วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

สุขภาพดีด้วย “ธรรมชาติบำบัด”

ทุกๆ โรคร่างกาย จิตใจสามารถเยียวยารักษาได้

ปัจจุบันการรักษาสุขภาพด้วยวิธีการ “ธรรมชาติบำบัด” เป็นแนวทางที่ผู้คนทั่วโลกหันมาให้ความสนใจ
อย่างกว้างขวางในการรักษาคนไข้ หนึ่งในนั้นคือ Mr.Jacob Vadakkanchary คุณหมอชาวอินเดีย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด และเจ้าของศูนย์ธรรมชาติบำบัด นวชีวัน
เมืองอารัวอนาคูลัม รัฐเคราลาทางตอนใต้ของอินเดีย
Dr.Jacob ได้บรรยายเรื่อง “ธรรมชาติบำบัด” ที่ห้องประชุมเบญจกูล
สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ไว้ว่า

ธรรมชาติบำบัด คือการดูแลรักษากาย ใจ โดยขบวนการทางธรรมชาติ ตั้งอยู่บนหลักที่ว่า
โรคทุกชนิดร่างกายและจิตใจของคนเราสามารถเยียวยารักษาตัวเองได้
ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลปรกติ โรคร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก
เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ภูมิแพ้ หืดหอบ ฯลฯ
เกิดจากการดำเนินชีวิตผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ
และรับประทานอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต
ยาปฏิชีวนะ หรือรับประทานยาหรือฉีดยาที่ทำจากสารเคมี สารเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในร่างกายมาก
หรือการใช้ชีวิตที่เครียดเกินไป หักโหมเกินไป กังวลเกินไป
ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ พักผ่อนไม่เพียงพอ

ดังนั้น การดูแลสุขภาพของคนเรา จะเน้นเรื่องอาหารการรับประทานอาหารที่ดี
จะทำให้มีสุขภาพดี สุขภาพของคนขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของการรับประทานอาหาร
Bacteria ไม่มีผลทำให้เกิดโรคต่อร่างกาย
การเจ็บป่วยของคนล้วนเกิดจากอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน ที่คนเราทานเข้าไป
เรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้

ขบวนการขับสารพิษออกจากร่างกายมี 4 ทางคือ ทางจมูก ทางเหงื่อ ทางปัสสาวะ และทางอุจจาระ
คนเราควรหมั่นหายใจลึกๆจะได้อากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด เพื่อนำออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย
และควรตากแสงแดดอ่อนๆทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อดูดสารพิษออกจากร่างกาย
ซึ่งเป็นวิธีดูแลรักษาสุขภาพอย่างง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ เวลามีอาการเจ็บป่วย
ร่างกายจะเสียสมดุล ถ้าจะแก้ไขให้สมดุลก็ต้องปรับสภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

วิชาธรรมชาติบำบัดอธิบายว่า
ร่างกายมีกลไกกำจัดสารพิษอยู่ในตัวเอง เช่น เวลาไอ จาม หรือมีผื่น
ไม่ใช่อาการป่วยเป็นโรค แต่ร่างกายกำลังทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติ
เวลามีสารพิษเข้าไปในปอดร่างกายก็จะจาม การจามแรงๆเป็นการขับพิษออกจากร่างกาย
ซึ่งธรรมชาติก็ช่วยขับพิษอยู่แล้ว การทานยาแก้ไอจะทำให้ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษออกมาได้
การที่เราเป็นไข้ก็เป็นขบวนการทำลายเชื้อโรค เมื่อมีอาการเจ็บคอ อาการไอ ก็ให้ใช้วิธีธรรมชาติบำบัด
เวลาท้องเสีย วิชาธรรมชาติบำบัดอธิบายว่าเป็นการทำความสะอาดของร่างกายครั้งใหญ่
การถ่ายให้หมดจะช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่คนเรา ไม่เข้าใจธรรมชาติ นึกว่าท้องเสีย
เป็นอาการของโรคเลยไปซื้อยามารับประทานให้หยุดถ่าย อาการท้องเสียหยุดทันที
ทำให้อาหารปนเปื้อนสารพิษที่รับประทานเข้าไป ซึ่งร่างกายต้องการขับออก แต่เราก็ทานยาให้หยุดถ่าย
ทำให้ร่างกายกักสารพิษเอาไว้ ซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกต้องคืออย่ารับประทานยาให้หยุดถ่าย
ถ้าเรารับประทานยาให้หยุดถ่าย พิษต่างๆ ก็จะซึมเข้าสู่ร่างกาย
หากซึมผ่านเส้นเลือดไปที่ผิวหนังก็จะเป็นผื่น
ซึมไปที่ไตก็จะเป็นโรคไต ซึมไปที่ระบบหายใจก็จะเป็นหืดหอบ
ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ต้องใช้ธรรมชาติบำบัดขับพิษออกให้หมด

แนะนำให้รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น หมู ปลา
Dr.Jacob บรรยายว่า ถ้านำเนื้อสัตว์ไปทิ้งไว้ในตู้เย็นหลายๆ วันก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่า มีสารพิษ
เหมือนกับคนรับประทานเนื้อสัตวไปหมักหมมอยู่ในลำไส้ ร่างกายก็จะได้รับสารพิษนั้นด้วย

ในกรณีคนที่ปวดศีรษะเนื่องจากเป็นเนื้องอกที่สมอง จริงๆแล้ว
กลไกของร่างกายต้องการให้หยุดทำงาน หากรับประทานยาแก้ปวดศีรษะ
อาการปวดบรรเทาก็ยังคงทำงานต่อไปได้ เนื้องอกก็จะลุกลามต่อไป
จึงควรรักษาโดยธรรมชาติบำบัด (Health Life Style) การรับประทานยาต่างๆ
เช่น Brufen, Paracetamol, Penicillin และ Tetracycline เป็นต้น
ซึ่งจะมีพิษต่อตับและไต ยาจะให้ผลดีในระยะสั้น แต่จะเกิดผลเสียในระยะยาว

ทุกวันนี้คนเราป่วยเพราะมีสารพิษตกค้างในร่างกาย
การบริโภคอาหารแต่ละชนิดใช้เวลาในการย่อยไม่เหมือนกัน
เช่น เนื้อสัตว์ใช้เวลาในการย่อยนานถึง 12 ชั่วโมง
ขณะที่ผักดิบใช้เวลาย่อย 2 ชั่วโมง 30 นาที
ส่วนน้ำผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียง 1 ชั่วโมง

วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ
เป็นทางเลือกหลักของวิชาธรรมชาติบำบัด บางคนอาจอดอาหาร 7 วัน
บางคนอดอาหาร 14 วัน แต่บางคนอาจต้องอดอาหารถึง 21 วัน แล้วแต่อาการของโรค

ก่อนการอดอาหารต้องเตรียมความพร้อมก่อน
โดยให้รับประทานผักและผลไม้เพื่อปรับสภาพร่างกาย 3 วัน
หลังจากนั้น 4 วันแรกให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว อีก 3 วันต่อมาให้ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว
และ 3 วันสุดท้ายให้ดื่มน้ำผลไม้ จากนั้นค่อยๆปรับสภาพร่างกาย
โดยให้รับประทานผักสดและผลไม้ แล้วกลับมาใช้ชีวิตปรกติตามเดิม

ในรายผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง อาจให้อดอาหาร 20 วัน
เพื่อไม่ให้มะเร็งเจริญเติบโต ระหว่างนั้นจะให้น้ำผลไม้อ่อนๆ
ให้เอาผ้าเย็นหรือเปียก มาประคบบริเวณที่มีอาการปวดจะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น
เพราะระบบภายในของผู้ป่วยโรคมะเร็งจะสูญเสียสมดุลเกือบหมด
ระหว่างการรักษาหากผู้ป่วยมีอาการไข้นอนซม
หมอธรรมชาติบำบัดจะรู้สึกดีใจ เพราะเป็นวิธีการที่ธรรมชาติรักษาตัวเอง
อุณหภูมิในร่างกายผู้ป่วยสูงขึ้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค

Dr.Jacob บอกว่าเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการไข้สูงต้องนอนซม 4-5 วันนั้น
เป็นการส่งสัญญาณว่าการรักษาได้ผล

บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอ ปากขม ไม่อยากรับประทานอาหาร
เพราะร่างกายต้องการเยียวยาตัวเอง

หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดบริเวณที่เป็นโรคมะเร็ง
ก็จะใช้โคลนพอกเพื่อช่วย บำบัดอาการเจ็บปวด
นอกจากนี้ยังใช้วิธีฝึกเปลี่ยนจิตของผู้ป่วยด้วยการให้ฝึกภาวนา
และเปลี่ยนวิธีคิดของผู้ป่วยโดยให้คิดว่าวันนี้อาการดีขึ้น
หรือให้ผู้ป่วยด้วยกันช่วยกันเยียวยาจิตใจ เช่น ให้พูดบอกกันว่าวันนี้อาการดูดีขึ้นนะ

วิชาธรรมชาติบำบัดมีหลักว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หากจิตตายร่างกายจะตายด้วย
Dr.Jacob กล่าวว่า การฝึกโยคะก็เป็นอีกวิธีหนึ่งของการรักษาเพื่อให้เข้าถึงจิตตัวเอง
คนทั่วไปมักจะนึกว่าเราเป็นเจ้าของร่างกาย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ต้องกลับไปดูที่จิต
ตัวอย่างเช่น คนที่ออกกำลังกายในโรงยิมก็เหมือนคนภาวนาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
เพราะจิตบอกว่าออกกำลังกายเพื่อให้มีกล้าม ต่างจากกรรมกรที่แบกหามกล้ามเนื้อจะไม่สมบูรณ์
เหมือนคนออกกำลังกายในโรงยิม เพราะจิตไม่ได้สั่ง

ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นแผลเรื้อรัง เมื่อผู้ป่วยมีแผลตามแขนขา
ซึ่งเป็นแผลที่รักษาไม่หาย อาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนที่เป็นแผลทิ้ง
ซึ่งรักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัดอย่างง่ายๆ ด้วยการให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานใช้
หรือรับประทาน raw diet (อาหารดิบ น่าจะหมายถึงผักผลไม้สด)
ใช้สมุนไพร tamaric root (พืชเป็นหัวใต้ดินตระกูลขิง ข่า ขมิ้น)
และน้ำเย็นล้างแผลวันละ 2-3 ครั้ง แล้วให้ผู้ป่วยตากแดด
เน้นเรื่องการตากแดด แผลนั้นจะค่อยๆแห้งและยุบ จนกระทั่งแผลหาย

การรักษาผู้ป่วยเป็นไมเกรนหรือไซนัส
การล้างจมูกด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย
หรือล้างตาในน้ำสะอาด จะทำให้ระบบประสาทตาเย็นลง และช่วยขจัดไขมัน
Dr.Jacob กล่าวว่า หากคนเราดูแลเรื่องอาหารการกิน
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่รับประทานยา
เพราะยาไม่เพียงแต่ฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังทำลายภูมิต้านทานโรคในร่างกาย
ยาแผนปัจจุบันแม้จะช่วยยับยั้งอาการปวด
หรืออาการไข้ แต่นั่นเป็นเพียงการกดอาการ ไม่ได้เป็นการรักษาให้หายขาด

การรักษาอยู่ที่ตัวของเราเองที่หันมารักษาตามแนวทางธรรมชาติบำบัด
วิชาธรรมชาติบำบัดขนานแท้ไม่ใช่หมอบำบัดคน
หมอเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำปรึกษา จากนั้นผู้ป่วยจะเป็นผู้บำบัดเอง
วิชาธรรมชาติบำบัดเปรียบเปรยให้เห็นว่า
ห้องครัวก็คือโรงพยาบาล คุณแม่ก็เหมือนหมอในบ้าน
จะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย หรือสุขภาพดีก็ขึ้นอยู่กับคุณหมอคนนี้


ที่มา : โลกวันนี้
ภาพประกอบ : http://www.thaihealth.or.th

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลักของธรรมชาติบำบัด
หลักของธรรมชาติบำบัดมี 3 ประการ คือ

1. การเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้อง
และเหมาะสมกับสภาพร่างกาย สภาพภูมิศาสตร์อากาศ
2. การล้างพิษจากร่างกาย ใจ และจิตวิญญาณ
3. การปรับกายและใจสู่ดุลยภาพ

พอ อายุมากขึ้น ทานนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อ้วนเอาอ้วนเอา ยังไม่ทันได้ทานอาหารอะไรเลย
แค่ดมก็อ้วนแล้ว ... และจากที่สังเกตดูก็เป็นเช่นนั้น ทานอาหารไม่มาก แต่เผลอไม่ได้
น้ำหนักคอยจะขึ้นพรวด ๆ จนตกใจ อ้วน...แต่ไม่สดชื่น แจ่มใส รู้สึกไม่แข็งแรง
มึน ๆ ซึม เบื่อ ๆ ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง

เอ...เพราะอะไรกันล่ะ?
อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ
จากหลักของธรรมชาติบำบัด คือ คำว่า “พลังชีวิต” (life force)

พลังชีวิต (Life force)
ซึ่งเรียกกันหลายชื่อ เช่น ชี่ (ภาษาจีน) ปราณหรือprana (สันสกฤต)
เป็นสิ่งสำคัญและแสดงถึง “ความมีชีวิต” ของสิ่งมีชีวิต
สิ่งที่ตายแล้วจะไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่อีกต่อไป

“หลักพลังชีวิต” (Vital life Principle)

เรา มักสนใจและกล่าวถึงแต่ คุณค่าของอาหาร
เช่น วิตะมิน เกลือแร่ สารอาหาร พลังงานแค่ไหน เท่าไหร่
แต่ไม่ค่อยจะคำนึงถึง “พลังชีวิต” (Life force) ในอาหารมากนัก

หลักการของพลังชีวิต
ให้ความสำคัญกับการเลือกบริโภคอาหารที่มี “พลังชีวิตสูง”
ที่เปรียบเหมือนการที่เราได้ยา “อายุวัฒนะ”
ส่งผลให้เรามีร่างกายแข็งแรง มีรูปร่างได้สัดส่วน สวยงาม
มีพละกำลัง สดชื่น แจ่มใส อ่อนเยาว์และมีอายุยืนยาว

เป็นที่ยอมรับกันว่า เรื่อง “อาหาร” เป็นสิ่งสำคัญ
และมีผลต่อสุขภาพอย่างมากเรื่องหนึ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า....

“Living food is for living cell , Dead food is for dead cell"
“อาหารที่มีชีวิตสำหรับเซลล์ที่มีชีวิต อาหารที่ไม่มีชีวิตสำหรับเซลล์ที่ตายแล้ว”

วิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่า ร่างกายประกอบด้วย อวัยวะและระบบต่างๆ
อวัยวะประกอบด้วยเซลล์จำนวนมาก สิ่งที่หล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกายคือ “อาหาร”
แน่นอนว่า...อาหารที่ดีจะก่อให้เกิดเซลล์ที่ดี อาหารที่ด้อยคุณภาพย่อมสร้างเซลล์ที่อ่อนแอ

อาหารที่มีพลังชีวิต (Life force)
คือ อาหารที่มีเอ็นไซม์ (Enzyme) สะสมคงอยู่ในอาหารนั้นมาก “เอ็นไซม์”
หรือที่มักเรียกง่าย ๆ ว่า “น้ำย่อย” หรือ น้ำหล่อเลี้ยงให้อาหารคงความสดและมีชีวิตอยู่นั่นเอง

ดังนั้นอาหารที่ถูกทำลายเอ็นไซม์ไปจนหมดสิ้นแล้ว
จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น “อาหารที่ตายแล้ว” ซึ่ง เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายมาก
เพียงแค่ผ่านความร้อนที่เกิน 40 องศาเซลเซียส ผ่านการปั่น คั้นด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า
หรือการเก็บทิ้งอาหารนั้นไว้นานเกินไป

หน้าที่และความสำคัญของเอ็นไซม์

- เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการทำงานทุกอย่างในร่างกาย

- ทำหน้าที่ย่อยอาหาร

- ช่วยขับของเสีย

- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

- แปรสารอาหารให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้

- เปลี่ยนโปรตีนให้เป็นน้ำตาลหรือเปลี่ยนไขมันให้เป็นคาร์โบไฮเดรต

- ควบคุมระบบเมตาโบลิซึ่ม (Metabolism) ของร่างกาย

คงเห็นแล้วว่า “เอ็นไซม์” มีความจำเป็นและสำคัญต่อร่างกายมากมายเพียงไร ....

อาหารที่มีพลังชีวิต(Life force)สูง

อาหารสดทุกชนิดจะมีพลังชีวิตสูง และเนื่องจากมนุษย์มีสรีระที่เหมาะสมกับการรับประทาน
ผักสด ผลไม้ มากกว่าเนื้อสัตว์ โดยศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของฟันที่ใช้ขบเคี้ยวอาหาร
ชนิดของน้ำย่อย กายวิภาค อวัยวะที่ใช้ในการย่อยอาหารของมนุษย์ ฯลฯ
อาหารที่เหมาะสมและมีพลังชีวิตสูงสำหรับมนุษย์จึงเป็นจำพวก ผลไม้ ผักสด โยเกิร์ต
ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์จากนม และอาหารที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส
ซึ่งอาหารดังกล่าวเป็นอาหารที่ยังคงมีเอ็นไซม์สะสมอยู่จำนวนมาก

อาหาร ที่มีพลังชีวิตสูง เมื่อผ่านเข้าไปในร่างกายจะช่วยให้เกิดการย่อย ดูดซึม
และนำไปใช้ได้อย่างหมดจด สมบูรณ์ ไม่เหลือเป็นสิ่งตกค้าง
ไม่สร้างภาระให้ระบบย่อย ทั้งยังช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกาย
ทำหน้าที่ได้ดี จึงไม่สร้างหรือทำให้มี “อนุมูลอิสระ”
ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดความเสื่อมต่างๆ รอยเหี่ยวย่น ผมหงอกขาว ฯลฯ

ลองมาสังเกตอาหารที่เราบริโภคทุกวันดูบ้าง....
เราจะพบว่าเราบริโภคอาหารที่เกือบจะไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่เลย
เพราะเราต้องทานอาหารปรุงสุก ต้ม เคี่ยว ผัด ทอด
ซึ่งล้วนผ่านความร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียสทั้งสิ้น
อาหารที่มีพลังชีวิตสูง อุดมด้วยเอนไซม์ ซึ่งก็คือ ผักสด ผลไม้
แต่เราก็ทานเพียงเป็น ของ “ล้างปาก” หลังอาหารคาวนิดหน่อย ๆ
ตบท้ายอาหารมื้อหลักเท่านั้น

คราวนี้ ... เราคงได้คำตอบบ้างแล้วว่า
ทำไมกินนิดเดียวแต่อ้วนเอาอ้วนเอา แล้วยังไม่รู้สึกสดชื่น แจ่มใส กระปรี้กระเปร่าอีกด้วย ...
ขอให้พวกเรามีสุขภาพองค์รวมที่ดี (Holistic Health) มีร่างกาย จิตใจ
และจิตวิญญาณที่แข็งแรงสมบูรณ์นะคะ

อ้างอิง
อาหารสู่ชีวิตใหม่ เอนไซม์มหัศจรรย์ , เกียรติวรรณ อมาตยกุล.2548

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณสำหรับบทความดีดีค่ะ...คุณลุงมะตูม
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นค่ะ...

ธรรมะสวัสดีวันพระค่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว




00008_1.jpg
00008_1.jpg [ 25.61 KiB | เปิดดู 9236 ครั้ง ]
:b8: อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณลุงมะตูม

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณลุงมะตูม :b8:
สำหรับบทความดีๆ ครับ
อนุโมทนาครับ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณค่ะ คุณ ลุงมะตูม :b8:
เป็นบทความที่มีประโยชน์มากเลยค่ะ :
:b41: :b51: :b52: :b53: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ดูแลสุขภาพอย่างแพทย์จีน
เป็นอีกหนทางหนึ่งที่สามารถดูแลตัวเองได้ไม่อยากนัก....

1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง
(ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน
หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยๆ
เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้
มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง
หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์
ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกๆ ชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยๆหน่อย
ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม)
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ)
สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี
ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ)
ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้า
เป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็มเพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น
ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง
และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ
ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย
ออกกำลังเพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที
อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ
และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ
เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป
ทำให้เกิดโรคได้ง่ายควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน
ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล
เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี


ขอบคุณครับ...ทุกท่าน..มากคร๊าาาาาาาา...บ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 24 ก.ค. 2009, 09:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็ดหลินจือกับโรคหัวใจ

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ
ใน 90 รายพบว่าสารสกัดจากเห็ดหลินจือ สามารถลดอาการต่างๆได้หลายอย่างเช่น

1. ลดอาการแน่นหน้าอกได้ 90.4 %

2. ลดอาการเจ็บหน้าอก 84.5 %

3. ลดอาการอ่อนเพลียได้ 77.8%

4. ลดอาการมือเท้าเย็น 73.9%

5. ลดอาการนอนไม่หลับ 77.8%

6. ลดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ 60.0%

7. ลดอาการหายใจขัด 72.5%

เห็ดหลินจือ

นับเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั่วโลก
มีผลการศึกษาที่เป็น วิทยาศาสตร์ ทั้งประเทศจีน ญี่ปุ่น
เพื่อความเชื่อถือของแพทย์จีนโบราณที่ใช้เห็ดหลินจือรักษาโรคหัวใจ
โดยเฉพาะในประเทศรัสเซีย ก็ได้ทำการวิจัยพืชสมุนไพร 21 ชนิด
ภายใน ศูนย์วิจัยโรคหัวใจแห่งชาติที่กรุงมอสโคว์
พบว่าเห็ดหลินจือมีฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนของโลหิต และหัวใจได้
และมีประสิทธิภาพดีที่สุด ตรงกับสรรพคุณยาของจีนโบราณ
ที่ระบุไว้ในการบำรุงและรักษาโรคหัวใจทุกประการ
หมอจีนโบราณยังคงใช้ เห็ดหลินจือรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
และเป็นเรื่องเชื่อถือได้ ส่วนในคนที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ
แพทย์จีนโบราณจะให้ใช้เห็ดหลินจือเพื่อบำรุงร่างกาย
และเป็นการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคหัวใจได้โดยง่าย

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




286.jpg
286.jpg [ 24.78 KiB | เปิดดู 9130 ครั้ง ]
เชื่อไหมว่า ร่างกายนี้คือสิ่งมหัศจรรย์
มีความสามารถที่จะเยียวยารักษาความเจ็บป่วยได้ด้วยตนเอง

หากเชื่อเช่นนี้ได้ ก็ให้ลองหันมามองแนวธรรมชาติบำบัด
นักธรรมชาติบำบัดชาวอินเดียใต้ ที่ใช้หนทางนี้บำบัดผู้ป่วยมาแล้วกว่า ๒๕ ปี

ธรรมชาติบำบัด (Nature Cure)
หรือ การรักษาตามธรรมชาติ (Naturopathy)
คือการรักษาความเจ็บป่วย ด้วยวิธีให้ร่างกายรักษาตนเอง
ผ่านกระบวนการพื้นฐานธรรมดา ๆ ของการดำรงชีวิต
ทั้ง การกินอาหาร การหายใจ การใช้น้ำ และการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง

โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่ เกิดจากพฤติกรรมที่ผิดปกติของเจ้าของร่างกายนั่นเอง
เช่น กินอาหารที่เป็นโทษต่อร่างกายตนเอง ใช้ร่างกายให้ทำงานมากเกินไป
ทั้งเนื่องจากทัศนะที่ผิดในการดำรงชีวิต และชีวิตที่เลือกไม่ได้

อาการเจ็บป่วยคือคำเตือนจากร่างกาย บอกให้เจ้าของร่างกายนั้นได้รู้ว่า
เธอกำลังทำสิ่งผิด ๆ ให้กับฉัน เธอทำให้ฉันเสียสมดุล
ถ้ามากกว่านี้ หรือยังไม่ฟังฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับเธอแล้วนะ

หมอบอกว่า “ร่างกายมีกลไกที่แสนฉลาด มีการทำงานที่เป็นระบบระเบียบ
รู้ว่าจะร้องขออาหาร น้ำ การพักผ่อน อย่างไร รู้ที่จะขับของเสีย รู้ที่จะเจริญเติบโต
และรู้ดีว่าจะจัดการกับปัญหาที่เกิดกับร่างกายตนเองอย่างไร จงฟังเสียงของร่างกาย
เพราะร่างกายนั้นรู้ดีว่าจะซ่อมแซมเยียวยาตนเองอย่างไร
อย่าขัดขวางกระบวนการทำงานของร่างกายด้วยการใช้ยาระงับอาการ”

ท่านเจ้าคุณนร (พระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต)
เคยกล่าวไว้ว่า “จงอย่าฝากชีวิตไว้กับหมอและยา เพราะหมอก็ไม่ใช่เทวดา
หรือผู้สัพพัญญู และยาก็ย่อมจะมีทั้งคุณและโทษ
ควรพึ่งตนเองด้วยโยนิโสมนสิการ ก่อนที่จะคิดพึ่งหมอและยาเถิด”

แพทย์จีนแผนโบราณคิดว่า
ในร่างกายมนุษย์ต้องมีสมดุลของ หยิน – หยาง ร้อน - เย็น
ถ้าเสียสมดุลไปก็จะเกิดโรค

โรคหวัดแพทย์จีนจะมีทั้งหวัดร้อน และหวัดเย็น แยกตามอาการดังนี้
- ถ้ามีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล มีไข้ต่ำๆ เสมหะสีเหลืองข้น ปวดหัว
ปัสสาวะมีสีเข้มกว่าปกติ หงุดหงิด ครั่วเนื้อครั่นตัว แสดงว่าเป็น " หวัดเย็น "

- ถ้าเป็นหวัดแล้วมีอาการหนาวสะท้าน ซึม อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น น้ำมูกใส
เสมหะใส ปัสสาวะมาก แสดงว่าเป็น " หวัดร้อน "

ลักษณะของอุจจาระก็บอกได้ เช่นกันว่า เรามีอาการร้อนหรือเย็นมากเกินไป

- ถ้าอุจจาระเป็นก้อนแข็ง สีเข้ม กลิ่นเหม็นผิดปกติ แสดงว่ามีอาการร้อน

- ถ้าอุจจาระเหลว ท้องร้วง แสดงว่ามีอาการเย็น

เมื่อร่างกายป่วยจากการเสียสมดุล ร้อน-เย็น ตามหลักแพทย์แผนจีน
จึงปรับสมดุลคืนมาด้วยการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ตรงกันข้าม
ส่วนวิธีดูว่าอาหารใดมีฤทธิ์ใด ให้สังเกตจากรสชาติ

- ถ้ากินผลไม้หรืออาหารชนิดใดมากๆแล้วรู้สึกคอแห้ง เจ็บคอ
ก็แสดงว่ามี ฤทธิ์ร้อน

- ถ้ากินผลไม้หรืออาหารชนิดใดแล้วชุ่มคอ กินมากๆท้องอืดแน่นหน้าอก
ก็แสดงว่า เป็นอาหาร ฤทธิ์เย็น

- อาหาร ฤทธิ์เย็น มะระ ฟักเขียว บวบ ไช้เท้า ผักกาดขาว หน่อไม้ ดอกไม้จีน รากบัว
ผักบุ้ง มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย เห็ดหูหนู เห็ดฟาง ถั่วเขียว ทับทิม เก๊กฮวย ส้ม บัวบก ส้มโอ
แตงโม สับปะรด อ้อย มะขาม มะละกอ สาลี่ แห้ว แอ๊ปเปิ้ล มังคุด หอย ปลาไหล

- อาหารฤทธิ์ปานกลาง - ข้าว ข้าวโพด เม็ดบัว น้ำผึ้ง

- อาหารฤทธิ์ร้อน - ข้าวเหนียว หอม กระเทียม พริก พริกไทย ขิง ข่า กะเพรา โหระพา
ตะไคร้ เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ ทุเรียน ขนุน

ธรรมชาติบำบัด แนะนำให้กินผลไม้รสเดียว ไม่ผสมกัน
คือถ้ามื้อนี้ต้องการกินรสหวาน ก็ให้กินเฉพาะผลไม้รสหวาน เช่น กล้วย มะละกอ
ถ้าต้องการกินเปรี้ยวก็ให้กินเปรี้ยวทั้งหมด
แต่ผลไม้รสกลางๆอย่าง ฝรั่ง สามารถ กินร่วมกันได้ครับ

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 24 ก.ค. 2009, 12:41, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




28.jpg
28.jpg [ 77.65 KiB | เปิดดู 9132 ครั้ง ]
หลักของธรรมชาติบำบัดนั้น
พยายามบอกทุกคนว่า แท้จริงแล้วร่างกายเป็นจักรกลชีวภาพ
ที่มีอานุภาพสูงที่สุด ร่างกายนี้สามารถซ่อมแซม และรักษาตัวเองได้อย่างอัตโนมัติ
แต่เราเองที่ไม่เคารพร่างกายของเรา กลับแทรกแซงการรักษาตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ
โดยเฉพาะการใช้ยา ซึ่งยาทุกชนิด ล้วนแต่ก่อสารพิษให้ร่างกายทั้งสิ้น

เช่นเวลาเรามีไข้ ร่างกายพยายามปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นเพื่อยับยั้งเชื้อไวรัส
แต่เรากลับไปกินยาลดไข้!
เวลาเรามีน้ำมูกไหล ก็เพราะร่างกายพยายามขับสารพิษออกมาทางน้ำมูก
แต่เราก็กลับไปกินยาลดน้ำมูก!!

เวลาเราเป็นโรคความดันโลหิตสูง เรากินยาขยายหลอดเลือดเพื่อลดความดัน
แล้วการขยายหลอดเลือดนั้นเองก็กลับทำให้หัวใจทำงานหนัก

ยาทุกชนิดมีสารพิษโดยไม่ยกเว้น
บางคนยกมือเถียงว่า ถ้าเราใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็ไม่เกิดอันตรายนี่
ใช่ ใช่ มันไม่เกิดอันตราย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีสารพิษตกค้าง
(การใช้ยาเปรียบเสมือนการช็อปปิ้งซุปเปอร์มาร์เก็ต..กับโปรโมชั่นสุดหรู ซื้อ 1 แถม 1
เราใช้ยาเพื่อรักษาโรคหนึ่ง แต่ผลของพิษจากยาก็ทำให้เราเป็นอีกโรคหนึ่ง)

ร่างกายเราก็เปรียบเสมือนโรงงาน
ถ้าเราใส่วัตถุดิบที่ถูกต้อง ผลผลิตที่ได้ก็จะออกมาถูกต้องด้วย
แต่ทุกวันนี้เราใส่สารพิษให้กับร่างกาย เราจึงเจ็บป่วยเพราะสารพิษพวกนั้น

ธรรมชาติบำบัด..เน้นการกินที่สดและเป็นธรรมชาติ
เช่น ผักสด ผลไม้สด อาหารมีอยู่ 3 ชนิด
1.อาหารที่มีชีวิต คือ ผลไม้สด ผักสด
2.อาหารที่ตายแล้ว คือ เนื้อสัตว์ อาหารที่แช่ในตู้เย็น
3.อาหารปีศาจ ซึ่งมันก็เหมือนกับแดร๊กคูล่า ที่ดูดเลือดจากคุณ
อาหารพวกนี้คือสิ่งที่กินไปแล้วดึงสารต่างๆจากตัวเราไป
เช่นดึงฟอสฟอรัสจากฟันและกระดูก ดึงวิตามินบางตัวจากเราเพื่อใช้ในการย่อยมัน
อาหารพวกนี้คือ ข้าวขาว แป้งขัดขาว น้ำตาลทรายขาว เช่น ไอติม เค้กและเบเกอรี่ต่าง

ลุงฟังแล้วหดหู่ เพราะตัวเองเป็นแฟนคลับของบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก
โดยเฉพาะบุฟเฟท์เค้กที่โรงแรมแถวสุขุมวิทที่แวะเวียนไปประจำ
ต่อจากนี้ไปเราต้องโกรธกันตลอดกาลเลยหรือ โอว...ไม่น่าเลย

คนเรามีเวลาที่จะได้คิดทบทวนว่า ชั่วชีวิตที่ผ่านมา
เราให้อะไรกับร่างกายเราเองบ้างตลอดเวลา
เรามักจะเติมสารพิษให้กับร่างกายโดยไม่ยอมให้เขาได้พักผ่อนเลย
ร่างกายเราไม่ได้ต้องการรสชาติอะไรมากมายเลย
ใจของเราต่างหากที่โหยหารสชาติอันปรุงแต่ง และรูปลักษณ์อันยั่วยวนของมัน
โอ๊ย โอ๊ย !! รู้สึกสงสารร่างกายนี้ขึ้นมาเหมือนกัน

คุณๆ ลองสังเกตว่าในระหว่างวัน
จะมีคนหน้าแปลกทยอยกันมาในแต่ละวัน
กลับมาสวัสดี ทักทาย พูดคุยรวมทั้งแสดงความคิด
ที่ช่วยเปิดปรับอีกมุมมองให้กับตนเอง
ทำให้ชีวิตเราได้เปลี่ยนแปลงไปในตามสภาพของจิตตน
และจบลงด้วยการดื่ม ทาน สิ่งที่สร้างความเสื่อมต่อร่างกาย
โดยส่วนใหญ่ก็เกิดจากการกระทำของเราเองทั้งสิ้น
โดยการกินอาหารที่เป็นพิษ จนร่างกายไม่สามารถขับพิษออกมาไม่ไหว
ก็ทำให้เกิดโรคตั้งแต่เบาหวาน ความดันโลหิต จนถึงมะเร็ง

มีคนไข้เคยไปหาด้วยอาการท้องผูก
หมอแนะนำให้กินผลไม้มื้อเช้าและเย็น กลางวันสามารถกินข้าวกับเมนูผักได้
คนไข้แย้งว่า อย่างนี้ร่างกายก็ขาดโปรตีนนะซิ
หมอตอบแบบให้กลับไปคิดเองว่า
วัว แพะ มันกินหญ้าตลอดชีวิต คุณคิดว่ามันขาดโปรตีนไหมล่ะ..?...
น้ำนมวัว แพะ...ที่เราทานน่ะ...มันมีประโยชน์มั้ย....

คุณๆ ลองถามตัวเองต่อไปว่า แล้วใครบอกเราว่าเราต้องการโปรตีนเท่าไร?
มันก็ไม่พ้นธุรกิจ ให้เราต้องหาผลิตภัณฑ์ตัวนั้นตัวนี้มากินกันวุ่นวาย
เราไม่เคยฟังเสียงของร่างกายของเราเลย แต่เรากลับไปเชื่อใครก็ไม่รู้
ที่บอกเราว่า เราควรกินสิ่งนั้นเท่านั้น สิ่งนี้เท่านี้
มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่ "คน" กำหนดกะเกณฑ์ขึ้นมาเท่านั้น
สิ่งที่เรากินนั้น ร่างกายเราต้องการจริงๆ หรือว่า ใจเราต้องการที่อยากกินมัน?
นับวันคนยิ่งออกห่างจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที
เหมือนคนไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นสัตว์โลก

ธรรมชาติบำบัดเหมือนได้พบ(หมอ)คำตอบที่ได้ค้นหามานาน
การแช่สะโพก แช่หลัง พอกโคลน
ธรรมชาติบำบัดแนะนำให้ทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่การอาบแดดสามารถทำร่วมกับอย่างอื่นได้

- การแช่สะโพก โดยใช้น้ำใส่ในกะละมัง เอาน้ำราดหัวแล้วใช้ผ้าหมาดๆโพกหัวไว้
แล้วลงไปนั่งแช่ ให้น้ำท่วมจนถึงเอว ข้อควรระวังอย่าให้น้ำเปียกมือและเท้า

- การพอกโคลนใช้ดินจากจอมปลวกร้าง และต้องพอกไว้ไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น!
สามารถพอกได้ทั้งตัว พอกหน้า หรือพอกบริเวณที่ปวดเพื่อเป็นการดูดพิษจากร่างกาย
พอกเสร็จแล้วไม่น่าเชื่อหน้าน้วลนวล พอกไปดูกระจกพอขำๆ

- เมื่อเสร็จภาระกิจ ผ่อนคลายด้วยน้ำผลไม้ที่ชื่นใจ "น้ำมะพร้าวสดๆ"
น้ำมะพร้าวนี้ แนะนำให้ดื่มตอนท้องว่างและดื่มแต่น้ำเท่านั้น
ถัดจากนั้น 1 ชั่วโมงก็เป็นอาหารเย็น ซึ่งก็คือผลไม้อีกตามระเบียบ

ธรรมชาติบำบัด เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
เป็นการบอกเล่าให้ผู้คนหันกลับมาสนใจตัวเอง
ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง กิน-อยู่ อย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพของตัวเราเอง

มันไม่ง่ายเลย ในการบอกกับผู้คนว่า ให้เลิกใช้สารเคมีเถิด
ธรรมชาติบำบัดเราใช้ผงถั่วเขียวแทนสบู่ ใช้มะกรูดแทนยาสระผม
ใช้ผงสีฟันจากธรรมชาติ

และก็ไม่ง่ายหรอก ที่จะบอกกับใครๆว่า ให้มากินแต่ผัก-ผลไม้สดๆ
งดการกินข้าวขาว แป้งขัดขาว น้ำตาลทรายขาว เค้ก ไอติม เบเกอรี่

มันยากที่จะบอกใครๆว่า ยาทั้งหมดนั้นมันมีสารพิษและอันตรายมากกว่าที่เราคิด
เราศรัทธากันมาตลอดเวลาที่ยาวนานว่า
ยาคือปัจจัย 4 ที่รักษาเราจากโรคร้าย
แต่ในท้ายที่สุด....มันกลับเป็นปีศาจในคราบนักบุญ!!

การออกกำลังกายแบบเบาๆ ไม่ว่า ไท้ชี่ หรือ โยคะ ก็ตามย่อมดีกว่า
การออกกำลังกายที่หนักต่อการเคลื่อนไหวของข้อและร่างกาย

ธรรมชาติบำบัดเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา และไม่ซับซ้อน
แต่จะมีกี่คนที่ศรัทธา เปิดใจ และยอมรับ
ในขณะที่เราเองเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปจนสิ้นเชิง
จนลืมถึงรากเดิมแห่งชีวิตที่มันควรเป็น

บทความนี้ เขียนขึ้นจากการได้ไปช่วยงานธรรมชาติบำบัด
ทั้งหมดทั้งสิ้นขอขอบคุณ คุณหมอเจค็อบ...ทีมงานและเสถียรธรรมสถาน
ผมหวังว่า ธรรมชาติบำบัด จะช่วยเพิ่มอีกมุมมองให้กับทุกท่าน
ได้มองย้อนกลับไปถึงรากของตัวเอง ถึงธรรมชาติ อันแสนอัศจรรย์

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 20:12
โพสต์: 791

แนวปฏิบัติ: พุทโธและสัมมาอรหัง
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ใต้ร่มโพธิญาณ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาบุญครับสาธุ

.....................................................
ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมี 30 ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ พระธรรมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พระบารมีพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายและพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บและสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้า จงหายไปสิ้นทั้งหมดขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 16:10
โพสต์: 298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชน
ความทุกข์มิได้พ้นจนสักหน้า
สุดแท้แต่กรรมที่ทำมา
ถึงเวลาสิ้นสุขก็ทุกข์ไป
ถ้าถึงคราวพ้นเข็ญที่เป็นทุกข์
ก็กลับมีความสุขสืบไปใหม่
เป็นธรรมดามานี้แต่ไรไร
จะหวาดหวั่นพรั่นใจไม่ต้องการ :b34: :b34:

:b47: :b52: :b47: :b52: :b47: :b52: :b47: :b52: :b47: :b52: :b47: :b52:

อนุโมทนาบุญจ้า :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2009, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




fisherxn5.gif
fisherxn5.gif [ 495.45 KiB | เปิดดู 8738 ครั้ง ]
วิธีรักษาสุขภาพอนามัยทางจิตที่ดี

ปัญหาของการเป็นมนุษย์
คือ คนเราเกิดมาทั้งที ไม่ได้เป็นมนุษย์เต็มที่
หรือไม่ได้รับประโยชน์ จากการเป็นมนุษย์ให้เต็มที่ ไม่มีความสดชื่น
เยือกเย็นจากความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่

คำว่ามนุษย์กับคน มนุษย์ก็คน คนก็มนุษย์ มันไม่ถูก
ถ้าเป็นมนุษย์มันต้องมีค่าของความเป็นมนุษย์
คือ มีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหา
ถ้ายังมีชีวิตที่เต็มไปด้วยปัญหา มีความทุกข์ทรมาน
เขายังไม่เรียกว่า เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
เพราะยังมีปัญหาทางร่างกาย และปัญหาทางจิตใจอยู่
ปัญหาทางร่างกายคือ มีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ด้วยการสูบบุหรี่บ้าง
ด้วยการใช้ยาเสพติดบ้าง กินเหล้าเมายาบ้าง

ในทางจิตใจก็ยิ่งเข้าใจยาก
เป็นเรื่องอ่อนบาง ต้องสนใจให้มากเป็นพิเศษ
เพราะการมีอนามัยทางจิต ชีวิตจะแจ่มใส
หรือการประพฤติให้ถูกต้องในทางฝ่ายจิต
ให้จิตได้เจริญ ให้จิตได้ปกติ ไม่มีอะไรมาทำลาย
ให้จิตนั้น มีสมรรถภาพ ทำหน้าที่ของจิตได้อย่างสูงสุด
เรียกว่า จิตนั้นมีอนามัยส่งเสริม
แล้วก็จะเกิดความสุขอันเนื่องมาจากจิตแก่คนๆนั้น

อนามัยทางจิตที่ควรส่งเสริม
นอกจากปัจจัยทางร่างกาย 4 อย่างคือ
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค แล้ว
ยังต้องมีธรรมะเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ
ไม่ใช่เอาเหยื่อของกิเลสมาเป็นเครื่องประเล้าประโลม
และต้องมีความแน่ใจ ไว้ใจในสิ่งที่ตนยึดถือเป็นที่พึ่ง
แล้วต้องมีความรู้สึกเป็นมิตรภาพ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีศัตรูอยู่ตลอดเวลา
คือมีความรู้สึกว่า ตนประพฤติอย่างถูกต้องทางกาย ทางวาจา และทางจิต

พุทธทาสภิกขุ...........

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 16:16, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ สาธุ สาธูค่ะ...คุณลุงมะตูม

ขอบคุณเรื่องราวดีดี ภาพสวยสวย ธรรมะสอนใจ
ที่คุณลุงนำมาฝากนะคะ...จะติดตามอ่านนะคะ

ธรรมะสวัสดีค่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




D-364.jpg
D-364.jpg [ 95.58 KiB | เปิดดู 9077 ครั้ง ]
"3H" อักษรย่อชะลอวัย

เมื่อได้ยินคำว่า "เวชศาสตร์อายุรวัฒน์" อาจรู้สึกว่ายากแก่การเข้าใจ
แต่หากบอกในชื่อภาษาอังกฤษว่า Anti-aging Medicine
ก็อาจได้ยินเสียงร้องอ๋อ กันถ้วนหน้า

ความ หมายของเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Anti-aging Medicine)
คือศาสตร์การชะลอวัย ศาสตร์แห่งการป้องกันโรค
และทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวขึ้นจากหลาย ๆ ทาง
ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การดูแลตัวเองไปจนถึง
การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการบำบัดรักษาโรค หรือการทำศัลยกรรม

นายแพทย์ กฤษดา ศิรามพุช
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ หรือ Anti-aging Medicine
เปิดเผยถึงเทคนิคง่าย ๆ ในการชะลอวัยว่า
"คนเราเริ่มปรากฎความแก่ตั้งแต่อายุ 20 ปี
โดยสัญญาณของความแก่ไม่ได้หมายถึงริ้วรอยอย่างเดียว
แต่ยังรวมถึงภาวะการทำงานของร่างกายที่เริ่มถดถอย

และหนึ่งในสัญญาณแก่ คือ ความอ้วน
โดยสาเหตุของความแก่เกิดได้จากหลายอย่าง
โดยเฉพาะตัวอนุมูลอิสระ หรือที่เรียกว่าสนิมแก่
และอีกส่วนหนึ่งก็มาจากอาหารที่เรากิน
เพราะฉะนั้นถ้าเราป้องกันได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีต่อสุขภาพ
ที่สำคัญตัวเราเป็นหมอที่ดีที่สุดที่จะสามารถดูแลตัวเอง
ด้วยวิธีง่ายๆ ประกอบด้วย

"3H" (อักษรย่อชะลอวัย)
โดย H ตัวแรกที่นายแพทย์กฤษดาเอ่ยถึง คือ
"Healthy weight การควรคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน"
เพราะความอ้วนทำให้แก่เร็ว โดยใช้วิธีการออกกำลังกาย
หรือแค่ให้มีการขยับก็เผาผลาญแคลอรี่ได้แล้ว

H ที่สอง คือ "Healthy diet and lifestyle"
อาหารต้านชรานั้นมีอยู่ในสารพฤกษเคมี
พืชผักนานาชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใย
ซึ่งจะทำให้เราไม่อ้วนไม่แก่เร็ว และไม่เกิดโรค
เช่น ทานผักเขียวจัด วันละ ๕ กำมือ เป็นต้น
หรือสมุนไพรอย่าง ขมิ้นชัน
ก็มีฤทธิ์ช่วยผิวพรรณดูผ่องใส ตลอดจนผักต่าง ๆ
เช่น บล็อกโคลี่ กะหล่ำ หน่อไม้ น้ำผึ้ง
ทั้งนี้ต้องจำกัดปริมาณแคลอรี่
โดยการทานอาหารอย่างเหมาะสม
หรือใช้วิธีทานอาหารเสริมบ้าง
โดยเลือกชนิดที่เป็นธรรมชาติที่สุด
และอย่าฝากชีวิตไว้กับอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ การดำเนินชีวิตที่เหมาะสม
เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม
อันเป็นการก่อสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเหล่านี้
เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพ
และสาเหตุของความชราเร็วกว่ากำหนด
เช่น การนอนดึก ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่

H สุดท้าย คือ "Healthy mind" การออกกำลังใจ
เรื่องของจิตใจ ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้สงบ ไม่อารมณ์ฉุนเฉียว
มีการศึกษาพบว่าหากเรามีความสุขจิตใจสงบ จะมีการหลั่งสารแห่งความสุขออกมา
ทำให้ระบบในร่างกายจะทำงานเป็นอย่างปกติ

ด้านแพทย์หญิง ณัฐินี สุทธินรเศรษฐ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
ได้เอ่ยถึงเทคนิคการชะลอริ้วรอยแห่งวัยว่า
"สำหรับสัญญาณความแก่ที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง
มองเห็นได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป
โดยจะเริ่มเห็นว่าผิวพรรณมีการเปลี่ยนแปลง
ปริมาณคอลลาเจน และอิลาสตินในผิวลดน้อยลง
ซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอย ความยืดหยุ่นของผิวน้อยลง
นอกจากนี้ปริมาณน้ำในผิวน้อยลง
ทำให้ผิวแห้งลงเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มเป็นสีเทา หรือเริ่มหงอกแล้ว
เล็บก็หนาผิดรูปผิดร่างไม่เรียบเนียนเหมือนตอนสาวๆ
ในเรื่องของแสงแดดก็เป็นตัวปัญหาสำคัญ
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นคือการใช้ครีมกันแดดค่า SPF อย่างน้อย 25 ขึ้นไป
ก็สามารถป้องกันเรื่องของริ้วรอย และเม็ดสีได้"

อีก ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมให้แก่เร็วมากขึ้นก็คือ "การแสดงสีหน้า"
เช่น การขมวดคิ้ว การยิ้ม ดังนั้นจึงไม่ควรยิ้มกว้างนัก
เพราะมันทำให้กล้ามเนื้อหลายบริเวณหดเกร็งนาน ๆ บ่อยเข้า
อาจทำให้เกิดริ้วรอยที่ค้างไว้ได้
หรือแม้แต่เรื่องของท่านอน ควรนอนหงายดีที่สุด

แม้ว่าคนเราจะไม่อาจปฏิเสธความแก่ ชราที่เข้ามาเยือนในทุก ๆ วันได้
แต่เทคนิคดังกล่าวข้างต้นก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางดี ๆ ที่ช่วยชะลอ "ความแก่"
ที่หลายคนไม่พึงปรารถนาให้ยืดออกไปได้เช่นกัน
ซึ่งเทคนิคเหล่านี้หากนำมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังแล้ว
อาจสามารถรักษาความเยาว์วัยไว้ได้นานกว่าการจ่ายเงินแพงๆ ให้กับมีดหมอก็เป็นได้

ที่มา http://www.manager.co.th/

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร