วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 23:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 18:25
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนถามทุกท่านคะว่าระหว่างปริยัติและการปฏิบัติอันไหนสำคัญกว่ากัน
ถ้าปฏิบัติมากโดยไม่ค่อยได้ศึกษาปริยัติจะสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่
ขอคำแนะนำด้วยนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


"ธรรมนั้นละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ปฏิบัติได้เฉพาะตน"

ต้องปฏิบัติ เรียนเบื้องต้นแค่ให้รู้ทางเดินที่ถูกต้อง นอกจากจะมีมานะในการแผยแพร่ธรรมก็ต้องเรียนให้จบ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 02:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โดเรมี เขียน:
ระหว่างปริยัติและการปฏิบัติอันไหนสำคัญกว่ากัน


เราอยากกินไข่เจียว เราก็เลยถามตัวเองว่า
"วิธีเจียวไข่" กับ"กระบวนการเจียวไข่" อะไรสำคัญกว่า

โดเรมี เขียน:
ถ้าปฏิบัติมากโดยไม่ค่อยได้ศึกษาปริยัติจะสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่


เหมือนถามตัวเองว่า
ถ้าหนูลงมือเจียวไข่ โดยไม่ต้องเรียนรู้วิธีเจียวไข่ที่ดีเลย
แล้วหนูจะได้กินไข่เจียวที่ดีไหมคะ

ตอบว่า หนูก็ได้กินไข่เจียว ตามฝีมือของหนูแหละจ๊ะ

เจียวไข่นี่เป็นงานง่าย มีไม่กี่ขั้นตอน และเรารู้กันอยู่แล้ว
แต่ลองคิดไปว่าถ้ามันเป็นงานที่ซับซ้อนขึ้น เช่นทำต้มยำ
มันก็ไม่ง่ายแล้วล่ะ เราจะนั้งเทียนทำๆไปแล้วหวังให้มันเป็นต้มยำที่ดี อันนี้เหนื่อยหน่ิอย

ยิ่งลองจินตนาการว่าเป็นงานที่ยากขึ้นเช่นสร้างตึก หรือรักษาคน
งานพวกนี้เราไม่เรียนไม่ได้ เพราะงานมันซับซ้อน ปราณีต ผิดพลาดไม่ได้


การที่จะปฏิบัติอย่างเดียว แล้วบรรลุธรรมได้นั้น
ต้องมีบุญวาสนามาก กล่าวคือมีครูอาจารย์ที่รู้แจ้งถึงธรรม
ที่จะสามารถชี้ทางแบบ"ไม่พลาด"ให้เราได้
เช่นสมัยก่อน หลวงปู่มั่นสอนลูกศิษย์ สอนน้อยคำมาก
เช่นพูดสั้นๆ 1 ประโยค แล้ว"ให้ไปทำ" ไม่มีคำที่สอง ไม่ให้ถาม ให้ไปทำ
แค่ประโยคสั้นๆนะ ไปทำกันเป็นปีๆ
พอมีความเปลี่ยนแปลงอะไรคืบหน้าอะไรก็มารายงานท่าน
ท่านก็จะทราบว่าใครทำถูกท่านก็ให้การบ้านเพื่อเลื่อนระดับความรู้ไปเรื่อยๆ
ใครพลาดท่านก็จะทราบแล้วแก้ไขให้

หลวงปู่เสาร์ พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ยิ่งพูดน้อยสุดๆ
ท่านสอนแค่ว่า "ให้ไปท่องพุทธโธ" ไม่มีประโยคที่สอง ท่านพูดแค่นั้น
แล้วถ้าใครไปถามว่าท่องทำไม ท่องยังไง ท่องแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ต่างๆนาๆ
ท่านจะเอ็ดเลยว่าถามทำไม ถามเอาอะไร ทำไปก็รู้เอง
สุดท้ายแล้วใครไปท่องตามที่ท่านสอน ไม่นานหรอก ก้จะมีความคืบหน้ามารายงาน
แล้วท่านก็จะเมตตาสั่งสอนเป็นรายคนไป
นี่คือครูอาจารย์ระดับพระอรหันต์ สั่งสอนไม่มีผิดพลาด


แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปศึกษาอะไรละเอียดมากมาย
"ศึกษาเท่าที่เอาไปทำได้"

ที่ท้อกันมากเพราะว่าไปเรียนอะไรที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ
เช่นมานั่งเรียนอภิธรรมไปถึงขนาดว่ามีจิตกี่ดวง เรียกว่าอะไร มานั่งท่องจำจนหน้าดำคร่ำเครียด
เปรียบเหมือนว่าเราอยากจะเรียนจบปริญญานะ แต่ตอนนี้เพิ่งเข้าอนุบาล
เราก็มานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเรียนเอาขั้นปริญญาเลย
มันผิดธรรมชาติการเรียนรู้ กล่าวคือเรียนอะไรต้องให้มันพอเหมาะพอสมกับระดับความรู้ของเรา

กลัวแต่ว่าจะอดอยากรู้ไม่ได้ ไม่เข้าใจแล้วไม่ยอม อยากจะเข้าใจให้ได้ ก็เครียด แล้วก็ท้อ

แล้วก็อะไรที่เราทำได้ เราก็ไม่ทำนะ เช่น ทาน ศีล
เราก็ไม่สนใจจะไปทำความเข้าใจให้ดีนะ ว่าทานคืออะไรยังไง ศีลคืออะไรยังไง
เพราะว่ามันไม่มีศัพท์วิจิตรพิสดาร ฟังดูแล้วมันไม่โก้ ไม่ยาก ไม่ขลัง

อะไรที่มันยิ่งฟังยิ่งยาก ยิ่งโก้ มีศัพท์แปลกๆ เราก้ยิ่งชอบนะ
เราเป็นเด็กอนุบาลที่แย่กว่าเด็กอนุบาลจริงๆเสียอีกนะ
เด็กอนุบาลจริงๆนั้น ใครมาสอนอะไรที่ไม่เข้าใจ สอนยากๆใส่เขานะ
ส่ายหัวใส่เลย มาบังคับก็ร้องไห้เลย เรียกว่าผลักออกสุดตัวเลย
เด็กฉลาดจะตายไปนะ มาสอนอะไรไม่รู้เรื่องนี่ เด็กมันผลักออก ไม่เอา
ใครสอนสนุก เพลินๆ ระดับความเข้าใจเหมาะกับเขา เขาจะชอบ
นี่ เห็นมัั๊ย เด็กมันฉลาดกว่าเราอีก


ถ้าเริ่มใหม่ๆนี่นะคับ
เอาแค่ทานกับศีลก่อนนะ ไปดูว่าทานคืออะไร ทำยังไง เอาเท่าที่เข้าใจ เอาเท่าที่ืทำได้
พอบอกทำงานก็รีบนึกถึงงบประมาณกับสังฆทานขึ้นมาทันที นี่คือโลกแคบ เพราะไม่รู้จักศึกษาการทำทาน
ทานที่ไม่ต้องเดือดร้อนเงินทอง แล้วอานิสงส์แรงๆก้มีเยอะแยะไป
เช่น อภัยทาน ธรรมทาน วิทยาทาน ช่วยเหลือผู้คนง่ายๆในชีวิตประจำวันนี่ก็เป็นทาน
ไม่ใช้ว่ามีแต่เรื่องเงิน ถ้าให้แล้วไม่เดิดร้อนก็ให้ไป
แตุ่้ถ้าเงินไม่มีแล้วก็คิดว่าจบกัน ไม่ต้องทำบุญกันแล้ว อันนี้คิดผิด

ส่วนศีลก็ไปศึกษาว่า ศีลอันไหนจะน้อมนำมาทำได้
ก็ไม่ต้องไปสมาทาน แต่ทดลองถือดู ค่อยๆมีวินัยและความเข้มงวด ปรับเอาเท่าที่ไม่เดือดร้อนจนเครียด
เช่นว่าเคยสรวลเสเฮฮา พอถือศีลปั๊บก็ขรึมขึ้นมาทันที อันนี้อาจจะแรงไป
ก็ค่อยๆพูดให้น้อยลง ไม่ต้องไปต่อความยืดความยาวในการสรวลเสเฮฮาของเรา
แล้วค่อยๆหดให้มันสั้นเข้า จนเป็นผู้ฟังอย่างเดียว

คนถือศีลปฏิบัติธรรมนะ ถ้าำไม่เข้าใจ ไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียดละออนะ
จะอยู่กับโลกลำบาก มีปัญญากับการงาน คนในครอบครัว บางคนเลิกร้างกันไปเลย
นี่แสดงว่าเราทำอะไรผิด ถ้าทำถูกแล้วมันจะยิ่งอยู่กับโลกได้สบายๆ

ก็ต้องศึกษาไปนะ

เรื่องศีล เรื่องทานแข็งแรงแล้ว (ศีลสิกขา)
ค่อยไปศึกษาเรื่องจิต (จิตสิกขา) ว่าสมาธิทำยังไง
แล้วก็เพียรทำ+สมาธิ ทำไปเรื่อยๆ

แล้วสมรรถนะเรามากขึ้น จิตมีคุณภาพเพียงพอเมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจเรื่องปัญญาเอง
แล้วถึงตอนนั้นก็จะรู้ช่องทางเองว่าจะทำอะไรยังไง อ่านอะไร เรียนอะไร ไปต่อทางไหน
เส้นทางนี้มันจะไปบรรจบกันเอง ทวนขึ้นทวนลงเป็นเป็นวงล้อ
ยิ่งทวนยิ่งละเอียดละออลึกซึ้งกว้างขวางเอง
จะเข้าใจเอง

ใครมาชวนคุยเรื่องอภินิหาร สวรรค์ นรก ผีสางนางไม้ เรื่องพิสดารทั้งหลาย
ต้องทำใจปล่อยไปนะ อย่าไปสนใจ บริจาคความรู้สึกอยากสนใจนี้ออกไป
บริจาคมันไปกับอากาศนี่แหละ ทิ้งมันไปนะ อยู่กับทาน+ศีล+สมาธิ ตามภูมิของเรา

ใครจะเป็นซุปเปอร์แมนเหาะเหินเดินอากาศก็ช่างเขา
ใครจะตกนรกหมกไหม้อะไรอยู่ก็ต้องช่วยเท่าที่พอช่วยได้นะ แต่ต้องมีจุดวางเฉย
ว่าถ้ามากกว่านี้แล้วเราต้องถอยออกมาแล้ว เช่นจุดที่เราเริ่มเดือดร้อน

ถือศีล ทำทานนี้นะ ถ้ามีคนเดือดร้อนเพราะเรา
แสดงว่ามีอะไรผิดพลาด ต้องมีอะไรมันมากไปหรือน้อยไปในจิตในใจของเรานี่แหละ
ค่อยๆดูไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 02:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ชื่นใจค่ะ .. ได้ฟังเทศน์กลางดึก :b12:

แต่แหม .. คนเทศน์นี่สิคะ นึกภาพไม่ออกเลยว่าแนวแรพหรือแนวอะไร :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 06:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกไม่มีปริยัติ คือพวกที่ปฏิบัติโดยไม่มีแผนที่

ถ้าหลุดพ้นได้ อย่างต่ำสุดเขาก็มีฐานะของ พระปัจเจกพุทธเจ้า

หรือถ้ายิ่งไปกว่านั้น เขาก็คือพระสัพพัญญุพุทธเจ้า


คำว่ารู้ปริยัติเป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุดในการปฏิบัติ
สำหรับบุคคลที่ไม่มีพลังปัญญาพอต่อการตรัสรู้ได้เองเช่นพระปัจเจก หรืพระพุทธเจ้า

และปริยัติกับปฏิบัติก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
เพียงแต่ความสำคัญนั้น สำคัญกันคนละหน้าที่


ปัญหาของผู้ใฝ่มรรคผลนิพพาน ไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า ควรเลือกให้ความสำคัญ
กับปริยัติหรือปฏิบัติมากกว่ากัน

แต่มันอยู่ตรงที่ จะพอเพียงกับปริยัติกันที่ตรงไหน
จะเชื่อถือปริยัติตาม ถ้อยคำของใครมาเป็นแนวทางปฏิบัติ
เพราะทุกวันนี้ปริยัติมีเกลื่อนมากมายจนเต็มเปรอะไปหมด

ขั้นตอนของการปฏิบัติขั้นแรกสุด จึงน่าจะรู้จักเลือกเสพปริยัติให้ถูกต้อง
ตรงตัว และพอเพียงสำหรับใช้ในการปฏิบัติให้ได้ซะก่อน
ขั้นตอนการปฏิบัติ จึงสามารถก้าวไปได้โดยสะดวกขึ้น

:b43: :b43: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สำคัญทั้งสิ้น
เป็นกระบวนการที่สืบเนื่องกันเป็นไป

ในกรณีที่ไม่ได้ตรัสรู้อริยมรรคเอง(ไม่ได้เป็นมัคคัญญู).... แต่ เป็นมัคคานุคา คือ ผู้เดินตามมรรค หรือ ในเส้นทางแห่งอนุพุทธะ ปริยัติก็เป็นสิ่งสำคัญ.....

ถ้า ปราศจากปริยัติเลย การปฏิบัติก็จะเพี้ยนออกนอกเส้นทางง่าย และ ย่อมไม่บังเกิดปฏิเวธที่ถูกต้อง

แต่ ถ้า หากในเวลาปฏิบัติแล้ว มัวแต่เอาสัญญาปริยัติเข้ามายึดหมายมากจนเป็นเหตุไม่รู้ชัดในสภาวะแห่งธรรมต่างๆที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้น ก็กลายเป็นมีแต่สัญญา ไม่เกิดปัญญา และ ย่อมไม่บังเกิดปฏิเวธที่ถูกต้อง เช่นกัน



อนึ่ง เราท่าน จะไปจำกัดคำว่า ปริยัติ เอาไว้เพียงแค่ การศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎก หรือ คัมภีร์อื่นๆ หรือ เข้าชั้นเรียนพระปริบัติธรรมเท่านั้น ก็คงไม่ถูก

ในความจริงแล้ว แม้นแต่ การที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนหลักการปฏิบัติ(ที่ถูกต้อง ที่ท่านเคยผ่านมาก่อน)ให้เราท่านนำฟัง ก็นับว่าเป็นปริยัติด้วย เช่นกัน...เพราะ ครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะองค์ไหนที่ปฏิบัติชอบ ก็ล้วนแต่ใช้หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้(ซึ่ง นี่ก็คือ ปริยัติ นั่นเอง)ทั้งสิ้น เช่นกัน....
การฟังคำแนะนำของครูบาอาจารย์ จึงเป็นปริยัติเช่นกัน เพียงแต่ ไม่ใช่ปริยัติที่ศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎกด้วยตนเองเท่านั้น.

ซึ่ง การศึกษาปริยัติผ่านครูบาอาจารย์นั้น ก็มีทั้งแง่ดี และ แง่เสีย.

ถ้า ได้ครูบาอาจารย์ที่เป็นอุชุปฏิปันโน(ปฏิบัติตรง) ที่ท่านฉลาดในจริตนิสัยแห่งศิษย์มาแนะนำให้ ก็โชคดีไปเลย.... เพราะ ท่านจะสรุปสาระหลักแบบกระชับมาให้ศิษย์แล้ว เรียกว่า มีแต่เนื้อหาที่สำคัญของธรรมที่ตรงกับจริตนิสัยของเราเลย ช่วยย่นระยะเวลาให้ศิษย์ได้

แต่ ถ้าได้ครูบาอาจารย์ที่เพี้ยน มาแนะนำให้ แล้วเราเชื่อตามโดยไม่ย้อนกลับไปตรวจสอบ กับ พระพุทธพจน์ดั้งเดิม(ในพระไตรปิฎกแปลไทย) เรา ก็อาจจะเข้าป่าออกทะเล เพี้ยนตามครูบาอาจารย์ไปด้วย



คำถามที่ว่า

อ้างคำพูด:
ระหว่างปริยัติกับการปฏิบัติอันไหนสำคัญกว่ากัน


จึงตอบแบบแง่มุมเดียว(เอกังสพยากรณ์)ไม่ได้
ต้องตอบแบบแยกแยะรายละเอียด(วิภัชชพยากรณ์)
ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดเรมี เขียน:
เรียนถามทุกท่านคะว่าระหว่างปริยัติและการปฏิบัติอันไหนสำคัญกว่ากัน
ถ้าปฏิบัติมากโดยไม่ค่อยได้ศึกษาปริยัติจะสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่
ขอคำแนะนำด้วยนะคะ



คนมีปัญญามากก็เรียนน้อยหน่อย คนมีปัญญาน้อยก็ต้องเรียนมากหน่อย แต่ถ้าอยากจะเป็นพหุสูตรต้องเรียนให้มากๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนรู้มากจะลดละอะไรได้ทุกคนนะ ธรรมะวัดกันตรงลดละเลิกมิได้วัดกันตรงพูดเยอะรู้เยอะ สมัยพุทธกาลบางท่านฟังเพียงพระสูตรเดียวก็สำเร็จธรรมได้แล้ว
พระพุทธองค์เสด็จไปหลายแห่งหลายที่แต่ละที่แต่ละคนก็มีภูมิธรรมต่างกัน ก็แสดงธรรมต่างกันไปตามภูมิของแต่ล่ะท่านเพราะพระพุทธเจ้าท่านมีญาณยั่งรู้ว่าใครสมควรจะได้รับธรรมระดับไหน คำสอนทุกพระสูตรส่วนใหญ่ยั่งลงเพื่อความปล่อยวาง ละอกุศลทั้งปวง ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าท่านศึกษามากมีส่วนดีอย่างมาก มีส่วนเสียอย่างเดียวคือ อย่าถือตนว่ารู้กว่าท่านอื่นเท่านั้น

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่เสาร์ พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ยิ่งพูดน้อยสุดๆ
ท่านสอนแค่ว่า "ให้ไปท่องพุทธโธ" ไม่มีประโยคที่สอง ท่านพูดแค่นั้น
แล้วถ้าใครไปถามว่าท่องทำไม ท่องยังไง ท่องแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ต่างๆนาๆ
ท่านจะเอ็ดเลยว่าถามทำไม ถามเอาอะไร ทำไปก็รู้เอง
สุดท้ายแล้วใครไปท่องตามที่ท่านสอน ไม่นานหรอก ก้จะมีความคืบหน้ามารายงาน
แล้วท่านก็จะเมตตาสั่งสอนเป็นรายคนไป
นี่คือครูอาจารย์ระดับพระอรหันต์ สั่งสอนไม่มีผิดพลาด


อยากทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
อยากทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์


ผมเชื่อของผมเอง

คุณอย่าไปยุ่งเรื่องวิจารณ์ว่าใครป็นพระอรหันต์หรือไม่ดีกว่า
เดี๋ยวะพลาดแล้วกรรมฐานจะเสื่อม ปิดประตูนิิพาน เฉยไว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
dhama เขียน:
อยากทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์


ผมเชื่อของผมเอง

คุณอย่าไปยุ่งเรื่องวิจารณ์ว่าใครป็นพระอรหันต์หรือไม่ดีกว่า
เดี๋ยวะพลาดแล้วกรรมฐานจะเสื่อม ปิดประตูนิิพาน เฉยไว้



นี่แหละครับที่เรียกการปฏิบัติธรรม

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
นี่แหละครับที่เรียกการปฏิบัติธรรม


พระพุทธเจ้ามีจริงไหม
รู้ได้ยังไงว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์

ใช้ความเชื่อใช่หรือเปล่า?


ศรัทธา เป็นธรรมที่ต้องปฏิบัติหรือเปล่า ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
dhama เขียน:
นี่แหละครับที่เรียกการปฏิบัติธรรม


พระพุทธเจ้ามีจริงไหม
รู้ได้ยังไงว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์

ใช้ความเชื่อใช่หรือเปล่า?


ศรัทธา เป็นธรรมที่ต้องปฏิบัติหรือเปล่า ?


ถูกต้องครับ เพราะพิจารณาในธรรมที่แสดงครับ มิได้เชื่อเพราะมีคนบอกเล่าต่อๆกันมา

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปริยัติ และ ปฏิบัติ

อย่าไปเข้าใจว่าปริยัติคือการอ่านการท่องจำ หรือการเล่าเรียนในห้อง หรือเรียนแบบเรียนหนังสือ

แท้จริงการที่ผู้ปฏิบัติเรียนเอากรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วไปปฏิบัติตามนั้น ก็ถือได้ว่า
ไปทั้งปริยัติแล้ว มีสำนวนในพระไตรปิฎกว่า
เรียนเอาแล้ว ซึ่งพระกรรมฐาน เข้าไปแล้ว สู่ป่าบรรลุแล้ว ซึ่งพระอรหัตตผล
ในคำนี้เรารู้ได้เลยว่า นั่นไง ปริยัติ การเรียนการศึกษา ทั้ง ๒ อย่าง ทิ้งกันไม่ได้เลย บางเวลา
เท่านั้นจึงจะละกัน แต่ไม่ทุกเวลา ลองดูอุปมานี่ครับ

ต้นไม้ เมื่อถูกแสงก็มีเงา เวลากลางคืน เงาหายไปบ้าง แต่ก็ยังมีแสงจันทร์ให้มีเงาอยู่ลางๆ

ต้นไม้คือการปฏิบัติ เงาคือปริยัติ จะว่าเงาเป็นต้นไม้ก็ไม่ได้ จะว่าต้นไม้เป็นเงาก็ไม่ได้ สองสิ่งนี้
กลับคู่กันอยู่
เวลาที่ปฏิบัติ ก็คือกลางคืน เงาคือปริยัติจางลง คงมีแต่ต้นไม้คือการปฏิบัติมากกว่า เมื่อปฏิบัติต้องทบทวน
ก็เหมือนแสงจันทร์ที่ช่วยให้มีเงาคือปริยัติปรากฏในเวลานั้นลางๆ

ไม่มีสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน คงอาศัยกันและกันตลอดเวลา เพียงแต่เวลาใดควรเน้นไปทางใดมากกว่า

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อยากทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์


หัวเราะ ... พระอรหันต์ไม่สามารถหัวเราได้ อย่างมากก็มียิ้มที่ริมฝีปาก ในกรณีที่ท่านนึกได้ว่า เราพ้นแล้วแต่ท่านยังไม่พ้น เท่านั้น

ฝัน ... พระอรหันต์ไม่มีการฝัน แต่นี่เอาไว้ให้ทดสอบตัวเอง เราล่วงรู้ไม่ได้

ครั้งหนึ่ง มีพระอริยะสาวกจำนวน 10 รูป ปฏิบัติธรรมจนติดว่าได้ถึงอรหันต์ผลแล้ว จึงพากันเดินทางเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ล่วงรู้ได้ด้วยฌานวิเศษว่าพระสาวกทั้ง 10 รูปยังไม่บรรลุอรหันต์ ระหว่างทางจึงดลใจให้เดินทางผ่านป่าช้าแห่งหนึ่งแล้วเนรมิตรร่างศพหญิงสาวนอนทอดร่างเปลือยกายอยู่ ณ ที่นั้น เป็นศพมีสภาพใหม่ๆ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับคนกำลังนอนหลับ เพื่อพระทั้ง 10 รูปเดินทางมาเห็นศพนอนอยู่ แทนที่จะรีบเดินทางเข้าเผ้ากลับหยุดดูศพ และวิจากวิจารกันต่างๆ นาๆ สักพัก ทุกรูปก็กลับหันมามองหน้ากันและอุทานขึ้นมาว่า ... โอ้ เรายังไม่บรรลุอรหันต์ จึงพากันเดินทางกลับไปปฏิบัติธรรมต่อ

ราคะ ... นี่ดับยากที่สุด สามารถนำมาเป็นเครื่องมือทดสอบตัวเองได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
อยากทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์


หัวเราะ ... พระอรหันต์ไม่สามารถหัวเราได้ อย่างมากก็มียิ้มที่ริมฝีปาก ในกรณีที่ท่านนึกได้ว่า เราพ้นแล้วแต่ท่านยังไม่พ้น เท่านั้น



พูดแต่ละอย่าง.... กรุ้มมมมม

ไม่เคยเห็นแสดงว่าบุญบารมียังไม่พอ
เลยไม่เคยทราบว่ามีพระอรหันต์หัวเราะ

คุณว่าพระอรหันต์ร้องไห้ได้ไหม ?


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร