยุบหนอ ..

ถ้าว่าตามภาษาที่คุณเขียน ก็จะเป็นวิปัสสนาภาวนาเข้าล็อกเลย

อาการท้องพองยุบ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณขณะนั้นๆ นี่เรียกว่า วิปัสสนา

พอมากำหนดเป็นพองหนอ ยุบหนอ นี่ภาวนาแล้ว

เอา 2 ตัวมารวมกันก็จะเป็นวิปัสสนาภาวนา

แล้ววิปัสสนาภาวนาของคุณนี่เป็นแบบไหนคะ พอจะอธิบายให้เห็นภาพได้ไหมคะ? [/color]


เย้ๆๆ เดี๋ยวนี้เจ้....เก่งภาษานะ :b12: :b16: :b12: :b16:
ชอบใจตรงอธิบายพองยุบ :b20: :b20:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ถามคุณ Murano อีกนิดหนึ่ง วันหยุดเสาร์- อาทิตย์ = 48 ชม.
เค้าจะเดินจงกรม 40 นาที นั่ง 40 นาที อย่างนี้ต้องไปบวชชีไหมขอรับ

หรือวันธรรมดา เลิกงานแล้วค่ำๆ ก่อนนอน จากหนึ่งทุ่มไปถึงสามทุ่ม
เค้าจะเดิน จงกรม 35 นาที นั่ง 35 นาที อย่างนี้ต้องไปบวชชี บวชพระไหมขอรับ
:b1:


โอเค นั่งเกิน 30 นาทีได้ โดยไม่ต้องไม่บวช พอใจไหม... YOU WIN



โอเค นั่งเกิน 30 นาทีได้ โดยไม่ต้องไม่บวช พอใจไหม... YOU WIN

เฉยๆ ครับ เพราะกรัชกายไม่มีเจตนาทำเพื่อความพอใจ หรือไม่พอใจ หรือ ต้องการเอาชนะใคร
แต่ทำเพื่อให้ผู้อ่านเห็นจุดลงตัวในการปฏิบัติ ว่าจะทำอะไรต้องถามได้ตอบได้ เช่น มีคนถามว่า ทำอย่างนั้นทำไม ต้องตอบคำถามเขาได้ว่าเพื่ออะไร เป้าหมายคืออะไร :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี

สัญญา เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญามีในสมัยนั้น.

สติ เป็นไฉน?

สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก สติ กิริยาที่ระลึกความทรงจำ ความไม่เลื่อนลอย ความไม่ลืม สติ สตินทรีย์ สติพละ สัมมาสติ อันใดนี้เรียกว่า สติ

กำลังคือภาวนา เป็นไฉน?

การเสพ การเจริญ การทำให้มาก ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า กำลังคือ ภาวนา.

วิปัสสนา เป็นไฉน?

ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิอันใด นี้เรียกว่า วิปัสสนา.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




20.jpg
20.jpg [ 56.81 KiB | เปิดดู 3974 ครั้ง ]
กระทู้มาไกลแล้ว

มีคำถามคุณรินรส เป็นไงบ้างครับ ได้คำตอบบ้างหรือยัง โดนใจบ้างไหม กระจ่างใจขึ้นบ้างหรือยัง

หายสับสนหรือยัง หรือ สับสนยิงกว่าเดิม ได้ข้อสรุปยังไงครับ ฯลฯ พูดมาเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจใคร

ทั้งนั้น

มีอะไรที่ยังติดๆขัดๆอยู่ก็ว่าไป :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 06 ต.ค. 2009, 19:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุบกระท้อนกันใหญ่
:b32: :b32: :b32:


เอาแค่พอให้หวานนะ
อย่าแหลกคามือล่ะ :b32: :b32: :b32:

จาก ผู้เคยโดนทุบมาก่อน

จริงๆแล้วนึกขึ้นมาอย่างนี้ก้นึกขอบพระคุณคุณกรัชกายก็ดี คุณขันธ์ก็ดี คุณ walaiporn ก็ดี
ที่ช่วยๆกันทุบผมก็ดี จองกฐินผมก็ดี
เคยผลัดกันเอาอีโต้ฟันกันคนละฉับสองฉับอย่างกับการืตูนญี่ปุ่น
อันนี้พูดจริงๆว่า นึกขอบพระคุณจริงๆ

มันเป็นเรื่องปกติหรือยังไม่ทราบ
ว่าผู้เริ่มศึกษาพุทธธรรมนี้ พอเข้ามารู้ได้หน่อยนึงมันจะมีความรู้สึกว่า
เรานี้รู้แล้ว รู้ดี เหนือกว่าคนอื่น หน้านี่ทิ้งไม่หลง กลัวคนหาว่าโง่อวดฉลาด
กลัวเสียหน้าน่ะ ว่าง่ายๆ แบบว่าถือหน้าไว้เหนียวเลย แต่ปากพูดสวรรค์ พูดนิิพานไปนู่นนะ

ตัวผมนี้นะ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าคนอื่นโง่หมด เรานี้ฉลาดเหนือธรรมดา
หันไปทางไหนเห้นอะไรก็หงุดหงิดนะว่าเขาโง่จังเลย เลยมาทุกข์ทรมาน
อาจจะคิดว่าเรานั้นรู้มากนะ แต่วันนี้พูดได้ว่า ที่จริงไม่รู้อะไรเลย

ทำไมถึงว่ารุ้มากแต่ที่จริงไม่รู้อะไรเลย
ก็เพราะรู้แล้วใช้อะไรไม่ได้


เหมือนแบกรองเท้าไปไหนมาไหน แต่เดินตีนเปล่า
คือรู้ว่ารองเท้ามันมีไว้ทำอะไร แต่ไม่ได้ใส่
แบกไปถึงไหนก็ไปโพทนาความวิเศษณ์ของรองเท้าที่ตัวแบก


ถ้าไม่ได้คุณพี่ทั้งสามมาทุบ ก็คงจะหลงตัวเองนะ
ว่ารู้มาก รู้ดี รู้จริง แล้วก็ประมาท ไม่ขวนขวาย เต็มแก้ว

แล้วก็มาเห็นคนล้นแก้วด้วย เลยกลัวว่าจะเป้นอย่างเขา
อันนี้ขอบคุณคุณพลศักดิ์ที่ช่วยให้เราเห็นว่าเราไม่อยากเป็นอย่างเขา
เรากลัวมาก

แต่เพราะโดนทุบ โดนคนที่เขาเก๋ากว่า เขาเหนือกว่ามาสกัดดาวรุ่ง
มันทำให้เราละอายว่า ที่จริงเรามันไม่รู้อะไร
ก็เกิดความละอายขึ้นมาว่า โอย เรามันโง่อวดฉลาด
ก็เลยเกิดควมเพียรว่ามันต้องพัฒนาตัวเอง

วิชากระแทกกิเลสก็ดีนะ สำหรับผมนะ
แม้มันโหดร้ายไปหน่อย แต่ถ้ารอดไปได้ก็นับว่าดี
ถ้ากระแทกต่อพอดี ทรมานแต่พอดี ก็ย่อมเป้นประโยชน์

นึกเล่นๆว่าถ้าไปที่ไหนก็ไม่มีใครมาประดาบลับคมกับเรา
เราคงจะเข้าใจว่าเรานี้รู้จริงแล้ว ก้จะทำให้รู้สึกว่าเรานี่เต็ม
ประมาทในธรรม

คงเคยเห็นบางคนกอดพระไตรปิฏกแน่น
คือใครพุดอะไรนี่ปิดประตุลั่นดานไปเลย
คิดว่าตัวแน่ตัวเก่ง เอาพระไตรปิฏกแล้วก็พอแล้วอะไรอย่างนั้น
แล้วก้มาข่มๆขรึมๆแบบสไตล์คนปฏิบัติธรรม
ด่ายังไงก็ไม่โกรธนะ ข่มไว้จนไม่เห็น ว่าไม่โกรธ
ปฏิเสธสภาวะธรรมในใจตัวนะว่าไม่มีความโกรธ ทั้งๆที่มีความโกรธ
แต่แสดงออกว่าไม่มี กลัวเสียแบรนด์เสียหน้านะ
นี่ กิเลสอยากดีมันร้ายขนาดนั้น
แค่ความโกรธ ยังว่าตัวไม่มี


ก็อยากให้คุณพี่ทั้งสามทราบว่าผมรู้สึกของพระคุณตรงนี้นะครับ
ก็เลยขอให้ทุบแบบพอให้มันหวาน ทรมานพอให้มันไม่หย่อน
ถอดแบบกันมาเป๊ะๆแบบนี้ ดูแล้วก้ขำ
อ๊ายอายตัวเองเมื่อก่อน
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
บ้านที่สองคือสัมมาสมาธิ คือเรียนรู้ไปตามความป้นจริงว่า...


อย่างไรที่จะเรียกได้ว่ารู้ตามความเป็นจริงละครับ...


ทำยังไงเหรอ

ง่ายนิดเดียวนะ

ไปสังเกตุดูว่าใจเราวันวันหนึ่งนี่ มันมีหลากหลายความรู้สึกนะ
เวลาใจเรารู้สึกน่ะ มันไม่ใช่ว่าใจเราคนเดียวนะ กายเรามันเอาด้วย
ดูดีๆว่ามันมีความรู้สึกต่างๆนาๆอยู่
ดูแค่นี้แหละ เพียรดูไป

แรกๆดูก็แค่ดูความรู้สึกว่าปกติอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ปกติ
อย่างนี้สบาย อย่างนี้ไม่สบาย
อย่างนี้เราชอบ อย่างนี้เราไม่ชอบ

ทำแค่นี้แหละ อะไรมันจะเรียกว่าอะไรก็ช่างหัวมัน
ทุกขืทั้งปวง รวมความแล้วมันก็อยู่ที่กายที่ใจเรานี้

พูดพล่ามไปอีก 3 แสนปี อ้างอิงหนังสือไปอีกกี่ล้านเล่ม
ถ้าไม่ดูลงที่กายที่ใจมันก็เท่ากับว่างเปล่า
ดูของจริงไปเลย อย่าไปมัวเสียเวลาคิด

ถ้าดูเจอของจริงนะ มันก้ต้องเห้นเหมือนหมด
โลภะ โทสะ โมหะ มันรสชาดอย่างไร มันก็อยู่ที่ในกายในใจนี่แหละ
ไม่ต้องไปควานหาในความคิด มันไม่เจอหรอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
:b2: :b2: :b2:


โอยยย .. คุณชาติสยาม .. คุณเล่นพูดแบบนี้ ทำให้นั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

คงต้องขอบคุณ คุณกรัชกายให้มากๆมากกว่าค่ะ เราก็ถูกเขาทุบมาก่อน แต่เผอิญเราก็มีมือ

ก็ไล่ทุบกลับเอาบ้าง พอเหนื่อยก็พัก เสียงปะดาบอีล๊งช๊งเช๊ง แต่ส่วนมากจะแพ้เขา

ในเรื่องศัพท์ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร เลยทำให้ตัวเองขวนขวายหาความรู้มากขึ้น

ไม่เอาแต่ปฏิบัติอย่างเดียว เหมือนเมื่อก่อน ... :b32:

แต่ยอมรับว่าไม่เข็ดนะ ยังหาเรื่องเอ๊ยหาความรู้มาสนทนากันเรื่อยๆ ..

เห็นไหมคะว่าลานนี้มีประโยชน์จะตาย ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์ใส่ตัว ไม่ใช่วันๆเอาแต่คอยเพ่งโทษผู้อื่น

ว่านี่ปฏิบัติถูก ว่านี่ปฏิบัติผิด มันก็แค่เอาความถูกใจของตัวเองเป็นที่ตั้งทั้งนั้นแหละค่ะ

ต้องขอบคุณผู้ที่โดนทุบ และผู้ที่เป็นฝ่ายทุบนะคะ เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์คือทุกๆฝ่าย รวมทั้ง

ผู้ที่เข้ามาอ่านด้วย เพียงแต่ว่า แล้วแต่ใครจะเลือกเก็บเกี่ยวเอาเอง ...

เคยโดนทุบมาก่อนค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังโดนทุบอยู่ โดยกิเลสของตัวเองนี่แหละค่ะ

ไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะเมื่อใดเรารู้ทันมันได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดจากอุปทาน

เดี๋ยวก็อยู่กับสิ่งๆนั้นได้เองค่ะ ถูกทุบแค่นี้ไม่ตายหรอกค่ะ แต่ถ้าถูกกิเลสมันหลอกเอานี่

ก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ เลือกเอานะคะ ... :b32:

สำหรับคุณคามิน หรือคุณชาติสยาม ตัวเองยังงๆอยู่ค่ะ :b14:

ว่าเคยเข้าร่วมขบวนการทุบคุณด้วยหรือคะ :b22:

ถ้าเคย .. ขออภัยมาณที่นี้ด้วยค่ะ ..

งั้นไม่แปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกไล่ทุบจัง เหตุมี ผลย่อมมี อย่างนี้นี่เอง :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รินรส เขียน:
ตอนนี้เพิ่งเริ่มฝึกทำสมาธิด้วยการหาหนังสือมาอ่านแล้วฝึกปฏิบัติตาม แต่พออ่านหนังสือของครูบาอาจารย์บางท่าน รวมทั้งอ่านในเว็บธรรมะ (ตอนแรกคิดว่าอ่านมาก ๆ ก็จะรู้มาก) แต่จริง ๆ แล้วกลับทำให้สับสนค่ะ เลยอยากขอคำแนะนำว่าควรจะอ่านหนังสือหรือปฏิบัติตามแนวทางของครูบาอารย์ท่านใดท่านหนึ่งไปเลยจะดีมั้ยคะ และน่าจะอ่านของท่านใดที่สอนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูงสุดอย่างละเอียด คือไม่สะดวกไปสถานปฏิบัติธรรมค่ะ รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ :b8:


อย่าใจร้อนเลย
ค่อยๆดุ ค่อยๆศึกษา อย่ารีบร้อนอยากรู้เรื่อง
ลองๆดูไปหลายๆแบบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
บางทีรินรสอาจจะใช้คำผิดไปนะคะ
ที่จริงหมายความว่าการดูจิต ฝึกมีสติเท่าทันความคิดอารมณ์หรือการกระทำต่าง ๆ จะทำให้ไม่ฟุ้งซ่านค่ะ อย่างเช่นเวลาโกรธก็ให้มีสติเท่าทัน ตามดูความโกรธไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องบอกตัวเองว่าหยุดโกรธเดี๋ยวนี้นะ แต่ให้ตามดูไปเรื่อย ๆ จนความโกรธมันหายไปเอง แล้วจะเห็นว่าความโกรธมันไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วถ้าฝึกสม่ำเสมอจิตของเราก็จะรู้ได้เอง ไม่ต้องตามดูค่ะ


เลือกได้สักอย่างหนึ่งก็ดีแล้วละครับ อย่าลืมไปไปหมั่นทำบุญตักบาตรด้วยละครับ :b8:


ยังไม่ได้เลือกค่ะ ที่มาอธิบายนี่ก็ตามหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้อ่านมา (วิถีแห่งความรู้แจ้ง ฉบับรวมเล่ม)
ยังไม่ได้เลือกเลยค่ะว่าสติปัฏฐาน 4 นี่จะเลือกแบบไหนใน 4 แบบนี้ (หรือตามพระอาจารย์ท่านใด)ให้เหมาะกับจริตของตัวเอง แล้วก็ถ้าทำแบบใดแบบหนึ่งได้แล้ว แบบอื่นก็จะได้เอง

ไม่แน่ใจว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองค่ะ

เห็นว่าคุณเข้าใจผิดคิดว่าหนูคิดว่าทำสมาธิแล้วจะเปลี่ยนนิสัยได้ คงเป็นเพราะหนูใช้คำว่าทำสมาธิแทนที่จะใช้คำว่าสติปัฏฐาน 4


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:22
โพสต์: 264

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
รินรส เขียน:
ตอนนี้เพิ่งเริ่มฝึกทำสมาธิด้วยการหาหนังสือมาอ่านแล้วฝึกปฏิบัติตาม แต่พออ่านหนังสือของครูบาอาจารย์บางท่าน รวมทั้งอ่านในเว็บธรรมะ (ตอนแรกคิดว่าอ่านมาก ๆ ก็จะรู้มาก) แต่จริง ๆ แล้วกลับทำให้สับสนค่ะ เลยอยากขอคำแนะนำว่าควรจะอ่านหนังสือหรือปฏิบัติตามแนวทางของครูบาอารย์ท่านใดท่านหนึ่งไปเลยจะดีมั้ยคะ และน่าจะอ่านของท่านใดที่สอนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูงสุดอย่างละเอียด คือไม่สะดวกไปสถานปฏิบัติธรรมค่ะ รบกวนผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ :b8:


อย่าใจร้อนเลย
ค่อยๆดุ ค่อยๆศึกษา อย่ารีบร้อนอยากรู้เรื่อง
ลองๆดูไปหลายๆแบบ


อยากรู้เฉย ๆ ค่ะ :b16:

ค่อย ๆ ดูไปก็ได้ค่ะ จะได้รู้ว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเอง แล้วก็จะไปอ่านที่คุณแนะนำไว้นะคะ

ขอบคุณค่ะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร